“ฝ่าบาท..เข้ามาได้ยังไง”
“เปิดประตูแล้วก็เดินเข้ามาน่ะสิ จะให้ฉันเข้ามาทางหน้าต่างหรือยังไง”
“แต่นี่มันห้องของหม่อมฉัน ฝ่าบาทจะเดินเข้ามาเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”
“ห้องของเธอ?” พระขนงเข้มของเจ้าชายหนุ่มเลิกขึ้น “แต่นี่มันวังฟาริทนี่นา และนี่ก็คือบ้านของฉัน” พร้อมคำตรัสนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ขยับไปหาหญิงสาวที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“เจ้าชายวาคิม!” สร้อยสะบันงาตกใจเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังลั่นพลางลุกขึ้นยืนตัวตรงทันที
“เรียกทำไม” ราชนิกูลหนุ่มถามยิ้มๆ พระองค์ลุกตามและเดินเข้าไปจนประชิดกับร่างระหงพร้อมเรียกเธอในแบบของพระองค์ “ฉันอยู่ตรงนี้แล้วสะบันงา”
“ไม่ใช่แบบนั้น...” เสียงหวานเริ่มสั่น แม้เจ้าชายวาคิมจะเพียงแค่ใช้พระหัตถ์หนาแตะบ่าบางๆ ของเธอไว้ “ฝ่าบาทจะทำอะไร” ท่าทางแบบนั้นทำให้ราชนิกูลยิ้มมุมปาก
..............................................................................................................................................................................................................................
“ว๊าย!” เมื่อมือหนาของราห์ฟาสจับหมับเข้าที่ต้นแขนของเธอแล้วกระชากให้กลับมายืนที่เดิม “บ้าอะไรของคุณเนี่ย ปล่อย!” ปาริชาติแกะแขนตัวเองออกพร้อมกับตวาดแหวใส่เขา
ชี้คหนุ่มขบกรามแน่นกับคำพูดเปรียบเทียบที่หญิงสาวพูดออกมาเมื่อครู่บวกกับความเกลียดชังในตัวหญิงสาวอยู่แล้วทำให้มือแกร่งนั่นบีบแรงยิ่งขึ้น
“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะบอกว่าให้ปล่อย” เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“เมื่อกี้คุณว่าใครปากสุนัข” เขาตะคอกถาม
“ว่าใคร ฉันเอ่ยชื่อใครหรือเปล่าล่ะ” หญิงสาวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะยิ้มเยาะที่มุมปาก
“ก็มีผมยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าต่อว่าผม แม้แต่ผู้ชายก็ไม่เคยมี แล้วคุณคิดว่าคุณเป็นใคร” อารมณ์โกรธของชี้คหนุ่มพุ่งขึ้นเรื่อยๆ