สุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ในหนังสือว่า “คนมีวัวย่อมทุกข์ใจเพราะวัว เปรียบคนมีลูกย่อมทุกข์ใจเพราะลูก”
ดังนั้น ฉันมีทั้งวัวทั้งลูก ความจริงนั้นย่อมทำให้ฉันทุกข์ใจเป็นสองเท่า จริงหรือ...!!!!
พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี วัดเบญจมบพิตร ได้เคยกล่าวไว้ว่า
“ความสุขและความทุกข์เปรียบดังไม้เท้าที่มีทั้งด้านโคนและปลาย ถ้าจับด้านโคนขึ้นมาซึ่งหมายถึงความทุกข์ ด้านปลายก็หมายถึงความสุขก็จะต้องติดมาด้วย หรือเปรียบได้กับเหรียญ 2 ด้าน หรือฝ่ามือ ถ้าด้านหลังมือเป็นสุข หน้ามือก็ต้องเป็นทุกข์เช่นกัน เพราะฉะนั้น การมีทุกข์ก็ย่อมนำมาซึ่งความสุขด้วยเช่นกัน เหมือนความสุขมีเมื่อใดก็ต้องทำใจไว้เลยว่า ต้องนำมาซึ่งความทุกข์ไม่แตกต่าง แต่การจะทำให้ความทุกข์เปลี่ยนเป็นความสบายใจได้อย่างไร นั่นต่างหากที่จะทำให้ความทุกข์เป็นความทรมานน้อยที่สุด"
พระอาจารย์สมชาติ สำนักปฏิบัติธรรมหินกอง กล่าวไว้ว่า
“ถ้าคิดที่จะปลูกต้นโพธิ์ ก็จงพอใจในการที่จะกวาดใบโพธิ์ด้วย” สัจธรรม คือความจริง ธรรมะต่างหากที่เราต้องยอมรับและปรับตัวทำให้จิตใจมีความสุข ดีกว่าการที่ต้องมานั่งคิดนอนนึกว่า ฉันมีนั่นมีนี่แล้วจะต้องรับความทุกข์อย่างไร เหมือนการเป็นทุกข์ในอริยสัจ 4 ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น"
ในอดีตฉันไม่เคยคิดมีลูกเพราะกลัวความทุกข์กับสุภาษิตที่อ่านติดตาตรึงใจว่า
“บุคคลใดมีวัวย่อมทุกข์ใจเพราะวัว บุคคลใดมีบุตรย่อมทุกข์ใจในบุตรของตน”
โดยลืมคิดไปว่าความทุกข์ย่อมนำมาซึ่งความสุขได้เช่นกัน ในขณะเดียวกันฉันจึงมุ่งตั้งประเด็นไว้เลยว่า ถ้าฉันมีลูก ๆ ต้องนำมาซึ่งความทุกข์อย่างแน่นอนไม่คิดเลยว่า สามีเองก็นำมาซึ่งความทุกข์ไม่แพ้กัน หรืออาจมากกว่านั้นหลายเท่าด้วยซ้ำไป และแล้วสามีฉันก็นำมาซึ่ง วัวและลูก
เวลานี้ฉันอยากบอกว่า
ถึงจะทุกข์อย่างไรฉันก็เต็มใจกวาดใบโพธิ์เพราะฉันเลือกที่จะปลูกต้นโพธิ์แล้วด้วยอำนาจแห่งความพอใจในกิเลสของตัวเอง และคุณค่าในสิ่งที่ปลูกกับคำว่า “ครอบครัว”