เสียงเคาะประตู
0
ตอน
8.85K
เข้าชม
94
ถูกใจ
2
ความคิดเห็น
2
เพิ่มลงคลัง

            ก๊อก… ก๊อก…

แทบในทันทีที่สิ้นเสียงเคาะประตู บานประตูไม้สีขาวก็ถูกกระชากเปิดออกในทันที ผมถึงกับตกในจนผงะถอย ผลงานการเปิดประตูอันแสนฉับไวนั้นเป็นของน้าชายของผมนั่นเอง

ผมที่เพิ่งหายตกใจยกมือขึ้นไหว้กล่าวสวัสดีกับน้าชาย ที่เชื้อเชิญให้ผมเข้าไปในห้องคอนโดของเขาเอง

ที่ผมมาหาน้าชายของผมที่นี่ก็เพราะว่า เมื่อสองวันก่อนน้าชายโทรศัพท์มาหาผม บอกว่าให้ช่วยมานอนเฝ้าห้องบนคอนโดชั้น 9 ของเขา เนื่องจากน้าชายจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลาเจ็ดวัน

ซึ่งในตอนแรกที่น้าชายโทรมาแจ้งกับผมเช่นนั้น ผมเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ เพราะว่าโดยปรกติน้าชายของผมคนนี้ก็มีความจำเป็นต้องเดินทางไปมาต่างประเทศอยู่เป็นประจำอยู่แล้วด้วยหน้าที่การงานของเขา แล้วในเวลาเช่นนั้นน้าชายก็จะปิดห้องพักเอาไว้เฉยๆ โดยไม่เคยต้องเรียกให้ผม หรือใครมาเฝ้า

แต่แล้วน้าชายก็ให้เหตุผลว่า แกไปซื้อปลาหมอสีราคาแพงลิบลิ่วมาเลี้ยงไว้ แล้วกลัวว่ามันจะตายตอนที่แกไม่อยู่ งานนี้หน้าที่คนเลี้ยงปลาก็จึงตกเป็นของไอ้หลานชายที่ใช้ชีวิตว่างเปล่าในช่วงปิดเทมออยู่อย่างผม

ผมเองก็เคยมาเที่ยวเล่นที่ห้องพักของน้าชายเองบ่อยครั้ง คอนโดของน้าอยู่ไม่ไกลจากหอพักข้างมหาวิทยาลัยของผมเท่าไหร่ จัดได้ว่าเป็นคอนโดที่ดูดีหรูหราในระดับหนึ่ง

ด้วยน้าชายเป็นหนุ่มโสด แถมยังเป็นคนชอบเล่นเกมส์เป็นชีวิตจิตใจ งานนี้ห้องของน้าชายจึงมีทั้งโทรทัศน์สมาททีวีหน้าจอ 32 นิ้ว เครื่องเสียงสเตอริโอคุณภาพไฮคิวครบชุด เครื่องเล่นเกมส์ Play Station 4 เครื่อง Nintendo WII และคอมพิวเตอร์เกมส์เมอร์ที่สเปคแรงสุดๆ การได้มาเฝ้าห้องของน้าชายเช่นนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการขึ้นสวรรค์แบบชั่วคราวของผมเลยทีเดียว  แถมยังได้เงินใช้อีกด้วย

มันจะมีอะไรดีไปกว่านี้เล่า

….

