ราชการลับ 13 อำนาจรัฐ
0
ตอน
311
เข้าชม
2
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

"ผมคงอยู่กับพวกเราอีกไม่กี่เดือน" พลตำรวจเอกเกรียงไกรกล่าวกับลูกทีมผู้ปฏิบัติงานข่าวกรอง  โคซิโอ

"ผมเกษียณเดือนตุลาคมนี้ ว่าจะไปเยี่ยมลูกเยี่ยมหลานที่ซานดิเอโกเสียหน่อย ผมไม่ได้ไปอเมริกามานาน ไม่รู้เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนแล้ว"

"ใครจะมาแทนท่านครับ" เอกรินทร์ถามอยากรู้เต็มที่

"อาวุโสถึง ก็เป็นพลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์" ท่านอธิบดีเกรียงไกรตอบชัดเจน

"ท่านเคยสอนหนังสือผมที่โรงเรียนนายร้อย" เอกรินทร์ตอบและรู้สึกสบายใจ

กลางเดือนมีนาคม ขณะที่บ้านเมืองมีความสงบได้มีข่าวความเคลื่อนไหวของนายทุนค้าไม้จากจังหวัดลำปางและหนองคายคือผู้ใหญ่คง โพธิ์ม่วงและนายอภิชาติ คูวิวัฒน์ คนแรกค้าไม้เถื่อนจังหวัดลำปาง คนหลังเป็นนายทุนค้าไม้และนำไม้เข้าจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทั้งคู่ขาดสภาพคล่องและเป็นเพื่อนกันจึงเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อระดมทุนไปลงทุนค้าไม้จากเขตสัมปทานในลาวมูลค่าหลายล้านบาทจากผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง

ศิริเดชได้รับรายงานชิ้นนี้จึงบอกไปยังเพื่อนๆ ให้ตื่นตัว พิมราได้ให้ข้อมูลว่าทั้งสองคนอยู่ในบัญชีของบุคคลเฝ้าระวังที่อยู่ในแฟ้มอาชญากรรมของโคซิโอแล้ว

"ใครคือผู้มีอิทธิพลในกรุงเทพฯ"

เอกรินทร์ ยิ่งบุญได้ติดต่อไปที่กองปราบฯ ซึ่งให้บัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลมาจำนวนหนึ่ง แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมาก

เดือดร้อนที่ทีมโคซิโอต้องสืบค้นเอาเองว่าผู้มีอิทธิพลเป็นใคร แต่ไม่นานเขาก็ถูกเผยตัวตน

คืนวันที่ 5 เมษายน 2534 ขณะที่ผู้ใหญ่คงและนายอภิชาติออกจากการดูมวยสากลสมัครเล่นชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ นั่งรถนิสสันปิคอัพสองตอนออกมาไปทางสมุทรสงครามหาร้านอาหารทะเลรับประทานนั้น ทั้งคู่ได้ “จัดการธุระ”อย่างหนึ่ง เสร็จแล้วคุยกันในรถ ว่าไม่ควรไปขอร้องเสี่ยคนนี้เพื่อขอเงินมาหมุนเป็นทุนระยะสั้นแค่ 6 เดือน เสี่ยขอร่วมทุนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แถมขอหุ้นในบริษัทอีกจำนวนมาก หลังตกลงกันไม่ได้ เสี่ยสั่งให้นั่งลง เรียกมือปืนเข้ามาพร้อมยกปืนขึ้นมาขู่.........แต่

.......................ร้านอาหารเพลินใจ 50 กิโลเมตร ติดถนนฟากซ้ายมือจากกรุงเทพฯ พวกเขาสองคนกินอาหารเสร็จมื้อค่ำแล้วทั้งสองคนก็ขับรถออกจากต่างจังหวัดอย่างรวดเร็วเหมือนหนีอะไรบางอย่าง

ก่อนหน้านั้นวันเดียวกัน เวลาเดียวกันนายคล้าย วนิกุล หลังจากเดินทางออกจากสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดงหลังการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพแล้ว เดินทางไปจังหวัดสมุทรสงคราม

ระหว่างทางในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม คนร้ายไม่ทราบจำนวนขับรถปิคอัพเข้ามา  ตีคู่ จากนั้นใช้ปืนเอ็ม-16 ยิงรัวๆ จนคล้าย วนิกุลและคนใกล้ชิดตายคาที่

ตำรวจสันนิษฐานหลายสาเหตุการเสียชีวิตไว้ 3 ทางโดย(แต่ไม่มีเรื่องการขอกู้เงินไปทำการค้าไม้)

"พวกผมเชื่อว่าผู้ใหญ่คงและนายอภิชาติ ถ้าไม่ลงมือเองก็ให้คนที่รู้จักลงมือให้" ศิริเดชและ

เอกรินทร์เชื่อเช่นนั้น

"ที่แน่ๆ ผมสืบรู้ว่าทั้งสองคนระดมทุนไม่ได้ สำหรับใช้ในโครงการสัมปทานป่าไม้ในลาว...เวลานี้กำลังใช้วิธีเล่นแชร์กองใหญ่เรียกทุนอยู่" ศิริเดชซึ่งยังมีคนของเขาอยู่ที่จังหวัดลำปางให้ข้อมูลมา

                                      .............................................

ในโอกาสเกษียณอายุราชการของพลตำรวจเอกเกรียงไกร บูรณะธรรมและต้อนรับอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่พลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์ คณะทำงานโคซิโอจองห้องนอร์มังดีกริล โรงแรมโอเรียลเต็ล 10 ที่นั่งรองรับคณะผู้บังคับบัญชาหน่วยความมั่นคงต่างๆ และทีมงานโคซิโอ

ในการกล่าวคำอำลา พลตำรวจเอกเรียงไกรกล่าวเปิดอกถึงการทำงานของท่าน ในนโยบาย โคซิโอต่างรู้ดีว่าเป้าหมายของการทำงานคืออะไร

"เราไม่ได้ทำงานโดยให้สถานการณ์เป็นตัวกำหนด แต่ทำจากการข่าวที่ประมวลให้มาแทบทุกเรื่อง และสองสามเรื่องเกี่ยวพันกันเช่นเรื่องกลุ่มอิทธิพลการค้าอาวุธ เกี่ยวพันถึงพรรคคอมมิวนิสต์ ถึงความพยายามที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหานี้ แต่ก็ยังมีพวกฝ่ายขวาจัด ก่อเหตุวางระเบิดตึกสหประชาชาติในประเทศไทยทำให้เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าเรายังมีปัญหาส่งผลกระทบการลงทุน"

พลตำรวจเอกเกรียงไกรกล่าวว่าข่าวกรองทุกสัปดาห์มีการสรุปสถานการณ์ให้ประโยชน์ต่อทางราชการ ขณะที่มีภารกิจเฉพาะเรื่องเข้ามาตลอดเวลารู้สึกเห็นใจทุกคน ขอฝากอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ดูแลคณะทำงานโคซิโอต่อไปด้วย

หัวหน้าหน่วยคนอื่นๆ บัญชา สนธิกลินท์, สิทธิเดช บุณฑริกาและพลโทเผด็จ การศึกได้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ชมเชยบทบาทของอธิบดีเกรียงไกร ผลงานที่ผ่านมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงโดยเฉพาะประสานงานทั้งเรื่องการจับคนร้ายที่ยิงรตอ. เอกรินทร์ ยิ่งบุญ และการส่งทีมงานไป

เปชวาร์เพื่อบีบพยานให้รับสารภาพจนได้ตัวหนอนบ่อนใส้ในองค์กรสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

นายสิทธิเดช บุณฑริกาขอบคุณกรมตำรวจไทยร่วมมือประสานงานในภารกิจมอสสาด-โคซิโอทั้งที่หัวหินและพัทยาจนสำเร็จ นำตัวลูกสาว 2 คนคือปาณิสาและสมิตา เหยื่อลักพาตัวมาได้อย่างรอดปลอดภัย

ท้ายสุดพลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์อธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ กล่าวขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสมาในงานมีเกียรติครั้งนี้ และกล่าวข้อความที่น่าประทับใจว่า

"ผมเคยเชื่อว่าเวลาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่มีใครหยุดมันได้ แต่ผมพบในวันนี้ว่ามีคนหักเหและเป็นคนเปลี่ยนเวลาได้ คือคณะนี้นั่งอยู่กับผมเป็นสมาชิกโคซิโอ สามารถทำให้เวลาเปลี่ยนไปเป็นคุณประโยชน์ต่อชาติได้

ผมคงพูดไม่ผิดแต่จะเล่าประสบการณ์ในต่างประเทศเรื่องหนึ่งให้ฟัง ในการถ่ายรูปนักกีฬาทีมฟุตบอลโรงเรียนครั้งหนึ่ง มีผมนั่งอยู่ในหมู่นักกีฬาเหล่านั้นด้วย ครูฝึกเดินมาชี้ที่ผม บอกว่า เธอไม่ควรนั่งอยู่ที่นี่ เพราะไม่ได้ใส่ชุดกีฬาทีมโรงเรียน"  

