จบ คำสาปรักสุริยัน จันทรา
63
ตอน
9.96K
เข้าชม
52
ถูกใจ
37
ความคิดเห็น
89
เพิ่มลงคลัง
ความรัก คำสาป ความตาย และการเกิดใหม่กับปรากฏการที่เหนือธรรมชาติ และสุริยันต์ จันทรา ทุกคนต่างเข้าใจไปว่า คำสาปรักสุริยันต์จันทรานั้นคือคำสาปร้าย แต่แท้จริงเป็นเช่นไร ไม่มีใครรู้

คำเตือน 

นิยายเรื่องนี้เป็นแนวจีนโบราณ ซึ่งในเนื้อเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น ชื่อและสถานที่ต่าง ๆ อาจไม่มีอยู่จริงหรือมีอยู่จริง เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนล้วน ๆ ภาษาที่ใช้อาจขัดหูขัดตาไปบ้าง อาจจะไม่รื่นหูสักเท่าไหร่ สำหรับชื่อของตัวละครอาจมีความหมายบ้างไม่มีบ้างคงไม่ว่ากันนะคะเพราะนิยายจีนโบราณเรื่องนี้ไรท์เพิ่งเคยแต่งเป็นเรื่องแรก 

นิยายเรื่องนี้เป็นแนวชายรักชาย แนวผู้ชายท้องได้ เพศรองเป็นเกอ หรือก็คงคล้าย ๆ โอเมก้าประมาณนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใดไรท์ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ 

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ 

............................................................................................................... 

"หยุดเดี๋ยวนี้ วางปืนลง" เสียงตะหวาดลั่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งที่จ่อปืนไปยังบุคคลที่ใช้ปืนจ่อไปยังขมับขาวของนายแบบชื่อดังคนหนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นเป็นที่ต้องตาต้องใจเหล่าหนุ่มน้อยสาวใหญ่สาวน้อยมากมาย ยืนตัวสั่นในอ้อมแขนแข็งแรงของคนที่เขาคิดว่า รักเขามากและไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลย ไป๋เยว่ซิน รู้สึกเสียใจอย่างมากที่คนรักทำร้ายเขาถึงขนาดนี้ ดวงตาคู่สวยปิดลงอย่างอ่อนแรงหมดอาลัยตายยากในชีวิต  

"อันผิง นายต้องการอะไร" เยว่ซินเอ่ยถามคนรักเสียงสั่นเครือ อันผิงก้มลงมองคนที่ตนเอามาเป็นตัวประกัน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างหน้ากลัว ก่อนจะหัวเราะ หึๆๆๆๆๆๆ ในลำคอ 

"ต้องการอะไรงั้นเหรอ ต้องการให้มึงตายไง" อันผิงบอกก่อนจะกดปลายกระบอกปืนที่ขมับขาวจนเกิดรอยแดง เยว่ซินตัวสั่นด้วยความกลัว ในขณะที่ทุกคนรวมถึงตำรวจที่ยืนรายล้อม นั้นต้องการที่จะช่วยตัวประกันให้ได้นั้น ก็เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอย่างหนึ่งบนท้องฟ้า จู่ ๆ ท้องฟ้าที่สว่างสดใสก็มืดลงเกือบคล้ายกลางคืน ผู้คนแตกตื่นเพราะไม่ได้มีการแจ้งไว้ก่อนจากทางการแม้แต่น้อย แต่สำหรับอันผิงนั้น หาได้สนใจไม่ เขาต้องการแค่จำฆ่าคนคนนี้เท่านั้น 

"ทำไม ทำไมอันผิงนายจะฆ่าฉันทำไม เราไม่ได้รักกันเหรอ" เยว่ซินถามออกไปทั้งน้ำตา อันผิงหัวเราะคล้ายคนเสียสติ 

"แกมันตัวซวย ตัวหายนะ แกทำให้ฉันต้องเสียคนที่รักไป ฉันไม่เคยรักแกเลย ไม่เลย!!" อันผิงตะหวาดในประโยคหลัง เยว่ซินไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองนี่เหรอคนที่เคยบอกรักเขา ทุ่มเททุกอย่างให้เขาแต่ตอนนี้ต้องการให้เขาตาย 

"คุณอันผิง วางปืนลงเถอะ อย่าทำแบบนั้นเลยนะ ถ้าคุณทำร้ายเยว่ซินอนาคตคุณก็ไม่เหลือเลยนะ" ตำรวนที่ทำหน้าที่เจรจาต่อรองกับคนร้ายเอ่ยออกไป ด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง แต่คนอย่างอันผิงไม่ได้ฟังอะไรแล้วตอนนี้เขาไม่ได้หวังให้ตัวเองต้องอยู่รอดปลอดภัยขอแค่ได้แก้แค้นให้คนที่ตัวเองรักก็พอ 

"ไม่" "ปัง" "ปังๆๆ ๆๆ" นั้นคือประโยคสุดท้ายที่ เยว่ซิน ได้ยินก่อนที่จะสติเขาจะดับไป พร้อมกับเสียงปืนที่ดังขึ้นหนึ่งนัด และอีกนัดถัดไป 

ในขณะเดียวกัน ในรัชศกไท่หยางปีที่ 12 ในสมัยของพระเจ้าไท่หยางเฟยหรง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ได้เกิดเรื่องที่หน้าเศร้าขึ้นกับคนในตระกูลหลิน อย่างท่านเสนาบดีหลินลู่เสียน สังกัดกรมการยุติธรรม ต้องสูญเสียลูกชาย เกอน้อยผู้อ่อนต่อโลกจากน้ำมือของคนร้ายที่ลักพาตัวลูกน้อยไปเพื่อสังเวยความแค้นแทนบิดาเช่นเขา หลินเยว่ซิน เกอน้อยวัย 14 หนาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ต้องมาจากโลกอันโหดร้ายไป อย่างไม่มีวันกลับ ในตอนนี้ที่จวนตระกูลหลิน ได้ส่งทหารออกไปตามหา เยว่ซิน เกอน้อยที่หายตัวไปจากบ้านโดยการลักพาตัวไปของคนร้ายด้วยแค้นใจที่ ทางเสนาบดีหลินตัดสินโทษประหารแก่บิดาตน ตนเลยแก้แค้นมาลักพาตัวลูกชายอันเป็นที่รักของเสนาบดีหลินไปทารุณกรรมจนเกือบตาย แต่ไม่ได้ล่วงละเมิดทางเพศแต่อย่างใด 

ตอนนี้ร่างไร้เรี่ยวแรง และหายใจรวยรินของเกอน้อยได้ถูกนำกลับมายังจวนตระกูลหลินแล้วเป็นที่เรียบร้อย นายท่านหลินได้รับโปรดเกล้าจากองค์ฮ่องเต้ให้หมอหลวงมาทำการรักษาลูกน้อยของเขา 

"เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ" หลินลู่เสียนเอ่ยถามอย่างร้อนใจ จ้องมองบุตรชายไม่วางตา ร่างกายบอบบาง บอบช้ำอย่างหนัก กระโหลกศีรษะยุบ ซี่โครงหักอวัยวะภายในบอบช้ำอย่างรุนแรง บาดแผลภายนอกแทบไม่มีให้เห็น หมอหลวงถอนหายใจอย่างปลดปลง 

"ข้า เฮ้อ! ข้าเสียใจด้วยท่านเสนาบดี ข้าหมดความสามารถแล้ว ด้วยเขาร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ข้าแค่ประคองอาการไว้เท่านั้น ข้าขอตัว" หมอหลวงเอ่ยบอกอาการคนที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ลมหายใจรวยรินที่บ่งบอกว่า คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่จะอีกนานแค่ไหน นายท่านหลินทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ไม้เนื้อดีลวดลายสวยงามอย่างอ่อนแรง เหม่อมองบุตรชายตัวน้อยที่เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ไม่หน้าต้องมาเป็นแบบนี้เพราะคนชั่วคนนั้นเลย ลูกชายเขาไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อยทำไมต้องมาทำร้ายเขาด้วย 

"ท่านพี่ ไม่ ไม่ ฮื้ออออ ท่านพี่ ลูกของเรา ฮื้อออ" ฮูหยินหลิน มารดาของเยว่ซินที่เพิ่งวิ่งเข้ามาได้ยินหมอหลวงบอกก็ร้องไห้ฟูมฟาย ปานใจจะขาดไม่กล้าเข้าไปกอดลูกน้อยด้วยกลัวลูกจะเจ็บ 

หมอหลวงกลับไปแล้ว ทุกคนในจวนต่างโศกเศร้าอาดูร ด้วยคุณชายบาดเจ็บไม่รู้ว่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้อีกนานเท่าใด 

สายลมพัดพาใบไม้โบกไสวไปตามลม กลิ่นดอกอิงหวาโซยมาแต่ไกล ผสมกับกลีบดอกที่ร่วงโรยตามสายลมที่พัดพาไป ใบใผ่ปลิวไปตามเคล้าไปกับดอกไม้นานาพันธ์ุที่ร่วงหล่นลงพื้นดิน 

สบายจัง เย็นสบาย อากาศสดชื่นมาก ที่ไหนกันนะ นี่เราอยู่ที่ไหน ทำไมถึงสวยแบบนี้ ดอกไม้พวกนี้สีสันสดใสมากเลย ไป๋เยว่ซินคิดยืนชื่นชมบรรยากาศรอบตัวอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นานาพันธ์ุ โดยเฉพาะต้นอิงหวา และเหม่ยหวา ที่แข่งกันออกดอกสะพรั่งสีชมพูสดใส ส่งกลิ่นหอมสดชื่นแข่งกัน ไม่รู้ว่ามันขึ้นผิดฤดูกันหรือเปล่า ตอนนี้มันฤดูหนาวนี่หน่า เยว่ซินคิด เขาชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุด แต่กำลังจะเพลิน ๆ ก็ต้องสะดุด กับผู้ที่มาใหม่ 

"สวัสดีดีหนุ่มน้อย" เสียงทักทายดังขึ้นจากด้านหลังพาให้ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว รีบหันมาทางต้นเสียงเกือบจะทันที 

"คะ คุณเป็นใครครับ เป็นเจ้าของสวนดอกไม้นี่เหรอครับ" ไป๋เยว่ซิน ถามออกไปเสียงตะกุกตะกัก ด้วยกลัวจะโดนดุที่ล่วงล่ำเข้ามาในที่ของคนอื่น คนที่ทำให้เขาตกใจกลับยิ้มหวานส่งมาให้ หญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างโปร่งบาง น่าทะนุถนอม อายุหน้าจะไม่เกิด 20 ปี แต่กลับมีกลิ่นอายที่ทรงอำนาจหน้าเกรงขาม จนเยว่ซินต้องถอยห่างออกไป 

"ไม่ต้องกลัวเราหรอกพ่อหนุ่ม เรามาดี เรานำคนผู้หนึ่งมาพบเจ้า" เธอเอ่ยปลอบและให้เขาเจอใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ เอะ ไปแอบอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เยว่ซินมองอย่างสงสัย 

"นี่คือ ไป๋เยว่ซิน และนี่คือ หลินเยว่ซิน รู้จักกันไว้สิ" เมื่อเธอแนะนำจบทั้งสองก็มายืนตรงหน้ากัน ต่างคนต่างตะลึงกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากัน 

"ทำไมถึงเหมือนผม/ทำไมถึงเหมือนข้า" ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน จนหญิงสาวยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะอย่างขบขัน 

"เอาละ ๆ ไม่ต้องตกใจไป พวกเจ้าสองคน ก็คือคน ๆ เดียวกัน แค่แยกดวงจิตออกจากกันแค่นั้น เพราะคำสาปจากสุริยันต์จันทราเป็นเหตุ" ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหันมามองหญิงสาวนางนั้นอย่างอยากรู้เต็มที่ 

"ต่อไปพวกเจ้าจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว ไปสิหลินเยว่ซิน" นางบอกแล้วหลินเยว่ซินก็เดินตรงไปยืนตรงหน้าไป๋เยว่ซินทันที เขายื่นมือไปให้ไป๋เยว่ซิน แล้วหันหน้าไปมองนาง หญิงสาวคนนั้นใส่ชุดจีนโบราณผ้าบางเบาสวมทับกันสามชั้นสีชมพูอ่อนสวยงามมาก นางโบกแขนเสื้อซ้ายทีขวาที ร่างของทั้งสองก็มารวมตัวกัน เป็นหนึ่งจิตวิญญาณเดียวกัน 

"ลืมตาสิไป๋เยว่ซิน" นางเอ่ยบอกกับคนที่ยืนหลับตาปี๋ด้วยความกลัว เอ๋! ไป๋เยว่ซินเหรอ ทำไมเหลือเขาละ 

"ทำไมเหลือเป็นผมละ" เยว่ซินแปลกใจเขาตายแล้วนี่หน่า นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ 

"ก็คนที่ต้องอยู่คือเจ้า หาใช่อีกคนไม่ อะๆ เจ้าคงสงสัยว่าเพราะเหตุใดสินะ นั่นก็เพราะว่าเจ้าแข็งแรงกว่าหลินเยว่ซิน อย่างไรละ เอาละได้เวลาที่เจ้าจะต้องไปอยู่ที่ ๆ หลินเยว่ซินจากมาแล้ว ต่อไป เจ้าคือหลินเยว่ซินแล้วนะ ข้าจะให้พรแก่เจ้า" นางแก้ข้อสงสัยที่เขาสงสัยได้ดีทีเดียว เอ๋ พรเหรอหน้าสนใจดี เยว่ซินคิด 

"จะขออะไรก็ได้เหรอครับ" เยว่ซินถาม นางพยักหน้า 

"ผมยังนึกไม่ออก แล้วขอได้กี่ข้อครับ" เยว่ซินสงสัย นางยกนิ้วให้ 5 ข้อ 5 ข้อเลยเหรอเยอะจัง เขายิ้ม 

"เอาละว่ามาสิ เราจะให้พรเจ้าเพื่อเป็นการแก้ตัวเราเลยเพิ่มให้เป็น 5 ข้อ จากปกติ 3 ข้อ" นางเร่ง 

"แก้ตัว เรื่องอะไรครับ" เขาสงสัย 

"ก็......ที่ข้ากับคนรักทำให้พวกเจ้ายุ่งวุ่นวายไงละ เอาละอย่าถามมากบอกมาเลย" นางเร่งอีก 

"เอาละครับงั้นข้อ 1 ผมขอให้ตัวเองเก่งกาจในทุก ๆ ด้าน ฉลาดมีไหวพริบแข็งเกร่งขั้นเทพ 

ข้อ 2 ขอให้ผมสมหวังในความรัก 

ข้อ 3 อืมม นึกไม่ออก เอาไว้สามข้อที่เหลือผมค่อยบอกได้ไหม ตอนนี้นึกไม่ออกอะ" เยว่ซินทำท่าคิดก่อนจะตอบออกไป  

"ได้สิแล้วข้าจะไปหาเจ้านะ นี่คือของขวัญที่ข้าและคนรักทำมันให้เจ้า" นางยื่นกำไลหยกสีเขียวมีเส้นสีทองด้านในเนื้อหยกสวยงาม มันดูใหญ่ไปสำหรับข้อมือเขา เยว่ซินยื่นมือไปรับมาสวมเข้าก้ับข้อมือบางข้างขวา พอสวมบั๊บจากที่ดูว่าใหญ่มันก็รัดลงมาจนพอดีกับข้อมือของเขา 

"มันสวยมากครับ ขอบคุณครับ" เยว่ซินเอ่ยอย่างตื้นตันใจ 

"มันคือกำลังมิติ ในนั้นมีทุกสิ่งอย่างที่เจ้าต้องการ แค่เจ้าอยากเข้าไปเจ้าก็สามารถเข้าไปได้เสมอเพราะมันคือของ ๆ เจ้าแล้ว และมันสามารถสื่อถึงข้าและคนรักข้าได้ด้วยนะ" นางอธิบายจนเยว่ซินตาโต 

 "เราต้องไปกันแล้ว เอาละหลับตาลงแล้วยื่นมือมา" นางบอก ไป๋เยว่ซินทำตามอย่างว่าง่าย แวป!!!!! 

  

  

  

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว