ตงฟางหลานหรง ประมุขน้อยแห่งหุบเขาบุปผาโลหิต นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตงฟางจือหยาง ประมุขคนปัจจุบันแห่งหุบเขาบุปผาโลหิต นางถูกเลี้ยงดูมาโดยบิดาและท่านย่า
ท่านย่าของนางมีนามว่า ตงฟางฮุ่ยอิง อดีตแม่ทัพหญิงของแคว้นชางเหยียน แต่ท่านปู่ของนางนั้นนางกลับไม่รู้ว่ามีนามว่าอันใด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามของหุบเขาบุปผาโลหิต
“เจ้าจะไปหาท่านแม่ของเจ้าหรือ” จือหยางเอ่ยถามบุตรสาวที่เตรียมตัวจะออกจากหุบเขาบุปผาโลหิต
“เจ้าค่ะ ข้าอยากพบหน้าท่านแม่สักครั้งเจ้าค่ะ” หลานหรงบอกไปตามตรง
หลานหรงพึ่งผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่กี่เดือน นางจึงอยากไปพบผู้เป็นมารดาสักครั้ง เพราะตั้งแต่นางจำความได้นางก็ไม่เห็นหน้าผู้เป็นมารดาเลย มีเพียงคำบอกเล่าของผู้เป็นบิดาเท่านั้น
“เมืองหลวงแคว้นชางเหยียน ไม่ได้เหมือนหุบเขาบุปผาโลหิตหรอกนะ ผู้คนที่นั่นยากจะคาดเดาได้” จือหยางเอ่ยเตือนบุตรสาว
“เจ้าคิดว่าอาหรงของเรา จะยอมให้ผู้ใดมารังแกนางได้หรือ” ฮุ่ยอิงถามบุตรชายของนาง
“โธ่ ท่านแม่ ข้าก็เป็นห่วงอาหรงนี่ขอรับ” จือหยางยอมรับไปตามตรง
“ปล่อยให้นางได้ไปเผชิญโลกกว้างบ้างเถิด เจ้าจงเชื่อมั่นในตัวของบุตรสาวของเจ้า” ฮุ่ยอิงบอกบุตรชาย
ไม่ใช่ว่าฮุ่ยอิงไม่ห่วงใยหลานสาว แต่นางไม่อยากให้ความห่วงใยของนางนั้นกลายเป็นกรงที่ใช้กักขังหลานสาวของนางเอาไว้
หลานหรงเข้าไปสวมกอดผู้เป็นย่าแล้วก็หอมแก้มทั้งสองข้างของฮุ่ยอิงอย่างออดอ้อน และนั่นทำให้จือหยางไม่รู้ว่าจะเอ่ยอันใดออกมาคัดค้านบุตรสาว
เมื่อไม่อาจคัดค้านหลานหรงได้ จือหยางจึงมอบแหวนให้หลานหรง มันคือแหวนมิติที่มีทุกสิ่งอย่างอยู่ในนั้น โดยเฉพาะแก้วแหวนเงินทองที่มีเป็นร้อยหีบ เพราะเขากลัวว่าบุตรสาวของเขาจะอดยากในระหว่างเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นชางเหยียน
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” หลานหรงเอ่ยขอบคุณแล้วก็เข้าไปสวมกอดผู้เป็นบิดา
“หากต้องการความช่วยเหลืออันใดก็ส่งข่าวกลับมา จำเอาไว้ว่าที่นี่คือนี่บ้านของเจ้านะอาหรง” จือหยางบอกกับหลานหรง
เมื่อถึงวันที่ต้องออกเดินทางหลานหรงพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสามคนก็ออกเดินทางออกจากหุบเขาบุปผาโลหิต มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นชาง
‘ไม่ว่าท่านมีเหตุผลอันใดที่ทอดทิ้งข้า ข้าก็อยากจะฟังมันจากปากของท่านนะเจ้าคะ’ หลานหรงเอ่ยในใจแล้วมองไปยังหยกพกซึ่งบิดาของนางให้นำติดตัวมาด้วย
โปรดติดตาม><