ผมเลยรู้ว่าวันหนึ่ง จะต้องใส่ชุดกีฬาทีมโรงเรียน เล่นฟุตบอลให้เก่งที่สุดในโรงเรียน...ไม่ใช่ได้ถ่ายรูปนะครับ ผมหมายถึงได้อยู่ในทีมฟุตบอลโรงเรียนและเล่นให้เก่งที่สุดเพื่อจะได้เป็นกัปตันทีม ผมจะทำให้โรงเรียนมีทีมเวิร์คเป็นทีมที่ท้าแข่งกับทุกโรงเรียนโดยไม่กลัวแพ้ใคร"

"ขณะนี้ผมกำลังใส่เสื้อทีมกรมตำรวจ รับตำแหน่งใหม่มาร่วมทีมเวิร์คกับทุกท่านที่นั่งอยู่บนโต๊ะนี้ ขอเป็นเพื่อน เป็นหนึ่งในทีม ไม่เป็นกัปตันหรอกครับ ทว่าเราจะสร้างทีมเวิร์คร่วมกัน มีความหวังร่วมกัน คำว่า"โคซิโอ" ต้องคือปฏิบัติการดีเด่นไม่แพ้อิสราเอลที่เขามี”มอสสาด”ครับ"

พลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์พูดเสร็จนั่งลงท่ามกลางเสียงปรบมือรอบโต๊ะ ผู้ใหญ่หลายคนลุกขึ้นมาจับมือแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่งและชื่นชมในคำพูดน่าประทับใจของท่าน

                                   ................................................

 

กลับมาที่การประเมินข่าวกรองและสถานการณ์ประจำสถานการณ์รายสัปดาห์

รตอ.เอกรินทร์ ยิ่งบุญได้ตั้งข้อสังเกตุถึงสภาพแรงงานว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีแรงงานข้ามชาติเข้ามามากอยู่ในประเทศเกือบ 2 แสนคน

"คงจะเป็นหนึ่งล้านคนหรือมากกว่า ถ้าปราศจากการควบคุมและจะเป็นปัญหาใหญ่ก่อนสิ้นปี 2560 หรืออีก 30 ปีข้างหน้า พวกนี้คือแรงงานจากพม่า ลาวและจีน มีอาชีพทำงานหาปลา ส่วนมากเป็นคนพม่าค่าแรงถูก"

เอกรินทร์ยังให้ภาพรวมสังคมชาวนาว่า มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมเกษตรพาณิชย์ ผลิตเพื่อขายหลายคนไม่มีที่ดินเพราะประชาชนจำนวนมากสู้อำนาจตลาดไม่ได้ และต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงขึ้น

"แรงงานเหล่านี้เห็นราคาสินค้าเกษตรของพวกเขาถดถอยถูกลงทุกวัน"

ภาคการเกษตรกำลังมีความสำคัญลดลง ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้ากรุงเทพหันมาหาอาชีพอื่นทำทั้งงานเป็นกรรมกรโรงงาน งานบ้านและขับรถแท็กซี่เป็นต้น

พื้นที่ปลูกข้าวลดลง!

ตุลย์ให้ความเห็นภาพรวมด้านสื่อมวลชน

"มีหนังสือประเภทหนังสือพิมพ์และนิตยสารบันเทิงอยู่บนแผงหลากหลายขึ้น นิตยสารแนววิเคราะห์การเมืองรายสัปดาห์ได้รับความนิยมจากผู้อ่านมากกว่าเดิม บางฉบับเพิ่มเนื้อหามีคอลัมน์ด้านปัญหาสังคมสิ่งแวดล้อม ลงเรื่องสั้น วิจารณ์ดนตรีและภาพยนต์

หลังเศรษฐกิจเฟื่องฟูในยุค 2528 สนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มผลิตหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเพื่อนักธุรกิจ มีข่าวเศรษฐกิจ การเมือง และหนังสือพิมพ์ประสบความสำเร็จ

ต่อมานักข่าวนักหนังสือพิมพ์รวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมติครม. ฉบับ 42 จนสำเร็จ

"มติครม.นี้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีหรือนัยหนึ่งรัฐบาลมีอำนาจยุติการพิมพ์เป็นการชั่วคราวหรือเพิกถอนใบอนุญาตของหนังสือพิมพ์ได้"

ตุลย์รายงานว่า

"ช่วงปี 2530 ผู้ใหญ่ 2 ใน 3 ในเขตเมืองอ่านนสพ. รายวันและ2ใน 5 อ่านไทยรัฐ ร้อยละ 6-7 อ่าน มติชน"

ศิริเดชและสหชาติให้ความเห็นดังนี้

"พวกทหารระดับกลางๆ มีความยิ่งใหญ่และกล้าแข็งขึ้นมาได้เกือบทุกยุค เพราะคุมกำลังและกำลังอาวุธ พวกนายพลแก่งแย่งอำนาจกัน แท้จริงไม่มีน้ำยา ต้องพึ่งนายทหารระดับกลางทั้งนั้น"

"พวกทหาร "ยังเติร์ก" ส่วนมากจบโรงเรียนทหารในอเมริกาและได้ไปรบในสงครามเวียดนาม รังเกียจคอมมิวนิสต์ แต่รังเกียจทุนนิยมด้วย "ยังเติร์ก" เห็นชาวนาเป็นสันหลังของชาติ"

ศิริเดชและสหชาติได้กล่าวถึงบทบาทของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์พคท. เป็นพวกที่ตั้งกลุ่ม "ทหารประชาธิปไตย" มาจากกอ.รมน. เชื่อว่าคอมมิวนิสต์มีปัญหามาจากทุนนิยม ทำให้เป็นบ่อเกิดของความคิดที่ว่า "คับแค้นทางจิตใจ ยากไร้ทางวัตถุ"

พิมราเลขานุการประเมินสถานการณ์ได้เดินมาพบตุลย์ เธอต้องการพบเขาเพื่อขอพูดเรื่องส่วนตัว

ตุลย์ไม่แน่ใจว่าเรื่องส่วนตัวนั้นเกี่ยวกับคิมเบอร์ลี่ด้วยหรือเปล่า

"พิมจะคุยกับผมที่โรงแรมหรือคุยกันที่อื่น"

พิมลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจได้

"เราไปหาที่อื่นคุยกันดีกว่าจะได้หาที่กินกลางวันด้วย"

ที่สำหรับคุยสำหรับพิมราว่าเหมาะสมคือร้านอาหารฝรั่งอยู่เข้ามากลางซอยสุขุมวิท 39 พร้อมพงศ์ เป็นร้านมีรสนิยมจัดหรูหรา ขณะที่เปิด 10.30 นาฬิกายังไม่มีคนเข้าร้านและพนักงานเพิ่งจะพร้อมที่จะต้มกาแฟ

ตุลย์เลือกที่จะนั่งมุมห้อง พิมรานั่งลงแล้วสั่งพนักงานขอกาแฟสองถ้วยใส่นมและครีมเล็กน้อย ตุลย์รีบบอกพนักงานว่าของเขาเป็นกาแฟดำ

"มีเรื่องจะพูดอะไรกับผม จะให้ผมช่วยเหลือเรื่องไหนบอกมาเลย"

"ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของเราทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของตุลย์บ้าง"

"ของผมเหรอ ผมไม่เข้าใจ" ตุลย์รับกาแฟจากพนักงานไม่รอให้วางที่โต๊ะ

"เกี่ยวกับบริษัทมาร์ตินแอนด์เคนกับบริษัทของคุณคิมเบอร์ลี่" พิมเราเข้าประเด็น

"ผมไม่เห็นว่ามันมาเป็นเรื่องของผม"

"ฟังดีๆ นะตุลย์ แม่พิมพ์เปิดศึกการตลาดกับจาวิสแอนด์ดีน แม่ทำมาพักใหญ่ถึงขั้นโรงงานมาร์ตินฯระเบิดที่สงขลา แม่เชื่อว่าคิมอยู่เบื้องหลัง เพราะเราไปแย่งตลาดจาวิสแอนด์ดีน"

"ถึงขั้นนั้นเชียว...ผมจะไปยุ่งกับธุรกิจของเขาได้อย่างไร" ตุลย์ทำเสียงอ่อนลง

"อาทิตย์หน้าแม่เริ่มกลยุทธการตลาดใหม่ เป็นศึกครั้งใหญ่ พิมไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเราต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้มันเลวร้ายไปกว่านี้"

"ทำยังไง"

"ตุลย์ต้องหมั้นกับพิม และประกาศจะแต่งงานกับพิม เรื่องจะได้ยุติ" พิมราพูดตรงเป้าหมาย

ตุลย์มองหน้าพิมเรา เขาตกใจ หยิบถ้วยกาแฟขึ้น แต่ไม่ดื่มแต่วางลง ลุกขึ้นยืน ผลักเก้าอี้ให้ออกห่างจากตัว เดินไปมา ใช้ความคิด

///แผ่นที่219

พิมมองตุลย์เดินไปมา ใจหนึ่งก็อยากให้เขาพูดอะไรออกมาบ้าง อีกใจหนึ่งก็อยากให้เขากลับมานั่งแล้วตอบตกลง จะได้ยุติปัญหาทั้งหมด

"พิมฟังให้ดีนะ..ผมว่า......เรื่องมันจะไปกันใหญ่  ปัญหาทั้งหมดมันกลับมาลงอยู่ที่ผม...ผมใช่ไหมต้องเป็นคนตัดสิน ...ผมใช่ไหม...เป็นสิ่งที่คุณแม่คุณไปทำสงครามบ้าบอ กับจาวิสฯ.... เรื่องแค่นี้ เอาแพ้เอาชนะให้กับลูกสาว...ผมไม่คิด ไม่อยากเชื่อเลย"

"พิมไม่ได้บอกให้แม่ทำเลย แม่ทำเองนะตุลย์ แม่คิดแม่เป็นคนวางแผน... ทุกอย่าง พิมห้ามแล้ว แต่แม่ไม่ฟัง"

"พิมที่รักฟังนะ...ผมจะไม่ยอมหมั้น หรือแม้แต่แต่งงานเพราะเรื่องโง่ๆ ที่แม่คุณทำอะไรงี่เง่า แบบนี้หรอก" ตุลย์พูดใช้อารมณ์เต็มที่

พิมราก้มหน้าหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าออกมาซับน้ำตาเงียบๆ

"พิมขอโทษแทนแม่ด้วย พิมพยายาม....เรื่องมันเกินเลย...พิมห้ามไม่ได้ ตุลย์เข้าใจพิมนะ พิมขอโทษเรื่องหมั้นเรื่องแต่งงาน มาจากแม่ ไม่ใช่จากพิมฝ่ายเดียว พิมขอโทษ"

ตุลย์เดินเข้ามาโอบกอดเธอ ยอมให้พิมราซุกศีรษะไว้ที่อก ตุลย์ก้มลงจูบซอกหูเธอแผ่วเบา

"ผมยกโทษให้ อย่าร้องไห้นะ เรามาคิดกันจะหาทางออกจากปัญหาได้อย่างไร...ค่อยๆ คิดกันไป"

นั่นยิ่งทำให้พิมพ์ร้องไห้หนักขึ้น

                                   ......................................

........................ตอนดึกคืนนั้นตุลย์โทรศัพท์ทางไกลไปถึงคิมเบอร์ลี่ที่บ้านพักเพื่อหาความจริง

"จาวิสฯโดนกระทำโดยไม่รู้ตัวก่อนนะตุลย์ พวกนั้นทำผิดสัญญา เราตอบโต้ด้วยเทคนิคทางการตลาด มันเป็นการแข่งขันเสรี  พวกนั้นบีบเรา เล่นงานเราอย่างสกปรก" คิมบอกความจริงทั้งหมดกับตุลย์โดยไม่แสดงอารมณ์  ตุลย์ถามคิม"ทำไมไม่พูดจากันก่อน"

"พูดซี ทำไมจะไม่พูด คิมโทรไปหาผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดคุณฉัตรชัย นัดหมายกันที่ทำงานตึกวัชรวรรณ เราคุยกันแบบเปิดเผย" 

"ได้เรื่องไหม" ตุลย์ซัก

"ได้ซี...เรื่องโกหกไงล่ะตุลย์ เขาเอารูปเก่าๆ มาอวดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราพูดถึงสัญญาพูดกันดีๆ แม่ของแฟนคุณยัยพิมอะไรนั่นไม่มีมารยาทเปิดประตูมาเล่นงานฉันฉอดๆๆ"

"เป็นงั้นไป" ตุลย์หัวเราะ

"ไม่ตลกนะ...ตุลย์  มันบอกว่ามันสั่งให้หยุดการผลิต แถมเย้ยว่าจะผลิตสินค้าของมันเองมาแข่ง ท้าให้ฟ้องเรื่องสัญญาด้วย...อ้อ ไปบอกแฟนตัวดีของคุณด้วยว่า ถ้าเล่นไม่เลิก ฉันก็สู้ไม่เลิกเหมือนกัน"

ตุลย์คิดว่าผู้หญิงสองคนสู้กันละก็ ดุยิ่งกว่าเสืออยู่ในถ้ำสองตัว

ตุลย์ไม่คิดว่าสิ่งที่พิมราเคยบอกเขาว่าอาทิตย์หน้า "แม่ของพิม เริ่มกลยุทธใหม่ทางการตลาดเป็นศึกใหญ่" มีความสำคัญกับปัญหาที่เขาต้องกังวล

เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้คิมรู้ คิดว่าเป็นการแข่งขันทางการตลาดธรรมดาๆ ตามปรกติ

ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร

............าทิตย์ต่อมานางวาสนาผู้จัดการฝ่ายบัญชีพร้อมลูกน้องอีกหนึ่งคนที่เป็นหัวแรงสำคัญในฝ่ายบัญชี  อ้างว่าทำงานมา 8 ปีแล้ว ต้องการเปลี่ยนงานไปทำอย่างอื่นบ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือนตามกฎบริษัท

ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ประกิตกับนางวาสนา ขอให้เธอรอจนครบเดือนก่อน นางวาสนาอ้างว่าต้องไปดูแลแม่ซึ่งป่วยกระทันหันไม่มีใครดูแล ส่วนผู้ช่วยที่ตามออกไปด้วยนั้นอ้างว่า จะกลับบ้านที่อุดรธานีเพราะต้องจัดการเรื่องที่ดินให้ครอบครัว

เรื่องคงเหมือนการลาออกของคนสองคนธรรมดา จนกระทั่งเด็กทำความสะอาดสำนักงานพบสำเนาเอกสารชิ้นหนึ่งตกอยู่ข้างเครื่องถ่ายเอกสารไม่กล้าทิ้งจึงนำไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของรองหัวหน้าฝ่ายบัญชีในวันรุ่งขึ้นหลังนางวาสนาและลูกน้องเก็บของออกไปจากสำนักงาน

รองหัวหน้าฝ่ายบัญชีพร้อมเดินพร้อมสำเนาเอกสารฉบับนั้นเข้าพบนายสนิท ถนอมส่วนวงศ์ผู้จัดการในประเทศของจาวิสแอนด์ดีนในห้องทำงาน

"ท่านคะ นี่เป็นเอกสารบัญชีลูกค้าขายส่งของบริษัท เป็นความลับตกอยู่บนพื้นใกล้เครื่องถ่ายเอกสาร ดิฉันคิดว่าต้องมีคนมาขโมยมาอัดสำเนาเอกสารแล้วทำตกหล่นไว้ค่ะ"

"เป็นใครไปไม่ได้นอกจากวาสนา พินิจช่าง ให้ใครเอาประวัติมาตรวจสอบดูว่าอยู่ที่ไหน" สนิทให้ตามฝ่ายบุคคลพร้อมให้นำเอกสารประวัติบุคคลของวาสนามาพร้อมกันด้วย

จากเอกสารพบว่านางวาสนา พินิจช่างแต่งงานแล้วหย่าร้างกับสามี อยู่คนเดียวกับญาติที่มาจากจังหวัดพิจิตร เธอไม่มีลูก แต่อุปถัมภ์เด็กผู้หญิงจากสถานสงเคราะห์ไว้คนหนึ่งเลี้ยงไว้ทำงานบ้าน ส่งเสียให้เรียนหนังสือตามสมควร พ่อนางวาสนาเสียชีวิตแล้ว เธอไม่มีปัญหาด้านการเงินยกเว้นดูแลแม่

"บ้านที่อยู่ตามที่แจ้งในประวัตินี่หรือเปล่า" สนิทถามผู้จัดการฝ่ายบุคคล

"เธอบอกกำลังย้ายไปอยู่บ้านใหม่ครับ"

"ที่ไหนแจ้งไว้หรือเปล่า" สนิทถาม

"ไม่ได้แจ้งครับ"

"เวร!" สนิทสบถหัวเสีย

เท่านั้นยังไม่พอ นางวาสนารื้อระบบบัญชีมาร์ตินแอนด์เคนสำนักงานใหญ่จนเละเทะแทบต้องรื้อทำกันใหม่ตั้งแต่ต้น

สนิทสั่งให้ฝ่ายบุคคลประกาศรับหัวหน้าฝ่ายบัญชีใหม่โดยตั้งเงินเดือนสูงเท่าที่นางวาสนาเคยได้รับ

                                   ...............................................

ขณะที่สำนักงานใหญ่มาร์ตินแอนด์เคนในห้องทำงานของนายฉัตรชัย สกุลรัตนชัย นางเกศรีนำผู้หญิงและผู้ชายอีกหนึ่งคนให้เข้าพบนายฉัตรชัยเป็นกรณีพิเศษ

"ฉัตร...ฉันแนะนำคุณวาสนา พินิจช่างและคุณประกิต คงตระกูลผู้จัดการฝ่ายบัญชีและผู้ช่วยคนใหม่ให้เริ่มงานทันที...วาสนากับประกิต รู้จักคุณฉัตรชัย ผอ. การตลาดไว้ เขาขับเคลื่อนบริษัทนี้ให้เดินหน้าอย่างเข้มแข็งทุกวัน"

ไม่นานก่อนนี้หลายเดือน เกศรีรับรู้จากนักสืบทางธุรกิจที่มีมากมายในตลาดการแข่งขันว่าฝ่ายบัญชีจาวิสแอนด์ดีนมีจุดอ่อนตรงที่ผู้จัดการฝ่ายบัญชีมีปัญหาทางครอบครัวที่ต้องใช้เงินมากในการดูแลมารดาที่เป็นโรคอัลไซเมอร์มีเด็กผู้หญิงดูแลอยู่คนเดียวไม่พอเพียง

เกศรีนัดพบกับวาสนาพร้อมว่าจ้างด้วยการให้เงินเดือนมากกว่าที่ได้รับจากจาวิสแอนด์ดีนหลายหมื่น วาสนาตกลงโดยขอโบนัสเพิ่มอีก 3 เดือนทุกปีและขอให้มีผู้ช่วยตามเธอมาอีกหนึ่งคน

เกศรีต่อรองขอให้โบนัสเป็นแค่ 2 เดือน อาจมีสวัสดิการอื่นเพิ่มให้ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้

มาร์ตินแอนด์เคน เดินแผนชิงทั้งบัญชีและลูกค้าและผู้จัดการฝ่ายบัญชีมาจากจาวิสแอนด์ดีนได้สำเร็จ โดยคิดว่าเป็นแผนเหนือกว่าโดยเด็ดขาด หลังจากทราบข่าวร้ายนี้ สำนักงานจาวิสแอนด์ดีน               ที่โอ๊คแลนด์ ส่งคิมเบอร์ลี่ แอนเดอร์สันและพอล อิลลิงเวิล์ธ นักบัญชีผู้เชียวชาญมือฉมัง มาจัดวางระบบและฝึกและแต่งตั้งพนักงานฝ่ายบัญชี “คนใน”ขึ้นเป็นผู้จัดการคนใหม่ สร้างระบบจนอยู่ตัวและปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม ทั้งหมดภายในเวลา 3 อาทิตย์

สำหรับรายชื่อลูกค้าคิมเบอร์ลี่จัดงานลูกค้าสัมพันธ์ครั้งใหญ่ มีโปรโมชั่นให้บินไปดูงานการขายและท่องเที่ยวเป็นกลุ่มๆ ในนิวซีแลนด์2สัปดาห์โดยจาวิสจ่ายทั้งค่าเดินทาง โรงแรม รวมทั้งเงินติดตัวเป็นโบนัส

แผนดำเนินการครั้งนี้ ทำให้มาร์ตินแอนด์เคนขยับตัว ไปไม่เป็น

จาวิสแอนด์ดีนไม่หยุดอยู่แค่นั้น กลับรุก ขยายตลาด เสนอสินค้าตัวใหม่เป็นครีมทาหน้าจากรกแกะหาผู้ซื้อรายใหม่ เพิ่มประโยชน์ใช้สอย และยังมีผลิตภัณฑ์ใช้สำหรับเด็กและสตรีอีก 2-3 อย่างเพื่อป้องกันส่วนแบ่งตลาดสินค้าใหม่ที่เข้าตลาด

"นี่เป็นพื้นฐานการตลาดง่ายๆ นะสนิท ฉันนำครีมรกแกะจากนิวซีแลนด์ เข้าสู่ตลาดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่มาจากนิวซีแลนด์เท่านั้น”คิมเบอร์ลี่อธิบายสร้างความกระจ่างว่า

“เราสร้างความแตกต่างให้สายผลิตภัณฑ์ที่คู่แข่งหาและทำไม่ได้ และก็มุ่งตลาดเฉพาะส่วนที่ตอบสนองกับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เป็นการใช้สองกลยุทธมาประสานกัน"

คิมเบอร์ลี่แและพอล อิลลิงเวิล์ธบินกลับอาทิตย์ที่สามเมื่อตลาดสินค้าของบริษัทจาวิสแอนด์ดีนมั่นคงและระบบบัญชีเดินหน้าเป็นปรกติ  มาร์ตินแอนด์เคนกลับเป็นฝ่ายที่ต้องเดินงานไปช้าๆ รอให้วาสนาและประกิตซึ่งถูกต่อต้านอย่างหนักจากคนเก่าในฝ่ายบัญชี จนต้องใช้ฝ่ายบุคคลเข้ามาไกล่เกลี่ย พนักงานเก่า กล่าวหาว่าวาสนาขาดมนุษยสัมพันธ์เห็นแก่ตัวกับพนักงาน ฝ่ายบุคคลถึงกับส่ายหน้าขอร้องรอให้วาสนาและประกิตได้ปรับตัวกับระบบเสียก่อนกว่าทั้งสองคนได้ลงมือจริงก็ 3 เดือนผ่านไป คนที่ผิดหวังและไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือไม่คือ..........เกศรี! 

ความพยายามจะโค่นจาวิสแอนด์ดีนต้องล้มเหลวถึง 2 ครั้งไม่ทำให้เกศรีต้องท้อแท้ เธอกลับเห็นว่ามันไม่เสียหาย แม้ว่าจะต้องซ่อมแซมเครื่องจักรในโรงงานที่สงขลากว่าจะใช้งานได้ ก็เสียเงินเสียเวลาไปมากเกศรีว่านั่นไม่กระเทือนฐานะการผลิตของบริษัทมากนัก

ยุคที่อำนาจเป็นของผู้ซื้อในตลาดทำให้บริษัทต้องคำนึงถึงแรงกดดันที่ผู้ซื้อเป็นฝ่ายกำหนดราคารวมทั้งเรียกร้องผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น

มันหมายถึงการควบคุมขั้นตอนการผลิตที่เข้มงวดและต้องนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาเสริมและคัดกรองคุณภาพของวัตถุดิบตั้งแต่ต้น

จะต่อสู้กับจาวิสแอนด์ดีนได้สมน้ำสมเนื้อกัน ก็ต้องแข่งขันด้วยการหาวิธีขยายตลาดโดยรวม และมองหาผู้ซื้อรายใหม่และการเพิ่มประโยชน์ใช้สอยในผลิตภัณฑ์

ทั้งหมดนี้จาวิสแอนด์ดีนทำล้ำหน้าไปนานแล้ว และแม้บัดนี้มาร์ตินฯก็เลิกผลิตสินค้าให้จาวิสแอนด์ดีนเหมือนเมื่อก่อน ทางนั้นได้แหล่งผลิตใหม่อีกหลายแห่ง ทำการผลิตด้วยสัญญาที่ดีกว่า สินค้าบางชนิด รัฐบาลไทยออกใบรับรองมาตรฐานกำกับไว้ด้วยการการันตีอย่างดี

                                   ..............................................

กลางคืนของวันที่ 2 กันยายน 2534 พิมราปลุกทีมงานโคซิโอทุกคนให้มาพบกับในห้องกลางที่ใช้เป็นห้องประชุมชั่วคราว แจ้งว่าผู้อำนวยการสิทธิเดชกำลังเดินทางมาพบทีมงานในเวลา 4 ทุ่ม

ทุกคนเชื่อว่าน่าจะมีเรื่องด่วนและเป็นเรื่องใหญ่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองเรียกประชุมนอกสถานที่ในเวลาค่ำคืนและเรียกประชุมแบบปัจจุบันทันด่วน

"เราควรเตรียมตัวปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนเสียแต่บัดนี้" ศิริเดชเตือนทุกคนให้มีความพร้อมและตื่นตัวตลอดเวลาจากประสบการณ์ที่ได้ทำงานร่วมกับมอสสาดมาก่อน

"ฟังเรื่องราวจากท่านผอ. ก่อนดีกว่า" เอกรินทร์เชื่อว่าการเตรียมใช้เวลาไม่กี่นาที

สิทธิเดชมาถึงอิมพีเรียลไม่นานหลังจากทีมงานโคซิโอมารวมตัวกันในห้องประชุม

"ผมเพิ่งได้รับสัญญาเตือนภัยด้วยวาจาจากผู้ใหญ่ในหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลเรื่องการโจรกรรมเหรียญเดวิด เบน-กูเรียนถึงขั้น มีแผนลอบสังหารท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งก็คือโมเช แอเร็นส์ที่บ้านพัก" สิทธิเดชอธิบายสั้นๆ

"คนร้ายมีวัตถุประสงค์อะไรครับถึงกล้าขนาดนั้น"

"ซับซ้อนมาก แต่ท่านแอเร็นส์เชื่อว่าคนร้ายต้องการเหรียญ"

"แค่นั้นนะ" สหชาติถึงกับอุทาน

"ผมต้องบินไปเทลอาวีฟเร็วที่สุด ทางนั้นต้องการผมให้เอาเหรียญติดตัวไปด้วย" สิทธิเดชพูด

"ท่านจะให้พวกเราไปด้วยไหม" สหชาติถาม

"คุณนั่นแหละไปด้วยในฐานะผู้ช่วยหรือผู้ติดตามผม"

เทลอาวีฟ

..............โมเช แอเร็นส์ให้การต้อนรับสิทธิเดชและสหชาติในฐานะผู้ติดตามด้วยอัธยาศัยสุภาพโดยถามไถ่ถึงเรื่องที่ทางการจัดหาให้เป็นพิเศษในเมืองและเรื่องราวอื่นๆ ในไทยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของโคซิโอ เมื่อเข้าเรื่องแผนสังหารท่านเมื่อเร็วๆ นี้ ท่านโมเชบอกว่าเป็นการอำพรางแท้จริง เป้าหมายคือการโจรกรรม

"พวกนั้นต้องการเหรียญเดวิด เบน-กูเรียน ซึ่งผมมีและท่านสิทธิเดชก็มีอยู่คนละอัน...ขอหรี่ไฟในห้อง ผมจะฉายภาพสไลด์ขึ้นจอ"

ภาพบนจอเป็นภาพเหรียญเบน-กูเรียน ถูกขยายใหญ่เห็นทั้งด้านหน้า และภาพด้านหลัง-สลักตัวอักษรภาษาฮีบรูเขียนมีความหมาย “ระลึกแด่เบน กู-เรียน”

"ภาษาอิฟริตที่เราใช้จารึกมีความศักดิสิทธิ์แต่ความสำคัญยังไม่เท่ากับสิ่งที่อยู่ข้างใน ขอภาพสไลด์ต่อไป................ภาพต่อไปเป็นเหรียญจำลองนะครับ

บนจอเป็นภาพ สันด้านข้างของเหรียญ ดูเป็นปรกติ

"ท่านสิทธิเดชคงไม่เห็นมีอะไรที่ผิดปรกติใช่ไหมครับ" โมเชถามและสั่งให้นายทหารเปลี่ยนสไลด์

"นี่คือภาพเดียวกับภาพที่แล้ว หลังจากเราทำความสะอาดด้วยสารกัดลึกแต่สังเกตใช่ไหมครับ มีรอยเป็นร่องเล็กมาก แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า"

ภาพต่อไปเป็นภาพขยายของแผ่นลายพิมพ์เห็นวงจรอิเล็กทรอนิคส์ส่วนหนึ่งน่าจะใช้ในการควบคุมอะไรสักอย่าง

โมเช่ แอเร็นส์พูด "ที่เห็นคือการจำลองผังวงจรขนาดจิ๋วเป็นผังวงต้นแบบซึ่งมันยังไม่ได้ใช้จริงแค่ส่วนหนึ่งในสามใช้ในการควบคุมขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ซึ่งท่านสิทธิเดชมีอยู่ส่วนหนึ่ง ผมมีส่วนหนึ่งและท่านนายกอิสราเอลมีส่วนที่เหลือ ถ้าพวกจารชนได้ไปครบมันจะนำไปศึกษาต้นแบบ แต่มันก็จะไม่ได้ระบบนำร่องของจริงใส่ในหัวรบขีปนาวุธได้สมบูรณ์ที่จะส่งถึงเป้าหมายแม่นยำ"

สิทธิเดชรีบพูด "ผมจะมอบเหรียญเดวิด เบน-กูเรียนเหรียญไว้ในอิสราเอลไม่นำกลับประเทศไทย"

"ไม่ได้ครับ...แยกกันเก็บอาจดีที่สุด" โมเช แอเร็นส์ตอบทันทีและเดินเข้ามาพูดใกล้ๆ กับสิทธิเดช

"ผมขอท่าน 2 อย่าง ข้อหนึ่งให้ท่านส่งแปลนบ้านท่านโดยละเอียดมาที่เทลอาวีฟถึงผมโดยตรงผ่านทางสถานทูตเขาส่งทางถุงเมล์ถึงผม ข้อที่สอง ผมจะส่งเจ้าหน้าที่เป็นมอสสาดลาดตระเวนดูแลที่บ้านท่านเป็นระยะห่างๆ จนกว่าเห็นว่าปลอดภัยเราจะแจ้งให้ท่านทราบ ถ้าท่านมีปัญหาอะไรผมมีเบอร์โทรศัพท์ให้ท่านไว้โดยท่านต้องไปโทรศัพท์ที่สถานทูตอิสราเอลนะครับ"โมเช แอเร็นส์ขอให้สิทธิเดชมอบเหรียญไว้กับท่านโดยกล่าวว่าไม่ควรเก็บติดตัวในเที่ยวบินออกจากอิสราเอลเนื่องจากเกรงว่าสายลับอาหรับอาจติดตามสิทธิเดชอยู่และอาจแย่งชิงเหรียญระหว่างทาง

สิทธิเดชเห็นด้วยและมอบเหรียญคืนให้

สิทธิเดชและสหชาติเดินทางออกจากเทลอาวีฟโดยสายการบินแห่งชาติอิสราเอลถึงกรุงเทพฯ และจัดเตรียมแปลนบ้านติดต่อสถานทูตอิสราเอลเป็นที่เรียบร้อย

มีการประชุมรอบแรกเรื่องเหรียญที่จะได้รับคืนที่สภาความมั่นคงในกลางเดือนตุลาคมโดยบัญชา สนธิกลินท์เลขาธิการขอให้สิทธิเดชอธิบายความเป็นมาโดยย่อๆ

"เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หากปล่อยให้ฝ่ายที่เป็นตรงข้ามกับอิสราเอลเช่นชาติอาหรับบางประเทศได้ไปก็จะสามารถใช้ไปในการพัฒนากับหัวรบที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น"

สิทธิเดชให้ความเห็นว่า

"อิสราเอลเป็นประเทศหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ครอบครองและอาจจะมีมากถึง 400 หัวรบ ถือว่าเป็นที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และรัสเซีย และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าขีปนาวุธลูกแรกที่ยิงได้สร้างขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมปี 1966"

มีเสียงถามกันทั่วไปในห้องประชุม

"ท่านคงอยากรู้ว่าผมทราบได้อย่างไร...ผมรู้จากผู้ช่วยคนหนึ่งของด็อกเตอร์ข่าน บิดาอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถานเขาเป็นนักศึกษาร่วมหอพักเดียวกับผมสมัยเรียนที่เคมบริดจ์ เราติดต่อกันหลายปีหลังจากจบการศึกษา"

"และเมื่อ 3 ปีที่แล้วเราคงได้ข่าวว่ามีนายช่างในโครงการนิวเคลียร์ของอิสราเอลคนหนึ่งที่เอาความลับมาเปิดเผยถูกมอสสาดลักพาตัวกลับมาที่อิสราเอลติดคุก 18 ปีในข้อหาทรยศเป็นจารชน" สิทธิเดชเปิดเผยข่าวอีกครั้งหนึ่ง

บัญชา สนธิกลินท์ ให้ความเห็นต่อเนื่องว่าขณะนี้อิสราเอลกำลังวิตกว่าประเทศอิหร่านอาจมีศักยภาพพอจะเป็นประเทศผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้จึงโจมตีสถานที่ตั้งว่าเป็นแหล่งผลิตอาวุธนิวเคลียร์เช่นเมื่อปี 2514 ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ที่เมืองปาร์ชินก็ระเบิดอย่างรุนแรงจนอิหร่านเชื่อว่าเป็นฝีมือของต่างชาติที่พยายามชะลอโครงการนิวเคลียร์ของพวกตน

ดังนั้นสภาความมั่นคงความเห็น หากมีจารชน มีแนวโน้มเข้ามาเพื่อขโมยเหรียญ เอาบลูพริ้นท์วงจรระบบนำร่องขีปนาวุธหรือจรวดข้ามทวีปคงเป็นคนปาเลสไตน์ ซีเรียหรืออิหร่าน ชาติใดชาติหนึ่ง

                                   .......................................

บ้านของสิทธิเดชอยู่ในซอยพร้อมพงศ์ สุขุมวิท 39 เข้าไปถึงทางแยกใกล้สถานทูตอินเดีย ก็ถึงบ้านสิทธิเดช มีสนามหน้าบ้านยาวติดรั้วตัวบ้านห่างจากประตูบ้านมาก สิทธิเดชชอบหมาไทยเขาว่ามันรักเจ้าของและดุกับคนแปลกหน้า มักเห่าเสียงดังเมื่อเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล

แต่ลูกสาว 2 คนไม่ชอบหมาไทยรบเร้าให้พ่อเลี้ยงหมาฝรั่งตัวเล็กๆ ซึ่งสิทธิเดชอธิบายว่าไม่มีประโยชน์ยกเว้นมีไว้เล่นสวยงาม เขาไม่ตามใจและเห็นว่ามันเห็นภาระเนื่องจากลูกสาวทั้งสองคนเรียนอยู่ต่างประเทศ นานๆ ครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน

หลังจากกลับมาจากอิสราเอลได้ 2 เดือน มีนายทหารอิสราเอลแต่งชุดสากลมาพบที่บ้าน นำเหรียญและแปลนบ้านมาคืนโดยมีจดหมายจากโมเช แอเร็นส์ 1 ฉบับแนบมาด้วย

จดหมายเขียนสั้นๆ

"โปรดรับเหรียญคืน ขอขอบคุณ กรุณาดูแปลนพร้อมจุดที่เก็บเหรียญ เรากำหนดไว้เพียงจุดเดียว หลายจุดเป็นจุดสำหรับติดตั้งกล้องนิรภัยวงจรปิด ทั้งภายในภายนอก ไฟสปอตไลท์นอกอาคาร และริมรั้วรอบสนามพร้อมกริ่งสัญญาณกันขโมย ในและนอกบ้าน"

นายทหารอิสราเอลลากลับ กล่าวว่าสิทธิเดชควรเลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่และมีจำนวนมากกว่านี้      สิทธิเดชรับคำ

สิทธิเดชให้เอกรินทร์พาไปดูการฝึกสุนัขตำรวจ ถามถึงแหล่งซื้อสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด มีราคาตั้งแต่ 5 พันถึง 15,000 หรือมากกว่า  เขาจองไว้ 4 ตัวในราคาตัวละ 15,000 บาท  ให้ตำรวจสุนัขช่วยฝึก

การจัดระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี อีกทั้งมีมอสสาดช่วยลาดตระเวนเป็นครั้งคราวเป็นที่มั่นใจได้ว่าบ้านเขาน่าจะปลอดภัย

เยอรมันเชพเพิร์ด ที่เขาซื้อมา ได้รับการฝึกอย่างดี และคงจะส่งมอบภายในเวลา 3 เดือนข้างหน้า

แต่สิทธิเดชยังไม่ทันได้รับมอบสุนัขทั้ง 4 ตัว

และในวันที่ไม่มีมอสสาดมาลาดตระเวน

วันที่ไฟสปอตไลท์ไม่ทำงานและกริ่งไฟฟ้าเงียบ

สุนัขพันธุ์ทางไม่เห่า

วันเดียวที่เขาไปงานแต่งงานลูกสาวเพื่อนและอยู่ในงานเลี้ยงหลังแต่งงานแค่ 4 ทุ่มเท่านั้น

....................กลุ่มจารชนจากต่างประเทศแปดคน เตรียมการมาอย่างดีพวกหนึ่งตัดระบบสัญญาณเตือนไฟและระบบไฟฟ้าสำรองและกล้องวงจรปิดทั้งบ้านในเวลา 2 ทุ่ม อีกส่วนหนึ่งกำจัดสุนัขและงัดประตูบ้าน เข้าไปค้นห้องต่างๆ จนพบตู้เซฟขนาดเล็กซ่อนอยู่ในห้องหนังสือ ใช้เครื่องมือถอดรหัสอยู่พักหนึ่งจนสามารถเปิดได้ หยิบกล่องเหล็กซึ่งมีกุญแจติดรหัสตัวเลขอีกชุดหนึ่ง แต่คนในชุดนี้ไม่ถอดรหัสกลับหยิบไปทั้งกล่อง หลังจากนั้นก็จัดการดำเนินการแก้ไขทุกอย่างให้กลับสู่สภาพปรกติ

ไฟสปอตไลท์ทำงานและกริ่งไฟฟ้ามีไฟเข้าตามปรกติ

สุนัขพันธุ์ทางฟื้นจากยาสลบและกินอาหารที่พวกจารชนเอามาวางไว้

ประตูบ้านถูกซ่อมแซม ห้องต่างๆ จัดอยู่ในสภาพเหมือนเดิม

เซฟหมุนรหัสตามเดิมที่ตั้งไว้ตามที่เจ้าของบ้านกำหนดไว้อย่างถูกต้อง

ปฏิบัตินี้ใช้เวลาทั้งหมด 23 นาที

สิทธิเดชและภรรยาขับรถเข้าบ้าน ไฟหน้าบ้านเปิดและประตูรั้วทำงานอัตโนมัติ สุนัขมีอาการดีใจเป็นปรกติทุกอย่าง

สิทธิเดชเปิดล็อคประตูหน้าบ้านไม่มีอะไรผิดสังเกต มารู้สึกผิดสังเกตเมื่อหนังสือนิตยสารที่เขาเปิดดูรายการโทรทัศน์ ลืมเอาไว้บนโซฟา บัดนี้ถูกเก็บเรียบร้อยอยู่ในชั้นวางนิตยสาร

"ปิติมา...คุณเก็บห้องรับแขกตอนเย็นหรือเปล่า"

"เปล่า...ฉันแต่งตัวเสร็จก็ไปคอยคุณในรถเลย ทำไมมีอะไรหรือ"

"ไม่มีอะไร" สิทธิเดชมั่นใจ จำได้แม่นว่าเขาวางนิตยสารรายการทีวีไว้บนโซฟา เด็กคนใช้ที่ลากลับบ้านไม่อยู่ อีก 2 วันถึงจะกลับมาจากต่างจังหวัด

สังหรณ์ใจ  รีบไปห้องหนังสือ เปิดตู้เซฟด้วยรหัสที่ตั้งไว้  ใจหายวูบ กล่องเหล็กเก็บเหรียญเดวิด เบน-กูเรียนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

คนแรกที่เขาแจ้งเตือนคือเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายบัญชา สนธิกลินท์ คนต่อมาคือมอสสาดที่ดูแลเขาในกรุงเทพฯ นัดพบกันที่โรงแรมอิมพีเรียลและคนสุดท้ายคือพิมรา เลขานุการโคซิโอให้เรียกลูกทีมมาประชุม

สิทธิเดชพร้อมภรรยาปิดบ้าน เปิดสัญญาณรักษาความปลอดภัยรอบบ้าน ทุกคนเดินทางมาโรงแรมอิมพีเรียลเพื่อพบบัญชา สนธิกลินท์ที่ได้เรียกอธิบดีกรมตำรวจและพลโทเผด็จ การศึกมาด้วย

เป็นการประชุมร่วม เต็มคณะมีไคล์ฟ คอร์วินจากหน่วยสืบราชการลับมอสสาดอยู่ในที่ประชุมด้วย

สิทธิเดชเล่าให้ฟังว่าเขาไปงานแต่งงานลูกสาวเพื่อนตั้งแต่เย็นที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ดูแลปิดบ้านเปิดระบบเตือนสัญญาณไฟและอุปกรณ์กล้องวงจรปิดปล่อยสุนัขดูแลทุกอย่างครบถ้วนแล้วจึงออกจากบ้านไปงานและรับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวเจ้าภาพ

"ผมกับภรรยากลับมาบ้านประมาณ 5 ทุ่มเศษ เปิดประตูหน้า เข้ามาข้างในบ้าน ตามปรกติ ประตูล็อคอยู่ ห้องก็เรียบร้อย ผิดสังเกตตรงที่ หนังสือรายการทีวี ผมทิ้งไว้ ไม่ได้เก็บ มีคนเก็บไปวางให้ ผิดวิสัย ผมเอะใจ รู้เลย มีคนเข้าบ้าน ดูที่ห้องหนังสือ เปิดเซฟ กล่องเหล็กใส่เหรียญหายไป กล่องไม่เล็กนะครับ ขนาดหนังสือกระดาษ เอสี่(A4)"

ไคล์ฟ คอร์วินกล่าวว่าโดยปรกติ เขามาตรวจบ้าน วันเว้นวัน บางสัปดาห์มาเกือบทุกวันไม่ต้องการให้สุนัขคุ้นเคย และไม่เคยพบสิ่งผิดปรกติ

"คิดว่าพวกที่เข้ามาเป็นหน่วยคอมมานโด มีจุดมุ่งหมายเดียว จำเพาะเอาเหรียญเดวิด เบน-กูเรียน จารชนพวกนี้ พูดให้แคบลงมา น่าจะเป็นคอมมานโดอิหร่านที่กำลังพัฒนาจรวดต้องการมีระบบสัญญาณนำร่องใส่หัวรบเพื่อเล็งเป้าที่แม่นยำ แต่ เรายังชัดเจนอะไรไม่ได้

การโจมตีบ้านท่านสิทธิเดช มีการวางแผนรัดกุม แม้แต่สุนัขก็ไม่ฆ่าแต่ใช้ลูกดอกยาสลบแถมยังให้อาหารสุนัขเมื่อฟื้นไว้ด้วยซึ่งแปลกมาก"

พลโทเผด็จ ขอร้องทุกคนว่าให้ปิดข่าวอย่าได้ให้ใครรู้เพราะจะทำให้มีการไหวตัว เนื่องจากเวลานี้ทางอธิบดีกรมตำรวจสั่งการไปแล้วว่าให้มีการตรวจตราทุกด่านเข้าออกว่ามีหลบหนีเข้าออกต่างชาติโดยเฉพาะจากตะวันออกกลางให้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีคนต้องสงสัยขอให้แจ้งให้ทราบทันที

พลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์ให้ความเห็นว่าพวกจารชนใช้เวลาเพียง 20 กว่านาทีปฏิบัติการดังนั้นเป็นไปได้ที่จะต้องเตรียมการหลบหนีออกนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว

หลังการตรวจสอบไม่นานจึงมีรายงานจากหอวิทยุการบินที่ท่าอากาศยานดอนเมืองแจ้งว่าเมื่อเวลา 5 ทุ่ม 15 นาที เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็ก 12 ที่นั่ง จองเวลาทำการบินไว้ล่วงหน้าได้เดินทางออกจากสนามบินผ่านทางนครร่างกุ้งประเทศพม่าแล้ว

"พม่าเป็นแค่จุดผ่าน เครื่องบินบินไปที่อื่น" ไคล์ฟเชื่อเช่นนั้น

                                               ..........................................

หลังจากทำงานในหน้าที่อธิบดีกรมตำรวจได้พักหนึ่งเมื่อมีเหตุยุ่งๆ จึงไม่มีเวลาจัดงานต้อนรับพลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์อย่างเป็นทางการ พวกผู้ใหญ่ผู้บังคับบัญชาโคซิโอเห็นควรว่าน่าจะถึงเวลาทำความรู้จักอธิบดีคนใหม่อย่างเป็นทางการเสียที

พลตำรวจเอกปาว์ สรสินธุ์เป็นบุตรนายปอนด์ สรสินธุ์กับคุณหญิงสิณี พลเอกเปาว์สมรสกับ 

ม.ร.ว.กนกอร เกษมพัฒน์ มีลูกชายนายปรเมทร์ และลูกสาวบัณฑกาทั้งสองคนเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกา พลเอกเปาว์ จบการศึกษาชั้นมัธยมต้นจากโรงเรียนภปร.ราชวิทย์และมัธยมชั้นสูงจาก 

วิลบราแฮม อคาเดมี ประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาต่อปริญญาตรีด้านชีววิทยาจบปี 2499 จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา และปริญญาโทด้านอาชญาวิทยามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและสำเร็จการศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รับราชการประจำกองวิทยาการกรมตำรวจ ต่อมาอยู่กองพิสูจน์หลักฐานเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและเป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสติด(ปปส.) เป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และได้เป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจระยะหนึ่งเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจและอธิบดีกรมตำรวจ และเป็นผู้บริหารโคซิโอซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองทำราชการลับ 

พลตำรวจเอกเปาว์กล่าวว่าเมื่อคราวเลี้ยงอำลาอดีตอธิบดีเกรียงไกร และต้อนรับท่านไปครั้งหนึ่ง บัดนี้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะสถานการณ์ในต่างประเทศ เช่นสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในบ้านเรามีรัฐประหาร การสังหารเจ้าพ่อซึ่งเขย่าขวัญวงการอาชญากรรม

แม้เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเราโดยตรง แต่ในอนาคตเราคงหลีกหนีที่จะเข้าไปเกี่ยวกับสถานการณ์โลกไม่พ้นโดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจและพื้นที่ความขัดแย้งที่อาจขยายวงมาถึงภูมิภาคเอเซีย

"ผมคิดว่าโคซิโอต้องเตรียมพร้อมในการหาข่าวกรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น พันธมิตรของไทยเริ่มเรียนรู้ที่จะรู้จักเรามากขึ้น หน่วยสืบราชการลับต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจนกล่าวได้ว่าเราเป็นศูนย์กลางของข่าวกรองในภูมิภาคนี้แล้วทั้งข่าวกรองการเมืองและการทหาร"

"ผมอยากขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายว่าในอนาคต การจารกรรมเพื่อหาข้อมูลจะเพิ่มมากขึ้น การทำงานข่าวกรองต้องใช้เทคนิคสูงขึ้น การใช้คนเป็นแหล่งข่าวอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ สมัยนี้เป็นยุคอิเล็คทรอนิคส์ความสำคัญของเทคโนโลยีมีมาก และงานสายลับต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น สร้างเครือข่ายให้พัฒนามีระบบดีขึ้น"

เพื่อตอบสนองข้อเสนอของอธิบดีกรมตำรวจ โคซิโอใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวปรึกษากับปีเตอร์ ชุงเรื่องระบบอิเล็คทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์ล่าสุด

ปีเตอร์ ชุง บินมากรุงเทพโดยมากับทีมงานเพื่อวิเคราะห์ความต้องการในการใช้งาน

"เราต้องการเก็บข้อมูลบุคคลซึ่งบันทึกและอัพเดทอัตโนมัติได้ตลอดเวลา นอกจากนั้นเราทำรายงานสรุปสถานการณ์ตามหัวข้อต่างๆ 4 ข้อใหญ่ๆ ทุกสัปดาห์ เราต้องเรียกมาอ่านย้อนหลังและใส่เพิ่มเติมเข้าไปใหม่ได้ตามหัวข้อได้ทุกสัปดาห์ และสั่งพิมพ์ออกมาได้ทันที แต่ละหัวข้อให้จัดเป็นไฟล์โดยอัตโนมัติ"     พิมราอธิบายให้ทีมงานปีเตอร์ ชุงรับฟังเพื่อใช้ไปเขียนโปรแกรมใช้งาน

อธิบดีกรมตำรวจแวะเวียนมาดูและทำความเข้าใจกับระบบบอกว่าถ้าโปรแกรมใช้ได้ดีจะนำไปใช้ในกรมตำรวจด้วย 

                                   ............................................

ปีเตอร์ ชุงแวะมากรุงเทพฯ เที่ยวนี้มีข่าวดีมาบอกเพื่อนๆ ว่าภรรยาเขาท้องแรกแล้วและลูกคนแรกเขาจะเป็นผู้ชาย

เขาคิดค่าติดตั้งอุปกรณ์และค่าคอมพิวเตอร์สำหรับทีมงานทั้ง 5 คนรวมทั้งตัวระบบฐานข้อมูลเครือข่ายในราคามิตรภาพ

ปีเตอร์ ชุงบินกลับสำนักงานใหญ่พร้อมของขวัญจำนวนมากจากคุณลุงคุณป้า ต้อนรับลูกชายที่กำลังจะเกิดมา

ตุลย์และศิริเดชรับทราบจากปีเตอร์ ชุง ว่าโรงงานและบริษัทขนาดเล็กกระทัดรัดประกอบคอมพิวเตอร์ที่เมืองโอ๊คแลนด์ของปีเตอร์นั้นประสบความสำเร็จจนขยายเป็นอุตสาหกรรมใช้คนงานประกอบจำนวนมากถึง 20 คน คอมพิวเตอร์มียี่ห้อ ซีเคยู (CKU)ของเขาขายดีมากทั่วนิวซีแลนด์

"ผมใช้หน่วยความจำและฮาร์ดดิสก์ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยไม่ใช่จากไต้หวัน เดี๋ยวนี้ของคุณภาพจากไทยใช้ได้ดีแล้ว บริษัทผมรับประกันซ่อมฟรีทุกเครื่องเป็นเวลาหนึ่งปี ขายถูกกว่ายี่ห้อจากประเทศอื่น ของเราถือว่าประกอบและผลิตในนิวซีแลนด์

ก้อยทำงานในฝ่ายบัญชีให้เธอช่วยดูแลพวกฝ่ายขายด้วย เธอมีชีวิตที่สบายแล้ว ลูกเธอเป็นเด็ก

กีวี

โตขึ้นสวยน่ารักกำลังเป็นทีนเอจ"

คิมติดต่อมาล่าสุดก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวก้อยเพิ่มเติมว่าแม่ของก้อยอยู่นิวซีแลนด์เริ่มปรับตัวได้ดี ติดรถลูกสาวไปทำงานหลังส่งรินนาที่สำนักงาน เธอใช้รถไปซื้อของตามซุปเปอร์มาร์เก็ตหาผักและเนื้อสัตว์เก็บเข้าตู้เย็นอาทิตย์ละครั้งเพื่อทำอาหารให้ลูกและหลาน

แม่ก้อยใช้เวลาว่างจัดบ้านและทำสวนดอกไม้ในพื้นที่หน้าแฟลตเมื่อมีเวลาว่างเธอก็ดูรายการโทรทัศน์หรือดูละครไทยจากวีดีโอเทปเป็นชุด ทางเมืองไทยส่งมาให้ทางเมล์อากาศมีหลายเรื่องให้ดูแก้เหงา

หลานโตขึ้นทุกวัน บางครั้งก็สื่อสารกับเธอไม่รู้เรื่องเวลาถูกดุ หลานก็โต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษทำให้สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง

ก้อยเองไม่ค่อยเอาใจใส่ลูก เห็นว่าโตแล้ว ให้ช่วยตัวเอง เด็กเริ่มมีปัญหากับทางบ้าน

โชคดีที่ลูกเรียนหนังสือได้ดี ปัญหาเรื่องภาษาไม่เป็นอุปสรรค

คิมเห็นว่าครอบครัวนี้ปรับตัวเข้ากับประเทศนิวซีแลนด์ได้ดีแล้วก็ คอยดูแลห่างๆ 2 เดือนไปดูครั้งหนึ่งไม่ถือว่าห่างเหินกัน

ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับสามีก้อย เขาติดยาเสพติด ติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาด เข้าคุกออกคุกเป็นว่าเล่นและติดการพนัน เป็นหนี้เพื่อนๆ ไม่ยอมใช้

ข่าวจากลำปางรายงานโดยเพื่อนแม่นานๆ ครั้งไม่ทำให้ก้อยรู้สึกสงสารหรือนึกถึงชีวิตในอดีตที่ผ่านมาอีกเลย

ทุกวันนี้นิวซีแลนด์เป็นบ้านของเธอ

ชีวิตใหม่และการเริ่มต้นอีกครั้งเพื่อลูกและแม่

                                   ................................................

 

 พวกเขากลับมาก็ได้มีการประเมินสถานการณ์สถานะทางการเมืองกันใหม่ เหตุการณ์ที่ผ่านมานับตั้งแต่รสช. พยายามสร้างพรรคการเมืองตัวแทน สามัคคีธรรได้จัดตั้งเป็นรัฐบาลมีส.ส. 79 คน มีพรรคที่เข้าร่วมคือพรรคชาติไทมีส.ส. 74 คน พรรคกิจสังคมมีส.ส. 31 คน พรรคประชากรไทมีส.ส 

7 คน และพรรคราษฎร 4 คน ตั้งรัฐบาล 195 เสียง 

หลังจากไม่สามารถตั้งนายณรงค์ วงศ์วรรณเป็นนายกรัฐมนตรีได้

ต่อมาจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พลเอกสุจินด ปราประยูรซึ่งลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของประเทศไทย 

วันที่ 8-20 เมษายน เป็นจุดเริ่มต้นของการประท้วง "ผมเสียสละเพื่อชาติ" ซึ่งเป็นวลีอมตะทั้งหลั่งน้ำตาของพลเอกสุจินดในการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

คนที่ประท้วงคือร.ต.ฉลา ฉัตร เริ่มต่อต้านด้วยการอดอาหารที่หน้ารัฐสภา

นอกจากนั้นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาลทุกพรรคได้จับมือกันประกาศคัดค้านการสืบทอดอำนาจของเผด็จการรสช. และคัดค้านรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

"ทีมงานโคซิโอเอกรินทร์, ตุลย์, ศิริเดช, สหชาติรวมทั้งพิมราช่วยกันประสานงานลับๆ กับหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านให้ทำทุกวิถีทางเพื่อรวมพลังกันเป็นปึกแผ่นต่อสู้กับเผด็จการ

"ครั้งนี้มีความมั่นคงของประชาธิปไตยเป็นเดิมพัน”

“ราชการลับ” ทำเพื่อประชาธิปไตยสักครั้งเป็นที่ตกลงกันในสมาชิกโคซิโอ

วันที่ 4-13 พฤษภาคม 2535 พลตรีจำลอง ศรีเมืองอดีตจปร. รุ่น 7 ฝ่ายตรงข้ามกับรุ่น 5 ประกาศอดอาหารที่หน้าอาคารรัฐสภา พร้อมตายใน 7 วัน หากพลเอกสุจินดาไม่ยอมลาออกมีคนมาประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ

"คนเหล่านี้มาเพราะบารมีและชอบคุณจำลองเป็นการส่วนตัว นอกนั้นไม่เชื่อในคำพูดของพลเอก จินดาว่าเสียสละเพื่อชาติ"  สหชาติพูดจากประสบการณ์หลังจากไปอยู่ในขบวนการผู้ชุมนุมมาหลายชั่วโมง

"ทหารหลายหน่วยเริ่มถอยแล้ว ไม่เอาด้วยกับจินดา" ศิริเดชรายงานหลังจากไปสืบจากพื้นที่กรมกองทหาร 1-3 หน่วย 

"คนชุมนุมเป็นพวกชนชั้นกลาง ทั้งระดับบน ระดับกลางและล่าง ส่วนใหญ่เป็นคนมีการศึกษาผ่านมหาวิทยาลัยทั้งในและนอกประเทศ ใช้วิธีเย็นถึงค่ำมาชุมนุมย่ำรุ่งกลับบ้าน เกือบทุกคนใช้โทรศัพท์มือถือส่งข่าวถึงเพื่อนๆ และถึงบ้าน พวกนี้เรียกกันเองว่า "ม๊อบมือถือ" ครับ สหชาติตั้งข้อสังเกต

วันที่ 17 พฤษภาคม ประชาชนรวมตัวกัน 3-4 แสนคนเคลื่อนตัวรวมทั้งมีทีมงานโคซีโอไปร่วมเป็นแกนนำคอยชี้นำเบียดเสียดยัดเยียดกันสู่ถนนไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อรอคำตอบจากพลเอกสุจินดา

แต่นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว ยังเผชิญหน้ากับกำแพงตำรวจนับพันรายพร้อมโล่ ไม้กระบองที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โคซีโอขอร้องให้ตำรวจอย่าทำร้ายประชาชนและหันกลับไปสู้กับพลเอกสุจินดาที่ทหารเลิกสนับสนุนแล้ว 

"ผมสั่งกำชับเด็ดขาดไม่ให้ปะทะใช้ความรุนแรงเด็ดขาด" พลตำรวจเอกเปาว์บอกกับลูกทีมในทีมเมื่อเหตุการณ์ส่อวิกฤติ

“รู้นะว่าพวกคุณอยู่ฝ่ายม๊อบ” พลตำรวจเอกเปาว์พูดออกมาตรงๆกับทีมงานโคซิโอของท่าน

แต่การปะทะก็เกิดขึ้นจนได้ เริ่มครั้งแรกเวลา 21.20น. เมื่อฝูงชนกลุ่มแรกตะโกน "เหี้ยสุ! เหี้ยสุ!" ด่าพลเอกจินดาพยายามฝ่าแนวกั้นโดยใช้ไม้กระแทกสิ่งกีดขวาง และอาศัยกระดาษหนังสือพิมพ์หรือเศษผ้าเท่าที่จะหาได้ บ้างก็ใช้มือเปล่าดึงลวดหนาม เจ้าหน้าที่ดับเพลิงฉีดน้ำสกัดฝูงชนส่ายหัวฉีดไปมาใส่ผู้มาชุมนุม ประชาชนสู้ด้วยการปาก้อนหินขวดน้ำมันจุดไฟเข้าใส่เจ้าหน้าที่มีคนบาดเจ็บหลายร้อยคน

ประมาณเวลา 23.00น. มีกลุ่มชนไม่ทราบฝ่ายเข้าไปยึดสถานีตำรวจดับเพลิงภูเขาทอง บางส่วนก็ไปเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง

พลตรีจำลองจึงประกาศต่อที่ชุมนุมทันทีว่าเป็นฝีมือของมือที่สามหวังก่อสถานการณ์ สร้างความชอบธรรมในการปราบปรามประชาชน

"มาอีกแล้ว "มือที่สาม" ฉันว่ามันก็พวกก่อความรุนแรงนั่นแหละค่ะ" พิมราให้ความเห็นตามที่เธอเชื่อ

                                   ........................................พลเอกจินดาโดยรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ห้ามชุมนุมมั่วสุมกันเกิน 10 คนขึ้นไป พร้อมส่งกำลังทหาร 2,000 นายและตำรวจ 1,500 นาย เคลื่อนเข้าสลายผู้ชุมนุม

///แผ่นที่236

ทีมงานโคซิโอมารวมตัวกันที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศในเวลานัดหมาย 9.30น. วันที่ 18 พฤษภาคม

"ถ้าลองประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแถมใช้ทหารรุกอย่างนี้ด้วยผมว่ารัฐบาลไปไม่รอด คนล้มตายแน่ๆ จินดาแพ้แน่นอนเชื่อได้เลย เสียดายคนไม่จำบทเรียนประวัติศาสตร์" ตุลย์ชี้ชะตากรรมและชะตาขาดของพลเอกจินดา

"ผมเห็นด้วย เราจะบอกผู้ชุมนุมดีไหม" เอกรินทร์ดูออกจะกระตือรือร้นไปหน่อย

ตำรวจและทหารสามารถยึดสะพานผ่านฟ้าไว้ได้ พลตรีจำลองยอมให้จับแต่โดยดี

แต่แม้จะจับแกนนำอย่างพลตรีจำลองได้เสียงตะโกนด่า "เหี้ยสุ...! เหี้ยสุ...!" ประนามพลเอกจินดาก็ยังคงดังสนั่นทั่วท้องถนน ประชาชนยังคงเคลื่อนตัวเข้าปะทะกับกำลังทหารบริเวณหน้ากรมประชาสัมพันธ์ มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากจากปืนที่ใช้กระสุนจริง

ฝูงชนทนไม่ไหวบุกเข้าเผากรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานสลากกินแบ่งและกรมสรรพากร

ขณะเดียวกันมีกลุ่มก่อตั้งรถจักรยานยนต์วิ่งไปตามถนนทั่วกรุงเทพฯ เป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 60 ถึง 70 คันทำลายไฟจราจรและทรัพย์สินราชการเป็นการแก้แค้นเพื่อนๆ ที่เสียชีวิตบริเวณถนนราชดำเนิน

ฝ่ายรัฐบาลจัดทีมไล่ล่าแบ่งกำลังเป็นหลายทีม

เกิดสงครามกลางเมืองในกรุงเทพฯ หลายจุด

ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกลูกหลงเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ

ศพจำนวนมากถูกทหารตำรวจขนออกจากโรงแรมบริเวณถนนราชดำเนิน

ไม่มีใครรู้เห็นว่าศพเหล่านั้นเคลื่อนย้ายไปทิ้งหรืออยู่ที่ไหน

สื่อมวลชนเรียกเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ว่า "พฤษภาทมิฬ" วันที่ 20 พฤษภาคม โทรทัศน์อสมท. ช่อง 9 แพร่ภาพสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสให้สัมภาษณ์ที่ประเทศฝรั่งเศสว่า

"การฆ่ากันหรือทำรุนแรงเป็นสิ่งไม่ดี การเสียทรัพย์สินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคน อยากให้เลิกฆ่าฟัน เลิกรุนแรง เพราะว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน"………………………………………..

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว