ความห่วงใยที่ฝังลึกเกินกว่าจะดับสูญ วิญญานของเขาจึงย้อนคืน ไม่ใช่เพื่อกล่าวลา แต่มาเพื่อร้องขอครั้งสุดท้าย ผ่านร่างของเพื่อนบ้านที่ไม่รู้อะไรเลย เพื่อให้เมียสุดที่รัก กล่าวคำสาบาน ว่าจะไม่ทอดทิ้งลูกๆ

บรรยากาศยามค่ำคืนที่เงียบสงัด รอบๆ ที่มืดมิด ภายในบ้านที่มีเพียงแสงตะเกียงสาดกระจายให้ความสว่างเพียงเล็กน้อย พอที่จะเห็นเงาตะคุ่มของผู้หญิง นั่งพิงเสากลางบ้าน ใช้มือทั้งสองโอบหัวเข่าที่ชันขึ้นมา รอบๆ ตัวของนางมองเห็นเป็นเงาของมุ้งสามหลัง ที่กลางติดๆ กันจนเต็มพื้นที่ของห้องโล่ง เสียงขยับปีกของนกกลางคืนดังพรึบพรึบ อยู่บนหลังคาบ้านที่มุงด้วยสังกะสี เสียงร้องของนกดังแควกๆ จนน่าขนลุก นางไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลากี่ทุ่ม นางเพียงแต่รู้สึกง่วงจนนั่งสัปหงก ลูกๆ ที่นอนอยู่ในมุ่งหลับสนิท ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจในความเงียบ   

“พี่เอียด พี่เอียดครับ พี่เอียดอยู่มั้ยครับ?” 

   เสียงร้องเรียกดังโหวกเหวกอยู่ตรงประตูรั้วหน้าบ้าน ไอ้ด่างก็เห่ากรรโชกเสียงดัง 

   “โฮ่ง ๆ ๆ แฮ้ แฮ้ ๆ ๆ” 

“เฮ้ย จุ๊ จุ๊ ไป ไป ไอ้ด่างมึงจำกูไม่ได้รึไง” 

เสียงคนที่ร้องเรียกตะโกนใส่ไอ้ด่าง หมาตัวผู้ที่ยืนเห่าอยู่บนระเบียงนอกชานหน้าบ้าน มันทำหน้าที่เหมือนเป็นยามรักษาความปลอดภัยของคนในบ้าน สายตาของมันจับจ้องเฝ้ามองประตูรั้วไม้ผุ ๆ รอเวลาเจ้านายของมันกลับมา ปกติถ้านายแสวงกลับมาถึง คนที่อยู่บนบ้านจะรับรู้ ก่อนที่จะมีเสียงร้องเรียกให้เปิดประตู เพราะไอ้ด่างมันจะวิ่งไปรับเจ้านายของมัน จนถึงหน้าประตูรั้วพร้อมส่งเสียงร้อง คราง งี๊ด ๆ ๆ และใช้ขาหน้าสองข้างตะกุยตะกาย นั่นแสดงว่านายแสวงกลับมาถึงบ้านแล้ว มันจะวิ่งคลอเคลียพร้อมส่งเสียงคราง ตลอดทางที่วิ่งตามมาส่งนายของมัน ขึ้นบันได จนถึงบนระเบียงหน้าบ้านมันก็จะหยุด และนอนหมอบอยู่บนระเบียง เป็นแบบนี้ทุกวันจนคนในบ้านเคยชินกับเสียงที่มันคอยส่งสัญญานว่าพ่อของเด็กๆ กลับมาถึงบ้านแล้ว 

แม่ละเอียดเปิดประตูบานไม้ โผล่ชะโงกหน้าออกไปดู พร้อมถือตะเกียงน้ำมันส่องดูคนที่มาร้องเรียก เห็นไอ้ด่างยืนเห่าอยู่บนระเบียงหน้าบ้าน เพื่อส่งสัญญานว่ามีคนบุกรุก และดูท่าทางว่า ถ้ายังขืนเดินต่อเข้ามาพ้นประตูรั้ว มันคงต้องจัดการคนที่บุกเข้ามา ตอนนี้ก็เป็นเวลาค่อนข้างดึกพอประมาณ นางนั่งรอผัวกลับมาบ้าน ผัวของนางมีอาชีพขับรถบรรทุกหกล้อให้กับเถ้าแก่หงวด ทุกวันจะขับรถบรรทุกหกล้อ ออกไปตามต่างอำเภอในหมู่บ้านต่างๆ เพื่อไปหารับซื้อข้าวเปลือก หรือบางครั้งก็จะหารับซื้อพวกมันสำปะหลัง มาให้เถ้าแก่หงวด ซึ่งก็แล้วแต่ว่าช่วงไหนเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผลชนิดใด ในโรงสีของเถ้าแก่หงวดไม่มีใครขับรถบรรทุกเป็น กระทั่งตัวเถ้าแก่เองก็ขับไม่เป็น นอกจากนายแสวงผัวของนางคนเดียวเท่านั้นที่สามารถขับรถบรรทุกได้  

ปกตินายแสวงผัวของแม่ละเอียด จะกลับมาถึงบ้านก็ประมาณเวลาโพล้เพล้ คือประมาณหกโมงเย็นไม่เกินหนึ่งทุ่ม วันไหนแกติดลมแวะก๊งเหล้าขาว และพูดคุยกับคนรู้จักตามร้านค้าข้างทาง ก็อาจจะเลยเวลาไปสักนิด แต่ก็ไม่เคยเกินสองทุ่มก็จะกลับถึงบ้าน เพราะในสมัย พ.ศ. 2510 ในต่างอำเภอแถบเมืองโคราช ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จะใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าซจุดให้แสงสว่าง ทำให้บรรยากาศในยามค่ำคืน จะมือมิด 

         “ใครน่ะ! มีธุระอะไรจ๊ะ?” 

         “ฉันเองพี่  ฉันไอ้คงครับ พี่เอียด คือพี่แหวงเอ่อ..” 

         “อ้าว! น้าคงเองเหรอจ๊ะ? มาหาพี่แหวงเหรอ ยังไม่กลับเลย พี่ก็นั่งรอเปิดประตูให้แกยังไม่กล้าเข้านอน เด็กๆ ก็พากันหลับหมดแล้ว มีธุระอะไรกับแกเหรอจ๊ะ?” 

         “เปล่าครับ คือ..เอ่อ..ผมมาส่งข่าวพี่แหวงครับ” 

       พอสิ้นคำของนายคง แม่ละเอียดหัวใจหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม ด้วยว่านางก็กำลังนึกเป็นห่วงผัว ว่าวันนี้ผัวนางทำไมกลับดึกจนผิดปกติ 

         “เอ่อพี่แหวง! ปะ ปะ เป็น อะไร?...น้าคง” 

         “คือรถของแกชนกับรถบรรทุกหกล้อจ๊ะ เอ่อฉันว่าพี่ไปโรงพยาบาลพร้อมกับฉันก่อน ดีมั้ย?” 

         แม่ละเอียด ไม่กล้าถามว่าอาการผัวของนางเป็นอย่างไรบ้าง เพราะนางกลัวคำตอบที่จะได้ยินจากปากของนายคง 

         “เอ่อ..เดี๋ยวนะจ๊ะน้าคง รอฉันสักครู่ ฉันขอปลุกไอ้โต้งไปเป็นเพื่อนสักปะเดี๋ยว” 

       ละเอียดกลับเข้าไปในบ้าน สักครู่นางก็เดินออกมาพร้อมลูกชายก็คือไอ้โต้ง ลูกคนโตวัย 12 ปี โต้งเป็นลูกที่ติดผัวของนางมากับน้องสาวอีกคนคือแตง สองพี่น้องเป็นลูกของผัวนางกับเมียเก่าที่เลิกรากันไป ตั้งแต่โต้งอายุแค่ 4 ปี    

ละเอียดได้เลี้ยงดูเด็กทั้งสองมาตั้งแต่เล็กๆ จนรักเสมือนลูกของตัวเอง  

ละเอียดเพิ่งจะคลอดลูกชายฝาแฝดได้ครบสามเดือนเมื่อวาน และมอบหมายให้แตงดูแลน้องแฝด และน้องอีกสามคน รวมเป็นห้าคน นอกจากลูกที่ติดมากับผัวแล้ว นางกับนายแสวงยังมีลูกเพิ่มมาอีกห้าคน รวมเป็นเจ็ดคน 

         “แล้วไอ้คู่แฝดล่ะพี่ ใครดูให้?” 

         “ก็แตงนั่นแหละ ดูแลแทนได้ ถ้าน้องร้องพร้อมกัน ก็ปลุกไอ้เจ้าโอ่งมาช่วย ไอ้โอ่งมันก็พอจะอุ้มน้องได้” 

         “ปะพี่รีบๆ เดิน เถ้าแก่รออยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว” 

         ทั้งสามคนรีบเดินจ้ำอ้าว โดยนายคงถือไฟฉายกระบอกใหญ่เดินนำหน้า นายคงเป็นลูกจ้างทำงานอยู่ที่โรงสีเถ้าแก่หงวด มีบ้านพักอยู่ในโรงสี แต่ก่อนนางกับผัว ก็พักอยู่บ้านพักคนงานในโรงสี ที่เถ้าแก่หงวดได้สร้างให้คนงานอยู่ เป็นเรือนแถวสร้างด้วยไม้ ต่อมาพอมีลูกหลายคน และลูกๆ เริ่มโต ห้องที่เคยอยู่ได้แบบสบาย ก็เริ่มคับแคบ นายแสวงเลยพาครอบครัวขยับขยาย มาขอเช่าที่ดิน ที่ไม่ห่างจากโรงสีของเถ้าแก่มากนัก ค่อยๆ สร้างบ้านไม้ใต้ถุนสูง พอมีเงินที่เก็บสะสมได้ ก็จะนำไปซื้อไม้ เอามาทำฝาบ้านทีละด้านจนครบ พอได้กันแดดกันฝน พาลูกๆ อาศัยอยู่ได้อย่างสบายขึ้น ระยะทางจากบ้านโคกตลาดที่นางและผัวอาศัยอยู่ ห่างจากโรงพยาบาลประจำอำเภอประมาณ 4 กิโลเมตร พอมาถึงโรงพยาบาล มองเห็นคนยืนอออยู่หน้าโรงพยาบาลเกือบสิบคน มีตำรวจรวมอยู่ด้วยสองคน  

         “มาแล้ว เมียนายแสวงคนตายครับ” 

       ละเอียดได้ยินคนในกลุ่ม ที่ยืนออกันอยู่หน้าโรงพยาบาลร้องบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ นางตกตะลึงจนต้องหันไปหาเถ้าแก่หงวดที่ยืนหน้าง้ำอยู่ 

         “ใครตายจ๊ะเถ้าแก่ ? พี่แหวงตายเหรอจ๊ะ?” 

         “เอ่อนะสิ ไอ้แหวงผัวมึง..ขับรถของกูไปชน ฉิบหายวายป่วงหมดแล้ว” 

         ละเอียดได้ยินคำพร่ำบ่นของเถ้าแก่หงวด ด่าทอผัวนาง ที่ขับรถบรรทุกของแกไปเจอกับอุบัติเหตุ ต่อจากนั้นสติสัมปชัญญะของนางก็ดับวูบไป 

         “แม่ครับ แม่ แม่ ฮือ ฮือ แม่ครับ ลืมตานะครับแม่ ฮือ ฮือ” 

         เสียงโต้งร้องเรียกแม่ พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย นางได้ยินเสียงลูกชายร้องเรียกอยู่ข้างๆ หู เสียงคนเอะอะโวยวาย ร้องเรียกหายาดมกันให้วุ่น นางค่อยๆ ลืมตา มีลูกชายนั่งกอดแม่เอาไว้ในอ้อมกอดด้วยความตกใจ 

         “เอาเป็นว่าวันนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะดึกมากแล้ว หมอใหญ่ก็กลับบ้านพักไปแล้ว จะเหลือก็แค่พยาบาลสองคน ผมว่าพรุ่งนี้ค่อยมาติดต่อรับศพไปทำพิธีที่วัดจะดีกว่านะครับ หรือเถ้าแก่จะว่ายังไง?” 

         “ก็ไม่ว่ายังไงหรอกครับ ก็คงต้องฝากศพไอ้แหวงไว้นี่ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะให้ลูกน้องมาช่วยกันเอาศพมันไปไว้ที่วัด” 

       “แล้วเอ่อ..พี่กลับบ้านไหวรึเปล่าครับ?” 

         คุณตำรวจยังมีใจหันมาสอบถามละเอียด 

         “ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ ฉันกลับได้ ฮือ ฮือ โถ พี่แหวงแล้วฉันกะลูกจะอยู่ยังไง?” 

         นางตอบตำรวจไปพร้อมกับร้องไห้ไป  

         กลับมาถึงบ้านก็เกือบจะรุ่งเช้า เปิดประตูบ้านเข้าไปเปิดมุ้งเห็นลูกๆ นอนเรียงรายกันอยู่ นางนั่งลงข้างมุ้งร้องไห้น้ำตาไหลพราก นางคิดไม่ออกว่านางเพียงคนเดียว จะทำอย่างไรกับชีวิตของนางกับลูกๆ อีกเจ็ดคน ที่ไม่มีผัวคอยหาเลี้ยง เสียงร้องไห้ของนางปลุกลูกๆ ตื่นงัวเงีย พากันมานั่งมองหน้าแม่ ที่กำลังร้องไห้ด้วยความงง พอพี่ชายคนโตบอกเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง เสียงร้องไห้กระจองอแงก็ดังลั่นไปทั้งบ้าน ภาพของเด็กๆ นั่งกอดกันกลมเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก เสียงร้องไห้ดัง จนคนในละแวกบ้านใกล้เคียงพากันแตกตื่น เนื่องด้วยเป็นเวลาเช้าตรู่ ที่ชาวบ้านพากันตื่นนอน เพื่อเตรียมตัวในการประกอบกิจวัตรประจำวัน และเสียงที่เงียบสงบในยามเช้า ยิ่งทำให้เสียงทั้งแม่และลูกๆ ที่ร้องแข่งกันดังไปทั่วทุกทิศทาง ชาวบ้านต่างพากันมาเต็มหน้าบ้านสอบถามเรื่องราว พอพากันรับรู้ ต่างก็สลดหดหู่ใจ 

         “โถ! ไม่น่าอายุสั้นเลยแหวงเอ๊ย ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ” 

ลุงฝ่ายคู่หูของนายแสวงบ่นออกมาอย่างเสียใจ 

         “เอาละ! พวกเราเดี๋ยวสายๆ เขาคงจะเอาศพไอ้ 

แหวงไปตั้งที่วัด ใครว่างก็ไปช่วยกันที่วัดก็แล้วกันนะ มีอะไรก็ถือติดไม้ติดมือไปด้วย ข้าวสาร พริก น้ำปลา ผัก บ้านใครมี ก็ขนเอาไปช่วยกัน จะได้ช่วยกันทำกับข้าวเลี้ยงพระ” 

ลุงฝ่ายรีบแจกแจงงานให้เพื่อนบ้านได้รับรู้ ว่าจะทำอะไรต่อ ปกติแกก็เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้าน ใครมีอะไรก็จะไปปรึกษาหารือแก โดยเฉพาะกับนายแสวงถือว่าคุยกันถูกคอที่สุด เพราะแกเห็นว่านายแสวงเป็นคนทำมาหากิน หาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียด้วยความขยันขันแข็ง 

         สามวันผ่านไปงานศพนายแสวงก็เสร็จ เถ้าแก่หงวดให้ตั้งสวดแค่สองคืน รุ่งขึ้นวันที่สามก็ให้เอาร่างไปฝังที่ป่าช้าวัด เพราะความเชื่อของคนในท้องที่นั้น เชื่อว่ากันว่าคนที่ตายโหงห้ามเผา ต้องเก็บศพเอาไว้ก่อน อย่างน้อย 1 ปี 

         “โต้งกับโอ่ง ไปช่วยกันจับไก่ แล้วเอาสุ่มมาขังไว้บนระเบียงบ้าน” 

         “ทำไม? ต้องเอามาไว้บนระเบียงละครับแม่” 

         โต้งสงสัย เพราะถ้าขนเอาไก่ขึ้นมาขังสุ่มไว้บนระเบียงหน้าบ้าน เช้าขึ้นต้องมาล้างขี้ไก่กันอีก ปกติพ่อก็ไม่เคยจะให้เอาไก่มาขังไว้บนระเบียงบ้าน 

         “สองคืนที่พวกเราไปนอนเฝ้าพ่อที่วัด ไอ้ด่างมันก็ตามไปด้วย ไก่ของเราหายไปตั้งสามตัว” 

         “อ้าว! เหรอแม่ ใครว่ะมาขโมยไก่เรา? ใจร้ายจริงเชียว” 

         “ช่างมันเถอะลูก ขนขึ้นมาไว้บนระเบียงมันคงไม่กล้าขึ้นมาเอาแล้วล่ะ เช้าก็ค่อยช่วยกันล้าง” 

         พอตกค่ำละเอียดก็พาลูกๆ ขึ้นบ้าน ลูกๆ ก็นั่งกันอยู่ในมุ้งเพราะยังไม่ถึงเวลานอน พี่ๆ ก็จะเล่านิทานให้พวกน้องๆฟัง ส่วนลูกแฝดสองคนนอนหลับอยู่ในมุ้งอีกหลัง ที่กางติดกัน ซึ่งละเอียดกับแตงลูกสาวจะนอนมุ้งเดียวกับลูกแฝด  

         “งี๊ด ๆ ๆ ๆ” 

         “แม่ครับ เสียงเอ่อ..” 

         นางจุ๊ปาก ให้โต้งเงียบ เด็กๆ พากันนั่งเงียบ เสียงไอ้ด่างวิ่งร้อง งี๊ด ๆ ๆ เหมือนกำลังตะกายขาร้องทักทายเจ้าของ เสียงเริ่มดังมาจากหน้าประตูรั้วบ้าน นางรีบคลานไปตรงร่องไม้ข้างประตู สอดสายตามองหาที่มาของเสียง ว่าเจ้าด่างมันร้องทักทายกับใคร โต้งก็รีบคลานตามมาสอดตามองตามร่องฝา วันนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงจากดวงจันทร์พอสว่างเรืองๆ จนมองเห็นเจ้าด่างตะกุยตะกายร้องทักทายอากาศ เหมือนว่ามันกำลังตะกุยตะกายใส่เจ้านายของมัน พอมาถึงบันไดทางขึ้นบนระเบียงบ้าน มันก็หยุด พร้อมกับนั่งแหงนหน้ามอง เหมือนมันนั่งมองดูคนที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันได ประหนึ่งมันสงสัยว่าทำไมไม่ขึ้นบนเรือนเหมือนเคย 

         “มะ มะ แม่ ..เอ่อแม่” 

         “จุ๊ จุ๊ เบาๆ” 

         สองแม่ลูกค่อยๆ ถอยหลังเปิดมุ้ง มุดเข้าไป เด็กๆ รีบขดตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมหัว อาการของเจ้าด่างเป็นอยู่แบบเดิม ในเวลาเดิมทุกวันประมาณสามคืนติด 

         “แม่เอียด แม่เอียด” 

         เสียงผู้หญิงร้องเรียกอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน มีเจ้าด่างยืนเห่าตอนรับอยู่ใกล้ ๆ  

         “อ้าวพี่มะลิ เข้ามาก่อนค่ะพี่ โอ่งเอ๊ยโอ่ง ไปไล่ไอ้ด่างให้ป้ามะลิทีลูก” 

         แม่ละเอียดกำลังช่วยลูกๆ ทำความสะอาดพื้นดินใต้ถุนบ้าน เด็กๆช่วยกันเอาไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดพื้นดินแข็งๆ เพราะปล่อยเอาไว้หลายวันใบไม้แห้งปลิวเข้ามากระจายเต็มพื้น ลูกของนางจะใช้พื้นใต้ถุนบ้าน เป็นที่สำหรับนั่งเล่นนอนเล่น ในเวลากลางวัน นางเกรงว่าหากปล่อยให้พื้นรกรุงรัง อาจจะมีแมลง หรือสัตว์มีพิษมากัดลูกๆ เป็นอันตรายได้ เลยชวนลูกๆ ช่วยกันทำความสะอาด โอ่งเดินนำหน้าป้ามะลิเข้ามาใต้ถุนบ้าน  

         “พี่มะลินั่งก่อนจ๊ะ มีอะไรเหรอพี่?” 

         “คือเอ่อ..พี่ก็ลำบากใจ คือไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี? คือเอ่อ” 

         “พี่มีอะไร ก็ว่ามาเถอะจ๊ะพี่ ฉันรอฟังอยู่” 

         “คือวันนี้ เฮียชัย พาอาม่าไปโรงพักมา ตอนขึ้นไปบนโรงพักแกก็ไม่มีอาการอะไร ก็ไปกันดี ๆ นี่แหละ แกยังถามเลยว่าใช่รถคันนั้นไหมที่อาแหวงอีขับไปชนกันตาย เฮียชัยก็ตอบว่าใช่ ก็ไม่มีอะไรนะ คือเฮียชัยพาแกไปแจ้งความบัตรประชาชนแกหาย” 

         “อ้อ จ้ะพี่..แล้วไงต่อจ๊ะ?” 

         “พอตอนที่แกกำลังจะกลับ เดินลงบันไดโรงพักลงมา อยู่ดีๆ แกก็เป็นลมล้มพับลง ดีว่าเฮียชัยรับไว้ทัน ก็พยายามช่วยกันปฐมพยาบาลจนแกฟื้นขึ้นมา ก็พาแกนั่งรถกลับมาจนถึงบ้าน” 

         “แล้วแกเป็นอะไรอีกไหมละจ๊ะพี่? แล้วที่พี่มาเอ่อ..” 

         “เป็นสิ ระหว่างนั่งรถกลับมาแกไม่พูดไม่จา นั่งเงียบมาตลอดทาง แต่พอพยุงแกลงรถมานั่งในบ้าน แกบอกว่าอยากกินเหล้าสี่สิบกับต้มไก่ใส่กระเทียมดอง” 

         “เอ๊ะ! แล้วปกติ เอ่อ..อาม่า แกไม่เคยกินสี่สิบนี่จ๊ะ แกกินแต่น้ำชาไม่ใช่เหรอ?” 

         “ก็ใช่น่ะสิ” 

         “แล้วอยู่ ๆ นึกยังไง แกถึงอยากกินเหล้าสี่สิบละจ๊ะพี่?” 

         “ก็พากันงงๆ ในตอนแรก พอเฮียชัยเอะอะว่า จะมาอยากกินอะไรแบบนี้ รู้ไหม..ว่าเสียงตอบมาว่ายังไง?” 

         “ว่าไงเหรอจ๊ะ?” 

         “ก็กูหิว กูเคยกินทุกวัน แล้วเสียงที่พูดไม่ใช่เสียงของแกนะเอียด” 

         “อ้าว! แล้วเอ่อ?” 

         “เสียงพี่แหวงชัด ๆ เลยเอียดเอ๊ย” 

         “อุ้ย! พี่มะลิ..ล้อฉันเล่นรึเปล่า?” 

         “ไม่ล้อเล่นล่ะ ใครจะพูดเล่นเรื่องแบบนี้ พี่กับเฮียชัยทุกข์ใจมากเลยรู้ไหม? อาม่าแกก็แก่แล้ว กลัวว่าจะสู้แรงไม่ไหว นี่ก็ไปตามลุงฝ้ายมาดู ให้แกนั่งคุยเป็นเพื่อน และก็ให้แกช่วยบอกพี่แหวงให้ออกจากร่างอาม่า เพราะปกติเห็นพี่แหวงชอบคุยถูกคอกันดีกับลุงฝ้าย” 

         “แล้วที่มา พี่จะให้ฉันช่วยอะไรล่ะจ๊ะ? รึว่า..จะให้ฉันต้มไก่ให้รึว่า?” 

         “โอ้ย!..ไก่พี่ก็ต้มให้กินแล้ว เหล้าขาวก็กินแล้ว แต่แกไม่ยอมไป แกว่าแกอยากเจอเอียดก่อน แกบอกว่าเอียดให้ลูกๆ ขนไก่ขึ้นไว้บนระเบียงหน้าบ้านเหรอจ๊ะ?” 

         “เอ่อ..จ้ะพี่ แล้วพี่รู้จากเอ่อ?” 

         “ใช่รู้จากปากอาม่าที่พี่แหวงสิงแกอยู่นั่นแหละ” 

         “พี่! ฉันไม่อยากจะเชื่อ แต่พอพี่พูดเรื่องเอาไก่ขึ้นมาไว้บนระเบียงบ้านฉันก็ชักจะ..เอ่อ” 

         “โอ๊ย! เชื่อเถอะ แกบอกว่าสงสารลูก ต้องล้างขี้ไก่ทุกเช้า ใช่ไหมล่ะ?” 

         ละเอียดผยักหน้า ตอบรับคำถาม ด้วยความรู้สึก งง กับเรื่องที่ได้ฟัง 

         “เอียด..ที่พี่มานี่ ก็อยากจะมารบกวนเอียด ให้ไปกับพี่สักหน่อย คือพี่แหวงแกอยากคุยกับเอียด ถือว่าพี่ขอร้องละนะ เพราะถ้าแกไม่ยอมออกจากร่างอาม่า อาม่าคงจะแย่แน่เลย” 

         ละเอียด จำต้องตกลงมากับพี่มะลิ พอมาถึงก็เห็นลุงฝ้ายนั่งหันหลัง มาทางประตูทางเข้าบ้านห้องแถว ที่เป็นร้านขายของชำของอาม่ากับลูกชายลูกสะใภ้ ส่วนอาม่านั่งหันหน้ามาทางประตูหน้าร้าน สายตาของแกจับจ้องมาที่ละเอียด ตั้งแต่เดินโผล่พ้นโค้งถนน จนลุงฝ้ายต้องหันมามองตามสายตาของแก 

         “อ้าวมาพอดี แม่เอียดมา เข้ามานั่งตรงนี้” 

         “หวัดดีจ๊ะลุง เอ่อ..” 

         “คือยังงี้นะเอียด คือไอ้แหวงน่ะนะ มันบอกว่ามันห่วงลูกๆ กลัวเอ็งจะมีผัวใหม่ ลูกยังเล็ก กลัวเอ็งทิ้งลูก คือเอ็งก็ช่วยพูดให้ความมั่นใจกับมันหน่อยเถอะวะ ข้าก็หมดปัญญากับมันแล้ว เลยลำบากเอ็ง ให้มาช่วยพูดกับมัน สงสารอาม่า แกจะหมดแรงเอา” 

         สายตาของอาม่าที่มองมายังละเอียด ช่างเป็นสายตาของผัวนาง ที่เคยมองนาง จนขนแขนของละเอียดลุกตั้งชัน 

         “เอ่อ..พี่แหวงจ๊ะ..คือฉันเสียใจมาก ฮือ ฮือ ที่พี่มาด่วนตายจากฉันกับลูกไป แต่ฉันก็ไม่อยากให้พี่ มาทำบาปทำกรรมแบบนี้ ฮือ ฮือ อาม่าแกก็แก่แล้ว พี่อย่าทำแบบนี้เลยนะจ๊ะ ฉันอยากให้พี่ไปดี ไปสู่ภพภูมิที่ดี ฉันขอร้องนะจ๊ะพี่” 

       ละเอียดทั้งพูดขอร้องผัวของนาง พร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก ส่วนอาม่าที่แสวงสิงร่างอยู่ก็น้ำตาไหลตามด้วย 

         “พี่..กลัวเอียดจะทิ้งลูก พี่ห่วงลูก เอียดต้องรับปากกับพี่ก่อน จุดธูปสาบานกับพี่ก่อน ว่าเอียดจะไม่ทิ้งลูก จะดูแลลูกทุกคน ให้ลูกโตจนช่วยเหลือตัวเองได้” 

         พี่มะลิก็รีบจัดแจงหาธูปสิบหกดอกให้ ตามคำขอของแสวง ละเอียดรับธูปจากมือของมะลิ ด้วยมืออันสั่นเทา แล้วก็พนมมือก้มหน้าพร้อมกับกล่าวคำสาบาน 

         “ฉันขอสาบาน ว่าตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจ ฉันจะไม่ทอดทิ้งลูกๆ ทุกคน จะเลี้ยงดูลูกทุกคน จนกว่าลูกๆ จะเติบใหญ่สามารถพึ่งพาตัวเองได้” 

         พอจบคำสาบานละเอียดก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังอาม่า เห็นเฮียชัยกำลังประคองอาม่าที่ล้มพับลง มะลิรีบเอายาดมส่งให้เฮียชัย แล้วรีบเอายาลมละลายน้ำให้อาม่าดื่ม สักพักใหญ่ อาม่าก็มีสติ สอบถามเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น แกเห็นละเอียด เห็นลุงฝ้ายนั่งอยู่ในบ้านเลยสงสัย ลูกชายเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แกฟัง 

         “ก็ตอนอาม่าเดินลงบันไดโรงพัก  อาม่ามองไปที่รถของอาแหวงที่อีขับชนกันตายจอดอยู่หน้าโรงพัก อาม่าเห็นอาแหวงอีโหนตัวห้อยอยู่ตรงประตูรถ แล้วหันมายิ้มใส่อาม่า อาม่าตกใจมาก แล้วต่อจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ โถ!น่าสงสารอาแหวง อีคงเป็นห่วงลูก ก็อีเดินผ่านหน้าบ้านอาม่าทุกวัน แวะคุยทักทายกันทุกวัน คงมองไม่เห็นใครที่จะช่วยอีได้ เฮ้อ..ไปสู่สุขคติเถอะนะอาแหวง อาม่าจะทำบุญส่งไปให้” 

         ภาพของหญิงชราวัยแปดสิบปี นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด มีลูกๆ หลานๆ นั่งรายล้อมฟังเรื่องเล่าจากปากของนาง เวลาลูกๆ หลานๆ มากันพร้อมหน้า แม่ละเอียดก็มักจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีตให้ฟัง ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข ทุกครั้งที่ได้มีโอกาส ถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตที่เคยตกทุกข์ได้ยากมากับลูก สู้อุตส่าห์อาบเหงื่อต่างน้ำ อดทนหาเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ไม่ใช่ว่านางกลัวว่าจะผิดคำสาบานที่ได้ให้ไว้กับผัว แต่ด้วยว่านางรักและสงสารลูกๆ เกินกว่าจะทิ้งลูกๆ เพื่อไปหาความสุขเพียงลำพังได้ เงินที่ได้จากเถ้าแก่ ที่ช่วยในการเยียวยาที่ผัวนางตาย จำนวนน้อยนิดไม่กี่พันบาท นางกับลูกๆ ก็สู่อุตส่าห์เอามาทำเป็นทุนรอนในการค้าขาย นางโชคดีที่ลูกๆ ทุกคนไม่ดื้อไม่เกเร ช่วยแม่ค้าขายทำมาหากิน และตั้งใจเรียน จนอาชีพค้าขายจากขายของเล็กๆ น้อยๆ โดยมีลูกๆ ช่วยกัน ได้ขยายกิจการใหญ่โตขึ้น ทำให้กลายเป็นคนที่มีฐานะดีคนหนึ่งในละแวกบ้าน ปัจจุบันลูกๆ ทุกคนก็มีอาชีพ มีงานทำ มีครอบครัว ลูกทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ นางยิ้มอย่างมีความสุข คำที่เคยสาบานไว้มันก็คือคำพูด ที่จำเป็นต้องพูดตามสถานการณ์ในขณะนั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของคนที่พูดมากกว่า ว่าจะสู้ต่อหรือจะปล่อยมือ แต่นางเลือกที่จะสู้ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน นางยังจำทุกถ้อยคำที่ได้พูดไว้กับผัวของนางในครั้งสุดท้าย พร้อมกับกลิ่นธูปที่ไม่เคยจางหาย.. 

  

จบบริบูรณ์ 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (1)

5.0