ผมนั่งสบายอารมณ์พลางดื่มน้ำอัดลมอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องคอนโดของน้าชายที่รกรุงรังตามแบบฉบับของหนุ่มโสด แม้จะดูไร้ระเบียบเรียบร้อย แต่ชีวิตแบบน้าชายนี่ล่ะเป็นไอดอลของผมเลยทีเดียว

“ตามสบายนะกร น้าต้องขอรบกวนเราหน่อย” น้าชายพูดด้วยท่าทีราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต ขณะที่กำลังเอาขนมของว่างขนมากองให้ผมกิน ดูเหมือนแกจะเกรงใจผมเอามากๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วผมอยากจะบอกขอบคุณน้าชายเสียมากกว่า

“สบู่ทำฟองอยู่ใต้อ่างล้างหน้านะ อยากแช่อ่างอาบน้ำก็แช่ได้เลย อาหารในตู้เย็นก็กินได้ทั้งหมดเลยนะ น้ามีไวน์เหลืออยู่สองขวด ถ้าอยากจะดื่มก็เอาออกมาได้เลย คอมพิวเตอร์ของน้าก็เล่นได้ตามสบายเลยนะ แต่ออกไปไหนก็อย่าลืมปิดไฟซะล่ะเดี่ยวไฟไหม้บ้านเอา แล้วส่วนค่าใช้จ่ายกับค้าจ้างน้าใส่ไว้ในซองนี่นะ” น้าชายพูดอธิบายเสียยืดยาวรากับว่าจะยกห้องนี้ให้ผมอยู่ตลอดไปเช่นนั้น พร้อมกับยื่นเงินห้าพันบาทให้ในซองมาให้กับผม

“แล้วก็อย่าลืมให้อาหารปลาด้วยนะ น้าก็แบบนี้ล่ะ เวลาตัวเองก็ไม่ค่อยจะมี ยังมีหน้าไปซื้อปลาแพงๆ พวกนี้มาเลี้ยงอีก แต่หน้าตามันก็ตลกดีนะ ดูแล้วอารมณ์ดีขึ้นมาเลยล่ะ” น้าชายสั่งการ พร้อมชื่นชมเจ้าปลากหมอสีหัวโปนเหมือนไปโขกกับอะไรมา สำหรับผมแล้วผมว่าหน้าของพวกมันออกจะกวนประสาทซะมากกว่า

นอกจากนั้นน้าชายยังจัดแจง อธิบายโน่นนี่นั่น กับผมอีกหลายอย่าง จนผมต้องตอบรับนับครั้งไม่ถ้วน น้าชายของผมคนนี้เป็นประเภทเล่นใหญ่ โอเว่อร์ไปซะทุกเรื่องแบบสุดๆ มิน่าถึงยังหาแฟนกับคนอื่นเขาไม่ได้สักที

“เฮ้ย จะสายแล้ว เดี่ยวน้าต้องรีบไปแล้วนะเดี่ยวตกเครื่อง” น้าชายพูดพร้อมลากกระเป๋าล้อเลื่อนสองใบด้วยท่าทางวุ่นวายเกินจริงออกไปจากห้อง

ผมตามออกไปยืนส่งน้าชายเสมือนตนเองเป็นเจ้าของห้องคอนโดแห่งนี้ ก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูแล้วหมุนตัวเดินกลับ

พรวด!!!

วินาทีนั้นเองบานประตูก็ถูกกระชากผลักเข้ามาอย่างรุนแรง ผมถึงกับร้องเหวอเสียงลั่น แน่นอนไม่ใช่ฝีมือใคร น้าชายจอมเว่อร์ของผมนั่นเอง

“เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย กร ขอโทษที” น้าชายพูดเสียงลั่น ผมถึงกับเหงื่อตกด้วยความตกใจ

“อ้าวน้ามีอะไรหรอครับ ลืมของหรอ” ผมถามทั้งที่หัวใจยังเต้นรัวพรึ่บพั่บเป็นจังหวะสามช่า น้าชายของผมคนนี้นอกจากจะเป็นจอมโอเว่อร์แล้ว คงจะเป็นแชมป์ด้านการสร้างความตกใจให้คนอื่นอย่างแน่นอน

“คือ น้ามีเรื่องสำคัญมากลืมบอก เรื่องนี้กรห้ามลืมเป็นอันขาด” สีหน้าของน้าดูจริงจังขึ้นกว่าเดิมที่ดูจริงจังมากอยู่แล้ว

“เรื่องอะไรหรอครับน้า”

“นี่กร กรอยู่ที่ห้องของน้านี่ ถ้ากรได้ยินเสียงเคาะประตูล่ะก็ ต้องรีบมาเปิดประตูทุกครั้งเลยนะ ห้ามลืมเป็นอันขาดนะ” น้าสั่ง

“อ่ะ!  เสียงเคาะประตูหรอครับ” ผมเริ่มรู้สึกสับสน

“ใช่แล้ว เวลามีคนมาเคาะประตูต้องเปิดประตูทุกครั้ง ห้ามไม่เปิดเป็นอันขาด”

“แล้วจะมีใครมาเคาะประตูหรอครับ แล้วทำไมต้องเปิดทุกครั้งด้วย” ผมถามด้วยความสงสัยแบบสุดๆ ทว่าน้าชายกลับแสดงสีหน้าไม่อยากตอบคำถามออกมาอย่างชัดเจน

“เอาน่า เอาเป็นว่าทำตามที่น้าบอกก็แล้วกัน น้าต้องไปแล้วเดี่ยวตกเครื่อง อย่าลืมนะ” น้าชายทำหน้าตาจริงจังเข้าไปอีก

“ครับๆ” ผมได้แต่พยักหน้ารับทั้งที่ยังสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามน้าชายต่อไปอีก

“โอเคมีอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาน้าล่ะ” น้าชายกำชับก่อนจะวิ่งปราดหายไปพร้อมกระเป๋าเดินทางสองใบเหมือนตัวการ์ตูนวอลดิสนี่

…มีอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาน้าล่ะ

…เวลามีคนมาเคาะประตูต้องเปิดประตูทุกครั้ง ห้ามไม่เปิดเป็นอันขาด

…อะไรกันนะ สำคัญขนาดนั้นเชียวหรอ

สุดท้ายผมทำได้แค่กลับมานอนอย่างไม่สบายในอารมณ์บนโซฟา พลางดูหนังผ่านหน้าจอ 32 นิ้ว ของเครื่องโทรทัศน์ แต่แล้วด้วยความสับสนก็ยิ่งทำให้ดูไม่รู้เรื่อง ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้น้าชายสักหน่อย จะได้ดูว่าเป็นการมาดูแลบ้านอย่างจริงๆ จังๆ เสียบ้าง

คำสั่งแปลกๆ ท่าทางของน้าชายก็ดูแปลกๆ

….

จนราวๆ หกโมงครึ่ง ผมนั่งรับประทานอาหารเย็นอย่างสบายใจอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงเพราะๆ จากเครื่องเสียงชั้นดี ผมอยู่ห้องของน้ามาได้ราวๆ เก้าชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครมาเคาะประตูเรียกอย่างที่น้าชายว่า

ก๊อก… ก๊อก…

เสียงเคาะประตูครั้งแรกดังขึ้นขณะที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาราวๆ สามทุ่มเห็นจะได้

ผมรู้สึกตกใจ และหวาดระแวงเล็กน้อย แต่อีกใจก็รู้สึกเหมือนรอคอยเหตุการณ์นี้อยู่ เช่นนั้นผมจึงรีบนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาโดยลืมความสุภาพไปสนิท ขณะที่เสียงเคาะประตูสองครั้งดังขึ้นอีกรอบ

ก๊อก… ก๊อก…

เสียงเคาะดังเพิ่มขึ้นคล้ายกับการเร่งเร้า ผมส่งเสียงตะโกนบอกให้ผู้เคาะรอสักครู่ พลางวิ่งตัวเปียกไปหน้าประตูสีขาว

มือของผมจับอยู่ที่ลูกบิดประตู ตอนนี้ผมรู่สึกหวาดเสียวจนขนลุกซู่ ใจเต้นตึกตักอีกครั้ง เหงื่อไหลชุ่มฝ่ามือ แล้วลังเลว่าผมสมควรจะเปิดประตูนี้จริงๆหรือ

ก๊อก… ก๊อก…

เสี้ยววินาทีที่จิตใจของผมเหม่อด้วยความลังเล เสียงเคาะประตุก็ดังขึ้นข้างๆ หูของผม ผมสะดุ้งเฮือก ดึงมือเปิดประตูออกโดยไม่ตั้งใจ ผมคิดว่าตัวเองหลับตาปี๋ แต่กลับเห็นภาพทุกอย่างเบื้องหน้าอย่างชัดเจน

นั่นมัน….

ผนังสีขาว กับกระเบื้องทางเดินสีน้ำตาลอ่อน จริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าของผมคือความว่างเปล่า

ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะทำใจยื่นหน้าออกไปมองซ้ายขวาซึ่งก็ไม่ปรากฏตัวตนของเจ้าของเสียงเคาะประตูแต่อย่างไร วินาทีนั้นสมองของผมก็คิดเตลิดไปถึงเรื่องภูตผีแบบที่เคยได้ยินใครต่อใครเล่าต่อกันมาทันที

เคยได้ยินกันมาบ้างไหมเรื่อง ป๊อก ป๊อก ครืด ที่ว่าเพื่อนออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยแล้วโดนรถทับ แต่ยังกลับมาเคาะประตูเพื่อนเพื่อเอาก๋วยเตี๋ยวมาให้

ผมรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองถอยกลับมาอยู่หน้าห้องน้ำเสียแล้ว ประตูห้องก็ปิดไปตอนไหนไม่แน่ใจ คืนนี้ของผมชักไม่สนุกเสียแล้ว

ผมรีบเปิดเพลงเสียงดังกลบความเงียบในห้อง ไฟในห้องมีเท่าไรผมเปิดมันหมด แม้กระทั่งโคมไฟ ยังเว้นไว้แต่ไฟฉายสองอันที่หัวเตียงเท่านั้น ผมลองมองหาพระพุทธรูป หรือพระเครื่องสักองค์ในห้องของน้าแต่กลับไม่เห็นมี

…เวลามีคนมาเคาะประตูต้องเปิดประตูทุกครั้ง คำสั่งแปลกๆ ของน้าชายเล่นงานผมซะแล้ว

ในที่สุดคืนนี้ผมจึงต้องนอนเปิดไฟท่ามกลางเสียงเพลงดังลั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต

คืนแรกของผมในห้องของน้าชายที่สว่างจ้าผ่านไปได้โดยไม่มีสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการไม่สดใสเนื่องจากการนอนระแวงทั้งคืน เพียงได้ยินเสียงอะไรกุกกัก ผมก็เป็นต้องสะดุ้งมองไปที่ประตูซะทุกครั้งไป

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันจัดการกับตนเองเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ตรงมาให้อาหารเจ้าปลาหมอสีสองตัว ผมเริ่มเกียจขี้หน้ากวนๆ กับหัวโปนๆ ของมันขึ้นมาตงิดๆ

 

“เพราะพวกแกสองตัวนั่นล่ะ ที่ทำให้ข้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ รู้ตัวไหมไอ้ปลาโง่” ผมเริ่มหาเรื่องกับปลา ในใจนึกขำตัวเองว่านี่เรากลัวจนเสียสติเพี้ยนไปแล้ว

ก๊อก… ก๊อก…

มันมาอีกแล้ว เอาแต่เช้าเลยนะ

เร็วกว่าที่สมองจะคิด ร่างกายของผมก็พุ่งด้วยความเร็วแสงตรงเข้าไปจับเข้าที่ลูกบิดประตูโดยอัตโนมัติ ก่อนจะกระชากบานประตูออกอย่างรวดเร็ว

พรึ่บ…

แน่นอน… ว่างเปล่า

ผมใจเต้นตูมตาม งานนี้ไม่ต้องสนใจแล้วว่าใครจะมาเคาะประตู ผมรีบหวดประตูปิดดังปัง ลืมนึกไปว่าป่านนี้คนที่อาศัยอยู่ในห้องรอบๆ คนตกใจตื่นมาสักการะบุพการีของผมกันทั้งชั้นแล้ว

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเมื่อวานทำไมน้าชายถึงได้เปิดประตูได้เร็วนัก

ผมรีบกดโทรศัพท์โทรหาน้าชายทันที แต่ดูเหมือนน้าชายจะยังไม่ถึงจุดหมาย หรือลืมเปิดโรมมิ่งไว้จึงติดต่อกันไม่ได้

ผมนั่งยองๆ ลงหน้าประตูอย่างหมดแรง ขืนเป็นเช่นนี้ผมแย่แน่

ก๊อก… ก๊อก…

เฮ้ย!!! อีกแล้ว

ผมพุ่งตัวขึ้นพรวดกระชากบานประตูสุดแรงเกิด ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏต่อสายตาจนผมแทบช็อคขาดใจ

นั่นมัน…

ผู้หญิงพนักงานจากร้านซักรีดยืนมองผมด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน

ผมที่เพิ่งหายจากอาการติดสตั๊น ทำได้เพียงรับถุงใส่เสื้อผ้าของน้ามาแล้วกล่าวขอโทษแบบอายๆ พอถามถึงค่าใช้จ่ายเธอก็แจ้งว่าน้าชายจ่ายเป็นแบบรายเดือนไว้แล้ว

ประตูปิดอีกครั้ง

ผมที่ถือถุงใส่เสื้อผ้าไว้ในมือ รู้สึกหมดเรี่ยวแรง

อะไรกันแน่ไอ้เสียงเคาะประตูนั่น

ผมตัดสินใจออกมาหาเพื่อน แล้วอยู่นอกบ้านจนดึก แต่ด้วยความห่วงว่าจะทำเจ้าปลาหมอสีราคาแพงของน้าชายตายจึงจำใจต้องกลับไปเฝ้าห้องของน้าชายอีกครั้ง

จะเกิดอีกไหมนะ…

ดูเหมือนเสียงเคาะประตูนั่นจะเกิดขึ้นกับห้องของน้าชายในแบบสุ่ม คืนที่สองของผมผ่านไปอย่างราบรื่น ปลาหมอสีหน้าโง่ยังมีชีวิตอยู่ดี เสียงเคาะประตูไม่ดังขึ้นอีกเลย แต่ดูเหมือนจะมีความผิดปรกติเล็กน้อยเกิดขึ้นในตอนที่ผมไม่อยู่บ้านเมื่อวาน

เครื่องเล่นเกมส์ Play Station 4 ถูกเปิดทิ้งไว้โดยไม่ได้มีการเปิดโทรทัศน์ ทั้งที่ตั้งแต่มาอยู่ผมยังไม่เคยได้จับมันเลย

“หรือเราจะเสียบปลั๊กผิดเอง” ผมคิด

วันนี้ผมอยู่ห้องของน้าชายทั้งวัน เล่นเกมส์บ้าง ดูหนังบ้าง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าผมใส่ Wind walk ไปเปิดประตูในทันที แล้วก็พบเพียงความว่างเปล่าเช่นเดิม

ผ่านไปครึ่งทาง เข้าสู่คืนวันที่สี่ อีกสามวันน้าชายจะกลับมา ผมเริ่มชินชากับการวิ่งไปเปิดประตูให้กับเสียงเคาะประตูปริศนานั่นโดยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่านี่ก็คงจะเป็นกิจกรรมยามว่างของน้าชายของผมไปเสียแล้ว แล้วตัวผมเองก็เช่นกัน

แต่เหมือนคืนที่ห้านี้ผมจะเจอแจ็คพอร์ต แถมด้วยโบนัสแบบจัดเต็ม เสียงเคาะประตูดังขึ้นถึงห้าครั้ง เล่นเอาผมถึงกับไม่เป็นอันต้องหลับนอน ผมที่โมโหด้วยความง่วงงุนถึงกับตะโกนด่าลั่นทางเดินของคอนโด แต่กลับไม่มีห้องไหนโผล่หน้าออกมาสรรเสริญผมกลับแต่อย่างใด

เช้าขึ้นผมจึงเริ่มคิดหาวิธีพิสูจน์ และยุติเหตุการณ์บ้าๆ นี้ด้วยการเรื่องาข้องมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นนี้ตามอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่ได้ความใดๆ จากนั้นผมก็เริ่มค้นห้องของน้าเพื่อหาว่าน้าอาจจะเคยมีคนรักที่ตายไปแล้วหรือแอบไปทำอะไรไม่ดีทิ้งไว้จนวิญญาณมาตามอาฆาต ผมจัดการตั้งสมมุติฐานไร้สาระต่างๆ นานา แบบที่พวกบรรดาหนังสยองขวัญนิยมนำมาเป็นปมประเด็ดกัน

แต่ดูเหมือนน้าชายของผมจะเป็นคนประเภทมีโลกส่วนตัวสูงมากๆ ไม่มีบันทึกลับอะไรในห้อง ไม่มีรูปหญิงสาวที่ดูเหมือนคนรักกัน ไม่มีกระทั่งท่าทางว่าจะไปทะเลาะเบาะแว้งกับใครได้ด้วยซ้ำ

แล้วดูเหมือนว่าถ้าเสียงเคาะประตูดังขึ้นตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้านจะเกิดเรื่องแปลกๆ เล็กๆ น้อยๆ ขึ้นในบ้าน

คืนที่หกผมจึงทดลองประเด็นดังกล่าวโดยการออกไปเที่ยงสถานบันเทิงกับกลุ่มเพื่อน ก่อนหน้าที่ผมจะออกจากห้องผมได้ถ่ายรูปทุกซอกทุกมุมของห้องไว้ชนิดที่ไม่มีทางพลาดไปสักจุดเดียว แล้วยังแอบตั้งกล้องถ่ายวีดิโอทิ้งไว้โดยถ่ายไปที่บานประตูด้วย

คืนนี้เราจะได้รู้กัน…

ผมกลับถึงห้องของน้าตอนเวลาเกือบๆ ตีสาม ในสภาพที่เมาเป๋แต่ยังพอที่จะควบคุมตัวเองได้บ้างเล็กน้อย กลับมาถึงผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วแทบจะหลับไปในทันที แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นในจังหวะที่สติของผมกำลังจะเดินทางเข้าสู่ภวังค์ของการหลับใหลพอดิบพอดี

ก๊อก… ก๊อก…

ผมกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยอัตโนมัติ ค่าความเมาในภายตัวหายไปครึ่งหนึ่ง รีบลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซไปจนชนกล้องวีดิโอที่วางถ่ายไว้จนล้มปลิว

ผมหกล้มเพราะเกี่ยวพันกับขาตั้งกล้อง ด้วยความเมาจนมือไม้ชาทำให้ไม่ทันระวังตัว ปลายคางของผมกระแทกกับพื้นห้องดังป๊อก ความรู้สึกมึนชาเหมือนโดนหมัดบัวขาวเสยเข้าที่ปลายคางแผ่นซ่าน บวกกับความเมา ทำให้อาจลุกขึ้นได้อีก

ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…

เสียงเคาะประตูดังถี่ก้องในโสตประสาทของผม แต่ตัวผมในขณะนั้นไม่สามารถลุกขยับตัวได้ ผมพยายามเงยหน้าขึ้นมองที่บานประตูสีขาวที่ถูกเคาะกระแทกกระทั้นจนสั่นไหว ภาพเบื้องหน้าที่ผมเห็นก่อนที่สติสัมปชัญญะของผมจะดับลงไป

นั่นมัน…

ผมตื่นขึ้นมาในช่วงเกือบห้าโมงเย็นของอีกวันหนึ่งเพราะแรงเขย่าตัวของน้าชาย ปลายคางยังรู้สึกเจ็บๆ อยู่ แต่เนื้อตัวปรกติปลอดภัยดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้าชายมองผมอย่างเป็นกังวล แล้วเริ่มถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ผมที่หน้าตาซีดเซียวเหมือนผีญี่ปุ่นเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้น้าชายฟัง น้าชายที่ชอบทำหน้าจริงจังเกินเหตุถึงกับหัวเราะจนต้องเอามือกดท้องไว้เพราะความแน่นแข็ง ผมที่ต้องต่อสู้กับเหตุการณ์สยดสยองรู้สึกโมโหน้าชายที่อาแต่หัวเราะเรื่องที่ผมเมาจนหกล้มสลบ

“นี่น้า มันไม่ใช่เรื่องตลกนะ ผมกลัวแทบตาย ไอ้เสียงเคาะประตูบ้าๆ นั่นมันอะไรกันน่ะครับ บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะ” ผมพูดเสียงดังใส่น้าชายด้วยความโกรธจัด

“เฮ้ย ใจเย็นไอ้หลายชาย น้าขอโทษด้วยนะที่ต้องให้แกมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่น้าแค่กลัวปลาน้าตายจริงๆ ไม่ได้คิดจะแกล้งแกเลยนะ แล้วไอ้เรื่องเสียงเคาะประตูนั่นน่ะจริงๆ มันไม่มีอะไรเลยนะ” หน้าชายของโทษผมด้วยใบหน้าที่กลับมาจริงจังอีกครั้ง

“มันจะไม่มีอะไรได้ไงน้า น้าบอกผมมาเลยนะว่ามันคืออะไร ผีใช่ไหมน้า” ผมซัก

“น้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ ว่าถ้าตอนที่น้าไม่อยู่บ้าน แล้วเกิดมีเสียงมาเคาะประตู ของในบ้านน้าก็จะย้ายที่บ้าน ถูกรื้อบ้าง แต่บางทีมาล้างจานให้ก็มีนะ ตอนแรกๆ น้าก็กลัวจนไม่กล้าอยู่ห้องเลย แต่จะทำอย่างไรได้ก็ซื้อห้องนี้มาแล้ว จะไม่อยู่ก็ไม่รู้จะอยู่ที่ไหน แถมพออยู่กับมันไปนานๆ ก็เริ่มจะชินซะแล้ว ส่วนเสียงเคาะประตูนั่นแค่ไปเปิดก็จะหยุดไปไม่เกิดอะไรเสียหายขึ้น ก็เลยไม่คิดกลัวหรืออยากพิสูจน์อะไร” น้าอธิบาย

“แล้วตอนแรกน้ารู้ได้ยังไงว่าต้องไปเปิดประตูก็พอ มันอาจจะเป็นซอมบี้โดนมากัดคอน้าก็ได้นี่” ผมยังโวยวายไม่เลิก

“ไอ้เรื่องนั้นไม่รู้หรอก จำไม่ได้แล้วว่าตอนแรกทำไมถึงกล้าเปิด แต่เคยว่าจะลองไม่เปิดดูเหมือนกันนะ” น้าพูด

“แล้วน้าเคยลองไหม” ผมถาม

“เคย” น้าทำหน้าจริงจัง

“เฮ้ย จริงสิน้าแล้วเป็นไง” ผมถามด้วยความตื่นเต้นจนใจเต้นระรัว

“ก็ถ้าไม่เปิดมันก็จะเคาะดังเรื่องๆ จนประตูแทบจะพังเลยล่ะ น่ากลัวมากๆ จนสุดท้ายน้าก็ทนไม่ไหววิ่งไปเปิดทุกที เลยไม่รู้ว่าถ้าไม่เปิดเลยจะเป็นยังไง” น้าพูดว่าน่ากลัวแต่กลับยิ้มด้วยความอายในความใจเสาะของตนเอง

“โธ่ ผมก็นึกว่าน้าจะแน่จริง” ผมเยาะเย้ยแกซ้ำ

“เฮ้ย ใครจะกล้าวะ ว่าแต่แกเถอะ ลงทุนตั้งกล้องพิสูจน์ แถมเมื่อคืนก็ไม่ได้เปิดประตูด้วยเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เจออะไรไหม” น้าถามเอาคืน

“เออใช่ กล้องผมถ่ายไว้นี่” ผมที่เพิ่งคิดขึ้นได้รีบวิ่งไปหยิบเอากล้องที่ล้มอยู่กับพื้นห้องขึ้นมา แต่ปลากฎว่ามันเปิดไม่ติดเสียแล้ว

หลังจากการไปเฝ้าห้องของน้าชายในวันนั้น ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ น้าชายตัดสินใจเอาปลาหมอสีสองตัวไปขายต่อทางอินเตอร์เน็ตเพราะกลัวมันจะต้องมาตายเพราะไม่มีใครดูแลตอนน้าชายไม่อยู่ แน่นอนว่าจ้างให้ผมก็ไม่ไปเฝ้าห้องของแกอีกเป็นครั้งที่สอง ส่วนกล้องวีดิโอผมเอาไปส่งร้านซ่อมจนสามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้ทั้งหมด แล้วตอนนี้ผมกำลังจะนำภาพที่ถูกบันทึกไว้นั้นมาดูเป็นครั้งแรก

ต้องบอกก่อนว่าในคืนวันนั้นที่ผมหกล้มคางฟาดพื้นจนสลบ ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือบานประตูที่ล็อคเอาไว้ถูกเปิดอ้าออกด้วยบางสิ่ง แต่แล้วผมก็สลบไปจนผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นอีก

ผมต่อเมมโมรี่การ์ดเข้ากับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค แล้วเปิดเปิดไฟล์วีดิโอที่ถูกบันทึกไว้ในคืนวันหกขึ้นมา

ภาพที่ถูกบันทึกไว้ปรากฏบนหน้าจอ เริ่มต้นที่ช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ภาพของกล้องถ่ายตรงไปที่บานประตูสีขาวในห้องของน้าชาย ภาพสั่นไหวเล็กน้อยขณะผมกำลังติดตั้งกล้องเข้ากับขาตั้ง สักพักก็ปรากฏภาพของผมเองที่เดินออกประตูนั้นไปโดยที่ยังเปิดไฟในห้องทิ้งเอาไว้อยู่

และแล้วเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที ในขณะนั้นผมเองอาจยังเดินไปไม่ถึงลิฟท์ของคอนโดเลยด้วยซ้ำ กล้องวีดิโอได้บันทึกเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเอาไว้ได้

ก๊อก… ก๊อก…

ก๊อก… ก๊อก…

ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…

เสียงเคาะประตูดังถี่ลั่นจนบานประตูสั่นไหว เหมือนในคืนนั้นก่อนที่ผมจะหมดสติ เวลาของกล้องแสดงให้รู้ว่าเวลาผ่านไปนานห้านาทีนับตั้งแต่เสียงเคาะครั้งแรกดังขึ้น ในที่สุดเสียงเคาะประตูอันน่าขนลุกนั้นก็หยุดลง

บานประตูสีขาวค่อยๆ เปิดอ้าออกอย่างช้าๆ

ผมนั่งเกร็งลุ้นต่อภาพที่จะปรากฏจนใบหน้าแทบติดหน้าจอ…

ก๊อก… ก๊อก…

ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องของผมเอง วินาทีนั้นผมกระโจนสุดตัวไปกระชากบานประตูเปิดออก

ว่างเปล่า…

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว