จบ  Light and Sound #ซองเฟสจ้านป๋อ
1
ตอน
605
เข้าชม
19
ถูกใจ
2
ความคิดเห็น
13
เพิ่มลงคลัง
หวังเมิ่งหวาคือมือกีตาร์ผู้เงียบขรึมที่เข้ามาเป็นสมาชิกคนใหม่ของวงนักร้องใต้ดิน ทว่าความจริงเขามีความลับและความรู้สึกที่ปิดบังเอาไว้ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ คนที่หัวใจเรียกร้องให้มาอยู่ตรงนี้

 

 Title : #ซองเฟสจ้านป๋อ Light and Sound 

Paring : เซียวซินฝาน X หวังเมิ่งหวา 

肖鑫繁X 王夢華 

Author : 果儿 (Guo-er) 

Rate : PG 

TW : RockBand / แอบรัก / Fanfiction / OS-Fic / Songfic / 洋葱-五月天 

 

 

 

  

 

  

  

  

  

  

  

  

  

“เด็กปีสี่?” 

“...” 

ภายในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งในเมืองหลวงที่สว่างไสวไปด้วยแสงสียามราตรี ในโต๊ะอาหารส่วนตัว ฝั่งหนึ่งมีชายหนุ่มสามคนนั่งสนทนากับฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งหน้าตานิ่ง ๆ ที่เงียบกริบ ไม่ค่อยพูดค่อยจา จ้องมองเหล่าหนุ่มฉกรรจ์ทั้งสาม พวกนั้นเผลอทวนคำตอบของอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกันด้วยสีหน้าอึ้งเล็กน้อย 

เฉินเฟยขยี้หัวและหันไปมองเพื่อนสนิทเพราะไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี ทว่าก็ไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ ราวกับเพื่อนคนนี้มันไม่เอาสติมาด้วย 

“แต่นับว่าเก่งนะ ทำงานหลายที่เลยใช่ไหม?” 

“อืม” 

“เล่นกีตาร์ได้ มิกส์เพลงได้? เป็นดีเจในผับ S ใช่ไหม?” 

“อืม” 

คำตอบสั้น ๆ ทำให้ฝ่ายที่แก่กว่าถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรกับความพูดน้อยของอีกฝ่าย เฉินเฟยเลยส่งไม้ต่อให้กับเพื่อนอีกคนรับมือ 

“วงพวกเราไม่ใช่วงที่มีชื่อเสียงอะไรนะ ต้องแสดงคอนเสิร์ตทุกเดือนที่ร้าน รู้ใช่ไหม?” หมิงหยวนเอ่ยย้ำ อ่านข้อมูลเด็กหนุ่มที่มาสมัครเป็นสมาชิกคนใหม่แล้วรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล 

ทว่าหวังเมิ่งหวาหันไปมองใครอีกคนที่ยังนั่งจ้องมองไปนอกร้านอาหาร ไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มที่มาสมัครเป็นสมาชิกวงสักนิด เห็นแบบนั้นจึงได้หันไปพยักหน้าตอบรับและ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกครั้ง 

คราวนี้เป็นหมิงหยวนที่ต้องยกมือดันแว่นและบีบนวดที่หัวคิ้วเล็กน้อย 

“นายไม่มีปัญหาเรื่องการเรียนใช่ไหม? ปีสุดท้ายไม่ได้ยุ่งกับการฝึกงานเหรอ?” 

“อืม” 

เพียงแค่นี้หมิงหยวนก็ไม่อยากถามอะไรต่อแล้ว เป็นครั้งแรกที่เจอเด็กที่อายุอ่อนกว่าตัวเองแต่สงบนิ่งเย็นชาได้ยิ่งกว่าเข้าไปอยู่ในสโนว์โดมเสียอีก 

“นายโอเคใช่ไหม?” 

หมิงหยวนถองศอกสะกิดเพื่อนที่นั่งเหม่ออยู่ข้าง ๆ ดวงตาอบอุ่นพลันหันไปมองเด็กหนุ่มครั้งแรก เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ดูเป็นคนที่อ่อนโยนขึ้นมาทันตา เอ่ยออกมาด้วยท่าทีใจดี 

“ถ้าเขามีอิสระ เราก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ส่วนฉันมีเงื่อนไขแค่ข้อเดียว ห้ามมีความสัมพันธ์กับคนในวงก็พอ” 

เฉินเฟยกับหมิงหยวนลอบสบตากันแล้วก็ส่ายหน้าไม่พูดอะไรอีก หันไปมองเด็กหนุ่มที่ตั้งใจมาสมัครเข้ามาในวงของพวกเขา ซึ่งเด็กหนุ่มหน้านิ่งก็เพียงรับคำสั้น ๆ 

“อืม” 

หวังเมิ่งหวาหลุบตาลง เอ่ยยืนยันความต้องการตัวเอง 

“งั้นเริ่มงานได้เลยไหม? มะรืนนี้สี่ทุ่มเรามีงานแสดงแถวเฟิงไถ ที่นั่นเพื่อนฉันจัดคอนเสิร์ตทุก ๆ สิ้นเดือน แล้ววงเราแสดงที่นั่นตลอด” 

“อ้อ ไม่ต้องห่วง เรามีห้องซ้อม วันนี้นายลองโชว์ฝีมือให้เราดูได้เลย” 

“อืม…” 

เซียวซินฝานไม่ได้สนใจอะไรอีก เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ปล่อยให้เพื่อนอีกสองคนนั่งขมวดคิ้วทนการถามคำตอบคำของเด็กหนุ่มคนนั้นไป เห็นสีหน้าเหมือนจะฟิวส์ขาดของเพื่อนก็อดอมยิ้มมุมปากไม่ได้ ทำให้หญิงสาวหลายคนที่เดินอยู่นอกร้านอดเผลอมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มทรงเสน่ห์ในร้านไม่ได้ 

ชายหนุ่มสี่คนที่นั่งอยู่ด้วยกัน พูดกันต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้าย 

เซียวซินฝานยืนมองอีกสามคนเดินไปคนละทาง จากนั้นค่อยหมุนตัวเดินกลับไปตามถนนที่สองข้างทางมีแสงไฟหลากสี เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะจอแจของผู้คนดังก้อง โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเบื้องหลังมีใครคนหนึ่งหันกลับมามองอยู่เนิ่นนาน… 

 

  

วันต่อมา ทุกคนมาถึงห้องซ้อมตามเวลานัดหมาย เห็นเด็กหนุ่มแบกกระเป๋ากีตาร์เข้ามา จากนั้นก็เริ่มปรับจูนเสียงเงียบ ๆ แทบไม่ถามอะไรเพื่อนร่วมวงเลย ทำเอาคนที่แก่กว่าถึงกับส่ายหน้า 

“นายเล่นเครื่องดนตรีได้กี่ชนิด” 

“... น่าจะ ได้หมด” 

“ได้หมด?” 

“กีตาร์ เบส กลอง คีย์บอร์ด แจส เปียโน ไวโอลิน เครื่องดนตรีสากลเกือบทั้งหมด…” 

หมิงหยวนกับเฉินเฟยมองหน้ากันที่เห็นเซียวซินฝานชวนเด็กใหม่คุย แต่ก็แอบตะหงิดใจกับความสามารถรอบด้านของเจ้าหนุ่มหน้าสวยนี่ 

“แล้วทำไมถึงได้ทำงานเป็นดีเจที่คลับล่ะ” 

“เคยรับงานวงอื่นแล้ว แต่พวกเขาไม่ชอบผม” 

“ยิ้มแล้วก็พูดเยอะ ๆ หน่อยสิ หน้าตาดีจะตายเราน่ะ” 

“...” หวังเมิ่งหวาก้มหน้า หน้าตายังนิ่งเงียบไม่ต่อบทสนทนากับเซียวซินฝาน เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นนักร้องนำ จึงแค่ยกคิวเพลงขึ้นมาดู ฮึมฮัมเนื้อเพลงในลำคอโดยไม่ได้สังเกตว่าใบหูของเด็กหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ แดงระเรื่อพร้อมกับที่มุมปากยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย 

แค่เล็กน้อยเท่านั้น 

“นี่ นายเรียนสาขาดนตรีเหรอ เล่นได้หมดซะพวกฉันไปไม่เป็นเลย” 

“เปล่า ผมเรียนเต้นและการแสดงด้วย” 

“อ้าว งี้ก็เต้นได้ด้วยดิ” 

“แล้วร้องเพลงได้ด้วยไหม?” 

“ฉันว่าประโยคที่ทำให้นายพูดได้เยอะมากที่สุดนี่น่าจะเป็นการร้องเพลงรึเปล่า หึ ๆ” หมิงหยวนเอ่ยแซว เมื่อมีช่องให้ชวนคุย พวกเขาก็พุ่งเข้าไปถามหวังเมิ่งหวาทันที 

“ถ้าเสียงดีฉันคงตกกระป๋องแล้วแหง ๆ” ทุกคนหัวเราะ เริ่มพูดคุยเฮฮากันตามประสาแล้วแยกย้ายกันเตรียมตัว 

“...” หวังเมิ่งหวาหันไปมองเซียวซินฝาน เมื่อปรับจูนเสียงเสร็จก็ลุกขึ้นไปประจำตำแหน่งและเริ่มดูเนื้อเพลงต่าง ๆ ที่ในวงจะใช้แสดง เฉินเฟยและหมิงหยวนมองหน้ากันแล้วยักไหล่พร้อมกัน จากนั้นทุกคนก็เริ่มซ้อม 

เพราะเหลืออีกแค่วันเดียวก็จะต้องขึ้นแสดงแล้ว พวกเขาอยากจะเห็นฝีมือของเด็กใหม่เหมือนกัน 

เซียวซินฝานหันไปมองหวังเมิ่งหวา ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย เพียงพริบตาเท่านั้น ไม่นานเสียงจังหวะกลองก็เริ่มขึ้น เป็นสัญญาณการเริ่มซ้อมของพวกเขา 

  

ปล่อยให้เรื่องเมื่อวานมันผ่านไป 

เพราะตอนนี้เธออยู่ตรงหน้าฉันแล้ว 

ให้โอกาสฉันได้รักเธอเถอะนะ 

หากฉันทำผิดไป ฉันจะแบกรับมันไว้ 

ฉันมั่นใจว่าเธอคือคำตอบที่ตามหา 

ไม่สนว่าใครจะหัวเราะว่าฉันงมงาย 

เชื่อมั่นใจความรู้สึกตัวเอง 

คนที่ดื้อดึงไม่ยอมแพ้เมื่อมันได้รักเธอแล้ว 

ฉันจะไม่ยอมถอยออกไป 

สิ่งที่ฉันเคยพูดไป ฉันจะไม่คืนคำ 

ไม่ว่ายังไงก็จะทำเช่นนี้ ไม่ว่ายังไงก็จะรัก 

จะรักให้มากกว่านี้ ให้เธอได้เข้าใจ 

ไม่มีทางอื่นให้เลือกเดิน เธอจะยอมไปกับฉันไหม 

ไม่ว่ายังไงก็จะรัก เชื่อในรักของฉัน 

ให้เธอขาดฉันไม่ได้ รักที่มีให้เธอนั้น…. 

แม้จะเจ็บปวดแต่ก็มีความสุขมากมาย… 

 

  

เสียงนุ่มทุ้มร้องขึ้นมาเคล้าคลอกับเสียงกีตาร์ที่ขับให้น้ำเสียงน้ันกระจ่างใสมากขึ้น เพลงช้าที่ค่อย ๆ ดังคลอขึ้นมาพร้อมกับกระแสอารมณ์ตื้อตันถึงความรู้สึกที่อัดอั้นในใจ น้ำเสียงที่สั่นเครือในตอนท้ายทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจราวกับพบเจอเรื่องราวที่ยากจะผ่าน แต่กระนั้นก็ไม่อาจหยุดร่ำร้องได้ 

อยากจะสื่อออกไป ความรู้สึกในใจ  

ต่อให้เจ็บก็ไม่อยากหยุด 

หวังเมิ่งหวาเหม่อมองคนที่ยังยืนร้องเพลงอยู่อย่างนั้น สีหน้าแววตาดำดิ่งไปกับความรู้สึกตัดพ้อ ทั้งที่ตัวเขาตอนนี้ก็รู้สึกไม่ต่างกัน และรู้สึกว่าเกลียดเพลงนี้มาก เพราะหวังเมิ่งหวารับรู้ได้ว่าเซียวซินฝานกำลังร้องเพลงนี้เพราะอะไร ในใจลึก ๆ ไม่อยากจะฟังเพลงนี้อีกสักเท่าไหร่นัก 

“เล่นได้ดีเลยนี่ แต่ไม่ยิ้มเลยนะ” เฉินเฟยค่อนข้างพอใจ เพราะฝีมือและความสามารถของหวังเมิ่งหวาไม่ใช่แค่โม้เล่น ค่อนข้างเป็นมืออาชีพมาก ๆ 

“มันจำเป็นด้วยเหรอ?” หวังเมิ่งหวาถาม ใบหน้าเรียวสวยเอียงคอเล็กน้อย ซ้ำยังขมวดคิ้วเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นจริง ๆ 

แต่เพราะสีหน้าที่ดูไม่เข้าใจนั้นไม่มีความกวนอารมณ์ รุ่นพี่ในวงถึงได้ข่มใจตอบด้วยความอ่อนใจ 

“เอ่อ จะว่าไม่จำเป็นต้องยิ้มมันก็ใช่ แต่ยิ้มก็ดีกว่านี่นะ ใช่มะ?” 

“หืม?” 

หมิงหยวนมองหน้าเฉินเฟยงุนงงเพราะไม่ได้ฟังคำพูดของเพื่อนที่เอ่ยออกมาก่อนหน้านั้น ทำให้ต้องถูกเฉินเฟยใช้ศอกกระทุ้งใส่ด้วยความโมโห หวังเมิ่งหวาเห็นรุ่นพี่ในวงคุยกันก็ก้มหน้าลง จังหวะนั้นก็แอบมองใครอีกคนที่ยังยืนเปิดเนื้อเพลงร้องฮึมฮัมอยู่คนเดียว 

“นายแต่งเพลงเป็นไหม?” เซียวซินฝานรู้สึกถึงสายตาที่แอบจ้องมองมา มันชัดเจนจนต้องหันไปถามเด็กน้อยในวง 

“ไม่เป็น” 

“โอ้ ได้เจอเรื่องที่นายทำไม่เป็นด้วย” หมิงหยวนหัวเราะ รู้สึกสบายใจขึ้นแปลก ๆ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเจ้าเด็กนี่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์อัจฉริยะอะไร 

“แต่ผมแต่งทำนองได้” 

“...” 

