ราชการลับตอน 18ตุลย์กลับมาเอาคืน

สืบสวนสอบสวน

ราชการลับตอน 18ตุลย์กลับมาเอาคืน

ราชการลับตอน 18ตุลย์กลับมาเอาคืน

tchaisiri

สืบสวนสอบสวน

0
ตอน
538
เข้าชม
7
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

ต่ในเมืองเล็กๆห่างไกลออกไปจากประเทศไทย ก่อนที่หมอประกาศว่าว่าตุลย์สิ้นชีพ ที่โบสถ์แห่งคริสเตียนเพรสไปทาเรียนแห่งหนึ่งในเมืองอินเวอร์คากิล นางมาร์การ์เร็ต แอนเดอร์สันกำลังสวดมนต์ขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าจงเมตตาคืนชีวิตให้ลูกอีกคนของเธออีกคนหนึ่งในประเทศไทยได้คืนชีพกลับมารับใช้พระองค์ในฐานะลูกที่ดีบนโลกนี้ด้วยเถิด

มาร์การ์เร็ตเดินกลับมาถึงบ้าน เธอมองไปยังเด็กอ่อนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเปลเล็กสำหรับเด็กเธอหวังว่าพรจากพระผู้เป็นเจ้าจะได้รับการตอบรับเพื่อเด็กผู้หญิงคนนี้ด้วย คนซึ่งเป็นที่รักในครอบครัวแอนเดอร์สัน

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่มาร์การ์เร็ตไม่เคยคาดหวังจะได้รับเลยในชีวิตและเด็กคนนี้มาเติมเต็มชีวิตเธอเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว

                                   ................................................

..........................างเกศรีนั่งปลอบลูกสาวที่สูญเสียคู่รักเสียใจร้องให้ไม่หยุดไม่ยอมกินข้าวกินปลา

“ร้องให้มันจะได้อะไรขึ้นมา อย่างไรเสียตุลย์มันก็ไม่ฟื้น  แต่แกมันยังอยู่ ชีวิตมันต้องเดินต่อไป ทำใจนะลูกแม่ก็พูดได้แค่นี้แหละ” เธอหยุดร้องให้หันมามองแม่ เกศรีเดินมาหาพร้อมเอกสารปึกหนึ่ง

“นี่คือสิ่งที่จะทำให้แกเดินไปข้างหน้า.....แกได้หุ้นมาร์ตินแอนด์เคนเท่าไรแล้วรู้ไหม ทุกวันเกิดปู่ให้หุ้นแก5,000หุ้นทุกปีฉันก็ได้เหมือนกัน15,000หุ้นและทุกวันเกิดอีกหนึ่งพันหุ้นรวมแล้วนับอายุทั้งของแกของฉันมันแยะมากเราอาจจะอยู่ในบอร์ดด้วยนะ”เกศรีพูด

“แม่..หนูอยู่สบาย กินเงินปันผลทุกปี เวลามีโบนัสเขาก็แจกให้ผู้ถือหุ้นในตระกูลเป็นประจำอยู่แล้วหนูไม่อยากเป็นกรรมการอยู่ในบอร์ด” พิมราบอกแม่ว่าเธอไม่ชอบธุรกิจ

“ไม่ได้นะของแบบนี้มันเป็นการปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวของแก”

“หนูเข็ดตั้งแต่แม่ใช้ธุรกิจไปแข่งกับจาวิสแอนด์ดีน แม่ก็รู้ว่าเราเอาชนะเขาไม่ได้”

“ฉันทำเพื่อแกแท้ๆ เพื่อแกกับตุลย์สองคนยังจะมาบ่นอีก”

“คิมเบอร์ลี่มีเขี้ยวเล็บมาก เธอเก่งและฉลาดด้วยแล้วตุลย์ก็หนุนอยู่ข้างหลังแม่ไม่รู้หรือ”

“ฉันไม่เชื่อ ตุลย์มันจะไปรู้อะไร”

“เพื่อนๆในที่ทำงานเขารู้กันทั้งนั้นแหละแม่”

“เอาละๆไหนแกเอาใบหุ้นของแกมาดู”เกศรีซัก

พิมราเข้าไปดูในตู้เซฟที่ห้องนอน หยิบเอกสารใบหุ้นมาร์ตินแอนด์เคนมาปึกใหญ่ส่งให้แม่

“แกมีอยู่หลายพันหุ้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์ยังไปอยู่ในบอร์ดไม่ได้”เกศรีคิดว่าถ้าเธอโอนหุ้นของเธอให้ลูกพิมราก็จะมีหุ้นมากพอที่จะเข้าไปอยู่ในบอร์ดและสามารถโหวตได้ด้วยและถ้ามีเธอบงการ

