ถิงยี่ถูกชะตาเล่นกลให้ต้องแต่งงานกับชายที่มิได้รักเพื่ออยู่ในฐานะคนรักจอมปลอม โดยไม่รู้เลยว่าระหว่างรอยยิ้มเย็นชากับคำพูดไร้หัวใจของเขานั้นทำให้นางกลับตกหลุมรักเข้าจริงๆ
ซึ่งเฉิงหยงเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าว่าอย่าคิดเกินเลยเพราะตัวเขาไม่อาจรักผู้ใดได้
ทว่าเมื่อหัวใจเริ่มมีชีวิตจะยังหักห้ามมันได้หรือไม่
-------------------------------------------------
ห้องหอในคืนวันนั้นเงียบสงัด แสงจากเทียนเล่มเล็กบนโต๊ะกลมกลางห้องส่องให้เห็นม่านแพรแดงที่ปลิวไหวราวกับกำลังเต้นระบำอย่างเหนื่อยล้า ผืนผ้าไหมสีชาดที่ประดับอยู่เหนือเตียงเจ้าสาวสะท้อนแสงเทียนอ่อนโยนราวกับพยายามแต่งแต้มความอบอุ่นให้แก่สถานที่ที่ไร้ซึ่งความรู้สึกแห่งความสุขใดๆ
เฉิงหยงยืนพิงข้างหน้าต่างอยู่นานก่อนจะหันกลับมา ดวงตาคมมองไปยังเตียงที่ปูผ้าใหม่สะอาด มันคือเตียงที่ทุกคู่ในวันมงคลควรจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ร่วมกัน
เขาเดินไปหยิบฟูกผืนหนาจากมุมห้องมาปูไว้ข้างเตียง "คืนนี้เจ้าพักผ่อนบนเตียงเถิด ส่วนข้าจะนอนข้างล่างเอง ไม่ต้องกังวล"
"ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนั้น ข้าไม่ถือเรื่องพวกนี้หรอกเจ้าค่ะ"
เฉิงหยงส่ายหน้า "มิใช่เพราะถือหรือรังเกียจ เพียงแต่ข้าไม่อยากให้เจ้ารู้สึกอึดอัดใจ เรื่องทั้งหมดนี้เจ้ามิได้ตั้งใจจะให้เกิดอยู่แล้ว"
หญิงสาวหลุบตาลง มือเล็กลูบปลายผ้าห่มอย่างเหม่อลอย "ข้าเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมานั่งอยู่ในห้องหอเช่นนี้กับบุรุษที่แทบไม่รู้จักกันเลย ทั้งยังต้องแสร้งทำเป็นคนรักต่อหน้าผู้อื่น"
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ "บางทีชีวิตคนเราก็เหมือนหมากในกระดานที่ถูกผลักให้เดินโดยไม่มีสิทธิ์เลือกทางเองสินะ" เขาหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ "เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าในตระกูลของข้าทุกอย่างล้วนเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์"
ถิงยี่มองเขาอย่างเห็นใจ "เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงยอมให้ตนต้องแบกรับเรื่องเหล่านี้ไว้ลำพังเล่าเจ้าคะ"
เฉิงหยงยกยิ้มดวงตาแฝงไปด้วยความอ่อนล้า "บางครั้งยิ่งอยู่สูงเท่าไรก็ยิ่งโดดเดี่ยวเท่านั้น ข้าเลือกเส้นทางนี้เอง ไม่มีสิทธิ์โทษผู้ใด"
หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง "ข้าเองก็เช่นกัน เจ็บปวดกับโชคชะตามามากพอแล้ว หากครั้งนี้ชะตาจะพาข้ามาอยู่ในแผนการของท่านก็ไม่เห็นจะเป็นไร"