นางทนเห็นอาเขยผู้แสนดีดูแลภรรยาที่นอนป่วยไร้สติอยู่ในทุกค่ำคืนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายต่อไปอีกไม่ไหว ในเมื่อสวรรค์ไม่เห็นใจ เช่นนั้นหลานสาวอย่างนางจะเป็นรางวัลชีวิตให้อาเขยเอง
ตัวอย่าง
“เมื่อวานข้าถูกสัตว์ร้ายกัด บริเวณใต้คอเสื้อลงไปเล็กน้อย เป็นรอยแดงสองรอย มีตุ่มชูเด่น ข้าค้นตำราพบว่าเป็นพิษร้าย หากมิรีบขจัด ข้าอาจสิ้นใจในไม่ช้า ลำพังข้าไม่อาจขับพิษได้ ขอท่านอาเขยช่วยดูให้ทีเถิด” น้ำเสียงนางสั่นเครือราวหวาดกลัวความตาย
หลิวเย่ขมวดคิ้ว ความสงสัยผุดขึ้นในใจ รอยแดงสองรอยที่มีตุ่มชวนให้ฉงน “เจินเอ๋อร์ แน่ใจหรือว่านั่นคือพิษ? เรื่องนี้ควรให้หมอดูจะดีกว่า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
เหอเจินส่ายหน้า ใบหน้างามฉายแววหวาดหวั่น “ข้าอายเกินกว่าจะไปหาหมอ และข้าเชื่อใจท่านอายิ่งกว่าผู้ใด ขอร้องท่าน ช่วยดูให้ข้าที” นางก้าวเข้าใกล้ กลิ่นหอมจากกายนางลอยแตะจมูกเขา นางโน้มตัวเล็กน้อยจนหน้าอกอวบอิ่มยกขึ้นใกล้ใบหน้าเขา
หลิวเย่ถอนหายใจยาว “ได้ ข้าจะช่วยดู แต่เจ้ารอข้าที่ห้องข้าง ๆ ที่มีม่านกั้น ข้าจะตามไป” เขาชี้ไปยังห้องเล็กที่กั้นด้วยม่านผ้าสีคราม
เหอเจินพยักหน้ารับ ก้าวเบา ๆ เข้าไปหลังม่าน ร่างนางเคลื่อนไหวราวสายน้ำที่ไหลลื่น ผมดำขลับพลิ้วไหวตามจังหวะก้าว หลิวเย่สูดลมหายใจลึก เดินตามด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นแต่สั่นเทา แสงตะเกียงน้ำมันและแสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างสาดส่องลงมา เงาของทั้งสองทอดยาวบนพื้นไม้
“ท่านอา ข้าจะให้ท่านดูรอยนั้น...” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือเล็กค่อย ๆ ถลกเอี๊ยมผ้าฝ้ายขึ้นช้า ๆ ด้วยท่วงท่าชวนฝัน นางโค้งตัวเล็กน้อย หน้าอกกลมกลึงยกขึ้นราวผลท้อสุกงอม ผิวขาวเนียนราวหยกบริสุทธิ์สะท้อนแสงตะเกียงเป็นประกาย ยอดถันสีชมพูชูชันท่ามกลางรอยป้านสีแดง ราวเม็ดไข่มุกที่ประดับด้วยกลีบดอกบัว นางแอ่นอกเล็กน้อย ราวเชิญชวนให้เขาสัมผัส
หลิวเย่ตะลึงลาน กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดวงตาคู่คมจับจ้องร่างนางราวถูกมนต์สะกด เขารู้ทันทีว่านี่มิใช่รอยพิษ แต่เป็นความงามที่ยั่วยวนเกินต้านทาน หัวใจเขาเต้นแรงจนเจ็บหนึบ ลมหายใจหอบหนัก
“เจินเอ๋อร์... นี่มิใช่พิษ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามหลบสายตานาง “เจ้ากลับไปสวมอาภรณ์เสีย ข้าจะแสร้งว่าไม่เห็นสิ่งใด”
เหอเจินส่ายหน้า ใบหน้างามฉายแววดื้อรั้นผสมความยั่วยวน “ท่านอา ข้าไม่เชื่อ! ตำราบอกชัดเจนว่านี่คือพิษร้าย หากท่านมิช่วยดูดพิษออก ข้าจะต้องตายแน่!”