มาร์ตินแอนด์เคนได้อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ดีขึ้นจากภายหลังที่ตลาดหุ้นขยับขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อขาย หุ้นบลูชิพหลายตัวขึ้นฉุดดรรชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนภายในประเทศคึกคักตามภาวะตลาดซื้อขายหุ้น

เศรษฐกิจที่ชะลอตัวเริ่มพัฒนาไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นภาคอุตสาหรรมส่งออกได้ผลดีจากหลายปัจจัยเช่นราคาน้ำมัน ต้นทุนวัตถุดิบราคาลดลง ภาคเกษตรกรรมก็ดีขึ้นจากราคาข้าวที่ได้ราคาในตลาดส่งออกที่สำคัญๆ

การเมืองไทยมีเสถียรภาพแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่ก็เป็นความก้าวหน้าไปสู่ทิศทางที่ดี

                           ....................................ภิรดีทราบข่าวร้ายเรื่องอุบัติเหตุรถที่ศิริเดชและทีมงานรถพลิกคว่ำจากพ่อของเธอรวมที่เขาถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัสนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

           เธอรีบไปโรงพยาบาลสอบถามชื่อและห้องคนเจ็บพอได้ความแล้วจึงรีบตามไปในทางที่ได้รับทราบ มีคนเฝ้าหน้าห้องผู้ป่วยเหมือนบอดี้การ์ดอยู่สองคน

“ฉันมาเยี่ยมคุณศิริเดช”

น้ำเสียงของเธอเหมือนสั่งการ

“เยี่ยมยังไม่ได้ครับ ท่านเพิ่งล้างแผล พยาบาลสั่งไว้ไม่ให้ใครรบกวน”

“งั้นฉันจะรอที่นี่ก็แล้วกัน”......จังหวะนั้นพยาบาลเปิดประตูห้องออกมาและมีเสียงคนเดินมาแต่ไกล

“เข้าเยี่ยมได้หรือยังคะ”

“ได้แล้วค่ะคุณผกามาส”พยาบาลตอบพร้อมหลีกทางให้เข้าห้องผู้ป่วย

อภิรดีขยับตัวอย่างรวดเร็ว “คุณแม่ขา ขอหนูเข้าไปด้วยคนนะคะ”

“อ้าวตุ้ม...เธอรู้ข่าวพี่เขาจากใครล่ะ”คุณผกามาสถาม

           “คุณพ่อบอกค่ะ”

ศิริเดชนอนนิ่งอยู่บนเตียงเขาเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อพยาบาลเพิ่งเข้ามาทำแผลและมีสติพอจะทบทวนเรื่องที่ผ่านมาได้บ้าง

เขาไปส่งจาฟาร์ไปหาคะดียะห์เมื่อพบตัวและได้คุยกับพ่อแม่ทั้งหมดพวกเขาก็เดินมาขอบคุณเขาและตุลย์

จาฟาร์เดินมากระซิบกับตุลย์ให้ระวังตัวเพราะพวกที่อยู่ในบาโร บาโรให้ข้อมูลว่าทางผู้นำที่บัญชาการอยู่ในต่างประเทศต้องการฆ่าทุกคนในโคซิโอขอให้ระวังตัวด้วยและให้ระมัดระวังในการเดินทางไปไหนมาไหน

ตุลย์ตอบว่ามันคงเป็นอย่างนั้นและถามว่าจะให้รอแล้วไปด้วยกันหรือจะอยู่กับครอบครัว จาฟาร์ว่าเขาจะกลับเอง

เมื่อรถพ้นตลาดออกมาและขึ้นถนนหลวงได้สักพัก ศิริเดชสังเกตว่าสองข้างทางป่ายางมีการเคลื่อนไหวผิดปรกติ มีคนซ่อนตัวอยู่และเขาเห็นปืนกับคนเตรียมยิง

“มูจาฮีดีน” เขาตะโกนบอกตุลย์แต่ไม่ทัน รถพลิกคว่ำหลังมีแรงระเบิด เขากลิ้งไปกับรถและกระเด็นออกมาได้อย่างไร เขาไม่รู้ตัว มีเสียงยิงปืนดังมารอบทิศ มารู้ตัวอีกทีบนเครื่องบินทหารหลังจากนั้นก็หมดสติไป

           “เข้ามาเถอะตุ้ม”คุณผกามาสจูงมืออภิรดีเข้ามาในห้องผู้ป่วย

ศิริเดชยิ้มกับแม่พยายามยกมือไหว้แต่ไม่มีแรง แปลกใจเห็นอภิรดีแต่เขาไม่สนใจและไม่พูดกับเธอ

อภิรดีโผเข้ากอดศิริเดชไว้

“โอ้ย” เขาร้องเสียงดัง

คุณผกามาสโดยสัญชาติญาณและตกใจกระชากอภิรดีออกมาจนเธอเกือบหกล้มเสียเอง

“ตุ้มอย่าทำอย่างนั้นอีกนะ แผลพี่เขายังไม่หายดี”

“หนูขอโทษค่ะ ลืมตัวจริงๆ”อภิรดีตอบโดยไม่ลืมยกมือไหว้คุณผกามาสและศิริเดช

หลังจากนั้นอภิรดีมานั่งเฝ้าศิริเดชถึงเตียงทุกวันโดยลางานจากมาร์ตินแอนด์เคนทำเอานาย ฉัตรชัยหัวเสียต้องหาคนมาทำหน้าที่เลขาฯไปพลางก่อน ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้เลย

ศิริเดชฟื้นตัวได้รวดเร็วหลังจากรักษาตัวอยู่สามเดือนเต็ม หมอก็บอกข่าวดีว่าร่างกายเขาได้รับการรักษาให้กลับมาใช้งานเป็นปรกติสมบูรณ์ดีเหมือนเดิมแล้ว

ศิริเดชเดินมาเยี่ยมตุลย์พบว่าเขาเข้าออกห้องผ่าตัดหลายครั้งตั้งแต่เอาลูกปืนที่ติดอยู่ในกระโหลกศรีษะตื้นๆออกและกระสุนบริเวณลำตัวออกอีกสองนัดและซ่อมแซมดามขาข้างซ้ายผ่าตีดใส่เหล็กเข้าไปในโพรงกระดูก ส่วนแขนที่บิดเบี้ยวนั้นหมอรักษาแล้วให้ใส่เฝือกไว้

“ตุลย์โชคดีมากครับแม่ เขาตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ ผมเชื่อแล้วว่าปาฎิหารย์เกิดขึ้นจริง เขาคงทำบุญมามากครับแม่ ผมดีใจที่สุดเขาเป็นเพื่อนแท้ที่หายากของผม” ศิริเดชพูดขณะที่พยายามแกะมืออภิรดีออกจากแขนของเขา

                       ......................................................

นิวซีแลนด์ 

.................เมื่อรู้ว่าตุลย์เสียชีวิต คิมเบอร์ลี่ก็ตกอยู่ในอารมณ์เศร้า หลังร้องให้ไม่หยุดระยะหนึ่งเธอกลายเป็นคนมีอาการซึมเศร้า น้ำหนักที่ลดลงและผอมอยู่แล้วก็ลดลงอีก

           หลังจากรู้ข่าวจากปีเต้อร์ ชุงว่าตุลย์จากเธอไป คิมเบอร์ลี่ปฏิเสธอาหาร....ไม่ยอมพูดกับใคร

นางมาร์การ์เร็ตวิตกที่เห็นสภาพของลูก เธอตกใจมากรีบพาลูกเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในเมืองโอ๊คแลนด์ พยาบาลพยายามรักษาโรคซึมเศร้าด้วยการพูดคุยด้วยเรื่องสบายๆหันเหตุจากเรื่องคู่รักที่เสียชีวิต

คิมเบอร์ลี่อยู่ในโรงพยาบาลเพียง สี่วันเท่านั้น

คุณโรเบิร์ตที่อยู่ริชมอนด์ก็โทรศัพท์มาที่บ้านคิมเบอร์ลี่ในโอ๊คแลนด์แล้วอ่านโทรเลขจากประเทศไทยมีข้อความสั้นๆ นางมาร์การ์เร็ตอ่านข้อความ

“ตุลย์ฟื้นจากความตาย เขายังมีชีวิตอยู่ บอกคิมเบอร์ลี่ด้วย” 

นางมาร์การ์เร็ตน้ำตาไหลกล่าวขอบคุณพระเจ้าเธอเดินออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางไปโรงพยาบาลทันที

“ที่รัก...ฟังนะลูก มีข่าวดีจากประเทศไทยพ่อเราเพิ่งได้รับโทรเลขจากเมืองไทยเมื่อกี้นี้เองว่าตุลย์ยังมีชีวิตอยู่เขาฟื้นจากความตายในโทรเลขให้บอกลูกให้รู้ด้วย”

“แม่หลอกหนูไม่ได้หรอกแม่..คนตายแล้วไม่ฟื้นหรอก”

“ได้นะลูกแม่สวดมนต์ขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ท่านตอบรับแม่เชื่อมั่นว่าตุลย์ไม่ตายและพ่อได้รับโทรเลขว่าตุลย์ฟื้นแล้ว เขามีชีวิตจริงๆ”

มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องมาร์การ์เร็ตเดินไปรับสาย สีหน้าแปลกใจ แต่ดีใจที่สุด

“พ่อโทรฯมา ต้องการจะพูดกับลูกโดยตรง”

คิมรับสายจากพ่อ รับฟังด้วยความตื่นเต้น เธอยิ้มกับข่าวที่ได้ฟังจากโทรเลขแล้วน้ำตาไหล

“แม่..แม่ไม่ได้หลอกหนู ตุลย์ยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ หนูจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้แข็งแรงจะได้ไปหาเขาที่เมืองไทย”

หลังจากมีข่าวดี คิมเบอร์ลี่ก็สุขภาพดีวันดีคืน แข็งแรงหายจากอาการซึมเศร้า กลับมารับประทานอาหารตามปรกติจนร่างกายได้สารอาหารอย่างพอเพียง นัยน์ตาที่เคยหม่นหมองบัดนี้แวววาวมีประกายฉายความหวัง

หมอและพยาบาลต่างรู้สึกแปลกใจที่คนไข้ฟื้นสภาพได้รวดเร็วเกินคาดต่างก็ถามกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นคนไข้

“ลูกสาวฉันแค่ได้ข่าวดีจากประเทศไทยเท่านั้นแหละค่ะ”

พยาบาลสาวยิ้ม แล้วเดินยักไหล่ออกไปจากห้อง

                       ...........................................   าร์การ์เร็ตกลับบ้านที่ริชมอนด์ อินเวอร์คากิลใกล้ค่ำ โรเบิร์ตมารับที่สนามบินลูกชายมาเฝ้าบ้านในเวลาที่พ่อแม่ต้องการ

หิมะโรยตัวสีขาวทั้งเมือง ทางเข้าบ้านขาวโพลนไปด้วยหิมะลมพัดแรงไฟหน้าบ้านเปิดสว่างข้างในบ้านอบอุ่นด้วยเครื่องทำความร้อน

โรเบิร์ตเดินเข้าไปในครัวถือถ้วยชามาสองใบเพื่อเขาและภรรยา วางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ เขาหยิบนวนิยายที่อ่านค้างไว้มาอ่าน มาร์การ์เร็ตยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม

“ลูกกำลังใจดีขึ้นมาก เพราะเธอรักตุลย์เหลือเกินเมื่อรู้ว่าเขาไม่ตายทุกอย่างก็ดีไปหมดเธอกินข้าวได้หัวเราะได้ มีชีวิตชีว่าจนหมอแปลกใจ แปลกใจนะฉันว่าเด็กสองคนน่าจะมีจิตสื่อสารถึงกันได้..โรเบิร์ตคุณคิดเหมือนฉันไหม”

โรเบิร์ตวางหนังสือลงบนตักเขากล่าวว่า

“ผมเชื่อเรื่องโซลเมดหรือคู่แท้ ตั้งแต่เด็กสองคนคบกันมาผมยังไม่เคยเห็นเขาทะเลาะกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว”โรเบิร์ตพูดทวนความจำ 

มาร์การ์เร็ตคิดไปถึงวันหนึ่งขณะอยู่ในประเทศไทย เมื่อคิมอายุเพียง5ขวบ วิ่งมาหาแม่ 

“แม่จ๋าหนูขอแต่งงานได้ไหมแม่” 

“ได้ซีจ๊ะเมื่อหนูโตก่อน แต่เขาเป็นใครล่ะ” 

“เขาเป็นคนไทยกำลังเก็บสตางค์ไปหาเราที่ริชมอนด์ค่ะแม่” มาร์การ์เร็ตหัวเราะ 

“แต่ตอนนี้ลูกยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้นะจ๊ะ” 

“ค่ะ..แต่โตขึ้นหนูจะแต่งงานกับเขาค่ะ” 

มาร์การ์เร็ตนึกขำในใจในวันที่ลูกเธอยังเล็ก แต่มาวันนี้เธอเชื่อแล้วว่าลูกคงไม่เปลี่ยนใจ 

                                   ................................................

เดือน มิถุนายน 2538

กำลังพลจากกองทัพภาค4นับพันลงพื้นที่ในจังหวัดยะลา นราธิวาสและปัตตานีเพื่อเตรียมกวาดล้างเบอร์ซาตู-บีอาร์เอ็น พูโลและมูจาฮีดีนอิสลามในพื้นที่โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานี แต่มีกระแสคนในขบวนการเบอร์ซาตูเตรียมการที่จะเจรจาประสานงานกับกองทัพ แต่ก็มีเสียงคัดค้านจากพลเอกชวลิต ยงใจยุทธว่าตัวหัวหน้าขบวนการในขณะนั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับโดยองค์กรแนวร่วมทั้งหลายแล้ว

แผนปฏิบัติการยังดำเนินการต่อไปโดยใช้การข่าวกรองโคซิโอที่เหลืออีก2คนคือสหชาติและ        เอกรินทร์โดยมีจาฟาร์คอยช่วยเหลือให้ข่าวจากวงในขบวนการ

จาฟาร์รายงานว่าในบาโร บาโรซึ่งเป็นคณะทำงานมีหลายหน่วยงานหลายแผนกมีการทำงานความคิดแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการรีบเร่งจัดหาเยาวชนไปฝึกเป็นนักรบญิฮาดทดแทนพวกที่เสียสละชีวิตถูกสังหารหมู่

“พวกนั้นตายเพราะพวกเรากันเองเป็นคนฆ่า ทางการไทยไม่ได้ยิงแต่ต้องการจับเป็น”จาฟาร์ระบุว่าฝ่ายหนึ่งเชื่อเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งโต้ว่า

“ไม่ว่าใครยิงตายหรือจับเป็น มันเสียหายไปทั้งขบวน ดังนั้นมันถูกแล้วที่ต้องหาชุดใหม่ไปทดแทน”

สหชาติถามว่ากว่าจะหาชุดใหม่จะใช้เวลานานเท่าไร

จาฟาร์ตอบทันที “เด็กมีอยู่แล้วครับ อยากไปหลายคน คราวนี้คัดไป10คนเป็นเด็กผู้ชายทั้งหมดอายุประมาณ15ถึง17เท่านั้น อายุน้อยลงกว่าเดิมมาก”

สหชาติว่าเด็กเกินไปน่าสงสัยว่าจะไปฝึกเพื่ออะไร จาฟาร์บอกว่าเขาคงสงสัยว่าเด็กพวกนี้อาจถูกฝึกให้ไปทำญิฮาดพลีชีพในกรุงเทพฯแต่พวกนี้ใช้การไปศึกษาศาสตร์อิสลามฟัตวาบังหน้า

“เรื่องนี้ใหญ่มากหากเป็นจริง”

                                   ...................................................

..............ปลายเดือนมิถุนายน มีรายงานจากกองตรวจคนเข้าเมืองว่ามีรายชื่อนางสาวนาสริน            กีเบอร์สคนอิหร่านจากอีสฟาฮานเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง ทางท่าอากาศยานดอนเมืองตามที่

โคซิโอให้แหล่งข่าวเฝ้าระวังนาสรินแจ้งวัตถุประสงค์ว่ามาเพื่อท่องเที่ยวและมีที่พักแล้ว

จากการตรวจสอบพบว่าคราวนี้ เธอย้ายโรงแรมไปอยู่ที่โอเรียนเต็ล หากจะไปสถานทูตอิหร่านก็ออกสุขุมวิทได้เลย

โคซิโอวางกำลังตำรวจสันติบาลทั้งที่โอเรียนเต็ล สถานทูตอิหร่านรวมทั้งร้านอาหารโมห์เซนสีลมซอย22ที่ขายอาหารอิหร่านไว้ด้วย

สหชาติยังคงทำใจไม่ได้กับภารกิจเรื้อรังทางภาคใต้ว่าทำไมชาวบ้านจำนวนมากไม่เอาด้วยกับวิธีการของอำนาจรัฐ

เขานึกถึงศพเกือบร้อยที่เรียงรายในป่ายางและตายเกลื่อนบนถนนหลวงและเขามองเห็นความเกลียดชังบนใบหน้าของชาวบ้านที่มองมายังพวกโคซีโอ

เขานึกถึงคำพูดของเมธา วิสูตรภิบาลเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติในวันแรกที่ท่านเริ่มทำงาน

“ตัวเราตัดสินถูกผิดวันนี้ อาจเป็นอย่างอื่นวันพรุ่งนี้ก็ได้

............กาลเวลาอาจตัดสินให้เราเป็นปีศาจมาหลอกหลอนตัวตนเราเอง ให้เรายอมรับความถูกผิดในสังคมได้ทุกเมื่อ”

ณวันนี้ใช่ไหมคือกาลเวลาของชาวบ้านแสดงความเกลียดชังและมองสมาชิกโคซิโอทุกคนว่าเป็นคนชั่วแห่งกาลเวลาของพวกเขา เราเป็นเพชรฆาตพรากชีวิตคนรักพ่อแม่ของพวกเขาเพียงเพราะอุดมการแตกต่างกันเท่านั้น

ใช่...นาสรินจากอีสฟาฮานอาจเป็นปีศาจมีตัวตนอีกราย ที่มาหลอกหลอนเขาด้วยอุดมการของเธอ

สหชาติสลัดความคิดทั้งปวงออกจากหัวแล้วติดต่อกับเอกรินทร์ที่อยู่กับจาฟาร์เพื่อบอกถึงการปรากฏตัวของนาสรินที่ท่าอากาศยานดอนเมืองวันนี้

เอกรินทร์กับจาฟาร์ไปพบกับแม่ทัพภาค4ที่มาเยี่ยมกำลังพลที่ตัวจังหวัดตามคำบอกเล่าของคะดียะห์

สหชาติบอกคะดียะห์ว่าเขาจะเดินทางไปพบคนทั้งสองที่อำเภอเมืองปัตตานี

โดยสัญชาติญาณก่อนออกเดินทางสหชาติติดอาวุธมีทั้งระเบิดมือ ปืนกลมืออูซี่ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายติดตัวตลอดเวลา

เขาเดินทางโดยรถกระบะสองตอนขับเคลื่อนสี่ล้อมีตำรวจติดตามสองคนนั่งไปด้วยเพื่อเข้าตัวเมืองไปซื้อสัมภาระเดินป่าเท่าที่จำเป็นและจะไปพบแม่ทัพภาค4กับเขาด้วย

รถกระบะของสหชาติวิ่งออกนอกเมืองสู่ถนนใหญ่มีรถสวนไปมาตามปรกติผ่านหมู่บ้านหลายแห่งระหว่างรถวิ่งอยู่กำลังจะผ่านหมู่บ้านมีรถกระบะตอนเดียวมีชายฉกรรจ์นั่งหลัง4-5คนแซงประกบในลักษณะกระชั้นชิด เมื่อขึ้นมาประกบได้แล้ว พวกชายนั่งหลังยกปืนกลประทับยิงรัวๆเป็นชุดๆเข้ามาในรถกระบะที่สหชาตินั่งมา รถทั้งสองคันหยุดวิ่งแล้วต่อสู้ประจัญหน้ากันด้วยปืนกลมือ

ตำรวจติดตามสองคนคงเห็นและเอะใจอยู่แล้วจึงเตรียมตัวได้ดี พวกเขายิงปืนต่อสู้ถูกพวกก่อการร้ายล้มตกลงมาจากรถหลายคน แต่ทันใดนั้นมีชาวบ้านในหมู่บ้านอาวุธครบมืออีกจำนวนหนึ่งร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายฮือกันเข้ามาขวางทางรถวิ่ง สหชาติยิงปืนสกัดอย่างบ้าเลือด ขณะนั้นตำรวจสองคนลงจากรถไปยิงต่อสู้กับคนร้ายกลับไปเอารถขับมารอสหชาติที่กำลังจะถูกชาวบ้านรุม เขารีบพาสหชาติขึ้นรถหลบหนีมาได้และมุ่งหน้าไปปัตตานี

“นึกไม่ถึงว่าชาวบ้านจะเอากับพวกมัน เรากำลังได้เปรียบเกือบเก็บพวกมันได้หมดทุกคนแล้วครับ”

ตำรวจเล่าถึงการต่อสู้ สหชาติถามกลับไปว่าพวกเขาเจ็บหรือถูกยิงบ้างหรือเปล่า

“ไม่ครับ พอรถหยุดผมใช้รถบังตัว ยิงมันตายไปสองเพื่อนผมยิงตายไปอีกสองเกือบหมดละครับ”

สหชาติบอกว่าเขายิงทะลุกระจกหน้าโดนคนขับตายและโดนคนนั่งหน้าด้วย รถคนร้ายส่ายไปมาจนตกถนนแล้วหยุด

“ไอ้พวกนี้มันตามเรามาจากในตัวเมืองแล้ว”

ตำรวจใช้วิทยุรายงานบอกไปยังสถานีตำรวจที่ปัตตานีว่าเกิดการยิงกันแต่ทุกคนปลอดภัยคงไปพบท่านแม่ทัพไม่ทันวันนี้

เมื่อถึงตัวจังหวัดปัตตานีผู้ว่าราชการจังหวัดมาพบสหชาติเพื่อให้กำลังใจซักถึงเส้นเดินทางเมื่อรู้ว่ามาทางไหนจึงว่าเส้นเดินทางนั้นผ่านทุกหมู่บ้านเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มโจรแบ่งแยกดินแดนทุกกลุ่มท่านนึกว่าสหชาติรู้แล้วจึงไม่ได้เตือน

..............................ต้นเดือนกรกฏาคม แม่ทัพภาค4คุยและปรึกษากับผู้บริหารโคซิโอเห็นชอบว่าจะยุติความช่วยเหลือและบทบาทของโคซิโอในภาคใต้4จังหวัด การปราบปรามและการแก้ปัญหาทั้งหมดควรเป็นหน้าที่ของกองทัพ ท่านยกย่องบทบาทที่ผ่านมาของทีมงานโคซิโอ

...............................รกฏาคม ตุลย์มีอาการทางร่างกายฟื้นตัวบ้างแล้วเขาใช้ไม้เท้าช่วยเดินและพยุงตัวส่วนการบาดเจ็บในร่างกายส่วนอื่นๆลดน้อยลง ศิริเดชพาตุลย์มายังเซฟเฮ้าส์ที่ซอยเอกมัยเพื่อพบสมาชิกโคซิโอคือสหชาติ เอกรินทร์และพิมราที่คอยอยู่แล้ว

คำถามแรกที่ทุกคนอยากรู้คำตอบคือ จะเอาอย่างไรกับนาสรินจากอีสฟาฮาน

สหชาติว่าตราบใดที่เธอเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯโคซิโอต้องรับผิดชอบและบางทีจาฟาร์ต้องขึ้นมากรุงเทพฯเพื่อประสานงานอีกครั้งถ้าเขายังมีข้อมูลภายในจากสภาซูรอและคณะทำงาน

บาโร บาโร

                                   ..............................................าสรินมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่จัดการเรื่องเด็กที่จะไปรับการศึกษาสารัตถะศาสนาอิสลามจากมุฟตีในฐานะผู้ทรงความรู้ในศาสตร์อิสลาม มีความแตกฉานในคัมภีร์อัล-กุรอานและซุนนะห์แต่นาสลินก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นการบังหน้าแท้จริงเด็กจะถูกฝึกเป็นนักรบญิฮาดเท่านั้น ส่วนเธอมีภารกิจที่กองทัพนักรบเพื่อปิติภูมิมอบให้ค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหรียญเดวิด เบน-กูเรียนว่ายังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่  ธอไปสถานทูตอิหร่านเพื่อถามเรื่องนี้ ทราบเพียงว่ามีคนพูดกันว่ารัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลโมเช แอเร็นส์เคยเดินทางมามอบเหรียญกล้าหาญให้คนไทยคนหนึ่งแต่ไม่ทราบว่าเป็นเหรียญอะไรและไม่แน่ใจว่าเหรียญนั้นจะยังอยู่หรือไม่

เธอยังถามเรื่องเด็กรุ่นก่อน25คนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา คนในสถานทูตบอกว่าเกิดอุบัติเหตุเด็กทุกคนเสียชีวิตทั้งหมดแต่ไม่ได้บอกว่าเพราะอะไร ถามถึงหน่วยสืบความลับวัจจะสองคน เลขานุการทูตว่าคนหนึ่งย้ายไปเสปญ อีกคนย้ายไปอยู่ซูรินัมทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ นาสรินว่าสมควรแล้วผลงานไม่ประทับใจ..............................องทัพอิหร่านส่งวัจจะมาใหม่2คนเป็นนักรบเพื่อปิติภูมิรุ่นน้องนาสรินทำให้การประสานงานด้านข่าวกรองกับเธอไม่มีปัญหา เธอเรียกวัจจะมาประชุมสถานการณ์ข่าวที่โอเรียนเต็ลทันทีเมื่อพวกวัจจะพร้อม“ฉันรู้ว่าในกรุงเทพฯมีหน่วยข่าวอยู่หน่วยหนึ่งลับมาก เป็นหน่วยพิเศษทำงานปกปิดลับที่สุดไม่เกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลที่มีอยู่ พวกเธอไปสืบดูว่าพวกนี้เป็นพวกไหน อยู่ที่ไหนเป็นใคร มีศักยภาพแค่ไหน

“เรื่องที่สอง มีเหรียญของประเทศอิสราเอลมอบโดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของประเทศนั้นให้คนไทยคนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ไปถามในวงการทูตดูอาจได้ความจริง”นาสรินสั่ง

เปด์รามและซาเละ2วัจจะที่มาใหม่รับคำ พวกเขาคิดว่ามันไม่น่าจะยากที่หาข้อเท็จจริง แม้พวกเขาจะใหม่ในประเทศไทย แต่เขารู้ว่าในประเทศนี้เงินน่าจะซื้อได้ทุกอย่าง

เขาติดต่อสายสืบคนหนึ่งในโรงพักที่เพิ่งรู้จักกัน ถามว่ามีหน่วยข่าวพิเศษคณะหนึ่งรู้จักไหม

“คุณว่าหน่วยข่าวพิเศษไหนนะ?”สันติบาลคนนั้นถาม

“หน่วยงานที่ว่านี้ไม่ใช่หน่วยปรกติ แต่ทำงานอิสระน่าจะเป็นการจัดตั้งพิเศษลับๆ”

“อ๋อ...หน่วยเฉพาะกิจสืบความลับเป็นครั้งคราว มีครับเฉพาะเรื่องก็พวกผมนี่แหละครับ”

“ไอ้ขี้หมา” เปด์รามครวญ

หลังจากซักถามแหล่งข่าวต่างๆอยู่หลายสัปดาห์เปด์รามและซาเละถึงทางตันเสียเงินไปไม่น้อยกับการหลอกถามและถูกหลอกเอาเงินไปฟรีๆ

ส่วนเรื่องเหรียญก็น่าคิด สองวัจจะไปตามงานเลี้ยงสถานทูตหลายแห่ง

“เรื่องเหรียญได้ยินครับ..แต่ผมว่าเหรียญที่คุณว่าน่ะผมได้ข่าวว่ามันถูกขโมยไปแล้วนะ”เลขานุการสถานทูตหนึ่งตอบซาเละและถามว่า

“แต่คุณอยากรู้ไปทำไม”

เขาตอบว่าเขาเป็นนักสะสมเหรียญแค่อยากขอดูเท่านั้นถ้าได้เห็นจะได้ดูว่ามันมีราคาน่าซื้อหรือไม่

“ดีเลยผมมีเหรียญสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกาดูไหมครับ”เลขาฯคนเดิมถาม

“ผมสะสมเฉพาะเหรียญยุโรปครับ”ซาเละนึกในใจว่าเกือบไปแล้ว

คราวนี้อีกรายค่อยชัดขึ้นมาหน่อย สตรีผู้ทำงานสถานทูตในยุโรปประเทศหนึ่งได้ยินเลยเอ่ยขึ้นว่า

“ได้ยินมาว่าเหรียญที่คนไทยได้มานั้นเป็นเหรียญเดวิด เบน-กูเรียน”เธออธิบาย

“ฮ้า..จริงหรือครับ คนไทยชื่ออะไรครับ”คราวนี้เปด์รามแทรกเข้ามาถาม

“ก็คนไทยทั่วๆไป พวกนี้ไปเที่ยวอิสราเอลก็ซื้อเหรียญเดวิด เบนกู-เรียนเป็นที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยวติดมือมา แต่ฉันว่าประมูลเอาในอี-เบย์น่าจะถูกกว่านะ”เลขาฯคนนั้นพูดแล้วเดินไปหยิบน้ำดื่มแล้วไม่สนใจหนุ่มอิหร่านอีก

สรุปแล้วไม่ได้สักเรื่อง เมื่อไม่รู้ก็ต้องบอกนาสรินว่าไม่รู้

......................... “ได้ความไหม?”นาสริมถามที่ห้องอาหารลอร์ดจิม

“พยายามแล้วครับ ขอเวลาหน่อย”ซาเละตอบ

นาสรินโบกมือไม่ต้องเสียเวลาต่อไปแล้ว

“ไอ้พวกหน่วยข่าวที่ฉันถามน่ะมันชื่อโคซิโอและเหรียญน่ะคือเหรียญเดวิด เบน-กูเรียนอยู่บ้านผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ.....เธอสองคนไปพักผ่อนได้แล้ว” 

พูดจบเธอเก็บเงินทอนโดยเหลือเงินทิปให้พนักงานไว้ส่วนหนึ่งแล้วเดินนำหน้าเปด์รามและซาเละออกไป

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว