“มันเรื่องอะไรกันเจ้าเชษฐ์ ถึงได้มายืนค้ำหัวแม่ทำหน้าเป็นยักษ์เป็นมาร”
พิเชษฐ์กระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา เยื้ยงจากโซฟาที่มารดานั่งอยู่ ความน่าเกรงกลัวบนใบหน้าของเขาทำให้สร้อยระย้าแม่บ้านอาวุโสที่นั่งอยู่ใกล้ไม่กล้าสบสายตาบุตรชายของเจ้านาย
“แม่ปล่อยให้เธอปั่นหัวได้ยังไง ผู้หญิงไร้ยางอายคนนั้นไม่คู่ควรจะเป็นลูกสะใภ้แม่ด้วยซ้ำ”
“ประโยคนี้หนูไหมควรจะเป็นคนพูดมากกว่า ไม่ใช่ออกมาจากปากของแกเจ้าเชษฐ์” แก้วชาที่วางลงถูกหยิบขึ้นมาจิบอีกครั้ง มารดาแสดงสีหน้าเอือมระอาอย่างเห็นได้ชัด นึกค่อนแคะว่าพิเชษฐ์โตแต่ตัวเสียเปล่า
“ลูกสะใภ้คนดี คนเก่งของแม่ เธอบอกแม่หรือยังล่ะครับว่าตัวเองทำอะไรลงไป”
“แล้วหนูไหมไปทำอะไรให้แกกัน”
“เธอไปหาเรื่องปีใหม่” ลิลาวรรณพอได้ยินชื่อของปทุมมาคู่ควงของลูกชาย น้ำชาที่อยู่ในแก้วก็รสกร่อยไม่อร่อยลิ้น
“แกแต่งงานกับหนูไหมมาห้าเดือนแล้วนะ ทำไมแกถึงยังไม่เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีก” มารดาถอนหายใจ
“พูดจาให้เกียรติเมียตัวเองบ้าง อย่าเที่ยวไปพูดอย่างนี้ให้หนูไหมได้ยินเด็ดขาด”
พิเชษฐ์เหยียดริมฝีปาก ท่าทีแสดงออกของเขาไม่บอกก็รู้ชัดเจนว่าตัวเขาคิดกับภรรยาตีทะเบียนแบบไหน
“ลูกสะใภ้ของแม่ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรไปกว่าคนอื่นนัก ผู้หญิงดีๆ คงไม่ไปรังแก ระรานผู้หญิงอีกคน”
“เจ้าเชษฐ์!” มารดาทนให้เขาต่อว่าไหมขวัญไม่ไหวแล้ว เหมือนคำด่าของลูกชายนั้นก็ไม่ได้พ้นตัวเธอผู้เป็นแม่ผัว ในฐานะแม่จำเป็นต้องยื่นคำขาด