“ฮ่า ๆๆๆ” เฉินเฟยหัวเราะแล้วตบไหล่เพื่อนรักดังปัก ๆ หมิงหยวนยืนนิ่งเหมือนไว้อาลัยด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ผุดขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ 

“เจ้าเด็กนี่...” หมิงหยวนแอบกัดฟันกรอด ๆ แล้วกระชากคอเสื้อเฉินเฟยที่ยังหัวเราะออกไปซื้อเครื่องดื่มแทน 

คล้ายจะทนไม่ไหวว้ากใส่เด็กหนุ่มนั่นแทนถ้ายังอยู่ตรงนี้ 

เซียวซินฝานเห็นว่าหวังเมิ่งหวาแอบยิ้มมุมปากเล็กน้อยแม้จะยังก้มหน้าก้มตาทำนหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร จึงจดจำเรื่องหนึ่งไว้ในใจแล้วว่าเด็กนี่ไม่ได้นิ่งเงียบจริง ๆ อย่างที่เห็นเสียหน่อย ซ้ำยังรู้จักแสดงอารมณ์ออกมาแม้ว่ามันจะเป็นการเหมือนเกทับรุ่นพี่กลาย ๆ 

“แล้วร้องเพลงได้ไหม?” เซียวซินฝานจำได้ว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ตอบคำถามนี้ในก่อนหน้านี้ 

หวังเมิ่งหวาไม่พูดอะไร ก้มหน้าเกากีตาร์คลอเบา ๆ แล้วไม่ตอบอะไรอีก เมื่อหมิงหยวนและเฉินเฟยกลับมาพวกเขาก็เริ่มซ้อมกันอีกครั้ง แม้จะกระชั้นชิดแต่เพราะทุกคนต่างมองว่าหวังเมิ่งหวาแม้จะมีนิสัยแปลก ๆ ทว่าก็ไม่ได้ปิดกั้นถึงขนาดไม่ยอมปรับตัว พวกเขาจึงค่อย ๆ เข้าใจความคิดของกันและกันมากขึ้น กลายเป็นความเอ็นดูปนกับความหมั่นเขี้ยว 

การซ้อมกินเวลานานพอสมควร เมื่อพึงพอใจกันแล้ว จากนั้นจึงแยกย้ายกันเพื่อเตรียมตัวไปขึ้นแสดงในวันพรุ่งนี้ 

  

  

  

“หน้าเด็กจริง ๆ มองกี่ทีก็นึกไม่ถึงว่าอายุเกินยี่สิบแล้ว นายไม่ได้ปลอมอายุจริง ๆ นะ” 

หวังเมิ่งหวาขมวดคิ้ว หลบสายตาของหนุ่มใหญ่ที่จ้องเขม็งราวกับจะแกล้งตนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่ถูกมองว่าเป็นเด็กไม่หยุดสักที 

“เรื่องนี้ก็น่าหมั่นไส้อยู่หรอก” หมิงหยวนเอ่ยพึมพำ 

เมื่อเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของร้านสอบถามถึงเด็กใหม่ในวง ใบหน้านั่นมันทั้งดูอ่อนเยาว์และดวงตาฉายแววสดใสปะปนความดื้อรั้นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูเด็กลงไปมาก แต่อย่างไรก็เป็นความจริงที่ว่าหวังเมิ่งหวาบรรลุนิติภาวะแล้วแน่ ๆ ซ้ำยังเก่งรอบด้านจนไม่รู้จะติอะไร คงมีเรื่องเดียวที่พอจะบ่นได้คือความนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทำหน้านิ่ง ๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ 

“ไม่ต้องกังวลพี่เฮ่อ ผมดูประวัติแล้วนักศึกษาปีสี่แน่ ๆ ” หมิงหยวบตบไหล่หวังเมิ่งหวาเบา ๆ เขาสนับสนุนเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสามารถมากมาย 

“เฮ้อ ไป ๆ พวกนายเตรียมตัวมาพร้อมแล้วใช่ไหม คืนนี้พวกนายแสดงเป็นวงที่สามนะ” 

เฮ่อเหลียนมองหวังเมิ่งหวาเล็กน้อย ขมวดคิ้วคลับคล้ายคลับคลาว่าจะรู้จักแต่ก็นึกไม่ออก เด็กหนุ่มหน้าสวยเบนสายตาไปมองรอบ ๆ คล้ายไม่สนใจว่าใครจะจับจ้องอย่างตั้งใจก็ตาม จากนั้นไม่นานเฮ่อเหลียนก็ให้พวกเขาเข้าไปอยู่ที่ห้องพักหลังเวทีเพื่อรอคิวขึ้นแสดง 

เสียงเพลงบีบอัดดังตึงตังภายใต้คลับใต้ดินแห่งนี้ชวนให้ร่างกายร้อนรุ่มง่ายและได้ปลดปล่อยอารมณ์อันหนักหน่วง หลายคนที่มีรสนิยมเดียวกันก็มาเจอกันในที่แบบนี้เพื่อระบายอารมณ์ผ่านเสียงเพลงโดยเฉพาะ เซียวซินฝานนำกีตาร์ออกมาเกาเพลงคลอเบา ๆ ฮึมฮัม ใช้เวลาอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ทำสมาธิเพื่อรอขึ้นแสดง แม้จะเล่นกีตาร์ไปด้วยได้ แต่เซียวซินฝานเป็นนักร้องหลัก จะโซโล่กีตาร์ด้วยในบางครั้งเท่านั้น 

เฉินเฟยเดินตามเข้ามาหลังจากออกไปทำธุระส่วนตัว ทว่าสีหน้าไม่ค่อยดีนัก สบตากับหมิงหยวนแล้วชวนกันออกไปด้านนอก 

หวังเมิ่งหวามองตาม เขายังคงไม่ได้พูดกับใครเช่นเคยตามนิสัยพูดน้อย ดวงตาเรียวคมดั่งเหยี่ยวเหลือบไปมองเซียวซินฝานที่ยังอยู่ในโลกของตัวเอง 

ทางด้านเฉินเฟยและหมิงหยวนออกมาพูดคุยกันตามลำพังไม่ไกลจากห้องพัก 

“ฉันเจอหยู่เจี๋ย อยู่กับพวกนั้น...” 

“ทางนั้นเป็นยังไง...” หมิงหยวนเอ่ยถามเสียงเบา 

ในฐานะเพื่อนสนิทของหัวหน้าวง ก็อดหันไปมองนักร้องนำของตัวเองผ่านบานประตูกระจกไม่ได้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องนั้น เซียวซินฝานก็ยิ้มแย้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้ง ๆ ที่คนรอบตัวรู้ดีว่าอีกฝ่ายตั้งกำแพงสูงตระหง่านอย่างกฎที่เอ่ยขึ้นมาว่า ‘ห้ามมีความสัมพันธ์กับคนในวง’  

“หยู่เจี๋ยเข้ามาถามฉันว่าอาฝานเป็นยังไงบ้าง ก็ตามนิสัยเจ้าหมอนั่น มันรู้ว่าอาฝานยังรักมันอยู่” 

“ใจเย็น...” หมิงหยวนเอื้อมมือขึ้นไปลูบแก้มของเฉินเฟยอย่างอ่อนโยน ทำเอาเจ้าตัวหน้าแดงร้อนวูบวาบปัดมืออีกฝ่ายออกและมองไปรอบ ๆ เกรงว่าเซียวซินฝานจะเห็นเข้า 

“นะ นายเลิกทำแบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่สบายใจที่เราทำแบบนี้ ตอนนี้อาฝานกำลังเจ็บปวด...” 

“...” 

เฉินเฟยถูกหมิงหยวนฉกฉวยครอบครองริมฝีปากไปแล้ว แม้จะอยากดิ้นรนขัดขืน แต่เฉินเฟยก็ไม่อาจหักห้ามใจได้ปล่อยให้อีกฝ่ายแนบริมฝีปากมอบจุมพิตที่เร่าร้อนให้จนใบหน้าเห่อร้อนแดงฉ่าราวกับกุ้งสุก 

ทั้งคู่จับมือกันเดินออกห่างจากห้องพักไปโดยไม่ทันรู้ว่าหวังเมิ่งหวายืนนิ่งเงียบอยู่หลังกำแพงอีกฝั่ง 

สายตาไร้อารมณ์นั้นดำมืดขึ้นมากกว่าเดิม ฝ่ามือขาวเรียวกำหมัดเข้าหากันข่มกลั้นอารมณ์ไม่พอใจที่ก่อตัวขึ้น ได้แต่ทุบกำปั้นลงกับผนังและเดินกลับเข้าไปในห้องพักเหมือนเดิม 

เมื่อถึงเวลาขึ้นแสดง เสียงดนตรีจังหวะสุดท้ายของวงที่สองจบลงก่อนจะโบกมือลาแฟน ๆ ด้วยร่างกายที่มีเหงื่อผุดขึ้นมาข้างขมับ เดินลงเวทีด้วยรอยยิ้มและทักทายพวกเขาอย่าสสนุกสนาน 

ทุกคนขึ้นไปเช็กและต่อสายเครื่องดนตรี ช่วงวินาทีที่ฉากกั้นถูกเก็บขึ้นไป แสงสว่างจ้าจนตาพร่าและเสียงกรีดร้องตะเบ็งออกมาก็ดังลั่นจนหวังเมิ่งหวาเหม่อมองความร้อนที่สาดมาชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกขนลุกและหนาววูบทั่วร่างกายเพียงเสี้ยววินาที มันไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเมิ่งหวาขึ้นเวที แต่เป็นครั้งแรกที่แสดงกับเซียวซินฝานและคนอื่น ๆ … 

เซียวซินฝานจับไมค์ขึ้นมา เอ่ยทักทายและมอบรอยยิ้มให้กับแฟนคลับอีกครั้ง เสียงจังหวะกลองกับเบสที่ดังขึ้นมาทำให้มือของหวังเมิ่งหวาเริ่มทำงาน จากนั้นความร้อนรุ่มที่อัดอั้นก็ถูกปล่อยออกมาพร้อมกับไฟบนเวทีที่หรี่ลง ทั้งฮอลมืดมีเพียงแสงไฟจากสปอตไลท์สาดไปที่นักร้อง เสียงหวานนุ่มที่กดลงแหบพร่าคล้ายกับมีมือใหญ่เข้ามาโอบไหล่ตนและพยายามให้ร่างกายโยกคลอนไปตามจังหวะนั้น กลายเป็นจังหวะบีบอัดที่ทำให้ขยับร่างกายระบายมันออกมาทันที 

  

  

ได้ทำลายในสิ่งที่ฉันภูมิใจ ความปกติที่ฉันชิงชัง ฉันเพิ่งคิดได้ว่ามันคือสิ่งที่ฉันรักที่สุด 

กลางฤดูร้อนที่แผดเผา ฉันเอาแต่ห่วงเล่น เอาอนาคตอันโหดร้าย โยนทิ้งไปให้ไกลหลายปีแสง 

ละทิ้งกฏเกณฑ์ และรักตามใจชอบ ไม่เจียมตัวเอง อนาคตมันว่างเปล่า 

ฉันไม่เปลี่ยนแปลง ฉันไม่เปลี่ยนใจฉันไม่เปลี่ยนไป ฉันจะไม่เปลี่ยนไป... 

  

  

ให้กฏเกณฑ์ที่ตายตัวมันง่ายขึ้น ให้ความเรียบร้อยมันสับสนวุ่นวาย วัยรุ่นที่เป็นแบบนี้สิฉันถึงชอบ 

กลางฤดูร้อนที่แผดเผา ฉันเอาแต่ห่วงเล่น เอาอนาคตอันโหดร้ายโยนทิ้งไปให้ไกลหลายปีแสง 

ละทิ้งกฏเกณฑ์ และรักตามใจชอบ ไม่เจียมตัวเอง อนาคตมันว่างเปล่า 

ฉันไม่เปลี่ยนแปลง ฉันไม่เปลี่ยนใจ ฉันไม่เปลี่ยนไป ฉันจะไม่เปลี่ยนไป... 

  

  

ฉันจะไม่เปลี่ยนไป... 

  

  

  

  

  

  

  

  

สองเดือนก่อน... 

  

“เซียวซินฝาน! ฟังฉันก่อน ที่ฉันทำไปเพราะหวังดีกับนายนะ ฉันทำเพื่อวงเรานะ!” 

“นายไม่ได้ทำเพื่อวงหรือฉันหรอก แต่ทำเพื่อตัวเองมากกว่า” 

เซียวซินฝานจับแขนหยู่เจี๋ยแน่นจนอีกฝ่ายเจ็บขึ้นมาจึงสะบัดแขนออก แต่ก็หยู่เจี๋ยก็ยังไม่ยอมแพ้ดึงรั้งเซียวซินฝานไว้เพื่อพูดกันให้รู้เรื่อง หมิงหยวนกับเฉินเฟยที่เพิ่งมาถึงห้องซ้อมพร้อมกันถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นเซียวซินฝานโยนซองเอกสารสีน้ำตาลลงพื้น 

“เซียวซินฝาน หยู่เจี๋ย พวกนายทะเลาะอะไรกันเนี่ย” 

“คือ...” 

หมิงหยวนก้มลงเก็บเอกสารที่ตกพื้นขึ้นมา กระดาษที่อยู่ด้านในเผยให้เห็นหนังสือสัญญาและข้อตกลงกับต้นสักกัดแห่งหนึ่ง เพียงแค่รอลายเซ็นของสมาชิกวงอีกสามคนก็เรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้หมิงหยวนมองหน้าหยู่เจี๋ยด้วยอารามตกใจเล็กน้อย 

“นายแอบไปตกลงกับทางค่ายเองโดยไม่ปรึกษาพวกเรา?” 

เฉินเฟยแค่นเสียง คิดว่าไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เซียวซินฝานจะโมโหขนาดนี้ 

“ถ้าฉันปรึกษาแล้วพวกนายจะยอมไหมล่ะ ทำไมกันละ พวกเรามีความสามารถมากพอที่จะเป็นนักร้องที่โด่งดังมีชื่อเสียง มีค่ายคอยสนับสนุนแท้ ๆ พวกนายไม่อยากเป็นนักร้องด้านบนบ้างรึไง นี่มันโอกาสที่หาได้ยากนะ!” 

“นายก็รู้ว่าวงเราไม่ต้องการเซ็นสัญญากับค่ายอะไรทั้งนั้น กฏของวงเรามีอย่างเดียวคือเป็นอิสระนะ!” 

เฉินเฟยพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เดิมทีวงนี้ตั้งขึ้นมาเพราะสมาชิกที่มีความชอบเรื่องดนตรีและพวกเขาเข้ากันได้เลยตั้งวงขึ้นมาเท่านั้น ทำอัลบั้มขายกันเองว่าง ๆ ถ้ามีแฟนคลับอยากได้ แต่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกค่ายหรือแมวมองพวกนั้นเด็ดขาด เพราะสิ่งที่ค่ายเคยทำกับพวกเขาทำให้เซียวซินฝานตัดสินใจแบบนี้ พวกเขาไม่ไว้ใจค่ายไหนทั้งนั้น 

การเป็นนักร้องที่มีความสามารถโดดเด่นมากกว่าเพื่อนร่วมวงคนอื่น ๆ ทำให้ถูกมองว่ามีประสิทธิภาพในการทำเงินมากกว่าคนที่มีพื้นฐานทั่ว ๆ ไป พวกเขาเคยมีกันสี่คนแบบนี้ เคยเซ็นสัญญากับค่ายแบบนี้ แต่ค่ายกลับดันให้แค่คนที่มีความสามารถ ไม่คิดจะเอามือเบสมือกลองอย่างหมิงหยวนหรือเฉินเฟยทำงานร่วมกันสักนิด เพราะหน้าที่นี้ทางค่ายล้วนมีคนของตัวเองอยู่แล้ว 

เมื่อทางค่ายยื่นข้อเสนอให้เซียวซินฝานเดบิวเป็นศิลปินเดี่ยวและบอกว่าคนอื่น ๆ จะรับเป็นพนักงานของค่ายให้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอม ยกเว้นเพื่อนคนหนึ่งที่ยินยอมและเห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ทำวงด้วยกันอีกต่อไปแล้วก็ตาม เซียวซินฝานกับพวกเขาจึงแตกหักกับเพื่อนคนนั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายเลือกหน้าที่การงานของตัวเอง เพลงที่เคยแต่งที่เคยทำร่วมกันก็กลายเป็นของค่าย ส่วนพวกเขาก็กลับมาทำวงเล็ก ๆ ใต้ดินต่อ 

หมิงหยวนกับเฉินเฟยจำได้ดีว่าวันนั้นพวกเขาแทบสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะต้องนำเงินเก็บออกมาจ่ายให้ค่ายเพราะเป็นฝ่ายฉีกสัญญาก่อน และเซียวซินฝานเองก็ไม่คิดจะเป็นศิลปินอะไรอีกแล้ว เขาเลือกสิ่งที่สบายใจมากกว่าอะไร เดิมทีที่พวกเขาทำวงมาด้วยกันก็เพราะแบบนี้ 

และหยู่เจี๋ยก็เข้ามา เด็กใหม่ไฟแรงมือกีตาร์ที่เสียงดี เซียวซินฝานกับหยู่เจี๋ยจึงได้เริ่มคบกัน เพราะอยู่ด้วยกันตลอด ทำวงด้วยกัน แทบไม่เคยมีปัญหาอะไร จนวันนี้... 

ปัญหาเดิมก็กลับมาอีก 

อยากเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง 

แมวมองหลายค่ายก็เสาะหานักร้องหรือคนมีความสามารถตามที่แบบนี้ คนหล่อมีความสามารถน่ะหาได้ง่ายจนเหมือนมดแตกรังที่ผุดขึ้นมามากมาย หลายครั้งที่มีแมวมองเข้ามาติดต่อ พวกเขาเพียงปฏิเสธไปและทำเพลงกันเอง มีรุ่นพี่รุ่นน้องหรือคนรู้จักคอยช่วยมากมายจนกลับมามั่นคงเหมือนทุกวันนี้ แม้จะผ่านมาแล้วหลายปี สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่ชื่อของเพื่อนเขาที่แยกตัวออกไปเพราะเลือกอยู่กับค่าย จึงได้มารู้ทีหลังว่าเพื่อนคนนั้นออกจากต้นสักกัดและกลับบ้านเกิดไปนานแล้ว นั่นทำให้พวกเขาเข้าใจดีว่าวงการนี้ถ้าอดทนไม่ได้ ก็ไม่มีวันทำงานกับค่ายได้อยู่แล้ว 

“อิสระอิสระ! แล้วอิสระนี่มันทำให้เรารวยขึ้นมารึไง เราไม่ต้องมาซ้อมให้ห้องพักแคบ ๆ นี่ ไม่ต้องต่อคิวขึ้นแสดงเหมือนที่ผ่านมา จัดคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองแล้วก็มีแฟนคลับเพิ่มขึ้น นี่ไม่ดีตรงไหน!” 

“นายไม่เข้าใจเหรอว่าการเป็นศิลปินของค่ายมันมีข้อจำกัดมากมายขนาดไหน... พวกเราอาจจะต้องเลิกกันด้วยซ้ำ แล้วไม่ใช่ว่าเซ็นสัญญาแล้วจะได้ออกอัลบั้มทันที เพลงเราจะขายได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ” เซียวซินฝานคว้าเอกสารจากหมิงหยวนปาทิ้งที่ถังขยะ ไม่สนใจสีหน้าซีดเผือดของหยู่เจี๋ย เด็กหนุ่มไม่คิดว่าเซียวซินฝานจะห่วงเรื่องพวกนั้นมากกว่าโอกาสที่หาได้ยากแบบนี้ 

“นายมันบ้าไปแล้วเซียวซินฝาน! ฉันมองนายผิดไปจริง ๆ!” 

ปึง!! 

หยู่เจี๋ยเดินปึงปังออกจากห้องพักไป ท่าทีของเซียวซินฝานยังมีอาการฉุนเฉียวอยู่ แต่เนื่องด้วยอารมณ์โมโหจึงไม่ได้ตามออกไป ได้แต่ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้และเสียบหูฟังไร้สาย เปิดเพลงทำสมาธิให้กับตัวเองดีกว่า เพราะเป็นวิธีเดียวที่เจ้าตัวใช้ระงับอารมณ์ที่ไม่คงที่ได้ดีที่สุด 

หมิงหยวนเองก็ไม่พอใจ ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยมีความฝัน แต่เพราะมันเคยพังและพวกเขามีความสุขกับแบบนี้มากกว่า ตอนอยู่ค่ายพวกเขาไม่มีอิสระเลยแม้แต่จะโพสต์อะไร ออกไปกินข้าวที่ไหน มีความรักก็ไม่ได้ เพลงที่ทำก็ถูกคนที่ค่ายส่งมาควบคุม ใช้ข้ออ้างสารพัดเพื่อไม่ให้พวกเขามีอะไรเป็นตัวของตัวเองเลย และที่น่าเจ็บใจก็คือทางค่ายเห็นแก่ตัวมากพอที่จะพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกผิดว่าอยากเลือกดันแค่คนที่หน้าตาดีให้เป็นศิลปินเดี่ยวมากกว่าเป็นวงแบบนี้ เพราะมือกลองหรือมือเบสสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เรียกลูกค้าไปมากกว่านักร้องนำที่หน้าตาดีและเสียงเพราะ 

เฉินเฟยเองก็โมโหไม่ต่างกับทุกคน แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจและพาหมิงหยวนออกไประงับอารมณ์ด้านนอก แต่เดินออกไปไม่ทันไรก็ต้องสะดุดกึกเมื่อเห็นหยู่เจี๋ยที่หนีออกมาก่อนหน้านี้กำลังยืนกอดกับใครอีกคน สะอึกสะอื้นราวกับถูกกลั่นแกล้งรังแก และปล่อยตัวให้อีกฝ่ายกอดจูบปลอบประโลมโดยไม่สนว่าจะมีคนเดินผ่านมาเห็น 

“หยู่เจี๋ย!” เป็นเฉินเฟยที่ตะโกนเรียกหยู่เจี๋ยด้วยความโกรธ 

“พะ พวกนาย...” 

หยู่เจี๋ยตกใจ ผละออกจากตัวคนนั้นและยืนก้มหน้า ดวงตาสองข้างแดงระเรื่อ ไม่ทันที่หมิงหยวนจะด่าอีกรอบ คนคนนั้นก็โอบไหล่หยู่เจี๋ยและพูดขึ้น 

“พวกนายไม่เข้าใจความหวังดีของหยู่เจี๋ยก็ช่างเถอะ แต่ทำไมต้องทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ด้วย” 

“มันไม่ใช่เรื่องของนาย เซียวเย่หลัน แล้วที่นายทำกับหยู่เจี๋ยเมื่อกี้อย่านึกว่าพวกฉันไม่รู้ว่านายคิดอะไร” 

เฉินเฟยแทบจะเข้าไปซัดหน้าเย่หลัน แต่เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ถ้าเกิดมีเรื่องกันขึ้นมามันจะบานปลายจึงได้แต่กำหมัดแน่น ปรายตาไปมองหยู่เจี๋ยที่ยังทำหน้าเศร้าคล้ายกับรู้สึกผิด แต่การกระทำกลับทำร้ายจิตใจเพื่อนร่วมวงเหลือเกิน 

“ถ้านายรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปบ้าง นายก็ควรไปขอโทษเพื่อนฉัน หยู่เจี๋ย นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หวังว่านายจะรู้ตัวสักทีว่าเซียวซินฝานต้องการอะไรมากที่สุด” 

“...” 

“ไปกันเถอะ” 

“...” เฉินเฟยกับหมิงหยวนเดินหลบไปอีกทาง ปล่อยให้สองคนนั้นอยู่อย่างนั้น พอออกไปด้านนอก เสียงเพลงตึงตังก็ดังขึ้นมา ในอกเต้นตุบ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะโมโหจากเมื่อกี้หรือเสียงบีทหนัก ๆ ที่อัดแน่นไปทั่วคลับแห่งนี้ ห้องพักด้านหลังเวทีแทบจะเงียบสนิทราวกับอยู่คนละโลกด้วยซ้ำ 

“ไง ทำไมทำหน้าแบบนั้น แล้วนี่ไม่เตรียมตัวล่ะ ฉันเก็บคิวสุดท้ายไว้ให้พวกนายเพราะแฟน ๆ ขอร้องเลยนะเนี่ย” เฮ่อเหลียนชงเหล้าให้กับพวกหมิงหยวน 

“พี่เฮ่อ ฉันว่าไม่ดีแล้วล่ะ” หมิงหยวนรับแก้วบรั่นดีกระดกลงคออึกหนึ่งให้ความร้อนวูบผ่านลำคอลงกระเพาะ จากนั้นก็ส่ายหน้าวูบเพื่อตั้งสติ 

“อะไรไม่ดี?” 

“ก็ไม่รู้จะมีสมาธิเล่นไหมน่ะสิ หยู่เจี๋ยกับอาฝานทะเลาะกัน” 

“แฟนกันก็งี้แหละน่า เดี๋ยวก็ดีกันแหละ” 

เฮ่อเหลียนไม่สนใจเพราะคิดว่าเรื่องปกติของคู่รัก ในคลับที่แออัดแห่งนี้เจอคู่รักตบตีแง่งอนกันออกบ่อย เห็นหลายคู่จนหมาโสดจะเอียนตายแล้ว 

“ถ้าดีกันได้จริงก็คงดี...” 

หมิงหยวนพึมพำ เพราะนั่งฝั่งขวาของเฉินเฟยจึงเอามือซ้ายจับมือขวาของอีกฝ่ายไว้ กุมมือใช้นิ้วโป้งลากผ่านเบา ๆ เฉินเฟยหันไปมองอีกฝ่าย แอบสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดจากอารมณ์ที่ตกค้างเมื่อสักครู่ หันไปพูดคุยกับรุ่นพี่ที่สนิทกันและคอยให้คำปรึกษาช่วยเหลือมาตลอดอย่างเฮ่อเหลียน 

“เมื่อกี้ฉันเจอเจ้าหมอนั่นด้วย เซียวเย่หลัน มันมาทำอะไรที่นี่” 

“อ้อ มายกเลิกสัญญากับร้านน่ะ” 

“หา?” 

“เจ้านั่นมาอวดว่าจะไปเป็นดาราดังแล้ว อนาคตอันโชดช่วงรอมันอยู่นั่นแหละ” 

“...” คราวนี้หมิงหยวนกับเฉินเฟยมองหน้ากัน 

เฮ่อเหลียนยังก้มหน้าก้มตาชงเหล้าพลางบ่นก่นด่าปะปนกันไปด้วย 

“มันมายกเลิกสัญญานักร้องของคลับ แล้วยังชวนคนในวงฉันบางคนไปเข้าร่วมวงมันอีกด้วย ให้ตายสิ ขนาดฉันขู่ให้ว่าต้องจ่ายค่าเสียหายหลายแสน มันถึงกับยอมจ่ายตามสัญญาเลยทีเดียว เพิ่งเซ็นสัญญานี่มีเงินขนาดนั้นเลยเหรอวะ” 

“...” หมิงหยวนกับเฉินเฟยยังพูดไม่ออก ไม่คิดว่าจะมีเรื่องนี้ด้วย และที่สำคัญ... 

“ว่าแต่เจ้านั่นมันเป็นน้องชายของอาฝานไม่ใช่เหรอ? เฮ้อ ก่อนหน้านี้พวกนายกับอาฝานก็ลองทำมาแล้ว เจ้าหมอนั่นจะไหวเร้อ พังตั้งแต่นิสัยแล้ว ไม่น่ารอด ๆ” 

เฮ่อเหลียนยังบ่นอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้หมิงหยวนกับเฉินเฟยกลับเข้าไปด้านหลังห้องพัก ประจวบกับที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินหน้านิ่ง ๆ เข้ามาทักด้วยสีหน้าแข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ มีกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นมาให้พร้อมกับที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาว่า 

“ที่นี่รับสมัคร DJ ใช่ไหม” 

........ 

  

  

  

  

  

  

  

  

ปัจจุบัน 

หนึ่งเดือนต่อมา 

  

หลังจากที่ได้ขึ้นแสดงครั้งแรกกับทุกคนแล้ว หวังเมิ่งหวาเข้ากับวงได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นเด็กเงียบ ๆ แต่ก็มีมุมน่ารักอยู่เหมือนกัน สรุปก็คือถ้าไม่ถามก็จะไม่พูด ถ้าตอบได้ก็จะตอบ ตอบไม่ได้ก็ไม่พูด หรือไม่อยากตอบก็ไม่พูด 

กว่าหมิงหยวนกับเฉินเฟยจะเคยชินและไม่โมโหปวดขมับตุบ ๆ อยากทุบเด็ก ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ถึงจะชินชาและยอมรับกับนิสัยพูดน้อยของอีกฝ่ายเหลือเกิน 

“นายลองเล่นดูไหม ฉันแต่งไว้ได้นิดหน่อย” 

เซียวซินฝานยื่นโน้ตเนื้อเพลงที่ดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ให้หวังเมิ่งหวาดู อีกฝ่ายรับไปเงียบ ๆ นัยน์ตาคมกริบแววตามีประกายขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่พ้นสายตาเรียวที่จับจ้องอยู่ใกล้ ๆ 

“ผมปรับทำนองเล็กน้อยได้ไหม” หวังเมิ่งหวาเงยหน้าถาม 

“ได้สิ” 

เซียวซินฝานเอ่ยยิ้ม ๆ ทุกคนจึงสุมหัวเข้าหากันและก้มมองเนื้อเพลงที่อยู่ในมือของหวังเมิ่งหวา 

พวกเขาใช้เวลาเล็ก ๆ แค่สิบนาทีลองดูเนื้อเพลงและทำนองพวกนั้น ค่อยปรับเข้าไปด้วยกันก็พบว่ามันดีกว่าที่คิด จึงอยากจะเล่นเพลงนี้ในงานจริงดูสักหน่อย 

“ลองเพลงใหม่ดูไหม พี่เฮ่อจัดแข่งด้วยสิ แล้วก็ให้ยื่นเอกสารสมัครแข่งขันด้วย” เฉินเฟยพูดขึ้นมา 

“งั้นนายจัดการเอกสารนะ” 

เซียวซินฝานหัวเราะ เขาอยากแต่งเพลงเพิ่มอีกหน่อยเลยไม่อยากจะยุ่งวุ่นวายเรื่องนี้ 

เฉินเฟยเบ้ปากพึมพำว่ามันต้องฉันอยู่แล้วสิ ที่ผ่านมาล้วนเป็นเฉินเฟยที่มักจะคอยประสานติดต่ออะไรต่าง ๆ เสมอ ตั้งแต่เช่าห้องซ้อม ติดต่อเจ้าของผับ หรือแม้แต่เรื่องจิปาถะในวงล้วนเป็นเขาทำหมด 

เซียวซินฝานเริ่มดีดกีตาร์เป็นทำนองของเพลงใหม่พวกเขาโดยที่มีหวังเมิ่งหวา เด็กใหม่ผู้แสนเงียบขรึมกำลังฮำทำนองเพลงตาม ดูน่ารักสดใสกว่าที่คิดเสียอีก จังหวะที่เฉินเฟยกำลังมองทั้งสองคนก็ต้องชะงักขึ้นมาและเอ่ยถามเบา ๆ อารมณ์พึมพำกับตัวเองมากกว่า 

“… เปลี่ยนชื่อวงไหม?” 

“อ๊ะ?” 

หมิงหยวนเองก็เงยหน้าขึ้น หันไปมองเซียวซินฝานอัตโนมัติเนื่องจากอีกฝ่ายคือ ‘หัวหน้าวง’ และเป็น ‘นักร้องนำ’ น่ะสิ เดิมทีกลุ่มพวกเขารวมตัวกันได้เพราะเซียวซินฝานเป็นฝ่ายมาชวนพวกเขาทำวงด้วยกันแต่แรก ทางด้านเซียวซินฝานเองก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ 

“เรามีชื่อวงกันด้วยเหรอ?” 

“ให้ตายสิ…” เฉินเฟยถอนหายใจ 

จากนั้นก็ตัดสินใจเองทันทีว่าตั้งชื่อวงใหม่ดีกว่า 

“แล้วคิดว่าจะตั้งชื่ออะไรดี” หมิงหยวนถามขึ้นด้วยความสนใจ เซียวซินฝานถึงกับนิ่งไปแล้วถามกลับ 

“ปกติตั้งชื่อวงใช้อะไรเป็นกฏเกณฑ์เหรอ?” 

“ของพรรค์นั้นมีที่ไหนกันล่ะ” เฉินเฟยอยากจะถอนหายใจอีกรอบ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแก่ลงเรื่อย ๆ เพราะถอนหายใจได้ตลอดที่อยู่กับพวกนี้ 

นิ่งคิดไปสักพักก็หันไปถามหวังเมิ่งหวาที่ยังไม่พูดอะไร ก้มหน้าดีดกีตาร์เหมือนเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง 

“นี่ เสี่ยวหวัง” 

“เรียกผมเหรอ?” 

“ในนี้มีแซ่หวังเป็นสิบหรือไงถึงไม่รู้ว่าเรียกนายน่ะ” 

“อ้อ” หวังเมิ่งหวาตอบรับด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับคำพูดของรุ่นพี่ในวง 

เฉินเฟยเริ่มกัดฟันอีกรอบอยากจะพุ่งเข้าไปขยี้หัวอีกฝ่าย ไอ้ใบหน้าเด็กน้อยแสนร่าเริงเมื่อสักครู่เป็นภาพหลอนที่เขาเห็นรึไงฟะ 

“นายว่าตั้งชื่อวงว่าอะไรดี” 

“ผมไม่รู้” 

“งั้นใช้วิธีนี้ไหม?” หมิงหยวนที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ค้นหาวิธีตั้งชื่อก็เลือกวิธีมาได้อันหนึ่ง ดันแว่นล่องหนขึ้นมาเหมือนว่ามันมีประกายคนฉลาด แต่ก็แค่ทำเท่ไปอย่างนั้น ยื่นโทรศัพท์ให้ทุกคนดู ซึ่งแต่ละคนก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที 

จากนั้นกิจกรรมตั้งชื่อกลุ่มแบบปัจจุบันทันด่วนก็เริ่มขึ้นในบ่ายวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส แต่ละคนเขียนสิ่งที่ชอบที่สุดลงไปหนึ่งอย่าง จากนั้นก็เอามาเปิดพร้อม ๆ กัน ชื่อไหนเหมาะก็เอาชื่อนั้น 

ไม่ถึงหนึ่งนาทีทุกคนก็พร้อม ทั้งสี่คนยื่นกระดาษโชว์พร้อม ๆ กัน และแล้วเสียงของเฉินเฟยก็ถามขึ้นอย่างงุนงงเป็นคนแรก 

“ก้นคืออะไร?” 

ไม่ใช่แค่นั้น เซียวซินฝานก็หันหน้ามองเพื่อนด้วยความสงสัย แม้แต่เด็กใหม่อย่างหวังเมิ่งหวาก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นเชิงดูถูกอีกต่างหาก 

“ก็ฉันชอบก้นอะ” หมิงหยวนแสยะยิ้ม ปล่อยให้เฉินเฟยคว้าหมับเอากระดาษของตัวเองไปฉีกทิ้งด้วยความโมโห เป็นอันตัดตัวเลือกบ้าบอไปหนึ่งข้อ พยายามปรับสีหน้ามาคุยอย่างจริงจังแม้ว่ารู้สึกหน้าจะร้อนฉ่าขึ้นมาเล็กน้อย ไม่วายเอาเท้ายันคนก่อกวนที่หนีเอาตัวรอดไปทีหนึ่ง ถ้าได้ตั้งชื่อวงว่าก้นจริง ๆ แค่คิดก็สงสารพิธีกรแล้ว 

“แค่ก เอ่อ ไหนมาดูของนายสิ… แสงสว่าง? กับ...” เฉินเฟยขมวดคิ้ว จะคำนี้ก็ดี แต่แสงสว่างที่ว่ามันมีหลายความหมายด้วย แล้วของหวังเมิ่งหวาเองก็ทำให้ต้องหยุดคิดด้วยความสนใจเช่นกัน 

หัวหน้าวงกับน้องเล็กในวงช่างมีความเป็นศิลปินสูงจริง ๆ ทำเอาเขาตัดสินใจไม่ถูก 

“แล้วของพี่ล่ะ?” เป็นหวังเมิ่งหวาที่จ้องมองกระดาษเล็ก ๆ ในมือของเฉินเฟยบ้าง 

“นี่ ของนายก็ไม่ต่างจากอาหยวนเลยสักนิด” เซียวซินฝานกระตุกยิ้มมุมปาก รู้สึกไม่รู้จะพูดยังไงดีกับเพื่อนสองคนนี้ 

“ชื่อแมวฉันไม่ดีตรงไหน กั่วเอ๋อร์น่ารักจะตายไป ก็ให้เขียนสิ่งที่ชอบ ฉันก็ต้องเขียนชื่อกั่วเอ๋อร์สิ” เฉินเฟยเบ้ปากยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดกฏเสียหน่อย 

“อ๊ะ งั้นเอาของพวกนายสองคนมารวมกันไหม แบบนี้...ก็จะเหมือนอยู่บนเวทีไง มีทั้งแสง มีทั้งเสียง ฉันนี่ฉลาดจริง ๆ” 

เฉินเฟยตัดสินใจเองทันทีเพราะคิดว่านอกจากตนเองแล้วคนอื่น ๆ แทบไม่อยากออกความคิดอะไรทั้งนั้น โดยไม่ทันเห็นว่าอีกสามคนที่เหลือต่างก็ยิ้มออกมา ถึงจะไร้สาระไปนิด แต่กลับรู้สึกชอบช่วงเวลานี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

“Light & Sound” 

พวกเขามีชื่อวงอย่างเป็นทางการแล้ว 

  

  

  

  

“คืนนี้ไม่มีแสดง เราไปดื่มกันสักหน่อยไหม” หมิงหยวนเอ่ยชวนหลังจากที่นัดซ้อมช่วงเย็นเสร็จแล้ว ตอนนี้เวลาสองทุ่มนิด ๆ 

“ได้” เซียวซินฝานตอบตกลง เขาไม่ซีเรียสอยู่แล้ว หันไปคล้องคอหวังเมิ่งหวาแล้วพูดขึ้น 

“ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับละกัน ไม่ช้านะ?” 

“อืม...” ถึงจะผ่านมาเป็นเดือนแล้วก็เถอะ 

หวังเมิ่งหวาก้มหน้าพูดรับคำเสียงเบา มุมปากมีรอยยิ้มดีใจผุดขึ้นมา จากนั้นก็สะพายกระเป๋ากีตาร์ขึ้นหลังเดินตามทุกคนออกไป 

ร้านที่ไปดื่มกันก็ไม่ใช่ที่ไหน ก็คือร้านที่พวกเขาไปร้องเพลงทุกครั้งนั่นแหละ เฮ่อเหลียนเปิดโต๊ะเดิมที่ประจำของพวกเขาและเอาน้ำแข็งกับเครื่องดื่มมาลงให้เซตใหญ่โดยไม่ต้องสั่งทันที 

“ดูท่าจะชินทีเดียวนี่” เซียวซินฝานหัวเราะ จัดการชงเครื่องดื่มให้หวังเมิ่งหวา แน่นอนว่าเด็กหนุ่มแค่พยักหน้าเงียบ ๆ เป็นการยืนยันว่าตนเองสามารถดื่มได้ ไม่นานในกลุ่มก็มีอีกหลายคนเพิ่มขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ หวังเมิ่งหวารู้แต่ว่าคนอื่น ๆ ที่เข้ามาล้วนรู้จักกับพวกเซียวซินฝานเป็นอย่างดี 

“นี่ ช่วงนี้ฉันเจอหยู่เจี๋ยแวะมาที่นี่บ่อย ๆ ด้วยแหละ” หญิงสาวหน้าตาสวยดุคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ริมฝีปากสีแดงสดปล่อยควันสีขาวขุ่นซึ่งมีกลิ่นหอมเย็นออกมา จากนั้นเธอก็ก้มหน้าไปชิดกับเซียวซินฝาน แนบริมฝีปากลงไปยั่วยวนอีกฝ่ายและกระตุ้นด้วยการพูดถึงแฟนเก่าของเซียวซินฝาน 

หวังเมิ่งหวานั่งดื่มคนเดียวเงียบ ๆ ทว่าบัดนี้เบือนหน้าหนีภาพที่เห็น แต่โชคดีที่เซียวซินฝานไม่ได้คล้อยตาม ผลักอีกฝ่ายออกเบา ๆ แต่เธอก็ยังยืนกรานเข้ามานั่งเบียดใกล้ ๆ ชายหนุ่ม ชอบแกล้งชายหนุ่มเป็นนิสัยเพราะรู้ว่าเซียวซินฝานไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ก็อดจะยั่วไม่ได้ ใครใช้ให้คนคนนี้มีรอยยิ้มล่อลวงหัวใจได้ขนาดนี้กัน 

“ฉันเลิกกับเขาไปแล้ว” เซียวซินฝานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ แต่ท่าทีก็ดูหมดสนุกไปแล้วนิดหน่อย 

“เลิกกันแล้วก็ใช่ว่าจะกลับมาคบกันไม่ได้สักหน่อย ไอ้หมอนั่นมันเอาแต่ถามถึงนาย อย่ากลับไปคบกับคนอย่างมันล่ะ ไปไม่รอดละไม่ว่าถึงได้ซมซานกลับมาหานาย” 

เธอยังพูดใส่อารมณ์ กระดกเครื่องดื่มฤทธิ์แรงลงคอ เปลี่ยนจากเซียวซินฝานไปก่อกวนคนอื่น ๆ ในกลุ่มแทน 

“วันนี้พวกฉันกะจะดื่มเลี้ยงต้อนรับสมาชิกในวงฉัน เธอมาดื่มฟรีได้ยังไงห๊า” เฉินเฟยแว้ดใส่ ใบหน้าแดงเล็กน้อย โอบไหล่หวังเมิ่งหวาโยกคลอนไปตามจังหวะเพลงที่ดังรอบกาย 

“ฉันจะดื่มแล้วมันทำไมย๊ะ! อุ๊ย เด็กใหม่ก็หล่อเหมือนกันนะ ตอนอยู่บนเวทีเท่ออกจะตาย ทำไมถึงได้นั่งเงียบละหนุ่มน้อย” หญิงสาวเอ่ยแซว หัวเราะคิกคัก เริ่มเข้าไปนั่งใกล้ ๆ หวังเมิ่งหวาและคลอเคลีย หวังเมิ่งหวารู้ดีว่ารสนิยมทางเพศตัวเขาเป็นแบบไหน สุดท้ายก็ได้แต่เบี่ยงตัวเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธอย่างสุภาพเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงและอายุมากกว่า 

เซียวซินฝานดึงหวังเมิ่งหวาให้มานั่งด้านข้างตนเอง กำลังจะบ่นใส่หญิงสาวห้ามมาเกาะแกะวุ่นวายกับเด็กในวงของตนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าใครบางคนเดินเข้ามาทักทาย 

“อาฝาน...” 

“ว้าว ยังกล้ามาทักแฮะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาเสียงดังไม่ไว้หน้าหยู่เจี๋ยที่หน้าซีดเผือดเมื่อโดนแขวะซึ่งหน้า 

“มีธุระอะไร” เซียวซินฝานแววตาไหววูบเล็กน้อย ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 

แต่เมื่อเห็นหยู่เจี๋ยไม่ตอบก็เพราะอีกฝ่ายกำลังมองมือของเซียวซินฝานที่ยังจับแขนของหวังเมิ่งหวาเอาไว้ มันเกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ เซียวซินฝานค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากแขนของเด็กหนุ่มและเอ่ยถามอีกรอบ 

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็กลับไปซะ...” 

“อาฝาน ฉันขอโทษ ฉันขอคุยกับนายเป็นการส่วนตัวได้ไหม” 

เซียวซินฝานมองหน้าหยู่เจี๋ยสักพัก ไม่มีใครเดาออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินนำออกไปหาที่เงียบ ๆ คุยกัน 

“หืม? พ่อหนุ่ม หน้าตาไม่ดีเลยนะ ไม่พอใจเหรอ?” 

หวังเมิ่งหวามองหญิงสาว เธอกำลังจ้องหน้าเขาระยะประชิดแล้วยิ้มเหมือนดูออกถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเซียวซินฝาน 

“ผมไม่มีสิทธิ์รู้สึกแบบนั้นหรอก” 

“นายจะบ้าเหรอ หัวใจคนนะ เกี่ยวอะไรกับมีสิทธิ์ไหม มันห้ามไม่ให้รู้สึกได้ยังไงกัน” 

“...” หวังเมิ่งหวามองหน้าเธอคนนั้น หญิงสาวหันกลับไปแกล้งพวกเฉินเฟยต่อและกลับโต๊ะของตัวเองโดยไม่ลืมคว้าขวดเครื่องดื่มกลับไปด้วยอีกขวด 

“จะพักผ่อนก็ไม่ให้ได้หยุดเครียดเลยแต่ละวัน อ้อ… นายคงไม่รู้จักหมอนั่นสินะ เจ้านั่นชื่อหยู่เจี๋ย มือกีตาร์คนก่อนวงเราน่ะ” หมิงหยวนบอกพลางคว้าเอากับแกล้มส่งเข้าปาก สายตายังมองตามหลังทั้งสองคนที่เดินหายไปทางหนึ่ง 

“อันที่จริงก็คงต้องพูดว่าเป็นแฟนเก่าอาฝานด้วยแหละ” เฉินเฟยพูดเสริม แต่พอเห็นสีหน้านิ่ง ๆ ของหวังเมิ่งหวาก็ต้องเป็นฝ่ายแปลกใจแทน 

“ผมรู้” 

“อ้าวเหรอ? แล้วนายรู้ได้ยังไง” 

“เคยเห็น” 

หวังเมิ่งหวาตอบสั้น ๆ รู้สึกไม่สบอารมณ์และยกเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นมาดื่มไม่เกรงกลัวว่าจะเมาคอพับสักนิด 

“ก็นะ อาฝานเองก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จัก…” 

เฉินเฟยพึมพำ พวกเขาเริ่มดื่มไปเรื่อย ๆ เซียวซินฝานก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมา หวังเมิ่งหวาเองก็รู้สึกว่าจะไม่ไหวในหลาย ๆ ความหมาย จึงลุกขึ้นปล่อยให้คู่รักลับ ๆ อย่างหมิงหยวนกับเฉินเฟยนั่งจู๋จี๋กันไป 

หวังเมิ่งหวาเดินออกจากคลับใต้ดินขึ้นมาสูดอากาศที่ก็ไม่ได้บริสุทธิ์นักของเมืองหลวงแห่งนี้ มีหลายคนอยากเข้ามาทักทายชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่คนเดียว แต่ก็สัมผัสได้ถึงกำแพงความเฉยชาที่มีต่อคนรอบข้างได้ดีจึงไม่กล้าที่จะมีใครเข้ามาคุยกับหวังเมิ่งหวาสักนิด 

สักพักเสียงข้อความก็แจ้งเตือนขึ้นมา หวังเมิ่งหวากดอ่านดูแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบกลับ เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วยืนอยู่อย่างนั้น กำลังคิดอยู่ว่าจะเรียกแท็กซี่กลับเองดีไหม กระเป๋ากีตาร์ก็ฝากไว้ในรถของเซียวซินฝานแทน ยังไงพรุ่งนี้ก็เจอกันที่ห้องซ้อมอยู่ดี 

เมื่อตัดสินใจได้ หวังเมิ่งหวาก็เดินออกไปริมถนน กะว่าจะรอรถแท็กซี่ผ่านมาสักคันค่อยโบกเรียกเพราะขี้เกียจเรียกผ่านโทรศัพท์ และอยากใช้เวลาเอื่อยเฉื่อยอยู่อย่างนี้ แต่สายตาก็ไปเห็นชายสองคนที่เดินอยู่ด้วยกันไกล ๆ แค่เสื้อผ้าหรือรองเท้า หวังเมิ่งหวาก็จำได้ดีว่าเป็นเซียวซินฝาน ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะออกมาข้างนอกไกลขนาดนี้ เซียวซินฝานเองก็ชะงักเมื่อเห็นเด็กใหม่ที่นอกร้าน จู่ ๆ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา 

มีแท็กซี่ขับเข้ามาจอดที่หน้าร้านพอดีและคงเพราะเซียวซินฝานเรียกแท็กซี่ไว้ หวังเมิ่งหวามองเซียวซินฝานที่ยืนส่งคนรักเก่าขึ้นแท็กซี่ แต่ฝั่งนั้นไม่วายยื่นหน้ามาจูบกับร่างสูงพร้อมกับแอบมองมาทางหวังเมิ่งหวาเล็กน้อย สายตานั้นแสดงออกชัดเจนว่ามองออกถึงสถานการณ์ของเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา จงใจแสดงออกชัดเจนว่าความสัมพันธ์พวกเขายังตัดกันไม่ขาด เมื่อพอใจขึ้นรถแท็กซี่จากไป เล่นเอาอารมณ์ที่กักเก็บไว้ของเด็กหนุ่มมันแทบจะปะทุออกมา 

“กลับไปคบกันแล้วเหรอ?” 

ไม่สิ มันเหลืออดแล้วต่างหากถึงได้พูดแบบนั้นออกไป 

“ทำไมเหรอ? ฉันเองก็ยังคิดถึงเขาอยู่ ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปคบกันอีกครั้ง” 

“งั้นก็ยินดีด้วยนะ” 

หวังเมิ่งหวาเอ่ยประชด น้ำเสียงแข็งทื่อจนเซียวซินฝานรู้สึกได้ ดวงตาเรียวสบตากับสายตาหวั่นไหวของหวังเมิ่งหวา ก่อนจะถอนหายใจและเดินเข้าไปใกล้ร่างบาง กลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรงแตะจมูกจึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าดื่มมาไม่น้อย เซียวซินฝานพอจะเข้าใจว่าตัวเขาออกมานานเกินไปจริง ๆ 

“ฉันไม่ได้กลับไปคบกับหยู่เจี๋ยหรอก…” ก็ไม่รู้ว่าจะบอกไปทำไม แต่สีหน้าร่ำ ๆ จะร้องไห้ของเด็กมันทำให้เซียวซินฝานไม่สบายใจเล็กน้อย 

แค่… เล็กน้อยเท่านั้น 

“...” 

“กลับไหม? เดี๋ยวไปส่ง” 

“อื้ม” 

หวังเมิ่งหวาพยักหน้า ชั่วขณะหนึ่งรู้ว่าน้ำเสียงตัวเองไม่มั่นคง เดินขึ้นรถตามเซียวซินฝานไปอย่างว่าง่าย พอได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ได้กลับไปคบกับแฟนเก่า ร่างกายที่ไม่รู้ว่าตึงเครียดตั้งแต่เมื่อไหรเริ่มผ่อนคลาย ตอนเดินตามก็โซเซเล็กน้อย ดวงตาหรี่ปรือและฝืนตัวเองไม่ให้หลับ เซียวซินฝานเลยเปิดประตูรถให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็เดินเข้าไปนั่งอย่างเรียบร้อย แต่ริมฝีปากที่จิ้มลิ้มเล็ก ๆ นั่นเม้มปากราวกับไม่พอใจอยู่บ้าง 

เซียวซินฝานหลุบตาลง รู้สึกแปลก ๆ ในใจกับภาพที่เห็นแต่ก็แค่ส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ ด้วยอีกฝ่ายเด็กกว่าหลายปีเลยไม่ถือสาความเอาแต่ใจของหวังเมิ่งหวา ก่อนออกรถก็ส่งข้อความให้กับเพื่อนสนิทอีกสองคนเพื่อบอกไว้ก่อนว่าพาคนกลับ ไม่รู้ว่าจะมีใครได้อ่านข้อความไหม กลัวว่าพวกนั้นจะมัวแต่ดื่มกันจนเมาจึงได้ฝากฝังบอกเฮ่อเหลียนคอยช่วยดูด้วยอีกที 

เซียวซินฝานเอ่ยถามร่างผอมบางที่นั่งเหม่อมองนอกกระจกรถอยู่ที่เบาะข้างคนขับ ก็ได้แต่ความเงียบเป็นการตอบกลับมาแทน หันไปมองอีกทีจึงเห็นอีกฝ่ายที่กำลังหลับตาพิงกระจกรถไปแล้ว จึงขับรถพาเด็กหนุ่มกลับมาที่คอนโดของเขาเอง นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเมิ่งหวาได้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของคนที่แอบรักซ้ำยังเมาหลับโดยไม่รู้ตัวอีก พอได้ทิ้งตัวลงบนเตียงก็เริ่มดิ้นไปมาหาท่าที่สบายซุกตัวลงกับหมอนที่มีกลิ่นอายอบอุ่นอัตโนมัติ 

เซียวซินฝานส่ายหน้า ได้แต่ปลดข้าวของวางบนโต๊ะข้างเตียงและเช็ดตัวให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียวซินฝานมองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าเรียวเล็กกับริมฝีปากจิ้มลิ้มที่มันยังบึ้งตึง ทั้งน่าเอ็นดูและน่าฉุนไปพร้อม ๆ กัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กนี่ถึงได้มีอารมณ์หลากหลายได้มากขนาดนี้ 

คนอื่น ๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหวังเมิ่งหวาหน้านิ่งไร้อารมณ์ แต่ตัวเซียวซินฝานกลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ผันแปรนับร้อยจากสายตาของอีกฝ่ายที่มักจะจ้องมองมาที่ตนเสมอ 

เมื่อจัดท่าทีให้เด็กหนุ่มที่นอนอยู่ได้หลับสบาย ตัวเขาที่เป็นผู้ใหญ่กว่ายอมเสียสละเตียงตัวเองให้อีกฝ่ายนอน ในขณะที่กำลังจะออกไปนอนที่โซฟาด้านนอก เสียงสั่นของสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นที่โทรศัพท์ของคนที่ไม่ได้สติ เมื่อคิดได้ว่าอาจจะเป็นคนในครอบครัวของเด็กคนนี้รึเปล่าจึงจะกดรับแทน แต่ปลายสายกลับไม่ได้รอ ชิงตัดสายทิ้งไปก่อนและส่งข้อความเข้ามาแทน 

เซียวซินฝานจ้องมองโทรศัพท์อีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นสักพัก ไม่ได้แตะอะไรอีกก็ออกจากห้องนอนไปทันที เป็นอีกหนึ่งคืนที่เกิดเรื่องราวหลาย อย่างขึ้น ทั้ง ๆ ที่ดื่มมาพอสมควรแท้ ๆ แต่กลับข่มตานอนไม่ลงเลยทั้งคืน… 

 

  

หมิงหยวนดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมถึงไหล่ของเฉินเฟย กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ปล่อยให้คนที่อ่อนเพลียนอนหลับไปก่อนหลังจากที่เหนื่อยล้ามาทั้งคืน ส่วนตัวเองคว้าอาโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความที่เซียวซินฝานส่งมาให้ พิมพ์ตอบกลับไปไม่กี่คำก็กดเข้าไปดูเพลงก่อนนอน แต่กลับปลุกความสนใจจากคนที่นอนอยู่แทน 

“ทำไมยังไม่นอน” 

“เดี๋ยวจะนอน” 

“ปิดซะ ฉันนอนไม่หลับ” เฉินเฟยบ่นออกมาพร้อมกับพลิกตัวเอาผ้าห่มขึ้นคลุมหัว อาการกึ่งบังคับกึงแง่งอนทำให้หมิงหยวนยอมทิ้งโทรศัพท์แล้วปิดไฟ คว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดอีกรอบ 

“นอนแล้ว” 

“เมื่อกี้เห็นตอบข้อความ ใคร?” 

“ไหนบอกจะนอน?” หมิงหยวนเอ่ยแซว 

“…” 

“ซินฝาน หมอนั่นพาเจ้าหนูหวังไปส่งแล้ว” 

“อืม” 

“ฉันว่าเราเลิกทำแบบนี้เถอะ บอกหมอนั่นไปตามตรงได้แล้ว เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” 

“ฉันรู้ แต่ฉันแค่คิดว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ อีกอย่าง เราจะปล่อยให้อาฝานเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” 

“ก็ได้ พวกเราก็อยู่ข้างหมอนั่นมาตลอดนี่นะ รอแค่ไหนก็ได้ ฉันแล้วแต่นาย” 

“ว่าง่ายดีจังนะแบบนี้” เฉินเฟยพลิกตัวหันหน้ามาซุกกล้ามอกแน่น ๆ ของหมิงหยวน มุมปากยิ้มขึ้นมาด้วยความผ่อนคลาย 

“ดีใจซะเถอะ ฉันตามใจแค่นายเท่านั้นแหละ” 

“อื้อ” 

 

 

  

หวังเมิ่งหวาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมานอนห้องคนอื่นโดยไม่รู้ตัว และซ้ำยังเป็นห้องของเซียวซินฝาน เมื่อรีบลุกขึ้นมองซ้ายขวา เก็บของตัวเองแล้วออกไปนอกห้องนอน จึงได้เห็นเซียวซินฝานกำลังทำกับข้าวอยู่ที่ห้องครัว 

“เอ่อ…” 

“ตื่นแล้วเหรอ? ไปล้างหน้าแล้วมากินข้าวก่อนสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง” 

“อืม” 

หวังเมิ่งหวาหน้าแดง รีบหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอนอีกรอบ เซียวซินฝานยังมีท่าทีปกติเหมือนเดิม แสดงว่าหลังจากที่ตนเองเมาหลับไปก็ไม่น่าจะพูดอะไรออกไปโดยไม่รู้ตัว 

เมื่อตั้งสติมองไปรอบ ๆ ก็มีโอกาสได้สังเกตห้องนอน นัยน์ตาคมจ้องมองรอบ ๆ ด้วยความสนใจ เห็นว่าห้องของเซียวซินฝานนั้นเรียบง่าย โทนอบอุ่น และมีกลิ่นอายของผู้ใหญ่ที่เข้าหาง่ายอยู่ด้วย อืม ติดจะแก่นิดหน่อยด้วย ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าเป็นนักร้องสักคน ดูเหมือนห้องของนักธุรกิจมากกว่า 

หวังเมิ่งหวาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพัก เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้วจึงเข้าไปที่ห้องครัว เซียวซินฝานตักข้าวใส่ถ้วยให้พอดี นอกจากจะได้มาที่นี่โดยไม่ตั้งใจ ยังได้ทานอาหารทำเองของเซียวซินฝานอีกด้วย 

“อร่อยไหม?” 

“อืม…” 

“นายทำอาหารเป็นไหม?” 

“เอ่อ… นิดหน่อย” 

“ไว้คราวหน้าก็ทำให้ฉันกินบ้างละกัน ถือว่าติดฉันหนึ่งครั้งละกันนะ” 

“ผมทำได้ แต่ไม่รับประกันว่ากินได้นะ” 

“งั้นก็ติดไปเรื่อย ๆ จนกว่าฉันจะกินได้นั่นแหละ” 

“ก็ได้… ยังไงก็ไม่ใช่ผมที่กินสักหน่อย” 

หวังเมิ่งหวาก้มหน้าลง พึมพำเสียงแผ่วเบากับตัวเอง แทบจะมุดเข้าไปในถ้วยข้าวแล้วถ้าทำได้ เซียวซินฝานทำกับข้าวเป็น ซ้ำยังอร่อย นี่เป็นอีกเรื่องที่หวังเมิ่งหวาได้รู้จักอีกฝ่ายเพิ่มขึ้น 

เมื่อทานข้าวเช้าด้วยกันเสร็จเรียบร้อย หวังเมิ่งหวาก็เตรียมตัวกลับตามที่คิดไว้แต่แรก รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาจนไม่รู้ตัวว่าบนหน้าประดับรอยยิ้มร่าเริงแต่เช้า แต่พอเข้าไปนั่งในรถ รออยู่นาน เซียวซินฝานก็ไม่สตาร์ตรถสักที มีแต่ความเงียบที่เข้าครอบงำจนเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ 

“หวังเมิ่งหวา…” 

“...” 

“คุณชายรองตระกูลหวังต้องการอะไรเหรอ? ทำไมถึงทำแบบนี้” 

“…” 

หวังเมิ่งหวานิ่งไป มือที่กำแน่นคล้ายจะไม่มีแรงขึ้นมา ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจที่รายล้อมรอบกายก่อนหน้าเลือนหายไปหมด ความทรงจำที่ทำให้มีความสุขในตอนเช้านั้นไม่ช่วยอะไรเลยในตอนนี้ หวังเมิ่งหวาก้มหน้าลง ลึก ๆ ก็มีความโล่งใจเหมือนกัน เพราะในที่สุดตัวเองก็ไม่ต้องทนอึดอัดแบบนี้… 

“ผมแค่ชอบคุณ… มันแปลกเหรอที่ผมจะมาอยู่ตรงนี้” 

“แปลกสิ ที่นายเป็นคนสั่งให้ค่ายติดต่อเรามา… นายว่ามันจะไม่แปลกเหรอ” 

“…” 

“ทำแบบนี้ทำไม ทั้งครั้งแรก… ทั้งครั้งที่สอง สั่งให้คนไปเกลี้ยกล่อมหยู่เจี๋ยเพื่อดึงพวกเราเข้าวงการ นายทำไปทำไม” 

“…” 

“คุณชายหวังมีเวลาว่างมากเลยเหรอ?” 

“เปล่า…” 

“งั้นทำไม…” 

“ผมแค่ชอบคุณ ชอบมาก ๆ ... แค่อยากเห็นคุณร้องเพลง แค่อยากเห็น อยากมอง อยากฟังเสียงของคุณ ให้ทุกคนได้รู้จักคุณ…” 

“ฉันไม่เคยต้องการของพวกนั้น…” 

“ผมรู้! แต่มันก็สายไปแล้ว ผมแค่อยากสนับสนุนคนที่ผมรัก มันกลับทำให้คุณเดือนร้อน กลายเป็นสิ่งที่คุณไม่ชอบ ทำให้ทุกอย่างพัง…ฮึก… ผมไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ ไม่ได้อยากให้คุณรู้สึกแย่กับมันแบบนี้...” 

เซียวซินฝานสตาร์ตรถ ค่อย ๆ ขับไป ทั่วทั้งคันรถมีเพียงเสียงสะอื้นกลั้นน้ำตาของเด็กหนุ่ม แม้เซียวซินฝานอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พูดออกไปแล้วมันจะดีหรือไม่ แต่ในตอนที่ไม่ทันระวัง เมื่อรถจอดที่หน้าตึกห้องซ้อมเดิมประจำของพวเขา หวังเมิ่งหวาก็ลงจากรถและเอากีตาร์ของตัวเองวิ่งหายไปอีกทางทันที 

เซียวซินฝานอยากจะรั้งเด็กหนุ่มให้คุยกันต่อ แต่พอเห็นแววตาตัดพ้อและแดงระเรื่อรื้นน้ำตาของอีกฝ่ายก็ไม่กล้า 

ชายหนุ่มยืนพิงรถตัวเองอยู่หน้าตึกทั้งอย่างนั้น จุดบุหรี่พ่นควันสีขุ่นออกมา นาน ๆ ทีจะต้องพึ่งพานิโคตินเพื่อขับไล่ความเครียดที่ปรากฏออกมา แต่ในหัวก็นึกถึงใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตานั่นไม่หยุด 

“อาฝาน…” 

“…” เซียวซินฝานไม่ตอบผู้ที่มาใหม่ ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ได้ 

หยู่เจี๋ยเม้มปาก จะเอื้อมมือไปแตะมืออีกฝ่าย แต่น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเซียวซินฝานก็เอ่ยขึ้นมา 

“อย่าแตะตัวฉันอีก ฉันกับนายไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว” 

“อาฝาน ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว…” 

“เปล่า นายไม่ได้ผิดอะไรหรอก… ไม่ได้ผิดเลย” 

เซียวซินฝานทิ้งก้นบุหรี่ที่เหลือลงถังขยะใกล้ ๆ สำหรับทิ้งบุหรี่โดยเฉพาะ หันกลับมามองแฟนเก่าของตัวเอง รับรู้ได้ว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มีนั้น มันไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายแล้วจริง ๆ 

“งั้น… งั้นเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม…” 

“หยู่เจี๋ย ที่ฉันบอกว่านายไม่ผิดเลยนั่นมันหมายถึง ไม่ผิดที่นายอยากจะเป็นนักร้องจริงจัง อยากจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง แต่นั่นก็ทำให้ฉันรู้ว่าเราคิดต่างกัน” 

“…” 

“กลับไปเถอะ เดี๋ยวหมอนั่นจะโกรธเอา” 

เซียวซินฝานยิ้มออกมา ทว่าแววตากลับไม่มีความอ่อนโยนเหลืออยู่แล้ว เวลาเอ่ยถึงน้องชายของตนเองก็มีเพียงสีหน้าเรียบเฉย รอยยิ้มนั้นส่งไปไม่ถึงดวงตา หยู่เจี๋ยได้แต่ก้มหน้าลง อยากจะร้องไห้แต่ก็เพราะทำตัวเอง ยิ่งพูดถึงเซียวเย่หลันคนนั้นสีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่ เซียวเย่หลันกำลังโด่งดัง แต่ตัวเองไม่อาจแสดงตัวในวงการได้เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะฐานะคนที่คบหาหรือแม้แต่เด็กปั้นในสังกัดเล็ก ๆ อยู่ข้าง ๆ เซียวเย่หลันที่เอาแต่บอกทุกคนว่าหยู่เจี๋ยคือผู้จัดการส่วนตัว 

“อาฝาน… ฉันขอโทษ ฉัน…” 

“กลับไปเถอะ ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นสิ่งที่นายเลือก” 

หยู่เจี๋ยเสียใจ เสียใจจริง ๆ ไม่คิดมาก่อนว่าเซียวซินฝานจะใจแข็งและไม่พอใจถึงขนาดนี้ เขาคิดว่าหากมีความรักมารั้งเขาเอาไว้ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะทำเพื่อกันบ้าง และรู้ดีว่าความสามารถของเซียวเย่หลันยังไม่เท่าเซียวซินฝานด้วยซ้ำ แต่วันนี้เซียวซินฝานไม่เปิดโอกาสให้ตนอีกแล้ว จึงได้แต่หันหลังกลับราวกับคนหมดหวัง 

ส่วนเซียวซินฝานก็ยังอยู่ที่เดิม 

เซียวซินฝานกลับต่างกัน ความคิดของพวกเขาสวนทางกันเกินไป ตัวเขาอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว และยิ่งไม่อาจทนรับการเลือกปฏิบัติจากค่ายได้ แถมล่าสุดเพิ่งมารู้ความจริงเรื่องทุกอย่าง เอาความไม่พอใจที่เก็บไว้ไปลงกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งจนอีกฝ่ายร้องไห้หนีไป แค่นี้ก็ไม่รู้จะจัดการตัวเองยังไงดีในตอนนี้ 

เซียวซินฝานก้มหน้าลง หัวเราะสมเพชตัวเองเล็กน้อย ความรักก็ไม่ยืดยาว แต่เขาก็มองออกว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่วันแรกที่เด็กคนนั้นก้าวเข้ามา แววตาที่จ้องมองมาที่เขานั้นไม่เคยปิดบังความคิดของเจ้าตัวได้เลย วันนี้หวังเมิ่งหวาคนนั้น คนที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง ๆ ไม่ยอมยิ้มและมีเพียงความเงียบรอบกาย คนที่ดูเข้มแข็งเก่งกาจคนนั้นกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลต่อหน้าเขา เอ่ยพูดออกมาชัดถ้อยชัดจำคำว่ารักเขา… 

ตัวเขาเกล้าไปบอกให้หยู่เจี๋ยไปในทางที่ตนเองเลือก แต่กลับไม่กล้าเดินไปในทางที่ตนเองเลือกเสียอย่างนั้น 

 

 

  

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป 

  

หมิงหยวนกับเฉินเฟยมองหน้ากันอย่างอึดอัด สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เป็นเฉินเฟยที่เก็บกีตาร์เบสของตัวเองแล้วหันไปคว้าเก้าอี้เดี่ยวขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เพื่อนสนิทของตนเองที่นั่งเหม่อมาได้สักพัก 

“อาฝาน” 

“…” 

“ช่วงนี้ไม่เห็นจะอยู่ในโลกส่วนตัวเลยนะ อันนี้ไปโลกไหนแล้วละเนี่ย” 

“อื้อ” 

ยังมีหน้ามาเหม่อครางรับหน้าตาอึน ๆ อีก 

หมิงหยวนเคาะไม้กลองเล่นไม่กี่ที สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินมานั่งอีกฝั่งข้าง ๆ เซียวซินฝานอีกคน แม้ว่าจะโดนเพื่อนนั่งประกบซ้ายขวากดดันคาดคั้น แต่เซียวซินฝานยังหลุดไปอีกมิติหนึ่งได้อย่างง่ายดาย 

“นี่ นายไปทำอะไรให้เด็กมันหายไปนานขนาดนี้” 

“อืม…” 

“อื้ม? อืมอะไรของนาย ทำไมเสี่ยวหวังไม่มาซ้อมล่ะ? อย่าบอกนะว่าออกจากวงไปทั้งอย่างนั้น??” 

เฉินเฟยโมโห ถามอออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด 

เซียวซินฝานหัวเราะ หันไปมองเพื่อนทั้งสองคนแล้วยักไหล่ 

“ไม่รู้สิ ฉัน…ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะออกจากวงรึเปล่า จะกลับมารึเปล่า” 

“งั้นคืนนั้นนายได้พูดอะไรกับเสี่ยวหวัง? ไม่งั้นทำไมเจ้าเด็กนั่นไม่มาซ้อมแล้วล่ะ อีกไม่นานจะเริ่มแข่งแล้วนะ” 

“อ้อ…” เซียวซินฝานนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาไปลงทะเบียนขึ้นแสดงคอนเสิร์ตกับกิจกรรมของคลับไปแล้ว ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อย พยายามสลัดความรู้สึกสับสนที่มันพลุ้งพล่านอยู่ในอกหลายวันออกไป แต่สุดท้ายก็แค่ย้ายที่แล้วไปนั่งเหม่ออีกรอบเท่านั้น 

ปกติสิ่งที่เซียวซินฝานทำบ่อยที่สุดคือการฮัมเพลงหรือเลือกเพลงที่จะร้อง อยู่ในโลกส่วนตัวที่มีแต่เสียงเพลง แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าแม้แต่วิญญาณก็ไม่อยู่ในห้องซ้อม เอาแต่เหม่อมองออกไปไกลเหมือนไม่มีกะจิตกะใจจะตั้งสมาธิแม้แต่นิดเดียว 

หมิงหยวนหงุดหงิด เอ่ยถามไปตามตรงกับเพื่อนสนิทเป็นการตัดสินใจที่จริงจัง 

“เซียวซินฝาน พวกฉันเป็นเพื่อนของนายรึเปล่า หลายครั้งที่นายรับผิดชอบทุกอย่างไว้คนเดียว ทั้งเรื่องทำวงกับค่ายครั้งก่อน ทั้งเรื่องของหยู่เจี๋ย หรือว่าวันนั้นนายตัดสินใจจะกลับไปคบกับหยู่เจี๋ยอีก” 

เซียวซินฝานก้มหน้าลง ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา 

“ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ครั้งแล้วครั้งเล่า… ฉันเคยพยายามทำให้เต็มที่ ในตอนที่ได้คบกับหยู่เจี๋ย ฉันรู้ตัวว่าตัวเองเหนื่อยจะรั้งหมอนั่นเอาไว้ ฉันแค่โกรธที่ไม่อาจทำให้สิ่งที่หมอนั่นต้องการเป็นจริงได้ จึงได้ปล่อยให้หมอนั่นไปตามทางที่เลือกซะ” 

“…” 

“หรือแม้แต่กับน้องชายของฉันเองก็ตาม ฉันแค่โกรธที่ครอบครัวสนับสนุนน้องชายมากกว่าฉัน ก็เลยพาลที่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา แต่พอรู้ตัวอีกที ข้างกายฉันก็มีแค่การร้องเพลง พวกนาย มีแค่นี้… แล้วฉันก็ไม่อยากจะเสียอะไรไปอีก” 

“อาฝาน…” 

เฉินเฟยกับหมิงหยวนรู้เพียงผิวเผินว่าเซียวซินฝานออกมาทำวงกับพวกเขา ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวที่คอนโด ไม่ได้อยู่บ้านกับครอบครัว แต่ไม่เคยรู้ว่าที่ผ่านมาทางครอบครัวของเซียวซินฝานสนับสนุนหรือไม่ รู้ว่าเซียวซินฝานมีน้องชาย แต่ก็เพิ่งรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อนมากขนาดไหน 

“จนเด็กนั่นเข้ามา… ฉันถึงได้รู้ว่าโอกาสที่ผ่านมาที่เราเคยได้รับมันมาจากเจ้านั่น… หวังเมิ่งหวา คุณชายรองตระกูลหวัง เป็นเด็กคนนั้นที่ทำให้เราได้ทำสัญญากับค่าย” 

“หะ ห๊ะ?” 

เฉินเฟยคิ้วกระตุก จากนั้นก็พึมพัมชื่อหวังเมิ่งหวาก่อนจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดยิก ๆ ข้อมูลที่เจอก็ทำเอาอ้าปากค้าง 

หวังเมิ่งหวา ลูกชายคนรองตระกูลหวัง ตระกูลที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักในค่ายเพลงยักใหญ่อย่าง WDJ Entertainmemt ติดหนึ่งในสิบอันดับค่ายเพลงในประเทศที่มีรายได้มากมายและมีศิลปินในค่ายทำเพลงยอดฮิตมากมายในประเทศ อีกทั้งลูกชายคนโตและลูกสาวคนเล็กของตระกูลหวังเองก็เป็นศิลปินในวงการเพลง มีเพียงลูกชายคนรองที่เรียนมหาลัยอยู่และเคยเป็นเด็กฝึกในค่ายที่ต่างประเทศด้วย แต่กลับมาเรียนต่อในประเทศและยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเข้าวงการหรือไม่ 

แม้ว่าค่ายเพลงที่พวกเขาเซ็นสัญญาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ค่ายเพลงหลักของ WDJ แต่ก็เป็นค่ายที่เซ็นสัญญาจัดหาศิลปินให้กับทางนั้นด้วยเหมือนกัน 

หมิงหยวนเอาไม้กลองดันหัวตัวเอง ถอนหายใจออกมา 

อันที่จริงหน้าตาหล่อเหลาของเด็กนั่นก็ออกจะเด่นและดูคุ้นตา แค่ค้นหาชื่ออีกฝ่ายก็เจอในเว็บมากมาย จะว่าเด็กนั่นปิดบังตัวตนก็ไม่ใช่เพราะไม่ได้ปิดบังชื่อตัวเอง แต่พวกเขาแค่ไม่ได้สนใจอะไรเลยต่างหาก 

“แล้วไง?” หมิงหยวนเอ่ยถาม จะบอกว่าหวังเมิ่งหวาเข้ามาเพราะมีเป้าหมายก็ไม่เข้าใจเช่นกัน พวกเขาเป็นนักร้องใต้ดินที่มีอิสระเป็นของตัวเอง เลือกที่จะออกมาเพราะเป็นการตัดสินใจของพวกเขาเอง 

“หมอนั่นทำไปเพราะชอบฉัน” 

“เหรอ ก็ดีนิ” หมิงหยวนยังเอ่ยรับคำราวกับไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน 

เฉินเฟยทรุดนั่งอย่างเหนื่อยใจ ไม่คิดว่าคนรักตัวเองจะทึ่มแบบนี้ 

“นี่ แล้วเพราะว่า พอนายรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพราะเด็กนั่น ตัวเองก็เลยหนีไปไม่มาพบพวกเราอีก?” 

“ก็… จะว่างั้นก็คงได้” 

เซียวซินฝานพึมพัม ภาพหวังเมิ่งหวาที่ตาแดงก่ำกลั้นน้ำตาก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง สลัดทิ้งออกจากหัวก็ไม่ได้ 

“ชอบนายแล้วทำแบบนี้ผิดตรงไหนวะ? เด็กนั่นมองออกง่ายจะตายว่าชอบนาย แทบจะเขียนติดหน้าผากด้วยซ้ำว่าเป็นแฟนคลับนาย” 

หมิงหยวนยังจำได้ว่าพวกเขาเอ่ยถามอะไร เด็กนั่นก็ถามคำตอบคำ แต่พอได้นั่งเอาหัวติดกับเซียวซินฝาน ไม่ว่าหัวหน้าวงตัวเองจะถามอะไร ทั้งพยักหน้าทั้งตอบคำถามได้หมด หวังเมิ่งหวาพยักหน้าตอบรับเป็นไก่จิกข้าวสารเลยก็ว่าได้ 

“ฉันรู้ ถ้าฉันไม่รู้ก็คงโตมาเสียเปล่าแล้ว” 

เซียวซินฝานหัวเราะ แม้ตอนแรก ๆ จะอึดอัด แต่เพราะความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้มันดูบริสุทธิ์และไม่มีเจตนาร้ายต่อตัวเขา ที่ผ่านมาจึงได้พูดคุยกับหวังเมิ่งหวาและเอ็นดูอีกฝ่าย พยายามมองข้ามสายตานั้นไปเสีย 

“แล้วนายล่ะ นาย… ชอบเจ้านั่นไหม?” 

เฉินเฟยถาม ลอบมองสีหน้าของเพื่อนสนิทตอนที่ได้ยินคำถามนี้ 

ปฏิกิริยาดูรุนแรงแปลกตาสำหรับพวกเขาที่เป็นเพื่อนกันมานานมาก เซียวซินฝานยกมือขึ้นมาปิดปาก ตกใจกับคำถามนี้เหมือนกัน แต่แล้วก็ถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า และนี่ทำให้เฉินเฟยห่อเหี่ยวหมดอารมณ์ขึ้นมาทันที 

“ฉันอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว แค่ตอนหยู่เจี๋ยก็พอแล้วละ ฉันไม่อยากไปรั้งอนาคตของใครอีกแล้ว” 

“ไม่ใช่ว่านายไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเองที่ว่าห้ามคบกันเองในวงใช่ไหม?” 

“หึ ไม่ใช่หรอก ไม่อย่างนั้นฉันคงโวยวายไปนานแล้วที่พวกนายแอบคบกันนะ” 

“เหรอ เอ๊ะ?” เฉินเฟยหันขวับไปมอง เซียวซินฝานเหล่ตามองเพื่อนอีกสองคน พึมพัมเสียงน้อยอกน้อยใจเป็นการล้อเลียน 

“แต่ก็ไม่บอกฉัน มันก็น่าโมโหเหมือนกันนะ” 

“ฉะ ฉัน ฉัน… นาย นายรู้…” 

“รู้ได้ยังไง พวกนายแอบจูบกันกี่ครั้งแล้วคิดว่าฉันไม่รู้รึไง” 

“ก็ว่าอยู่ ถ้าไม่รู้คงตาบอดแล้ว” หมิงหยวนแสยะยิ้มออกมา รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เพราะจงใจทำให้เห็นไม่รู้กี่รอบ เฉินเฟยที่เอาแต่ระแวงและบ่ายเบี่ยงจะรู้ตัวเหรอว่าหมิงหยวนจงใจทำให้เซียวซินฝานเห็น แต่เพราะเจ้าตัวไม่พูดสักที ก็นึกว่าไม่เห็น แอบสงสัยมานาน ในที่สุดก็คล้ายกับปลดล็อกสิ่งที่ค้างคาใจสักที 

“นาย... นาย! เจ้าบ้านี่!” เฉินเฟยโวยวาย หน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย มือไม้ที่ไม่รู้จะทำยังไงดีก็หันไปฟาดใส่หมิงหยวนแทนเป็นการแก้เขิน 

“แต่เรื่องที่นายจะชอบเจ้าหนูหวังไหมก็ไม่เกี่ยวกับหยู่เจี๋ยนี่ หวังเมิ่งหวาไม่ใช่หยู่เจี๋ย เซียวซินฝาน… นายคงไม่ได้ฝืนความรู้สึกตัวเองใช่ไหม” 

หมิงหยวนรวบเฉินเฟยมากอดซึ่ง ๆ หน้า ไร้ซึ่งความเขินอายอีกต่อไป ส่วนเฉินเฟยนั้นแม้เจ้าตัวอยากจะโวยวายแต่ก็หันไปมองเซียวซินฝาน พวกเขาคิดเหมือนกัน ไม่ว่าจะผ่านเรื่องแย่ ๆ อะไรมาก็ตาม แต่ขอแค่พวกเขาได้ทำตามใจตัวเองมันก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้ 

“…” 

เซียวซินฝานส่ายหน้า แล้วเดินออกจากห้องซ้อมไป เป็นอีกวันที่พวกเขาผ่านไปอย่างทุลักทุเลเพราะซ้อมได้ไม่ดีพอ ซ้ำยังเปิดอกคุยกันอย่างจริงจัง เฉินเฟยก้มหน้าครุ่นคิดโดยไม่ทันได้สังเกตว่าหมิงหยวนยังกอดตนไม่ปล่อย 

“นี่ นายว่าอาฝานคิดยังไงกับเด็กนั่น” 

“จะคิดยังไง ฉันไม่ใช่เซียวซินฝานสักหน่อย จะไปรู้ความรู้สึกจริง ๆ ได้ยังไง… แต่ว่า ฉันมั่นใจ ความรู้สึกคนเรามันฝืนได้ที่ไหนกัน” 

ไม่พูดเปล่า ก็เริ่มขยับมือรุ่มร่ามบนตัวคนรัก ในห้องซ้อมที่เหลือกันแค่สองคน ซ้ำยังได้เปิดเผยความสัมพันธ์กับเพื่อนรักสักที บรรยากาศเป็นใจชวนให้ฉลองแบบนี้ หมิงหยวนก็ไม่อยากพลาดเช่นกัน 

เฉินเฟยโมโห ก่นด่าได้สักพักในห้องซ้อมแห่งนั้นก็เงียบลง เหลือเพียงกลิ่นอายความสบายใจล่องลอยในอากาศ 

 

 

 

 

  

เซียวซินฝานนั่งอยู่ในรถ กดส่งข้อความไปสักพักก็รอว่าอีกฝ่ายจะตอบมาหรือไม่ ทำใจไว้ว่าอาจจะไม่มีการตอบกลับจากหวังเมิ่งหวามา แม้จะขึ้นว่าอ่านแล้วหลังจากนั้นอีกสิบนาที แต่ไม่คิดว่าทางนั้นจะส่งข้อความกลับมาจริง ๆ 

‘ทำไมถึงไม่มา เกลียดฉันแล้วเหรอ?’  

‘เปล่า’  

เซียวซินฝานลังเลเล็กน้อยว่าจะถามต่อยังไงดี แต่มือเจ้ากรรมก็พิมพ์ถามไปต่อทันที 

‘ฉันไปเจอนายได้ไหม’  

คราวนี้เซียวซินฝานต้องรอข้อความนานถึงยี่สิบนาที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังนั่งอยู่ในรถเงียบ ๆ แต่ละวินาทีที่ผ่านไปยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นมัว เกือบจะเอาบุหรี่มาสูบสักมวน เสียงข้อความตอบกลับก็ดังมาเสียก่อน 

‘อืม’  

เซียวซินฝานไม่อยากพิมพ์อีกแล้ว ไม่อยากรอข้อความด้วย จึงตัดสินใจโทรไปทันที 

และไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทางนั้นกดรับอย่างรวดเร็วและได้ยินเสียงดังเล็กน้อยจากปลายสาย 

“หวังเมิ่งหวา” 

‘อะ…อืม’ 

“นาย…เป็นอะไรรึเปล่า?” 

‘เปล่า…’ 

“นายอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหา” 

‘ผม…อยู่ห้อง ที่JI8’ 

“รอฉันก่อนนะ…” 

‘…’ 

เซียวซินฝานไม่ได้กดวาง แต่ขับรถทั้งที่ยังคาสายไว้แบบนั้น เพราะคอนโดที่หวังเมิ่งหวาอยู่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเล็กน้อยจึงหาได้ไม่อยาก เมื่อมาถึงเซียวซินฝานจึงกดลิฟต์ขึ้นไปหาทันที เซียวซินฝานยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ยืนอยู่หน้าประตูห้องสีดำที่บอกหมายเลขห้องของหวังเมิ่งหวาเอาไว้ แต่กลับไม่กล้ากดเรียกเจ้าของห้อง ยืนลังเลอยู่อย่างนั้น 

หวังเมิ่งหวายืนอยู่หลังประตู มือยกโทรศัพท์แนบหู ได้ยินเสียงหายใจหอบเหนื่อยเล็กน้อย และภาพที่ปรากฏอยู่ในกล้องหน้าประตูคือเซียวซินฝานที่ยืนอยู่ 

หวังเมิ่งหวาเม้มปากเล็กน้อย กดตัดสายและเปิดประตูห้องทันที 

ภาพเซียวซินฝานที่เด็กหนุ่มจดจำและลอบมองทุกครั้งคือเซียวซินฝานที่สุขุมและใจเย็น ยามร้องเพลงก็จดจ่ออยู่กับห้วงอารมณ์อันลึกซึ้ง จะมีสักกี่ครั้งที่ทำท่าตกใจกับประตูที่จู่ ๆ ก็เปิดออกมาไม่ให้ตั้งตัว ดูตลกเป็นอย่างมาก 

หวังเมิ่งหวาไม่พูดอะไรเหมือนเช่นเคย เปิดประตูทิ้งไว้ให้แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ภายในห้องมีของสะสมเล็กน้อยจำพวกโมเดลเครื่องดนตรีต่าง ๆ ดูเป็นสไตล์ที่หวังเมิ่งหวาชอบและบ่งบอกถึงตัวตนเจ้าของห้อง แม้กระทั่งแผ่นเสียงและเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็ตั้งอยู่มุมห้องนั่งเล่น 

แต่ที่น่าแปลกใจคือกีตาร์ที่ยังวางพิงโซฟากลางห้องและกระดาษโน้ตเพลงอีกสองสามแผ่นที่วางอยู่ใกล้ ๆ กัน มันไม่ได้รกรุงรัง แต่สะอาดเรียบร้อยดี 

เซียวซินฝานเข้ามาเห็นภาพพวกนี้ กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้จะนั่งตรงไหนหรือเริ่มเอ่ยอะไรก่อนดี 

“คุณมีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่า หรือจะให้ผมออกจากวง…” 

ไม่พูดเปล่า กลับเป็นหวังเมิ่งหวาที่เอ่ยออกมา แม้จะพยายามทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ทว่าทุกคำที่เอ่ยไปนั้นเสียงสั่น ๆ ร่ำ ๆ จะร้องไห้อีกครั้งที่เห็นหน้าเซียวซินฝาน 

“เปล่า… ฉันแค่… อยากมายืนยันความรู้สึกของตัวเอง…” 

เซียวซินฝานนั่งลงกับพรมที่ปูอยู่กลางห้อง หยิบกระดาษพวกนั้นดูอย่างถือวิสาสะ ก็พบว่าเป็นเนื้อเพลงเดิมที่เขาแต่งค้างไว้และหวังเมิ่งหวาเอามาปรับทำนองเพิ่ม 

“ความรู้สึก…” หวังเมิ่งหวามึนงง นั่งลงกับพื้นหน้าโซฟาใกล้ ๆ กัน ก้มหน้าลงซ่อนสายตาตัวเองไม่ให้มองเซียวซินฝานเหมือนที่ผ่านมา กลัวว่าจะเห็นสายตาดูแคลนหรือไม่ชอบใจจากอีกฝ่าย 

เซียวซินฝานจ้องมองเนื้อเพลงนั้นสักพัก แล้วเอ่ยถามหวังเมิ่งหวาด้วยคำถามที่ครั้งหนึ่งเคยถามออกไป… และยังไม่ได้คำตอบให้แน่ใจสักที 

“นายร้องเพลงได้ไหม?” 

“…” 

“นายร้องเพลงให้ฉันฟังได้ไหม?” 

“อื้ม…” 

หวังเมิ่งหวาตอบไป แม้จะพยายามห้ามความรู้สึกยังไงสุดท้ายก็ยังพยักหน้าให้ เงยหน้ามองสบตากับสายตาที่จับจ้องมา เซียวซินฝานนำกีตาร์ออกมาเล่น วินาทีที่เสียงกีตาร์ดังคลอขึ้นมา ริมฝีปากเล็ก ๆ เริ่มขยับ เปล่งเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความรักออกมา มันสะท้อนอยู่ในใจเซียวซินฝานไม่มีวันลืม… 

  

หากว่าสายตาคุณเหลียวมองมาที่ผมบ้างสักนิด 

หากว่าคุณจะได้ยินเสียงใจที่แตกสลายของผม 

ได้แต่เฝ้ามองคุณเงียบ ๆ เฝ้ารอคอยปาฏิหาริย์ 

ทำให้ตัวเองเหมือนเป็นอากาศอยู่เงียบ ๆ 

  

คืนนี้ทุกคนทั้งกินทั้งคุยกันอย่างสนุกสนาน 

ตัวผมที่อยู่ในมุมหนึ่งหัวเราะไปกับทุก ๆ คน 

เหมือนกับหัวหอมที่อยู่ล่างสุดในจาน เป็นได้แค่เครื่องปรุงอยู่อย่างนั้น 

ได้แต่แอบมองคุณ แอบปกปิดตัวเองเงียบ ๆ 

  

หากคุณยินดีปลอกเปลือกหัวใจผมออกทีละชั้นทีละชั้น 

คุณจะประหลาดใจ 

ว่าตัวคุณคือความลับที่อยู่ลึกสุดในใจผม 

หากคุณยินดีปลอกเปลือกหัวใจผมออกทีละชั้นทีละชั้น 

คุณจะต้องเสียใจ ต้องเสียน้ำตา 

ขอแค่คุณได้ยินได้เห็นความรู้สึกทั้งหมดจากใจผม…. 

  

  

  

  

……. 

Fin 

Special Part 

  

หลังจากสิ้นเสียงหวานนุ่มของนักร้องหน้าสวยบนเวทีไปแล้ว เสียงกรีดดังลั่นก็ดังขึ้นมา เหล่าแฟน ๆ สาว ๆ เกาะติดหน้าเวที โบกมือให้หัวใจแทบละลายเมื่อได้ฟังเพลงแอบรักเศร้า ๆ เคล้าน้ำตา พวกเธอทั้งกรี้ดทั้งร้องไห้ แต่ยิ่งกว่านั้นยังไม่หยุด จนสตาร์ฟต้องมาช่วยแจ้งว่าวงต่อไปจะขึ้นแสดงแล้ว 

หญิงสาวหน้าตาสวยคม ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงสด เธอนั่งตักแฟนหนุ่มของเธอพลางกรีดยิ้มเล็กน้อย เห็นคลับของตัวเองมีแต่เสียงกรี๊ดจนสั่นสะเทือน จำได้ว่าเด็กคนที่เพิ่งร้องเพลงคนนั้นคือเจ้าหนูที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน 

“นี่ ๆ เจ้าหนูนั่นหน้าตาดีใช้ได้เลย นายไม่น่าปล่อยให้ลาออกไปทำวงกับพวกนั้นเลย ฉันเสียดายจัง” 

“ฉันจะเอาเด็กปฏิสัมพันธ์ติดลบอย่างหมอนั่นมาทำงานด้วยทำไม ถามคำตอบคำ เป็นดีเจให้กับร้านก็ดีอยู่หรอก หน้าเด็ก นิ่ง ๆ มองเผิน ๆ ก็เหมือนกวนโอ๊ยดี แต่เหล้าก็ไม่ยอมแตะ ลูกค้าเรียกก็ไม่สนใจ ให้ทิปหนักก็ไม่เอา หลังเลิกงานก็เอาแต่แอบมองเจ้าเซียวซินฝาน อ้าปากถามฉันแต่ละเรื่องก็เซียวซินฝานเซียวซินฝาน หงุดหงิดจะตายชัก” 

เฮ่อเหลียนเจ้าของร้านยกแก้วขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก เบ้ปากฟังเพลงจากนักร้องวงอื่นต่อ ที่คลับก็ยังคึกคักแบบเดิม แต่เหมือนสาว ๆ จะเพิ่มมากขึ้นจากกระแสแฟนคลับของวง Light & Sound เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เจ้าพวกนั้นมาถ่ายรูปประจำวงของตัวเอง พอรูปขึ้นแปะโปสเตอร์ร้านได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีแมวมองจากหลายแห่งมาติดต่อสอบถามร้านมากขึ้นยิ่งน่ารำคาญเข้าไปใหญ่ 

แล้วก็ในวง Light&Sound ยังมีนักร้องม้ามืด ก็คือเจ้าหนุ่มน้อยอดีต DJ ของร้านที่เฮ่อเหลียนไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มนั่นร้องเพลงเพราะชิบหาย ที่เรียกว่าม้ามืด ก็คือปกติจะไม่ใช่นักร้องหลักของวงอย่างเซียวซินฝาน แต่จะร้องเพลงอยู่เพลงเดียวหรือไม่ก็ร้องเพลงคู่กับนักร้องนำ ยิ่งเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ ได้มากขึ้นไปอีก 

และที่สำคัญ เจ้าเด็กนั่นบ้านรวยชิบหาย!! 

อย่างน้อยก็มีเรื่องดี ๆ หนึ่งเรื่องที่ทำให้เฮ่อเหลียนพอใจก็คือ เพิ่งเคยเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่มาวิ่งตามขอร้องนักร้องใต้ดินต้อย ๆ ให้ไปเข้าสังกัด ซ้ำหนึ่งในนั้นก็มีลูกชายเจ้าของบริษัทด้วย! เฮ่อเหลียนก็สงสัยมานานว่าหน้าคุ้น ๆ ใครจะคาดคิดว่าลูกเจ้าของบริษัทใหญ่จะมาทำวงใต้ดินกัน แล้วเขาก็ว่าจ้างพวกนั้นเป็นวงประจำของคลับไปด้วยเลย! 

คู่รักเจ้าของคลับพูดงุ้งงิ้งกันปล่อยให้วงดนตรีขึ้นแสดงรันตามคิวไปเรื่อย ๆ เป็นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและใช้ชีวิตไปตามกระแสที่ตนเลือกเดิน 

ลูกค้าสาวสองคนหน้าตาน่ารักเดินพูดคุยกันผ่านโต๊ะคนอื่น ๆ เพื่อไปเข้าห้องน้ำ ยังร่างกายกระปรี้กระเปร่า ร้อนผ่าวและใจเต้นเร็วไม่หาย ได้กรี๊ดสุดเสียงและฟังเพลงของนักร้องที่ชอบ 

“ฉันขนลุกไปหมดเลย อยากจะร้องไห้แล้วตะโกนออกไปชะมัดว่าชอบ!! นักร้องคนนั้นหน้าเด็กเป็นบ้า อยู่มอปลายรึเปล่า” 

“ไม่รู้เหมือนกันนะ อ๊ะ แต่นักร้องนำของวงก็หน้าตาดีมาก ๆ เลย พี่เขาอบอุ่นมาก สายตาที่มองมาฉันแทบละลายเลย อุ๊บ” 

จู่ ๆ สองสาวที่เดินคุยกันผ่านทางเดินที่แยกระหว่างหลังเวทีที่เป็นห้องพักและทางไปห้องน้ำ พวกเธอแทบจะกรี๊ดออกมาสุดเสียงแต่เหมือนกับโดนสาปให้เสียงหายไป ได้แต่สะกิดกันหันไปมองตรงทางเดินที่มีนักร้องวงอื่น ๆ เดินผ่านไปมาก็จริง แต่กลับมีภาพที่ดึงดูดสายตาเธอก็คือร่างสูงโปร่งของคนที่เพิ่งกล่าวถึง กำลังโอบกอดใครคนหนึ่ง ทั้งคู่แนบจุมพิตกันหวานซึ้งโดยมีเสียงโห่ขับไล่ของบรรดาเพื่อนร่วมวงการที่ถูกสาดเทอาหารหมาใส่หน้า 

เซียวซินฝานหัวเราะ แววตามีแต่ความสุขและความอบอุ่น กดหวังเมิ่งหวาให้ซุกหน้ามาในอ้อมกอดตัวเองเพราะเจ้าตัวเขินจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว 

ในขณะที่พวกเขาจะเดินกลับเข้าห้องพัก ก่อนเข้าไปก็เห็นสาว ๆ ที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ มุมปากยกยิ้มเป็นเชิงทักทายเล็กน้อย โอบหวังเมิ่งหวาที่ยังหน้าแดงไม่รู้ตัวว่ามีแฟนคลับเห็นเข้าห้องพักทันที 

สองสาวเมื่อได้สติก็ได้แต่จับมือกันกระโดดกรี๊ด ๆ อยู่หน้าทางเดินไปห้องน้ำ วิ่งกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง จับมือเป็นแฟนคลับของนักร้องที่ต้องเป็นคู่รักกันแน่ ๆ พวกเธอมั่นใจ ถ้าไม่ใช่คู่รักกันแล้วจะหวานซึ้งกันได้มากขนาดนี้เชียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้น สายตาที่พวกเขาร้องเพลงด้วยกัน มันทำให้พวกเธอสองคนรู้สึกเขินแทนจนแทบบ้าไปแล้ว 

แล้วร้านของเฮ่อเหลียนก็มีคนสั่งเครื่องดื่มเซตใหญ่อีกชุดในวันนั้น เฮ่อเหลียนอารมณ์ดีนั่งคำนวณกำไรงาม ๆ ในวันนี้อย่างมีความสุขพร้อมกับคิดว่าจะเพิ่มรอบแสดงของ Light & Sound อีกวันดีหรือไม่กันนะ… 

  

  

END 

  

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว