เรื่องย่อ...
“รัชทายาทก็เหลือเกิน ไยถึงปล่อยให้คนเช่นนี้เข้ามาในวังได้ หรือยังเข้าใจว่านางคือคนที่คอยดูแลพระองค์จนหายดี ถึงไม่ยอมขับไล่นางไปไกล ๆ” มู่หลิงเอ่ยอย่างแค้นใจ
“พอเถิด เจ้าก็เคยได้ยินมิใช่หรือว่ารัชทายาทตรัสกับข้าว่าเช่นไร พระองค์ทรงทำดีกับข้าก็เพราะหน้าที่พระสวามี ส่วนข้าทำดีกับเขาก็เพื่อรักษาตำแหน่งนี้ไว้ก็เท่านั้น หากใจรัชทายาทมีกู้อิงเถาจริง เราจะไปทำอันใดได้เล่า” ตันหยางเอ่ยราวกับเข้าใจเรื่องราว ทว่าแววตาที่สื่อออกมาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
“พระชายา ไม่รู้สึกอันใดกับรัชทายาทจริง ๆ หรือเพคะ”
ตันหยางยกยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเหม่อลอย
“พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ได้อยากอยู่ในกรงทองแห่งนี้ ทว่าข้าเกิดมาเป็นมู่ตันหยางแล้ว ไหนเลยจะเปลี่ยนชะตาตรงนี้ได้ หากต่อต้าน ตระกูลมู่อาจหมดสิ้นซึ่งอำนาจ” แววตาคู่สวยช่างเลื่อนลอยนัก เมื่อได้เอ่ยถึงเรื่องของใครบางคนที่ทำให้นางว้าวุ่นเสมอ
เป็นจังหวะที่จิ่นหรงเปิดประตูเข้ามาพอดี ตันหยางหันขวับไปมองเขา ใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
ห้าวันแล้วสินะที่นางไม่ได้พบหน้าเขาแบบตรง ๆ เช่นนี้
“อี้ฟานบอกว่าเจ้าจะค้างคืนที่นี่กระนั้นหรือ”
“เพคะ” ตอบรับสั้น ๆ
“มู่หลิง กลับไปเอาอาภรณ์มาให้ข้า ข้าจะพำนักกับพระชายาที่นี่ ประเดี๋ยวเสด็จย่าจะตำหนิข้าอีก”
“พะ… เพคะ” มู่หลิงก็ได้แต่ทำตาม
เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็เดินมาหยุดที่หน้าชายาของตน เขาจ้องนางเพียงครู่ก็เสหลบ ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะแล้วรินชาดื่ม
“กล้ามากนะที่หนีมานอนที่นี่ ฟ้องอะไรเสด็จย่าอีกล่ะ”
“เปล่าเพคะ” ตันหยางบอกปัด พร้อมกับเหลือบมองเขาไปด้วย ‘เมื่อครู่เขาจะได้ยินที่เราพูดไหมนะ’ นึกในใจอย่างกังวล
เพราะตอนที่นางเอ่ย ตันหยางไม่ทันระวังว่าใครจะแอบฟังหรือไม่ ยามคิดถึงเรื่องคนตรงหน้านางก็มักจะเหม่อตลอด และมันก็ชักจะหนักขึ้นทุกที แม้แต่เสียงฝีเท้าเขานางก็ยังไม่ได้ยิน
“รัชทายาททรงเสวยอะไรมาหรือยังเพคะ”
“ยัง” คนตัวโตตอบกลับห้วน ๆ
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะให้คนจัดสำรับมาให้นะเพคะ” สิ้นคำตันหยางก็ปลีกตัวออกมา โดยมีผู้เป็นสามีมองตามทุกฝีก้าว
“กรงทองแห่งนี้คงทำให้เจ้าอึดอัดมากสินะ” จิ่นหรงพึมพำถึงสิ่งที่ตนได้ยิน และนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบสาวเท้าก้าวเข้ามา หมายจะออกปากไล่นางไปให้พ้นเสีย ทว่าเมื่อเขาพบหน้านาง คำพูดที่คิดไว้กลับจุกอยู่ที่คอไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้