1
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของการพบกัน
นารา เพชรอาชา สาวสวยอายุ 23 ปี เรียนจบด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นาราเป็นลูกสาวคนเดียวของนเรศและพรพรรณ นารามีพี่ชายที่อายุห่างจากนาราสิบปี ชื่อว่า อาชากร ทำงานอยู่ที่โคราช นารามีเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงตอนนี้ชื่อ ปรายดาว พ่อและแม่ของปรายดาวเป็นญาติผู้น้องของพ่อและแม่ของนารา ตอนนี้นาราเธอกำลังคิดหนักกับคำสั่งของพ่อที่ให้เธอกลับไปอยู่บ้านเมื่อเรียนจบ
“ฮือออออออออออ ฮือออออออออ ทำไม่พ่อไม่เข้าใจฉันบ้าง ฉันอยากทำงานทำไมล่ะทำไม พ่อต้องบังคับฉันด้วย ฮือออออออออออออ”
เสียงร้องไห้ของสาวสวยที่ตอนนี้หน้าของเธอมีแต่คราบน้ำตาทำให้เพื่อนสาวอย่าง ปรายดาวเบ้ปากหน้าแหยๆ
“เธอจะร้องไห้ทำไมยัยนา ฉันคิดว่าเธออ้างว่าเธอกำลังทำงานอยู่สิ ตอนนี้เธออย่าลืมนะเธอเรียนจบแล้ว”
“แต่พ่อฉันบอกว่า ถ้าเรียนจบให้รีบกลับบ้านนิ” นาราบอกกับเพื่อนอย่างซื่อๆ
“แล้วแกจะเชื่อพ่อเหรอ และนี่ใบสมัครงานฉันเพิ่งปริ๊นมาให้เลยนะเนี้ย”
ปรายดาวยื่นกระดาษให้นาราอ่านในนั้นเป็นใบสมัครงาน พนักงานร้านหนังสือ โอ บุ๊คเซ็นเตอร์
“แกจะให้ฉันไปทำงานที่นี่น่ะนะ แต่มันจะดีเหรอแก” นาราพูดขณะอ่านใบสมัคร
นาราไม่แน่ใจที่จะเริ่มทำงาน เพราะตลอด 23ปี เธอไม่เคยทำงานที่อื่นนอกจากที่บ้านของตนเอง นาราเธอขอพ่อกับแม่ของเธอมาอยู่กับปรายดาวที่กรุงเทพเมื่อสามปีที่แล้ว ชีวิตของเธอก็มีแต่กินกับเที่ยว นาราเริ่มเรียนภาษาที่กรุงเทพมาตลอดสามปีจนเธอสามารถอ่าน ออก เขียนได้ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย นาราไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยปิดเธอเลือกเรียนสายอาชีพด้านการตลาดเธอคิดว่าการจบช้าไม่น่าจะเป็นปัญหาของเธอ
“ฉันส่งใบสมัครให้แกเรียบร้อยแล้วเหลือแต่ไปสัมภาษณ์งานตามที่อยู่นี้วันพรุ่งนี้” ปรายดาวบอกเพื่อนและหยิบปากกามาจดที่อยู่ยื่นให้นารา นาราเธอรับไปอ่านขณะเดินไปหยิบน้ำมาดื่ม
เช้าวันใหม่ ปรายดาวไปส่งนาราทีหน้าร้านหนังสือ โอ บุ๊คเซ็นเตอร์ นาราเธอสวมชุดกระโปรงลายคิตตี้น่ารักเดินเข้ามาในร้าน สิ่งแรกที่เธอเห็นนั้นคือจำนวนหนังสือและสื่อการสอนที่แยกตามหมวดหมู่เป็นระเบียบ เธอมองหาเจ้าของร้านและเห็นผู้หญิงรูปร่างท้วมสวมแว่น เธอเดินเข้าไปเดินดูรอบๆร้านและเดินไปหาผู้หญิงคนนั้น
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อนาราค่ะ มาสัมภาษณ์งานค่ะ”
นาราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“ต้องสัมภาษณ์ตอนบ่ายค่ะ ทางเราแจ้งคุณไปแล้วนี่ค่ะ พึ่งจะสิบเอ็ดโมงเอง” สาวร่างท้วมพูดขึ้น
“คุณเป็นเจ้าของร้านเหรอค่ะ”
นาราถามขึ้นและเห็นผู้หญิงอีกคนท่าทางดูดีแต่อายุมากกว่าเดินเข้ามาในร้าน
“ไม่ใช่หรอกค่ะ นั่นไงค่ะเจ้าของร้าน” สาวร่างท้วมบอกกับนารา
“บี คนสัมภาษณ์งานมาสักคนรึยังจะได้เริ่มสัมภาษณ์เลยวันนี้นัดไว้ห้าคนใช่ไหม”
ผู้หญิงท่าทางดูดีถามสาวร่างท้วมก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้าน
2
“คุณอุสาค่ะมีผู้สัมภาษณ์มาก่อนหนึ่งคนค่ะ” สาวร่างท้วมบอกกับเจ้านายและออกมาบอกให้นาราเข้าไปในห้อง
“สวัสดีค่ะดิฉันชื่ออุสาเป็นผู้จัดการร้าน ดิฉันอยากทราบว่า ทำไมคุณอยากมาทำงานที่นี่ค่ะ” อุสาถามนาราและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
นาราตอบตามความคิดของตน “ฉันอยากหาประสบการณ์ค่ะ และอยากหาเงินไปเรียนต่อด้วย”
“คุณคิดว่าหนังสือมีความสำคัญหรือมีประโยชน์อย่างไรสำหรับคุณค่ะ” อุสาถามนาราขณะดูประวัติการทำงานของเธอ
“มีความสำคัญค่ะ ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก หนังสือให้อะไรหลายๆอย่างกับฉัน ทั้งแนวคิด มุมมองและสิ่งแปลกใหม่รวมถึงความรู้ที่นำมาปรับในชีวิตประจำวันค่ะ”
“คุณชอบอ่านหนังสือประเภทไหนค่ะ”
อุสามองกริยาท่าทางของนาราด้วยสายตาที่เอ็นดูและอุสาก็เดินไปหยิบหนังสือมาหนึ่งเล่มยื่นให้นารา
“ดิฉันอ่านได้ทุกประเภทค่ะ จะชอบมากก็เป็นหนังสือประวัติศาสตร์หรือไม่ก็จำพวกสารคดีค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ หนังสือที่ดิฉันให้ไปเป็นหนังสือที่ดิฉันเขียนเองค่ะอยากให้คุณไว้เป็นที่ระลึก แล้วทางเราจะติดต่อกลับไปอีกที อาทิตย์หน้าดิฉันจะโทรแจ้งคุณอีกทีนะค่ะ”
อุสาพูดขึ้นและยิ้มให้กับนาราก่อนจะเดินมาส่งนาราที่หน้าห้องและตัวเธอก็เรียกผู้สัมภาษณ์คนต่อไปทันที
นาราเดินออกมาจากห้องผู้จัดการ เธอเดินดูหนังสืออย่างสนใจและเธอก็หยิบหนังสือคำกลอนเล่มหนึ่งและหนังสือนวนิยายเล่มหนึ่งมาอ่านอย่างสนใจก่อนจะเดินไปที่ช่องจ่ายเงิน นาราก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนมองหนังสือแล้วน้ำตาไหลออกมา นาราตกใจมากแต่ก็คิดว่าเขาอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วอินไปกับเนื้อเรื่องที่อ่าน นาราจ่ายเงินค่าหนังสือเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากร้านนั้นและยืนรอรถอยู่ตรงหน้าร้านแต่แล้วจู่ๆนาราก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินออมากับผู้จัดการร้านด้วยท่าทางที่สนิทสนม และนาราก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถเสียงดัง
“เหม่ออะไรยะไม่เห็นรถฉันมาเหรอไง คิดถึงใครอยู่ล่ะ” ปรายดาวถามเพื่อนเมื่อนาราขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว
“ป่าวพอดีฉันเห็นผู้ชายยืนร้องไห้ ขณะอ่านหนังสือ”
“แล้วไง เขากำลังอินกับนิยายละมั้งแก ฉันว่าไม่เห็นแปลกเลย”
“นี่ขับรถไปเลยเถอะฉันหิวข้าวแล้วนะ” นาราบอกกับเพื่อนก่อนจะเบนสายตาไปมองถนน
“เออ แล้วสัมภาษณ์งานเป็นอย่างไรบ้าง เขาตกลงรับแกปะ”
ปรายดาวถามขึ้นขณะเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดรของห้าง
“เขาบอกว่าอีกอาทิตย์จะโทรมาบอก แต่ฉันก็ทำใจไว้แล้วแหละนะ”
นาราเดินลงจากรถสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนนั้นกับผู้จัดการร้านเดินเข้าไปในห้างอีกแต่นาราก็ไม่สนใจเดินเข้าไปในห้างไปที่ร้านอาหารเจ้าประจำก่อนเพื่อน
“แกฉันเห็นอีกแล้วคนนั้นไง ผู้ชายที่ยืนร้องไห้น่ะมากับผู้จัดการร้านหนังสืออีกแล้ว”
“เขาหล่อดีนะ แต่ทำไมสายตาเขาเศร้าจังเลยเนอะ” ปรายดาวพูดขึ้นในขณะที่มองเมนู
3
นารากดโทรศัพท์หาพี่ชายด้วยความที่เกรงใจพี่ชายอยู่บ้างเพราะอายุของเธอกับพี่ชายของเธอห่างกันสิบปี
“ฮัลโหล ว่าไงยัยตัวแสบมีอะไรจะแก้ตัวพูดมาเลยตอนนี้พ่อไม่อยู่คาดว่าน่าจะไปตามหาแกที่กรุงเทพ”
อาชากรพูดมาตามสายหวังจะให้นารากลัวเพราะว่า เธอมักจะรู้ดีว่าเวลาพ่อโมโหเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่
“พ่อจะมากรุงเทพ ไม่นะ…พี่กรก็รู้ว่าหนูเรียนอยู่จะให้หนูกลับบ้านได้ยังไงแล้วอีกอย่างหนูได้งานแล้วด้วย”
“แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันหาวิธีช่วยแกแล้ว แต่ฉันให้เวลาแกอีกแค่สองปีเท่านั้นนะ ตอนนี้พ่อคงไม่ได้ไปไหนไกลหรอกเพราะรถน้ำมันหมด ทางที่ดีแกรีบเรียนให้จบแล้วกลับมาช่วยกันทำมาหากิน เข้าใจที่ฉันบอกไหม”
“เข้าใจค่า ยังไงก็ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยนะนาคิดถึงมาก แต่ขอเคลียร์ตัวเองก่อน แค่นี้นะ สวัสดี” นาราตัดบทวางสายทิ้งทันที เธอก้มลงกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิวก่อนกลับไปที่ห้อง
“แก ข่าวร้าย พอดีฉันมีนัดน่ะ แกลับคนเดียวได้ไหม” ปรายดาวบอกกับเพื่อนอย่างรู้สึกผิดที่ทิ้งเพื่อนไว้คนเดียว
“เออ กลับเองได้ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันน่ะอยู่ที่นี่มาสามปีนะแท็กซี่ก็มีแกไปเถอะ” นาราบอกกับเพื่อน
นารารู้ดีว่านัดของเพื่อนคืออะไรแต่เขาก็อยากให้ปรายดาวคิดให้รอบคอบก่อนที่จะคบกับใคร นารามักจะคอยเตือนเพื่อนเสมอในการไปงานปาร์ตี้แบบนั้น ปรายดาวนั้นเป็นสาวสังคมชอบไปงานปาร์ตี้กับกลุ่มเพื่อนๆของเธอ แต่นารานั้นแตกต่างจากปรายดาวอย่างสิ้นเชิง นาราชอบอยู่บ้านอ่านหนังสือ ชอบเขียนกลอนและเขียนนิยายขายออนไลน์เป็นงานอดิเรก นารามีความฝันอยากจะมีร้านหนังสือเป็นของตนเองที่บ้านเกิด
เมื่อนารานั่งแท๊กซี่มาถึงห้องแล้วเธอก็ค้นหาหนังสือที่ตนเองซื้อมาอ่านอย่างอารมณ์ดี พลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือที่ผู้จัดการร้านให้มาเป็นที่ระลึกเธอวางหนังสือเล่มที่ตั้งใจจะอ่านลงและเธอก็เห็นหน้าปกของหนังสืออีกเล่มที่เขียนว่า คุณอยากมีความรักแบบไหนใน 5 แบบ นาราคิดว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นพวกนักรักที่ผ่านการมีสามีแล้วหรือไม่ก็เคยอกหักแต่ ผู้ชายคนนั้นเล่า เขาเป็นใครทำไมหน้าตาของเขาถึงได้เศร้ามากขนาดนั้น
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปนารารับโทรศัพท์จากร้านหนังสือโอ บุ๊คเซ็นเตอร์ พนักงานบอกว่าให้ไปรายงานตัวพรุ่งนี้นาราดีใจมากรีบไปบอกปรายดาวที่ห้องของเธอทันที
“เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉันได้งานแล้ว ยัยดาว ฉันได้งานแล้ว เขาเพิ่งโทรมาบอกฉันเองเมื่อกี้”
นารากระโดดกอดเพื่อนอย่างดีใจและเห็นว่าเพื่อนสาวกำลังงัวเงียง่วงนอน เพราะเมื่อคืนปรายดาวกลับมาใกล้สว่างนาราไม่อยากจะเซ้าซี้เพื่อนปล่อยให้เพื่อนนอนส่วนตนเองกลับไปนั่งอ่านหนังสือเล่มนั้นที่โซฟาอย่างอารมณ์ดี
คุณอยากมีความรักแบบไหนใน 5 แบบ 1.ความรักคือ การให้อภัย 2.ความรักคือความเข้าใจกัน
3.ความรักคือความซื่อสัตย์ 4.ความรักคือการเสียสละ และ 5.ความรักคือความผูกพันรักกันไม่เปลี่ยนแปลง
นาราอ่านได้ตรงจุดนี้ซึ่งเป็นหน้าสารบัญ เธอก็หยุดอ่านมองหนังสืออย่างครุ่นคิด ตัวเธอนั้นอยากมีความรักแบบไหนกันนะ นารายิ้มให้หนังสือและมองหาปากกาสีมาจดสิ่งที่เธอกำลังตามหาระหว่าง ความฝัน กับ ความรัก สองสิ่งนี้คือสิ่งที่เธอกำลังตามหาหรือ ความฝันกับความรักเธอจะเลือกสิ่งไหนก่อนดีนะ นาราคิดได้แล้วเธอก็หยิบไดอารี่ของตนเองมาจดบันทึกเรื่องราวของเธอ ตลอดสามปี นารามักจะจดบันทึกเรื่องราวของตนเองอยู่บ่อยครั้ง นารานั้นคิดว่าตนเองคงจะไม่กลับไปแต่งงานกับคนที่พ่อเลือกให้อย่างแน่นอน เธอถึงได้ย้ายมาอยู่กับปรายดาวที่กรุงเทพ ตามคำชวนปรายดาว นาราเธอครุ่นคิดว่าเธอจะแต่งชุดแบบไหนไปทำงานกันนะ จะเป็นชุดกระโปรงหรือุดกางเกง นาราคิดแล้วตนเองก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอกตามที่คิดไว้
4
ที่แรกที่นาราไปคือ สำเพ็ง ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่มีราคาถูก ก่อนที่นาราจะออกไปข้างนอก เธอเดินไปหาเพื่อนสาวอย่างห่วงใย
“ยัยดาวแกตื่นรึยังเนี่ย ไม่กินข้าวเหรอนี่จะสิบโมงแล้วนะ” นาราปลุกเพื่อนและรีบพับเก็บที่นอนให้เพื่อนอย่างเรียบร้อยเมื่อเห็นเพื่อนลุกเดินไปเข้าห้องน้ำแล้ว
“แกจะไปไหนหละวันนี้ ไหนบอกว่าจะอยู่บ้านอ่านหนังสือ” ปรายดาวถามนาราอย่างงัวเงียมานั่งข้างๆเพื่อน
“ไปซื้อเสื้อผ้า และซื้อของใช้ด้วย จะไปด้วยกันไหม หรือว่าจะนอนอยู่บ้าน”
นาราถามปรายดาวและเดินไปเปิดตู้เย็น เธอก็รู้สึกหดหู่ใจเพราะในตู้เย็นไม่มีของสดที่จะทำอะไรได้เลยนอกจากน้ำเปล่า นาราคิดว่าเธอน่าจะไปหาของกินที่ตลาดเพื่อซื้อของมาไว้ทำกับข้าวเพื่อความประหยัดเงินในกระเป๋า นารานั้นมักเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบเสมอ เธอจดรายการที่อยากจะซื้อไว้ในสมุดจด
ณ ตลาดสำเพ็ง ตลาดเก่าแก่ชื่อดังของกรุงเทพมหานคร
“แกจะมาดูผ้าหรือชุดใส่ไปทำงานทำไมแกไม่ไปซื้อที่ห้างหรือตลาดแถวๆพาหุรัดวะ จะมาทำไมที่ตลาดสำเพ็งนี่”
“ทีแรกนะ ตั้งใจจะมาดูชุดหรือเสื้อผ้าแต่เปลี่ยนใจไง อยากมาดูเครื่องเขียนมากกว่า เอาน่าเดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวนะ”
“แกรู้ไหมตลาดสำเพ็งนี้มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่1เลยนะ” นาราบอกกับเพื่อน
นาราเดินไปที่ร้านเครื่องเขียนร้านที่เคยมาซื้อเป็นประจำเมื่อตอนสมัยเรียนมัธยม นาราเคยมีธุรกิจเล็กๆมาซื้อของแถวนี้ไปขายต่อที่บ้านเกิดของตนเอง นาราชอบตลาดแห่งนี้เพราะเป็นตลาดที่มีของให้เลือกมากมายทั้งของกิน ของใช้ โดยเฉพาะเครื่องประดับที่มีมากมายหลายร้อยชนิดให้เลือก
“แล้วพรุ่งนี้แกจะให้ฉันไปส่งกี่โมงหละ” ปรายดาวามเพื่อนขณะเดินดูกิ๊ฟติดผม
“แปดโมงไง ร้านเปิดเก้าโมงนะ แต่ฉันว่างานในร้านหนังสือคงไม่ยุ่งยากมากหรอก”
“ก็ไม่แน่นะแก แกคิดดูสิทั้งเช็คของ เฝ้าหน้าร้านจิปาถะ สภาพของคงแกจะหัวฟู ดูไม่ได้เสียมากกว่า”
“เอาน่า อย่าคิดมาก ตอนนี้มีงานอะไรเราก็ควรทำไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ แม่ฉันเคยสอนฉันนะ ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน”
เมื่อเดินเลือกดูของได้สักพักแล้วในที่สุดปรายดาวก็ได้ที่คาดผมกับกิ๊ฟติดผมลายน่ารักๆ มาสองสามอัน ส่วนนารานั้นได้เครื่องเขียนครบชุดตามที่เธอตั้งใจไว้
“ฉันหิวแล้วน่ะไปกินก๋วยเตี๋ยวกันนะ” นาราเอ๋ยชวนปรายดาวก่อนจะเดินไปที่ร้านที่เคยมากิน
“เอ๊ะทำไมร้านนี้ตกแต่งเยอะจังเลยเนอะ” ปรายดาวสังเกตเห็นป้ายต่างๆในร้านมากมายป้ายหน้าร้านเขียนว่า ก๋วยเตี๋ยวโบราณสูตรอยุธยา
ภายในร้านตกแต่งด้วยรูปต่างๆที่เป็นสีดำใส่กรอบรูปตกแต่งอย่างสวยงาม และที่เด่นสุดเห็นจะเป็นป้ายขนาดใหญ่ที่บอกเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับตลาดแห่งนี้ นาราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปอย่างสนุกสนานตามมุมต่างๆของร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณแห่งนี้ และรูปสุดท้ายเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตลาดสำเพ็ง ปรายดาวอ่านกรอบรูปนั้นอย่างสนใจ
“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงย้ายเมืองมาตั้งยังฝั่งพระนคร (กรุงรัตนโกสินทร์) ก็โปรดเกล้าให้ชาวจีนโยกย้ายจากบริเวณท่าเตียนไปอยู่ ณ ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง ชาวจีนก็ได้สร้างชุมชนของตัวเองทั้งการสร้างย่านการค้าขาย จนเติบโตกว้างขวาง โดยส่วนมากจะอาศัยอยู่ทางใต้ของพระนคร ได้แก่ ชุมชนตลาดสะพานหัน
5
ตลาดเก่า ตลาดสำเพ็ง ตลาดวัดเกาะ (วัดสัมพันธวงศ์) และตลาดน้อย สำเพ็งเวลานั้นเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 4 จัดได้ว่าเป็นตลาดบกที่ใหญ่ที่สุดของพระนคร สินค้าที่นำเข้ามาขายนอกจากจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังมีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยมากเป็นข้าวของเครื่องใช้จากประเทศจีน สำเพ็งนอกจากจะเป็นตลาดใหญ่แล้ว ยังเป็นแหล่งรวมอบายมุขระดับใหญ่ของประเทศในยุคนั้น มีทั้งโรงฝิ่น บ่อนการพนัน และโรงหญิงโสเภณี ซึ่งมีอยู่หลายสำนักและด้วยเหตุที่เป็นย่านการค้าขายและแหล่งชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น มีการเปรียบเทียบภาพของสำเพ็งในยุคนั้นว่า “ไก่บินไม่ตกพื้น” เพราะหลังคาบ้านแต่ละหลังต่างเกยกัน ทำให้มีเหตุเพลิงไหม้บ่อยอยู่เป็นประจำนั่นเอง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห็นว่า สำเพ็งนั้นเติบโตมากเกินไปแล้ว และยังเป็นแหล่งไม่เจริญหูเจริญตา ฝรั่งหรือชาวต่างชาติที่มาเห็นต่างตำหนิติเตียน พระองค์จึงมีรับสั่งให้สร้างถนนตรงกลางสำเพ็ง เพื่อทำการขยายชุมชนและย่านการค้าให้ใหญ่โตรโหฐานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งโปรดเกล้าให้สร้างตึกแบบฝรั่ง เพื่อให้ประชาชนได้ทำการค้าขาย ถนนที่สร้างใหม่ดังกล่าว เช่น ถนนทรงวาด ถนนราชวงศ์ สำเพ็ง แหล่งการค้าของชาวจีนแห่งแรกในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯให้ชาวจีนย้ายถิ่นฐานจากบริเวณท่าเตียนไปอยู่ ณ ที่สวนตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสำเพ็งชาวจีนได้ตั้งหลักสร้างชุมชนและย่านการค้าจนรุ่งเรืองจนขยายพื้นที่ออกไปอย่างกว้างขวางสำเพ็งในขณะนั้นจัดเป็นตลาดบกที่ใหญ่ที่สุดในพระนครสินค้าที่นำมาจำหน่ายจึงมีมากมายหลายประเภทเช่น เครื่องกระดาษ ของไหว้เจ้า อาหารแห้ง ปลาเค็ม ฯลฯ และด้วยความเป็นแหล่งการค้ามีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นจึงทำให้เกิดปัญหาไฟไหม้อยู่บ่อยครั้ง ในปี พ.ศ. 2434 รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ถ.เยาวราชแทรกระหว่าง ถ.เจริญกรุงกับ ถ.สำเพ็ง พร้อมกับได้สร้างตึกขึ้นตลอดแนวสองฝั่งถนน ทำให้เกิดศูนย์กลางธุรกิจและการค้าแห่งใหม่บนถนนสายนี้ และเมื่อมีการตัดถนนสายอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น ทรงวาด ราชวงศ์ อนุวงศ์ ขอบเขตที่เป็นใจกลางการค้าของสำเพ็งก็ถูกบีบให้ลดลงเหลืออยุ่เพียงแนว ถ.สำเพ็ง หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น ถ.วานิช 1 ปัจจุบันสำเพ็งเป็นตลาดขายส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ บนพื้นที่ไม่มากเท่าไหร่นี้ประกอบไปด้วยสินค้านานาชนิด เช่น ต่างหู กิฟต์ติดผม ที่คาดผม กรอบรูป อัลบั้มรูป ผ้าขนหนู สินค้ากิ๊ฟช็อปทุกชนิด ของเล่น ตุ๊กตา ของใช้ในครัวเรือน”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าความรู้จะมีได้ทุกที่น่ะ” ปรายดาวเปรยขึ้น
“ก็ใช่ไง ความรู้มีทุกที่ ทุกเวลาแหละเพียงแต่เราจะจดจะจำได้มากน้อยขนาดไหน” นาราบอกกับเพื่อน
“แล้วเรื่องของความรักล่ะมันต้องมีสูตรของมันด้วยไหม” ปรายดาวถามเพื่อนเพราะเห็นว่านารานั้นชอบอ่านหนังสือมากกว่าตน ปรายดาวนั้นไม่ชอบอ่านหนังสือ ปรายดาวเคยบอนาราว่าอ่านหนังสือแล้วง่วงนอน
“แล้วแกอยากมีความรักแบบไหนล่ะดาว”
นาราถามเพื่อนกลับบ้างและตนเองก็ยื่นหนังสือให้ปรายดาวดูหนังสือเล่มนั้นได้บอกถึงเรื่องราวความรัก 5 แบบ
“แกซื้อมาเหรอไง” ปรายดาวถามนาราและหยิบหนังสือมาอ่านด้านหน้าและด้านหลังอย่างสนใจ
ข้อความในด้านหลังของหนังสือเล่มนั้นเขียนว่า “ความรักที่เปรียบเสมือนไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างในสรรพสิ่งให้มอดไหม้ลงไปท่ามกลางความร้อนที่ระอุอยู่ในใจของคนมีทั้ง รัก โลภ โกรธหลงซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีหากไม่ดับไฟในใจของเราแล้ว ไฟนั้นก็จะมอดไหม้กัดกินใจของเรา ทำให้เราต้องเจ็บปวดอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”
“เราไม่ได้ซื้อมาหรอกเว้ย มีคนให้มาเป็นที่ระลึก ผู้จัดการร้านนั้นแหละ เธอชื่อคุณอุสา อัครเวทย์ เธอบอกว่าเธอเขียนหนังสือเล่มนี้ ฉันว่ามันน่าสนใจดี ทำให้เราได้มองเห็นความรักในหลายรูปแบบในมุมมองต่างๆ“ นาราบอกกับเพื่อน
“เราว่านะสองสิ่งที่เชื่อมโยงให้แก่ความรักนั่นก็คือ หัวใจ และ เวลาที่เป็นบทพิสูจน์ของความรัก เธอว่าจริงไหม” ปรายดาวถามนาราและอาหารก็มาเสริฟทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดซักถามกันในบางครั้งนารามักจะให้ข้อคิดดีๆแก่ปรายดาวเสมอ
6
และปรายดาวก็ให้ความรู้ในด้านการแต่งกายหรือแฟชั่นให้กับนาราได้รับรู้และนั่นถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ถึงกันและกัน วันนี้นาราตั้งใจจะมาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ปรายดาวอยากชวนนาราไปเที่ยวห้างมากกว่ามาเดินตากแดดร้อนๆ นาราเดินซื้อของมากมายตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ และเครื่องเขียนที่นาราตั้งใจซื้อมานาราคิดว่า ตนเองน่าจะเขียนแนวคิดหรือข้อคิดดีๆออกมาให้ผู้อื่นอ่านบ้าง
เมื่อนาราและปรายดาวกลับมาที่ห้อง นารารีบจัดแจงข้าวของที่ซื้อมาอย่างรวดเร็วและตนเองก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ หนังสือที่นาราหยิบมาอ่านครั้งนี้เป็นหนังสือนิยายที่นาราตั้งใจซื้อมาเพราะเป็นนิยายที่สะท้อนเรื่องราวชีวิตในสังคมได้อย่างลงตัว นั่นคือเรื่อง กรงกรรม นาราอ่านแค่บทคำนำนาราก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้เข้มข้น เข้าถึงจิตใจของนักอ่านได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังสอดแทรกเรื่องราวของความรักอีกด้วย
“วันนี้แกจะนอนอ่านนิยายทั้งวันปะ” ปรายดาวถามเพื่อนขณะชงโกโก้ให้นาราและตนเอง
“อืม วันนี้ว่างทั้งวัน ขออ่านนิยายต่อนะเพื่อนรัก” นาราบอกกับปรายดาวและหันไปสนใจหนังสือนิยายต่อ
“เชิญตามสบายเลยค่ะ แม่สาวช่างฝัน” ปรายดาวพูดขึ้นก่อนจะเข้าไปในห้องของตนเอง
นาราคิดถึงสมัยก่อนตอนที่เรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 6 ปรายดาวชอบลอกการบ้านของนาราเป็นประจำ ปรายดาวเลือกสอบมหาวิทยาลัยเอกชนคณะนิเทศศาสตร์ ส่วนนาราเลือกเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงด้านการตลาด ในขณะที่ปรายดาวต้องเรียนถึงสี่ปีถึงจะจบระดับชั้นปริญญาตรี นารานั้นคิดว่าไม่ว่าจะเรียนระดับไหนหากเรามุ่งมั่นและตั้งใจทำงานเราก็จะประสบความสำเร็จได้ นาราอ่านหนังสือจนเลยเวลารับประทานอาหารปรายดาวรู้ว่าเพื่อนสาวหิวเลยชวนกันไปตลาดโต้รุ่งซึ่งอยู่ข้างหอพักที่พวกเธอยู่ และนาราก็เห็นผู้ชายคนที่เคยเจอที่ร้านหนังสือมานั่งกินข้าวอยู่คนเดียวเธออยากจะเข้าไปถามด้วยความห่วงใยแต่สักพักเธอก็เห็นผู้จัดการร้านคนเดิมเดินเข้ามานั่งด้วย นาราคิดว่าคนสองคนที่เห็นนั้นคงจะเป็นแฟนกัน
“แกมองอะไรของแก เห็นมองตั้งนานแล้ว” ปรายดาวถามเพื่อนอย่างสงสัย
“ก็ผู้ชายคนที่ยืนร้องไห้ในร้านหนังสือน่ะสิ มากับผู้จัดการร้านหนังสืออีกแล้วนั่นไงอยู่โต๊ะด้านหลังเธอน่ะ”
“เขาสองคนคงจะเป็นแฟนกันมั้งแก แต่ผู้หญิงน่าจะอายุมากกว่านะดูจากหน้าตาแล้ว” ปรายดาวพูดขึ้นเบาๆ เพราะกลัวคนที่ถูกนินทาจะได้ยิน
“คงจะใช่แหละมั้ง เพราะคุณอุสาเธอน่าจะอายุประมาณสามสิบปลายๆแหละ ผู้ชายคนนั้นหน้าอ่อนกว่" นาราพูดจบเธอก็จัดการกับอาหารตรงหน้าด้วยความหิว
เมื่อรับประทานอาหารจบแล้วนาราก็พาปรายดาวไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ อาจจะเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตาที่ทำให้นาราต้องมาเจอกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขามากับหญิงสาวที่ดูแล้วน่าจะมีอายุมากกว่าอุสาเสียอีก นาราทำหน้าไม่ถูกเมื่อเขามองมาทางเธอ นารารีบสะกิดพาปรายดาวกลับห้องพักทันทีทำให้ปรายดาวแปลกใจมาก
“แกจะลากฉันทำไม แกทำแบบนี้เขาก็ยิ่งสงสัยสิว่าเรานินทาเขานะ” ปรายดาวพูดขึ้นขณะเดินข้าไปในลิฟท์ของคอนโด นารารู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นน่าสงสารเพราะสายตาของเขาดูเศร้ามาก นาราคิดว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะเป็นแฟนของคุณอุสาแต่ทำไมเวลานี้เขาอยู่กับผู้หญิงอีกคนหรือว่าเขาเป็นผู้ชายเผื่อเลือกนาราสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนข้างห้องทะเลาะกันทำให้นาราเบื่อคนข้างห้องมากเพราะเวลาที่สองคนนี้ทะเลาะกันทีไรจะมีเสียงออกมาให้รำคาญหู แต่ปรายดาวกลับเฉยๆกับเหตุการณ์นั้น
“นา ฉันถามแกจริงๆนะแกรู้จักกับผู้ชายคนนั้นเหรอทำไมถึงได้สนใจเขาจังเลย” ปรายดาวถามเพื่อนอย่างสงสัย
“ป่าว ผู้ชายคนนั้นเราไม่รู้จักหรอก แต่เราคิดว่าเขาน่าจะเป็นแฟนกับว่าที่นายจ้างของฉันน่ะสิ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น
7
ฉันคงจะมองหน้าเขาไม่ติด เพราะฉันกลัวว่าเขาจะสงสัยที่เราเอาเรื่องของเขามานินทา” นาราบอกอย่างคนที่รู้สึกผิด
“แล้วอย่างไรหละ ผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่เป็นอย่างที่แกคิดก็ได้นะ ถ้าเขาสองคนเป็นแฟนกันจริงแกก็แค่ทำงานไปไม่ต้องคิดมากหรอก นอกเสียจาก….” ปรายดาวเหล่มองเพื่อนและจ้องตาอย่างสงสัย
“อะไร แกจะพูดอะไรยัยดาว” นาราถามเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“นอกเสียจากแกจะสนใจผู้ชายคนนั้น หรือไม่ก็แกจะอคติกับผู้ชายคนนั้นมากเกินไป เขาจะเป็นใคร ทำอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับเราหรือถ้าเขาสงสัยแกหรือจับแกได้ว่านินทาเขา แกก็ขอโทษเขาซะ ไม่เห็นจะยากเลย รีบไปนอนซะนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ อย่าลืม” ปรายดาวปลอบใจเพื่อนแล้วเร่งให้เพื่อนไปนอนและปรายดาวก็เดินไปที่ห้องของตนทันที
เช้าวันรุ่งขึ้นวันนี้นาราตื่นเช้ากว่าปกติเพราะ วันนี้เป็นวันแรกในการทำงานของเธอ นาราเธออยู่ในชุดเดรสระโปรงลูกไม้สีชมพูน่ารักสดใส ปรายดาวไปส่งนาราตั้งแต่เช้าเพราะกลัวรถติด เมื่อมาถึงหน้าร้านหนังสือ โอ บุ๊คเซ็นเตอร์ นารารีบลงจากรถและรีบเดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว นารายังไม่ทันที่จะเดินเข้าไปในร้านเธอก็ควานหาโทรศัพท์มือถืออย่างร้อนรน สักพักเสียงด้านหลังก็ดังขึ้นทำให้นาราต้องรีบหันกลับไปมอง
“นา ฉันว่าแกกำลังหาสิ่งนี้ใช่ไหม” ปรายดาวยื่นโทรศัพท์ให้นาราให้นาราและยิ้มออกมาในความซุ่มซ่ามของเพื่อน
“ขอบใจมากนะดาว ฉันนึกว่ามันหายไปแล้วนะ” นารารับโทรศัพท์มาจากเพื่อนและรีบเดินเข้าไปในร้าน
บีบีมาคอยต้อนรับพนักงานใหม่ วันแรกของการทำงานนาราได้รู้จักกับบีบี สาวร่างท้วมคนที่เธอเคยเจอในวันที่เข้ามาสัมภาษณ์งานวันแรก นารายิ้มให้กับบีบี งานแรกที่นาราได้รับมอบหมายนั้นเป็นงานแคสเชียร์คอยคิดเงินค่าหนังสือ
“สวัสดีค่ะคุณอุสา” นาราทักทาย ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ” อุสาตอบนาราและยิ้มให้นาราอย่างเป็นมิตร
เมื่อบีบีเห็นเจ้านายเดินเข้ามาในร้านแล้ว เธอก็บอกให้นาราตามไปที่ห้องทำงานของอุสา
บีบีก็แยกตัวออกไปทำหน้าที่ของเธอตามปกติ นาราเคาะประตูห้องและกำลังจะเดินเข้าไปยังไม่ทันที่จะเปิดประตูบีบีก็บอกให้นาราเอากาแฟเข้าไปเสริฟให้อุสา นารารับกาแฟเอาเข้าไปให้อุสาอย่างคล่องแคล่ว
“ขอบใจจ๊ะ วันนี้เราจะยังไม่เปิดร้านนะจ๊ะ พอดีเราจะเปิดร้านวันพรุ่งนี้ ที่ฉันเรียกคุณนารามาวันนี้เพื่อที่จะให้มาเรียนรู้งาน อย่างที่บีบีบอกงานของคุณ คือเป็นแคสเชียร์หน้าร้านและคอยตอบคำถามของลูกค้าเพราะคุณมีทักษะด้านภาษาที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ส่วนบีบีเขาจะมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของฉัน” อุสาพูดขึ้นและยกกาแฟขึ้นจิบ
“ค่ะ แล้วคุณอุสาจะให้นาชงกาแฟเอามาให้ทุกเช้ารึป่าวค่ะ” นาราถามขึ้น
“ไม่หรอกค่ะ บีบีเขาจะเป็นคนจัดการหน้าที่นี้เอง คุณนาราจะเรียกฉันว่าพี่ก็ได้นะค่ะ จะได้ทำงานสะดวกขึ้น” อุสาบอกอย่างใจดี
“ขอบคุณค่ะ พี่อุสาจะให้นาทำอะไรบอกได้เลยนะค่ะ แล้ววันนี้จะให้นาทำอะไรบ้างค่ะ”
“นั่นไงค่ะคนสอนงานมาแล้ว พอดีวันนี้พี่มีธุระไปทำนิดหน่อยนะ ยังไงวันนี้เรียนรู้งานให้พร้อมนะ”
อุสาบอกกับนาราเมื่อเห็นบีบีเดินเอาดอกไม้เข้ามาให้ในห้อง
“ไปก่อนนะ ยังไงฝากน้องใหม่ด้วยนะบีบี” อุสาพูดจบรับดอกไม้จากบีบีแล้วเดินออกไปทันที
8
“เขาจะไปไหนเหรอค่ะ ทำไมดูรีบร้อนจัง” นาราถามบีบีและเดินตามบีบีมาอ่านแผนผังชื่อหนังสือตามชั้นต่างๆ
“คุณอุสาน่ะเธอไปทำธุระกับคุณอัคนีน้องชายของเธอ แต่พี่ก็ไม่รู้นะว่าธุระอะไร” บีบีตอบขึ้น
“นาขอเรียกพี่ว่าพี่บีนะ เรียกพี่บีบีมันยาวไป” นาราพูดออกมาอย่างซื่อๆ
“ได้สิจ๊ะ รีบอ่านและจำให้ได้นะจะได้ตอบคำถามลูกค้าถูก ตอนที่พี่มาทำงานที่นี่วันแรกนะ ก็ต้องเรียนรู้งานอย่างนี้นี่แหละจ๊ะ” บีบีบอกกับนาราก่อนที่จะไปเช็คหนังสือที่ห้องเก็บของ
นาราทำงานจนลืมเวลาและก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอมองหน้าจอเห็นเป็นชื่อปรายดาว เธอกดรับสาย และกรอกเสียงไปตามสาย
“ไงยัยดาวจะมารับกี่โมง ฉันรออยู่ที่ร้านนะ
“เออ ตอนนี้ฉันติดงานด่วนด้วยกว่าจะเสร็จก็ค่ำลับเองนะ” ปรายดาวพูดกับเพื่อนและตัดสายทิ้งทันที
บีบีจัดการงานในร้านเสร็จเธอก็เก็บระเป๋าเตรียมกลับบ้านถามนาราด้วยความเป็นห่วง “นารา ใครมารับเหรอ”
“กลับเองค่ะพอดีเพื่อนมันติดธุระ” นาราตอบกลับไปขณะเก็บของทุกอย่างลงในกระเป๋าเตรียมจะกลับบ้านเช่นกัน
“พี่บีกลับยังไงค่ะมารถส่วนตัวเหรอ” ปรายดาวถามขึ้นขณะช่วยบีบีปิดประตูร้าน
“กลับรถแท็กซี่จ้า รถพี่มันรวนเลยเอาเข้าอู่น่ะ ยังไงก็กลับดีดีนะ”
“จ้า พรุ่งนี้เจอกันนะพี่บี” นาราบอกกับบีบีและเดินแยกไปอีกทาง
ขณะที่นารารอรถอยู่นั้นเสียงข้อความในโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นจนคนรอบข้างมองมาทางเธอ เธอกดรับไลน์อ่านหน้าจอ
“นาราพรุ่งนี้พี่จะเข้าสายหน่อยนะยังไงก็ฝากบอกบีบีด้วยหละ”
ขณะนารากำลังอ่านไลน์ทางโทรศัพท์อยู่นั้นก็มีใครบางคนเดินเข้ามาชนเธออย่างแรงทำให้โทรศัพท์ตกลงไปในท่อระบายน้ำ นาราโมโหมากเธอมองหาคนที่เดินมาชนเธอ แต่นาราก็ไม่เห็นใครนอกจากเห็นผู้หญิงสาวสวยอายุน่าจะเป็นรุ่นน้อง เธอมองซ้าย มองขวาหาทางหนีใครบางคนอยู่ และนาราก็เห็นผู้หญิงกับผู้ชายดูท่าทางจะมีอายุ วิ่งเข้ามาจะจับตัวผู้หญิงคนนั้น นาราคิดว่าหญิงชายมีอายุจะมาลักพาตัวเธอ นาราเห็นโอกาสพาเธอวิ่งขึ้นรถเมย์ไปทันที ทำให้ชายหญิงสองคนนั้นตามไม่ทันมองรถเมย์ที่เคลื่อนไปอย่างโมโห นาราพาเธอมาที่สถานีตำรวจแต่ยังไม่ได้เข้าไปเธอก็เห็นสาวน้อยคนที่เธอช่วยเหลือร้องไห้ออกมาอย่างหนัก นารามองนาฬิกาก็เห็นว่าหกโมงเย็นแล้วเธอพาสาวน้อยคนที่เธอช่วยเหลือไปที่คอนโดของตน และจัดแจงอุ่นอาหารที่ซื้อมาจาก เซเว่น อีเล่เว่น
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอหนีอะไรมา ฉันรู้แต่ว่าถ้าฉันไม่ช่วยเธอ เธอก็จะมีภัยใช่ไหม กินข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน เธอชื่ออะไร อายุเท่าไร” นารายื่นอาหารให้คนที่อยู่ตรงหน้าและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“หนูชื่อ น้อย ดงภักดี อายุ 20 ปี หนูหนีแม่เลี้ยงของหนูมา เขาจะจับหนูแต่งงานกับผู้ชายอายุ 50 หนูไม่อยากแต่งงานและอีกอย่างแม่เลี้ยงของหนูให้หนูไปขายบริการทางเพศให้ผู้ชายที่มีเงิน หนูไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้ว” น้อยพูดออกมาด้วยความอัดอั้นในใจที่อยากจะระบายออกมาและร้องไห้ออมาอย่างหนัก
“พี่เข้าใจ เพราะพี่ก็จะถูกคลุมถุงชนเหมือนกันแต่ที่เธอบอกว่าแม่เลี้ยงของเธอให้เธอไปทำงานขายตัวน่ะเป็นความผิดนะ เธอโชคดีมากที่หนีออกมาได้ แล้วเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนที่พอจะช่วยได้เลยเหรอ”
9
ตอนที่ 2 งานใหม่ของนารา
“ไม่มีค่ะ หนูมีแต่พ่อ แต่พ่อของหนูก็เสียชีวิตไปแล้ว พ่อแต่งงานใหม่ตอนหนูอายุได้สิบห้าปี แม่เลี้ยงของหนูเข้ามาอยู่ด้วยและเมื่อพ่อของหนูเสียชีวิต เขาก็บังคับให้หนูไปขายตัวแลกเงิน” น้อยเล่าจบก็น้ำตาไหลออกมาอีก
“ชีวิตของเธอน่าสงสารจัง แล้วเธอเคยนอนกับผู้ชายมาแล้วใช่ไหมหวังว่าผู้ชายพวกนั้นคงจะไม่ถ่ายคลิปของเธอออกมาประจานเธอนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงจะมีตราบาปไปจนวันตายเลย“
“ขอบคุณพี่มากนะค่ะที่ช่วยเหลือหนู” น้อยพูดขึ้นและร้องไห้ออกมาฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“เอาหละ อยู่ที่นี่ไปก่อนนะพี่อยู่กับเพื่อนสองคน กินข้าวแล้วไปอาบน้ำนอนพักผ่อนซะ นี่พี่แบ่งเสื้อผ้ามาให้คงจะใส่ได้อยู่หรอกนะ อย่าคิดมาก แล้วเรื่องแม่เลี้ยงของเธอ เธอจะต้องแจ้งความดำเนินคดี ทำแบบนั้นมันผิดกฎหมายนะรู้ไหม”
“หนูกลัวน่ะพี่ ไม่กล้าแจ้งความหรอกและอีกอย่างผู้หญิงคนนั้นก็จดทะเบียนกับพ่อของหนูด้วย”
“โชคร้ายมากเลย แล้วต่อไปเธอจะเอาอย่างไรกับชีวิตหละ เธอจบชั้นอะไร ตอนนี้เธออายุยี่สิบน่าจะทำงานได้แล้วก็คงจะหางานหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่เอกสารนี่สิสำคัญ โดยเฉพาะเอกสารด้านการศึกษา” นาราบอกับน้อยอย่างครุ่นคิด
“หนูจะแอบไปเอามาวันพรุ่งนี้” น้อยพูดขึ้นอย่างไม่ต้องคิดเพราะตนเองได้เตรียมการหนีไว้แล้ว
“มันเสี่ยงมากเลยนะเธออาจจะโดนจับเลยก็ได้ จะให้ปลอดภัยเธอต้องแจ้งความกับตำรวจเขาจะได้ดูแลเธอได้”
“หนูไม่อยากแจ้งความให้เป็นเรื่องถึงตำรวจ หนูไม่อยากเป็นข่าว”
น้อยยืนยันว่าจะไม่แจ้งความแต่น้อยมั่นใจว่าจะไปเอาเอกสารของตนเองออกมาได้อย่างปลอดภัย นาราได้ยินเสียงไขกุญแจประตูก็รู้ทันทีว่าเป็นปรายดาว นารามองนาฬิกาเห็นว่าจะสามทุ่มแล้วบอกน้อยให้รีบกินข้าว จะได้ไปอาบน้ำนอน
นาราเล่าทุกอย่างให้ปรายดาวฟังและขอให้ปรายดาวมองหางานให้น้อยด้วย ปรายดาวได้ฟังแล้วก็อดสงสารน้อยไม่ได้ ปรายดาวมองน้อยเมื่อเธอออกมาจากห้องอย่างครุ่นคิดและบอกให้น้อยไปนอนพักผ่อนก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันใหม่ เพราะวันนี้ปรายดาวก็เหนื่อยมาทั้งวันเช่นกัน
เช้าวันใหม่นาราตื่นแต่เช้าออกมาทำอาหารเช้าให้กับทุกคน อาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มหมูสับ น้อยออกมาช่วยนาราทำอาหาร วันนี้นาราต้องไปทำงานแต่เช้า นาราปรึกษากับปรายดาวว่าจะให้เธอพักอยู่ที่นี่และก็จะหางานให้ทำเป็นหลักแหล่ง ปรายดาวเห็นว่าเพื่อนยังไม่มีรถไว้ใช้เลยให้นารายืมใช้รถไปพลางๆก่อน
“แกจะกลับไปนอนที่บ้านใช่ไหมดาว” นาราถามเพื่อน และรับกุญแจรถมาจากมือของเพื่อน
“อืม แล้วค่อยคุยกันนะ” ปรายดาวบอกนาราและปรายดาวก็ออกไปทันที
“วันนี้พี่จะไปทำงานก่อนพักเที่ยงเราค่อยมาว่ากันอีกทีนะ พี่ดาวเขาบอกว่าจะให้น้อยอยู่ที่นี่ไปก่อน ไม่ต้องรีบร้อนอะไรหรอกหากน้อยกลัวจะไม่ปลอดภัยพี่จะเป็นคนไปแจ้งความเอง” นาราบอกกับน้อยและให้น้อยรีบกินข้าวต้มให้หมด
นารากลัวรถติดและเข้าไปทำงานสาย นาราออกจากบ้ายพร้อมน้อยเธอให้น้อยสวมหมวกและใส่แว่นตาบังใบหน้าเอาไว้ นารามาถึงหน้าร้านโอ บุ๊ค เซ็นเตอร์ เธอเข้าไปหาบีบีบอกกับบีบีตามข้อความที่อ่านไว้เมื่อวาน บีบีรับรู้รีบจัดการงานให้เสร็จก่อนที่เจ้านายจะมา นาราถามบีบีว่า ให้น้อยมาหลบภัยที่ร้านก่อนได้ไหม และเล่าเรื่องของน้อยให้บีบีฟัง
“อยู่กับนาราที่นี่แหละ” เมื่อบีบีบอก น้อยก็ไปหาที่นั่งและหาหนังสือมาอ่านรอ
10
วันนี้นาราสังเกตเห็นลูกค้าที่มาซื้อหนังสือส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นและวัยทำงาน นาราคิดว่าน่าจะมีกิจกรรมดีดีให้ลูกค้าที่มาซื้อของเป็นประจำบ้างนะ และสายตาของนาราก็เห็นอุสาเดินเข้ามาในร้าน อุสามองน้อยอย่างแปลกใจ บีบีเป็นคนเล่าเรื่องของน้อยให้อุสาฟัง อุสาเข้ามาคุยกับน้อยและแนะนำให้น้อยไปแจ้งความที่สานีตำรวจ และนาราก็ได้อธิบายถึงความจำเป็นที่น้อยต้องมาซ่อนตัวที่นี่ นาราทำงานจนถึงเวลากลางวัน เมื่อถึงเวลาเที่ยงนาราชวนน้อยออกไปกินข้าวร้านตรงข้ามกับร้านหนังสือ
“น้อยแน่ใจนะว่าแม่เลี้ยงของน้อยจะออกจากบ้านตอนไหน” นาราถามขึ้นขณะขับรถพาน้อยไปที่บ้านของเธอ เมื่อน้อยกำลังเข้าไปในบ้านได้สักพักกัลยาก็เดินชนเข้ากับน้อยพอดี
“นังน้อยแกไปอยู่ที่ไหนมาแกกำลังทำให้ฉันขายหน้า ฉันอุตสาห์หาผัวดีดีให้แกแต่แกไม่เอา แกคิดว่าตัวแกจะไปรอดเหรอฮะ” กัลยาตบหน้าน้อยและจะลากน้อยเข้าไปในบ้านเพื่อขังน้อยอย่างที่เคยทำแต่นาราได้โทรเรียกตำรวจเสียก่อน น้อยจึงได้เอกสารวิ่งออกมาหานารา นาราไปส่งน้อยที่คอนโดและตนเองก็รีบกลับไปทำงานต่อ
“นาราคุณอุสาเรียกพบจ๊ะ คุณอุสาจะให้ไปเอาของให้ที่บ้าน” บีบีบอกกับนารา
“แล้วใครจะนั่งเป็นแคสเชียร์ค่ะ ถ้าหนูไปเอาของน่ะ”
“คุณอุสาจ๊ะ คุณอุสาจะนั่งแทน เดือนหน้าคุณอุสาจะรับพนักงานเพิ่มอีกสองคน”
นาราเข้าไปหาอุสาที่ห้องทำงาน ตรงป้ายหน้าห้องเขียนว่า ผู้จัดการร้าน อุสา อัครเวททย์
“นาราพี่ลืมของน่ะ นาราเอารถมาใช่ไหมช่วยไปเอาของให้พี่หน่อยนะ พี่จะไปเอาเองมิเนเจอร์สาขาใหญ่จะมาคุยเรื่องเอาหนังสือมาลงที่ร้าน พี่ต้องอยู่ต้อนรับเขาและบีบีก็ต้องเตรียมเอกสารงานด้วย”
“ได้ค่ะ แล้วพี่อุสาเขียนแผนที่ให้หนูแล้วใช่ไหมค่ะ” นาราถามขึ้น
“ใช่ พี่ส่งที่อยู่ให้แล้วนะ ของที่จะไปเอาเป็นไดร์สีขาววางอยู่บนโต๊ะทำงานที่ห้องของพี่ ยังไงก็รีบหน่อยนะ”
“รับทราบค่ะ” นาราตอบรับและรีบเดินไปที่รถขับออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนารามาถึงหน้าบ้านของอุสา เธอลงมากดกริ๊งและ ประตูก็เปิดออกเองอัตโนมัติ นาราลงจากรถมองหาคนในบ้าน นาราเดินหาคนในบ้านตามห้องต่างๆ และสายตาของนาราก็มองไปเห็นผู้ชายคนที่เธอเคยเจอเมื่อสอง สามวันก่อน เธอแปลกใจมากหรือว่าเขาจะเป็นสามีของคุณอุสา
“มาหาใคร เธอคือคนที่คุณแม่ฉันสั่งให้มาดูตัวใช่ไหม ฉันจะบอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงแม้เธอจะยั่วฉันแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันที่จะเอาผู้หญิงที่หวังจะรวยทางลัดหรอกนะ” คำถามห้วนๆดึงความคิดของนารากลับมา นารามองหน้าเขาและเห็นว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาดี คมคาย ผิวขาวเขาอยู่ในชุดกางเกงยีนต์สีซีดกับเสื้อเชิ้ตสีดำที่ขัดกับผิวของเขาโดยสิ้นเชิง
“คุณคิดว่าคุณกล้าดียังไง มาตัดสินกันแบบนี้ ฉันมาที่นี่เพื่อมาทำธุระ ไม่ได้มายั่วหรืออ่อยใครแล้วท่าทางคุณคงจะเป็นพวกหลงตัวเองเอาดีไม่ได้ และคิดแต่เรื่องสกปรกใช่ไหม ฉันคิดว่าคุณคงจะเป็นพวกขาดความรักนะ ฉันถามหน่อยเถอะในบ้านหลังนี้พอจะมีใครที่พูดรู้เรื่องบ้างไหม” นารามองหาใครบางคนที่พอจะเข้าไปเอาของที่อุสาสั่งออกมาให้ได้”
“อัคนี คุยกับใครอยู่ลูก หนูใช่คนที่อุสาให้มาเอาของไหม”
“ใช่ค่ะ สวัสดีค่ะ หนูชื่อนาราค่ะ คุณอุสาให้หนูมาเอาของให้คุณอุสาค่ะ คุณอุสาบอว่าเป็นแฟรกไดส์อยู่บนโต๊ะในห้องทำงานค่ะ” นาราพูดขึ้นอย่างนอบน้อม นาราสังเกตว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะอายุประมาณ 50 ปี ลักษณะการแต่งกายดูดีมีฐานะบ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
“จ๊ะ รอสักครู่นะเด็กกำลังขึ้นไปเอาของมาให้ เข้าไปดื่มน้ำในบ้านก่อนสิ“ รัชนีบอกอย่างเอื้อเฟื้อ
11
“ขอบคุณค่ะ บ้านน่าอยู่มากเลยนะค่ะ แล้วคุณน้าเป็นคุณแม่ของคุณอุสาใช่ไหมค่ะ”
“ใช่จ๊ะ แล้วนั่น อัคนีลูกชายของแม่” รัชนียิ้มให้นาราเพราะเธอถูกชะตากับเด็กคนนี้
อัคนีมองนาราด้วยสายตาที่เย็นชาจนนาราสัมผัสได้และคิดว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าไว้ใจที่จะอยู่ใกล้มากนัก เลยคิดที่จะรีบกลับให้เร็วที่สุด แต่ก็ยังไม่มีใครเอาของมาให้สักที นาราร้อนรนจนอัคนีเข้ามายื่นแฟรกไดส์ให้เธอ
“อ้าวไหนคุณอุสาบอกว่าอยู่ในห้องทำงานแล้วมันไปอยู่กับคุณได้อย่างไร หรือคุณแอบเอาไป คุณจะแกล้งฉันใช่ไหม”
“ก็คนที่คิดงานนี้คือฉันเอง แฟรกไดส์นี่ก็ของฉันไม่ใช่ของพี่สา” อัคนีพูดขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” นารารีบเดินออกไปทันทีแต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปไหน อัคนีก็เข้าไปนั่งในรถของนาราแล้ว
“นี่คุณ ลงมาจากรถฉันนะ ฉันจะรีบไปทำงาน ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับคุณหรอกนะ”
“ผมจะไปด้วยพอดีมีเรื่องจะคุยกับพี่สาหน่อย” อัคนีบอก่อนจะเอนตัวหลับไปอย่างนั้น นาราโมโหมากเธอเข้าไปนั่งตรงคนขับ ขับรถออกไปอย่างรวดเร็วและยังไม่ทันจะถึงบริษัทนาราก็ได้รับสายจากบีบี
“ฮัลโหลพี่บีหนูใกล้จะถึงแล้ว ติดไฟแดงอยู่หน้าปากซอย” นาราพูดกรอกเสียงไปตามสายขณะขับรถไปด้วย
“รีบมาเลย ผู้หญิงชื่อน้อยเป็นลมหมดสติตอนนี้คุณอุสากำลังพาส่งโรงพยาบาล”
“เขาเป็นอะไรเหรอตอนหนูมาเขาก็ยังปกติอยู่นะ” นาราถามขึ้นอย่างสงสัย
“พี่ก็ไม่รู้เธอไปห้องน้ำออกมาเธอจะมาช่วยพี่จัดหนังสือ เธอทำได้สักพักก็หน้ามืดเป็นลมไปเลย”
“แค่นี้ก่อนนะพี่บี หนูกำลังเลี้ยวรถเข้าไปยังไงก็ฝากพี่บีโทรบอพี่อุสาให้หนูด้วยนะ” นาราพูดจบกำลังจะวางสายและเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อรถเสียหลักขณะเลี้ยวเข้าไปในซอยเพราะมีมอเตอร์ไซด์มาปาดหน้ารถทำให้รถของนาราไถลไปชนกับรถคันอื่นและไถลลงข้างทางจนเสาไฟฟ้าหักนาราตกใจมากเป็นลมสลบไปคาพวงมาลัย อัคนีสะดุ้งตื่นขึ้นมางุนงงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและมองมาทางนาราเมื่อเขาเห็นนาราสลบไปเขาตั้งสติได้รีบเรียกรถพยาบาลทันทีและส่งนาราขึ้นรถพยาบาลก่อนที่จะไปจัดการกับทางตำรวจ อัคนีโทรหาอุสาแล้วก็รีบตามไปที่โรงพยาบาลทันที
รัชนีรู้สึกว่านาราจะกล้าที่จะต่อรองกับอัคนีได้เธอกดโทรศัพท์หาลูกสาวขอประวัติของนาราจากอุสาทันที
“แม่ค่ะตอนนี้สาอยู่โรงพยาบาลค่ะนาราลูกน้องของสาเกิดอุบัติเหตุค่ะ” อุสากรอกเสียงมาตามสายบอกมารดาของตน
“อัคนีก็ไปกับนาราด้วย แล้วอัคนีเป็นอะไรไหม” รัชนีถามด้วยความเป็นห่วงลูกชาย
“ไม่ค่ะ นาราก็แค่สลบไปตอนนี้ดีขึ้นแล้วแม่โทรหาหนูมีอะไรเหรอค่ะ”
“แม่อยากจะดูประวัติของเด็กที่ชื่อนาราจ๊ะลูก แม่คิดว่าจะจ้างเขามาเป็นผู้ช่วยของอัคนี”
“มันจะดีเหรอค่ะแม่ งานที่ร้านก็ต้องมีแคสเชียร์นะค่ะ แล้วสาก็ยังหาพนักงานเพิ่มไม่ได้”
“เรื่องพนักงานที่ร้านแม่จะหาให้แต่แม่ขอตัวหนูนารามาดูแลอัคนีก่อน ตกลงตามนี้นะจ๊ะแม่ต้องเข้าประชุมแล้ว แค่นี้ก่อนนะลูก”
“ก็ได้ค่ะเอาไว้สาจะคุยกับนาราให้นะค่ะแม่” อุสาบอกกับมารดาของตนและกดวางสายก่อนจะเดินไปหาลูกน้องของตนด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอัคนีเข็นรถพานารามาหาเธอที่ด้านหน้าของโรงพยาบาล
12
“พี่สาครับ โทรบอกญาติเธอแล้วใช่ไหม” อัคนีถามอุสา
“ป่าวหรอก แม่เราโทรมาน่ะแล้วคุณหมอบอกว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“แค่ฟกช้ำครับไม่น่าห่วงอะไร เอายาและกลับบ้านได้ โชคยังดีนะครับที่เราไม่ได้ผิดเต็มร้อยมีมอเตอร์ไซด์มาปาดหน้ารถเลยเสียหลักนี่ผมก็ให้ทนายความจัดการอยู่แต่ไม่รู้จะมีประกันหรือป่าวนะครับ” อัคนีบอกับพี่สาวของตนเอง
อุสาเดินไปที่ช่องการเงินเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับนาราในขณะที่อุสาจ่ายเงินอยู่นั้น อัคนีเห็นนาราคุยกับผู้ชายคนหนึ่งด้วยท่าทางที่สนิทสนมทำให้อัคนีมีสีหน้าไม่พอใจรีบเดินเข้าไปหาเธอทันที
“พี่สาจัดการค่ารักษาพยาบาลให้แล้วนะ รถของเธอมีประกันหรือป่าว”
“มีครับ รถที่น้องนาขับเป็นรถของผมเองครับ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องรถเองยังไงก็ต้องขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือน้องนา”
“ไม่เป็นไรครับ เป็นใครก็ต้องช่วยอยู่แล้วว่าแต่คุณสนิทกับนารามากเหรอครับ” อัคนีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ก็สนิทกันพอสมควรครับ พอดีเราเรียนหนังสือมาด้วยกัน”
“ขอบคุณมากเลยนะค่ะพี่ดิน ที่มาอยู่เป็นเพื่อนนาแล้วเมื่อไหร่ยัยดาวจะเลิกงานค่ะ เขาได้บอกอะไรไหม” นาราถามดิน หรือ นดล อดีตสามีของปรายดาว
นดลนั้นรู้จักกับปรายดาวและนารามาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษา ปรายดาวเป็นแฟนกับนดลและแต่งงานกันตั้งแต่ก่อนที่นดลจะเรียนจบเสียอีก ชีวิตคู่เมื่อรักกันเร็ว ก็เลิกกันเร็ว นดลขอปรายดาวอย่าเพราะ นดลทนนิสัยของปรายดาวไม่ได้ปรายดาวเสียใจมากคิดที่จะฆ่าตัวตายแต่นาราก็ให้ข้อคิดกับปรายดาวในเรื่องนี้ทำให้ปรายดาวคิดได้ยอมอย่าให้กับนดล เรื่องราวของปรายดาวและนดลเป็นบทเรียนให้นาราได้คิดว่า ถ้าเรารักกันเร็วและไม่ศึกษาดูถึงสิ่งต่างๆของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ หรือพฤติกรรมของคนรัก หรือแม้ระทั่งครอบครัวของคนรัก ความรักและชีวิตคู่ก็อาจจะล้มเลิกได้เกิดการทะเลาะกัน ทำร้ายร่างกายกันและที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เกิดการฆ่ากัน อย่าร้างกัน ก่อให้เกิดปัญหาของสังคม
เสียงเรียกของดินทำให้นาราออกมาจากภวังค์ความคิด นารานั้นเสียดายคนดีดีอย่างนดลแทนปรายดาว
“พี่โทรหาดาวแล้ว น้องนารอก่อนนะพี่ต้องกลับไปทำงานต่อ” นดลบอกกับนารา
“ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณพี่ดินนะค่ะ ตามจริงยัยดาวไม่น่าโทรให้พี่ดินมาเลยนะ นาเกรงใจ”
“ดาวเขาคงจะไม่มีใครให้พึ่งพาแหละ อีกอย่างที่ทำงานพี่ก็อยู่แถวนี้พอดี ไม่เป็นไรหรอก”
“พี่ดินค่ะ ปรายดาวเขานิสัยดีขึ้นเยอะเลยนะค่ะ ตอนนี้นาเชื่อว่าเธอคงรอให้พี่ดินกลับไปหาเธอ”
“มันคงไม่มีวันนั้นหรอกนะ ดาวเขาก็คงคิดเช่นกัน ถึงเราสองคนจะรักกันมากแค่ไหนแต่นิสัยของเราก็ต่างกัน”
“ขอให้พี่ดินโชคดีค่ะ” นาราพูดจบนดลก็เดินแยกออกไปอีกทาง
อัคนีมองนาราอย่างไร้อารมณ์ถามนาราว่าจะให้ไปส่งที่ไหนเพราะอุสาต้องไปทำงานต่อ อุสาฝากให้อัคนีไปส่งนาราที่บ้าน
“จะให้ฉันไปส่งเธอที่ไหน พี่สากลับไปทำงานต่อแล้ว” อัคนีถามนาราขณะเข็นรถไปที่ลานจอดรถด้านหน้าโรงพยาบาล
“คุณกลับไปก่อนนะฉันต้องไปเยี่ยมน้องสาวของฉันก่อน” นาราบอกกับอัคนีนาราควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า กดโทรหาปรายดาวแต่ปรายดาวไม่รับสาย เธอกดสายทิ้งอย่างโมโหเธอไม่อยากให้เรื่องราววันนี้รู้ถึงหู พี่ชาย พ่อและแม่ของเธอ ไม่อย่างนั้นพ่อของเธอคงลากเธอกลับไปแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รักเป็นแน่
13
อัคนีพานาราไปหาน้อยที่ห้องพักผู้ป่วย เมื่อเธอเข้าไปในห้อง เธอเห็นน้อยนอนหลับอยู่เธอเข้าไปนั่งในห้องอย่างเงียบๆและคุณหมอก็บอกกับนาราว่าน้อยนั้นได้ตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าแล้ว ทำให้นาราตกใจมากไม่คิดว่าน้อยจะท้อง ตอนนั้นนาราไม่คิดว่าน้อยจะมีชีวิตที่น่าสงสารขนาดนี้นาราน้ำตาไหลออกมาเพราะความสงสารน้อย อัคนีนั่งมองดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ นารากกดโทรศัพท์หาปรายดาวอีกครั้งแต่ครั้งนี้ปรายดาวรับสาย
“ดาวแกหายไปไหนมาทำไมไม่รับโทรศัพท์หละ รีบมาเลยนะ” นารากรอกเสียงไปตามสาย
“ขอโทษนะ ฉันกำลังไปหาแกนะใจเย็นๆนะเว้ย” ปรายดาวปลอบใจเพื่อนและวางสายลง
นาราเห็นน้อยฟื้นขึ้นมา นารายิ้มออมาอย่างดีใจ น้อยมองหน้านาราแล้วน้ำตาไหลออกมา
“เป็นอย่างไรบ้างทำไมถึงเป็นลมได้หละฮะ” นาราถามน้อยขึ้นมา
“พี่หนูท้อง หนูจะทำอย่างไรดีหนูไม่พร้อมที่จะมีลูกตอนนี้ แล้วพี่จะพาหนูไปส่งบ้านไหม” น้อยร้องไห้ออมาอย่างเสียใจ
อัคนีมองเหตุการณ์อยู่อย่างนั้นและคิดได้ว่าสองสาวในห้องนี้คงจะยังไม่ได้รับประทานอะไร เลยบอกกับนาราว่าจะออกไปหาซื้อของมาให้ นาราพยักหน้าอย่างเหนื่อยๆและบอแก่เขาว่า
“คุณไม่น่ามาลำบากกับพวกเราเลยนะ ยังไงก็ขอบคุณนะค่ะ ที่คุณอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เมื่อสักครู่พยาบาลมาแจ้งเรื่องค่ารักษาพยาบาลและบอกว่าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว”
“ค่ะ เพื่อนของฉันกำลังมา คุณกลับไปก่อนก็ได้” นาราบอกกับอัคนี
อัคนีเดินออกไปชนกับปรายดาวที่กำลังจะเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ เธอมองหน้าอัคนีอย่างแปลกใจและรีบดูป้ายชื่อหน้าห้องเพราะกลัวเข้าห้องผิด ปรายดาวมองหานาราและรีบเดินเข้าไปเห็นนาราอยู่กับน้อย
“เป็นไงบ้างแกถือว่าฟาดเคราะห์นะ แล้วเด็กคนนี้แจะเอายังไง” ปรายดาวถามเพื่อน
“ฉันจะให้ไปอยู่ที่บ้านฉันก่อนอย่างน้อยที่นั่นก็จะปลอดภัยสำหรับน้อย”
“แม่พระจริงๆเพื่อนเรา แกคงจะถูกชะตากับเด็กคนนี้มากสินะ แกถึงช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้”
“น่าจะใช่นะ ดาวเดี๋ยวแกอยู่เฝ้าน้อยก่อนนะฉันจะไปจัดการค่ารักษาพยาบาลก่อน คุณหมอบอกว่าให้น้อยกลับบ้านได้แล้ววันพรุ่งนี้” นาราจะบอกกับเพื่อนและมองหน้าคนป่วยตอนนี้หลับไปแล้ว
“แกรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันไปเองคิดว่าจะไปหาข้าวกินด้วยแหละ” ปรายดาวเดินออกไปเห็นอัคนียืนอยู่หน้าห้อง
“คุณมาหานาราเหรอค่ะ สวัสดีค่ะฉันเป็นเพื่อนกับนาราแล้วคุณ….”
“สวัสดีครับผม อัคนี เป็นเจ้านายของนาราครับแล้วพวกคุณจะกลับอย่างไรครับ” อัคนีพูดขึ้นและยิ้มออกมา
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวฉันเอารถมารับเพื่อนเอง ต้องไปจัดการธุระให้นาราด้วย ขอบคุณมากนะค่ะที่ดูแลนารา”
“ครับ ผมขอตัวกลับก่อนครับ” อัคนีพูดจบก็เดินออกไปทันที
อัคนีกลับมาถึงบ้านเขาเห็นรัชนีนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นกับอุสา อัคนีเดินเข้าไปหามารดาและพี่สาวของตน
“หนูนาราเป็นอย่างไรบ้าง นี่โชคยังดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก แม่จะเป็นลมเพราะลูกนั่งรถไปด้วย”
“แค่ฟกช้ำครับ ไม่เป็นอะไรมากหรอก” อัคนีพูดกับมารดาของตน
14
“แม่จะให้นารามาดูแลลูกนะ เพราะเดือนหน้าลูกต้องทำงานแทนแม่ทั้งหมดโรงแรมของเราจะต้องมีทายาทรุ่นใหม่ได้แล้ว และนั่นหมายความว่าลูกจะต้องหาคนที่เหมาะสมมาแต่งงานด้วยให้ได้” รัชนีบอกลูกชายอย่างจริงจัง
“เธอทำงานกับพี่สาไม่ใช่เหรอครับ เธอมามาทำงานกับผมแล้วพนักงานที่ร้านหละครับใครจะทำ”
“ไม่มีปัญหาหรอกบริษัทรับจัดหางานมีเยอะนะ เราก็ให้เขาหาคนมาให้สิ” รัชนีพูดขึ้น
“หนูไปนอนก่อนนะค่ะแม่ ฝันดีค่ะ” อุสาพูดและกอดมารดาแล้วยิ้มให้น้องชายก่อนที่จะเดินขึ้นไปที่ห้องของตน
“แม่ครับผมไม่เหมาะที่จะดูแลกิจการทั้งหมด เพราะผมไม่ใช่ลูกแท้ๆของแม่”
“ทำไมลูกถึงพูดอย่างนั้น แม่ไม่คิดเลยว่าอัคนีเป็นคนอื่น อัคนีคือลูกชายของแม่ แม่รับหนูมาเลี้ยงเพราะแม่อยากให้หนูมีชีวิตที่ดี มีอนาคตที่มั่นคง” รัชนีบอกกับลูกชาย
“ขอบคุณนะครับผมผิดเองที่ทำบาปไปอย่างไม่น่าให้อภัย ไม่อย่างนั้นผมคงมีความสุขกับพิมลไปแล้ว”
อัคนีพูดขึ้นและน้ำตาไหลออมาอย่างกลั้นไม่อยู่เขาคิดถึงเรื่องเก่าที่เขาได้กระทำลงไป พิมลเด็กสาวที่เข้ามาเป็นผู้ช่วยของเขาเมื่อสามปีก่อน อัคนีได้รู้จักพิมลหญิงสาวที่แม่ของเขาส่งให้มาดูแลเขาตั้งแต่อัคนีพึ่งจะเรียนจบ พิมลเป็นผู้หญิงที่น่ารักคอยเอาอกเอาใจอัคนี จนเกิดเป็นความรักขึ้นมา พิมลรักอัคนีมากยอมตายแทนอัคนีได้ อัคนีก็หลงรักพิมลและคิดที่จะแต่งงานด้วยหลังจากที่เขาต้องไปดูงานที่ต่างประเทศ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อรัชนีจับได้ว่าพิมลมีผู้ชายคนอื่นเข้ามาติดพันทำให้รัชนีและอัคนีไม่พอใจมาก อัคนีให้พิมลลาออกจากงานและบอกกับพิมลว่าจะไม่ติดต่อกับพิมลอีกเหตุการณ์วันนั้นเป็นวันที่อัคนีจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ วันที่พิมลได้ลาจากโลกนี้อย่างไม่มีวันกลับ
“เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงพิมล เธอรู้ไหมว่าไอ้แมงดานั่นมันทำงานในบ่อนแล้วเธอจะไปยุ่งกับมันทำไม”
“พิมลขอโทษที่ทำให้คุณเข้าใจผิด เขาเป็นพี่ชายของพิมล เขาแค่มายืมเงินพิมล”
“เธอบอกว่ามันเป็นพี่ชายเหรอแล้วรูปและคลิปนี้มันหมายความว่าอย่างไรฮะ เธอบอกฉันมาได้ไหมว่าทำไมเธอถึงนอกใจฉันฮะ” อัคนีโยนซองสีน้ำตาลใส่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างโมโห
“นี่ คุณได้รูปนี้มาจากไหนค่ะ” พิมลมองรูปและน้ำตาไหลออกมา
“จากฉันเองแหละ” รัชนีเดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“เธอขโมยเครื่องเพชรของฉันไปให้ชู้รักของเธอใช่ไหม ยอมรับมา” รัชนีตวาดขึ้นและตบหน้าเธอทันที
“เครื่องเพชรชุดนั้นคุณอัคนีเป็นคนให้พิมลเองค่ะ และคุณอัคนีบอกว่านี่เป็นของขวัญที่ให้พิมลในวันเกิดพิมลไม่ได้ขโมย” พิมลพูดออกมาทำให้อัคนีโมโหมากเพราะอัคนีไม่รู้รหัสเซฟของมารดานอกจากอุสาที่รู้เพียงคนเดียว
“เธอโกหก เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีทางขโมยของชิ้นนั้นเพราะอะไรเธอรู้ไหม เพราะเครื่องเพชรนั่นอยู่ในตู้เซพที่ฉันไม่รู้รหัสยังไงหละ เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง เธอทรยศต่อความรู้สึกของฉันมาก จำเอาไว้นะว่าฉันจะไม่ให้อภัยคนอย่างเธอ”
อัคนีโมโหผลักพิมลอย่างแรงจนพิมลตกบันไดและเสียชีวิตทันที อัคนีตกใจมากรีบลงมาดูพิมลทันที
“พิมลผมขอโทษนะพิมล ผมรักคุณ ผมขอโทษ”
อัคนีกอดศพพิมลแน่นด้วยความรู้สึกผิดที่อารมณ์ของเขาได้คร่าชีวิตคนรักอย่างไม่น่าให้อภัย
15
เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปอัคนีกลายเป็นคนเก็บกด ไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้าง และเกียจผู้หญิงที่บูชาเงิน อัคนีได้หนีความวุ่นวายไปอยู่กับอุสาที่ต่างประเทศ อุสาเป็นคนเดียวที่เข้าใจอัคนีมากที่สุด พิมลและอุสาเป็นเพื่อนรักกัน อุสารู้เห็นในความรักของทั้งสองคนและเมื่อพิมลได้จากไปอุสาก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวเรื่องราวของความรักขึ้นมา
คุณอยากมีความรักแบบไหนใน 5 แบบ 1.ความรักคือ การให้อภัย 2.ความรักคือความเข้าใจกัน
3.ความรักคือความซื่อสัตย์ 4.ความรักคือการเสียสละ และ 5.ความรักคือความผูกพันรักกันไม่เปลี่ยนแปลง
อุสาได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อบริจาคให้แก่ห้องสมุดเพื่อจะส่งผลบุญไปให้พิมลที่เป็นทาสของความรัก
อัคนีดึงความคิดกลับมามองหน้าแม่และก้มลงกราบที่เท้าของผู้เป็นแม่
“แม่ครับ แม่คิดว่าผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครได้หรือยังครับ” อัคนีพูดขึ้น
“ได้สิลูก จำไว้นะอัคนี คนเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
“นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปผมพร้อมที่จะเรียนรู้งานทุกอย่างครับ แม่เหนื่อยกับผมมามากผมจะเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง”
“ขอบใจลูก ขอบใจไปนอนนะพรุ่งนี้เรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่พร้อมกัน” รัชนียิ้มให้ลูกชายด้วยความรัก
ถึงอัคนีจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่รัชนีก็รักและหวังดีกับอัคนีเสมอมา รัชนีเห็นเหตุการณ์ในวันนั้นวันที่อัคนีเกิด รัชนีเธอทำงานอยู่ในโรงแรมจันธาราในตอนนั้นรัชนีเป็นแค่พนักงานของโรงแรมที่สามีของเธอมีหุ้นอยู่ เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมหมวกใส่แว่นตาดำ อุ้มเด็กทารกมาวางไว้ที่หน้าโรงแรมและรีบเดินหนีออกไป รัชนีรีบเข้าไปอุ้มเด็กและพาเด็กคนนั้นไปส่งสถานีตำรวจช่วยให้เด็กน้อยคนนั้นได้เข้าไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากนั้นหนึ่งปีรัชนีก็ทำเรื่องรับเด็กคนนั้นมาเป็นลูกบุญธรรม คอยเลี้ยงดูอุ้มชูมาด้วยความรักที่แม่คนหนึ่งจะมอบให้กับลูกได้ รัชนีมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนชื่อว่า อุสา ในวันที่รัชนีเจอเด็กทารกคนนั้น อุสามีอายุเพียงห้าขวบ อุสารักน้องชายมากคอยแบ่งของเล่นและช่วยแม่ดูแลน้อง หลังจากนั้นอุสากับอัคนีก็รักกันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา
อัคนีเข้ามาในห้อง เขาเข้าไปในห้องน้ำส่องตัวเองเห็นสภาพตัวเองที่ตอนนี้ดูโทรมมากผมเผ้ารุงรังหนวดไม่ได้โกนและหน้าหมองคล้ำ อัคนีจัดการโกนหนวดอาบน้ำสลัดความคิดออกไปปล่อยสายน้ำจากฝักบัวไล่ความเศร้าเสียใจออกไป และเขาก็คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ไม่นานมานี้ ผู้หญิงคนนั้นคนที่เขาคิดว่า ต้องมาดูตัวตามใจแม่ของเขาเพราะอยากได้เงิน อัคนีจำเธอกับเพื่อนของเธอได้ อีกอย่างเธอเคยนินทาเขาเมื่อตอนอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อุสาชอบพาเขาไปกินเป็นประจำ อัคนีคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรที่พิเศษอาจจะเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตาที่ทำให้เขาได้มาเจอเธออีกครั้ง
เช้าวันใหม่นารา ปรายดาวและน้อยได้ออกจากโรงพยาบาล นารารีบกลับไปทำงานตามปกติส่วนปรายดาวพาน้อยไปส่งที่โคราช อุสาเข้ามาที่ร้านถามหานาราจากบีบี
“บีบี นารามาทำงานรึป่าว ถ้านารามาแล้วให้ไปพบพี่ที่ห้องด้วยนะ”
“นั่นไงค่ะ นารามาแล้ว” บีบีบอกกับคุณอุสาและหันไปบอกนาราให้เข้าไปพบอุสาที่ห้อง
“นารา พี่มีเรื่องอยากจะบอกพี่จะให้นาราทำงานกับอัคนี และงานนี้จะได้เงินเดือนมากกว่าที่นี่อีกนะ
“ทำไมต้องเป็นหนูค่ะ” นาราถามอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นคำสั่งของหุ้นส่วนใหญ่ที่นี่จ๊ะ นั่นคือคุณแม่ของพี่เอง แต่ถ้านาราไม่ตกลงก็ไม่เป็นไรนะ”
“หนูขอคิดดูก่อนนะค่ะแล้วหนูจะให้คำตอบวันพรุ่งนี้” นารามองหน้าอุสาและพูดขึ้นทำให้อุสายิ้มออกมา
16
“ได้สิ เอาสัญญากลับไปอ่านก่อนก็ได้จ๊ะ” อุสายื่นสัญญาการจ้างงานให้นารา
ตอนพักเที่ยงนารามานั่งที่ร้านกาแฟด้านล่างของร้านหนังสือเธอหยิบสัญญาการจ้างงานมาอ่าน และในที่สุดนาราก็ต้องยอมรับในเงื่อนไขนั้น เธอหยิบปากกาออกมาเซ็นชื่อ เพราะเธออยากรู้ว่าสายตาที่เศร้าของเขาในร้านหนังสือวันที่นาราเห็นมันมาจากสาเหตุใด อีกทั้งนาราคิดว่างานที่ทำนี้คงจะทำได้ไม่นานเธอน่าจะเก็บเงินไปเปิดร้านหนังสือที่บ้านได้มากพอสมควร เพราะพี่ชายของเธอให้เธออยู่ที่กรุงเทพได้เพียงสองปีเท่านั้นและค่าจ้างของงานนี้ก็สูงจนนาราปฏิเสธไม่ลง ในขณะที่นารากำลังจะขึ้นไปทำงานต่อนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา นารามองหน้าจอและกดรับสาย
“นารามีคนจะคุยด้วย” ปรายดาวกรอกเสียงมาตามสายซึ่งนาราก็หวั่นใจคิดว่าอาจจะเป็นพ่อหรือพี่ชายของเธอที่โทรมาตามให้กลับบ้านก็เป็นได้ แต่ผิดคาดคราวนี้เป็นพรพรรณผู้เป็นแม่ของนารานั่นเอง
“แม่ค่ะ สบายดีไหมค่ะ หนูขอโทษนะค่ะช่วงนี้หนูยุ่งมากเลย หนูได้งานทำแล้วด้วยนะ”
“แม่และทุกคนสบายดีลูก เมื่อไหร่นาจะลับมาอยู่บ้านลูก ลูกรู้ไหมแม่เป็นห่วงลูกมากแค่ไหน”
“พ่อกับพี่กรไปไหนค่ะอยู่แถวนั้นรึป่าว” นาราถามขึ้นพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“พ่อกับพี่ชายเราน่ะเข้าไปในเมือง ไปซื้อของเห็นบอกว่าจะปรับเปลี่ยนสวนกล้วยไม้ใหม่น่ะจ๊ะ”
“หนูฝากแม่ดูแลน้อยด้วยนะค่ะ น้อยเขาน่าสงสารมากไม่มีที่ไปอีกอย่างตอนนี้น้อยก็ท้องอยู่ด้วย”
“แม่รู้จากหนูดาวแล้ว แม่จะให้เขาช่วยพี่สมใจทำงานบ้านไปก่อนนะ แล้วลูกอย่าลืมสัญญาที่ไว้กับพี่กรนะ”
“ไม่ลืมค่ะ หนูสัญญาไว้แล้วนี่ค่ะ สองปีนะค่ะแม่ให้หนูเก็บเงินได้พอที่จะเอาไปเปิดร้านหนังสือได้ หนูก็จะกลับบ้านทันที” นาราบอกกับมารดาของตนและเธอก็เห็นบีบีเดินเข้ามาในร้าน
“แม่ค่ะหนูต้องไปทำงานแล้วนะค่ะ หนูรักแม่นะค่ะ” นาราพูดกับมารดาของตนขณะเดินไปจัดชั้นหนังสือ
“จ๊ะ แม่รักหนูนะนารา ไม่ต้องห่วงนะลูก แม่จะดูแลเด็กคนนี้อย่างดีเลย” พรพรรณบอกับลูกสาวของตน
ก่อนกลับบ้านนาราได้ฝากสัญญาการจ้างงานไว้ให้บีบีนำไปให้อุสาและตนก็รีบเก็บข้าวของเพื่อที่จะไปที่ร้านหนังสือมือสอง นารานั้นเจอลุงพิทักษ์โดยบังเอิญเมื่อหนึ่งปีก่อนที่ร้านหนังสือมือสอง นาราชอบนิสัยของลุงพิทักษ์เพราะลุงคนนี้ได้ให้ของแถมเป็นหนังสือเก่าๆหลายเล่ม นารานั้นชอบอ่านหนังสือเธอชอบไปที่ร้านหนังสือมือสองอยู่บ่อยๆเพราะมีต้นไม้เยอะและบรรยากาศก็ร่มรื่นน่าอยู่ นารามักจะคอยช่วยเหลือลุงพิทักษ์อยู่เสมอ พิทักษ์ได้ขอร้องให้นาราช่วยตามหาลูกชายที่พลัดพรากมาตั้งแต่เด็กจนวันนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรมากมาย นอกจากสถานที่ที่เมียของลุงพิทักษ์เอาเด็กไปวางไว้ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กับที่คอนโดที่เธออยู่ นารายิ้มออกมาเมื่อเห็นลุงพิทักษ์นอนหลับอยู่ตรงแคร่ไม้ไผ่หน้าร้าน
“สวัสดีค่ะลุงพิทักษ์ ทานข้าวหรือยังค่ะ นาซื้อข้าวหมูแดงมาฝากลุงด้วยนะ” นาราทักทายด้วยสีน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เมื่อคืนลุงฝัน ลุงฝันว่าลุงได้เจอลูกชายของลุงแต่มันมืดมากลุงมองหน้าเขาไม่ชัด” ลุงพิทักษ์พูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้า
“อย่าคิดมากเลยค่ะคุณลุง นาเชื่อว่าอีกไม่นานคุณลุงก็จะได้เจอลูกชายแน่นอนค่ะ มาทานข้าวขาหมูกันดีกว่านะ” นาราจัดข้าวขาหมูและน้ำซุปมาสองที่เอามาให้คุณลุงกับตนเองและพยายามสร้างบรรยากาศไม่ให้คุณลุงเครียด
“ลุงขอบใจนารามากนะถึงแม้ว่าลุงจะยังไม่เจอลูกชายแต่ลุงก็หวังว่าเขาจะเติบโตมาเป็นคนดี และมีอนาคตที่ดี”
17
ตอนที่ 3 ความรักกับความรู้สึก
“ตอนที่คุณลุงรู้ว่าลูกคุณลุงหายไปก็สองสามวันแล้วนะค่ะ การตามหาเด็กยากมากเลย นาคิดว่าต้องไปตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตามที่ต่างๆ ซึ่งนาก็ไปมาหมดแล้วนะค่ะ เมื่อเดือนที่แล้วนาก็ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านเด็กอ่อนมาทราบมาว่า ปี พ.ศ. 2532 ตำรวจได้พาเด็กทารกมาส่ง หลังจากนั้นหนึ่งปีก็ได้มีคนมาขอเด็กทารกคนนั้นไปอุปการะแล้ว ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกของคุณลุงจริงก็แสดงว่าตอนนี้เด็กคนนั้นมีอายุ 30 ปีแล้วนะค่ะ”
“ลุงก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ หากมีคนมาอุปการะเขาจริง เขาก็คงจะเติบโตมาเป็นคนดีในสังคมได้ไม่ยาก ขอให้เขาได้เจอครอบครัวที่ดีเถอะนะ” พิทักษ์พูดกับนาราด้วยความเสียใจที่ตนไม่สามารถดูแลและปกป้องลูกของตนเองได้
“คุณลุงช่วยเล่าเหตุการณ์ให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรทำไมภรรยาของคุณลุงต้องพาลูกหนี”
นาราคิดที่จะถามคุณลุงนานแล้วแต่เห็นว่าคุณลุงเสียใจเรื่องภรรยาและลูกเลยไม่กล้าซักถามอะไรคุณลงพิทักษ์มากนักนาราพยามตามหาลูกชายคุณลุงมาตลอดจนปรายดาวเอือมระอากับความใจดีของเพื่อน
“นารีภรรยาของลุงไม่อยากมีลูกเพราะนารีกลัวความลำบาก พวกเราไม่มีเงินมากนัก นารีรู้ว่าตนเองท้องได้สามเดือนตอนที่นารีไปหาหมอที่โรงพยาบาล นารีโมโหมากพยายามทำให้ตนเองแท้งแต่ก็ไม่สำเร็จ และลุงก็ได้ขอร้องเธอไว้ให้ทนอุ้มท้องต่อไปลุงจะเป็นคนเลี้ยงดูลูกเอง นารียอมอีกทั้งเขากำลังจะมีคนรักใหม่ นารียอมเก็บลูกไว้แลกกับการที่ลุงจะต้องอย่าให้กับเธอ เจ็ดเดือนต่อมา พ.ศ. 2531 เดือนกันยายน ลุงพานารีมาในโรงพยาบาลเมื่อนารีเจ็บท้องใกล้คลอด ลุงกลับมาบ้านมาเอาของเด็กอ่อนที่ลุงได้ซื้อเตรียมไว้ให้ลูกเอาไปให้นารีและลุงก็ต้องกลับไปทำงานต่อโดยไม่คาดคิดว่านารีจะพาลูกหนีออกจากโรงพยาบาล ลุงไปขอดูกล้องวงจรปิดกับทางโรงพยาบาล เห็นนารีได้ปิดบังใบหน้าเอาไว้โดยการสวมหมวกและแว่นตาและหลบผู้คนวิ่งหนีออกมาแต่ไม่รู้ว่าไปทางไหนของโรงพยาบาล ลุงไม่รูจะทำอย่างได้แต่ภาวนาขอให้ลูกปลอดภัย ลุงได้ตามหาลูกในที่ต่างรอบโรงพยาบาลและบริเวณใกล้เคียงแต่ก็ไม่มีใครพบเลย”
“น่าแปลกนะค่ะคุณลุงเด็กหายไปทางตำรวจไม่ช่วยตามหาเลยเหรอค่ะหรือออกข่าวอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ น่าจะออกข่าวบ้างนะ สมัยนี้เด็กหายออกข่าวกันใหญ่ แปลกมาก แปลกจริงๆ” นาราตั้งข้อสังเกต
“หลังจากวันที่นารีพาลูกหนีไปลุงก็รู้ข่าวว่านารีถูกรถชนจนเสียชีวิต ลุงเสียใจมากเป็นลมหมดสติไปจนญาติๆต้องฟื้นฟูร่างกายและจิตใจตั้งหลายปี จนลุงตั้งหลักได้ ลุงย้ายมาทำงานอยู่ที่กรุงเทพพยายามตามหาลูกมาโดยตลอดสามสิบปี เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเคยมีคนมาบอกกับลุงว่า ได้เห็นคนหน้าตาคล้ายกับนารีเอาเด็กทารกมาวางตรงพุ่มไม้หน้าโรงแรมจันธารา เธอมองซ้าย มองขวาก่อนจะวางตะกร้าเด็กทารกไว้ก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว และคนนั้นก็บอกอีกว่าเธอวิ่งไปไม่ถึงสิบก้าวผู้หญิงคนนั้นก็ถูกรถชนอย่างแรงจนเสียชีวิตลง คนนั้นบอกว่าเมื่อตำรวจไปดูก็ไม่เห็นเด็กแล้ว”
“เด็กหายไปอย่างนั้นก็แสดงว่ามีคนเอาเด็กไปสิค่ะคุณลุง แล้วใครเป็นคนเห็นเด็ก แล้วอุ้มเด็กไป” นาราพูดออกมา
พิทักษ์มองดูนาฬิกาเห็นว่าเย็นมากแล้ว ก็บอกให้นารากลับบ้านไปก่อน
“คุณลุงค่ะ คุณลุงได้ขอเบอร์คนที่มาบอกคุณลุงไว้ไหมค่ะ เขาอาจจะทำงานที่โรงแรมนั้นก็ได้”
“เขาเปลี่ยนเบอร์ใหม่ไปแล้วล่ะหนู ลุงติดต่อเขาไม่ได้คนคนนั้นอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว”
“ขอบใจหนูมากนะที่อยู่ช่วยลุงตามหาลูก หากไม่เจอจริงๆลุงก็ภาวนาขอให้ความรักของลุงส่งความรู้สึกไปให้แก่ลูกของลุง ขอให้เขามีความสุข เจอคนทีดี มีคนรักและเมตตาเขาตลอดไป”
“หนูจะพยายามค่ะคุณลุง จะพยายามตามหาลูกชายของคุณลุงให้ได้” นาราบอกกับพิทักษ์อย่างหนักแน่น
18
“ขอบใจ ขอบใจมากลุงจะมีความสุขมาก ถ้าลุงได้เจอลูกก่อนที่ลุงจะหมดลมหายใจ” พิทักษ์ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นในจิตใจของพิทักษ์ตอนนี้ก็ไดภาวนาต่อสิ่งศักดิ์ศิษย์เท่านั้น
“หนูขอตัวกลับก่อนนะค่ะ ถ้าหนูมีเวลาหนูจะมาเยี่ยมคุณลุงใหม่นะค่ะ” นาราพูดจบก็เดินออกไปทันที
นารากลับมาที่ห้องพักเธอรีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่และหยิบหนังสือมาอ่าน หนังสือที่เธอหยิบมาอ่านนั้นเป็นหนังสือที่เธออ่านค้างไว้จากครั้งที่แล้ว และครั้งนี้เธอจะตั้งใจจะอ่านให้จบให้ได้
“คุณอยากมีความรักแบบไหนใน 5 แบบ 1.ความรักคือ การให้อภัย 2.ความรักคือความเข้าใจกัน 3.ความรักคือความซื่อสัตย์ 4.ความรักคือการเสียสละ และ 5.ความรักคือความผูกพันรักกันไม่เปลี่ยนแปลง”
“ความรักที่เปรียบเสมือนไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างในสรรพสิ่งให้มอดไหม้ลงไปท่ามกลางความร้อนที่ระอุอยู่ในใจของคนมีทั้ง รัก โลภ โกรธหลงซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีหากไม่ดับไฟในใจของเราแล้ว ไฟนั้นก็จะมอดไหม้กัดกินใจของเรา ทำให้เราต้องเจ็บปวดอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”
“ความรักคือการให้อภัย….หากคิดที่จะอยู่ด้วยกันใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เราต้องรู้จัก ให้อภัย กัน เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิด อีกฝ่ายก็ต้องรู้จัก ให้อภัย อีกฝ่าย การมีทิฐิต่อไม่ใช่หนทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่จะเป็นการสร้างรอยร้าวระหว่างครอบครัวได้ เช่น การทะเลาะเบาะแว้งกัน จะส่งผลไปในทางที่เลวร้ายก่อให้เกิดปัญหาการอย่าร้างกันได้ง่าย วิธีแก้ปัญหาของชีวิตคู่ที่เหมาะสม คือ การรู้จักให้อภัยกันเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดและหันหน้ามาคุยกันถึงเรื่องราวความรักที่เคยจีบกันใหม่ๆ และหมั่นเติมความหวานให้กันบ้างชีวิตรักของคุณก็จะดำเนินต่อไปอย่างมีความสุขชั่วนิจนิรันด์”
นาราอ่านได้ถึงตรงนี้ก็มีสายเรียกเข้ามาจากโทรศัพท์ นาราเก็บหนังสือและกดรับสายทันที
“ฮัลโหล นารานี่พี่อุสานะ พรุ่งนี้นาราไม่ต้องเข้าไปที่ร้านนะมาที่บ้านพี่เลย”
“ทำไมล่ะค่ะ หรือพี่ได้เอกสารจากบีบีแล้วใช่ไหมค่ะ” นารามขึ้นอย่างสงสัย
“ใช่จ๊ะ เริ่มงานวันพรุ่งนี้เลยนะ พี่มีคำถามเพิ่มเติมจ๊ะ อยากจะถามนาราสักสอง สามข้อนะ”
อุสาพูดอย่างอารมณ์ดีและสอบถามอะไรนาราสักสองสามข้อเพื่อเก็บข้อมูล นาราได้ตอบไปโดยไม่ทันได้คิดและอุสาก็วางสายไปเฉยๆ ทำให้นารางงมาก กับคำถามของอุสา อุสาได้ถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของนาราเล็กน้อย คำถามมีอยู่ว่า นารามีแฟนไหม? นาราชอบไปเที่ยวที่ไหนและชอบอะไรมากที่สุด? นาราเกียจและไม่ชอบอะไร? คำตอบของนารานั้น
คือ ยังไม่มีแฟน ชอบหนังสือ และเกียจผู้ชาย เมื่อนาราตอบไปอย่างนั้นนาราก็ได้ยินเสียงหัวเราะของอุสาดังออกมาและเสียงนั้นก็เงียบหายไปนาราคิดว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์ของอุสาคงจะหมดเลยวางโทรศัพท์ไว้และล้มตัวลงนอน
เช้าวันรุ่งขึ้นนารารีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่ วันนี้เธออยู่ชุดเดรสสีเหลืองอ่อน นาราออกจากห้องพักชนกับใครบางคนเข้า นาราตกใจมากเมื่อเห็นคนที่เธอเดินชนเป็นอัคนี วันนี้เขามาในชุดสูทสีดำดูเป็นทางการซึ่งต่างกับวันที่นาราเห็นในวันแรก นาราพึ่งสังเกตหน้าตาของเขา และคาดว่าเขาคงจะเป็นผู้ชายที่เจ้าเสน่ห์มากเพราะเวลาที่เขายิ้มจะหล่อเหลาเป็นพิเศษ
“คุณมาได้ยังไงค่ะคุณอัคนี” นารามขึ้นขณะเดินเข้ามาในลิฟท์
“ผมก็มารับคุณไง เพราะรู้ว่าวันนี้คุณไม่มีรถไปทำงาน” อัคนีพูดขึ้นและแกล้งนาราโดยการยืนเบียดกับเธอ.ในลิฟท์ทำให้นาราโมโหแต่ก็ไม่กล้าโวยวายออกมา
“ฉันไปแท็กซี่เองได้ไม่จำเป็นต้องมารับฉันหรอกค่ะ” นาราพูดขึ้นขณะจะกำลังโบกแท็กซี่
19
อัคนีดึงมือเอาไว้และลากตัวเธอไปที่รถของเขาอย่างง่ายดายนาราจำใจต้องไปทำงานกับอัคนี อัคนียื่นไอแพดและแฟ้มเอกสารสองสามอันให้นารือและบอกแก่เธอว่า
“วันนี้เราจะไปทำงานกันเธอมีหน้าที่เป็นเลขาไม่สิ ต้องเรียกว่า ผู้ช่วยของฉัน”
อัคนีพูดจบก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนจะแกล้งนาราแต่แล้วนาราก็ถามว่าโรงแรมที่จะไปชื่อโรงแรมอะไร
“คุณอัคนีคุณจะไปโรงแรมไหน บอกมาก่อนฉันจะได้ทำตัวถูก” นาราถามขึ้น
“โรงแรมของครอบครัวฉันเองแหละ โรงแรมจันธารา ถามทำไม” อัคนีสังเกตนาราเมื่อเขาเอ่ยชื่อโรงแรมของครอบครัว
“โรงแรมจันธาราเหรอถ้าอย่างนั้นคุณแม่ของคุณก็คงจะเคยทำงานที่โรงแรมนี้เมื่อสามสิบปีก่อนใช่ไหม”
นาราถามอัคนีอย่างตื่นเต้น นารามีความหวังที่จะช่วยคุณลุงพิทักษ์มากขึ้น
“ก็น่าจะใช่นะ ทำไมมีอะไรหรือป่าว” อัคนีถามอย่างสงสัย
“เอาน่า เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังทีหลังนะแต่วันนี้ไปทำงานกันก่อน” นาราพูดและยิ้มออกมาแบบธรรมดาทำให้อัคนีรู้สึกว่าหัวใจของเขาจะมีอาการผิดปกติเมื่อเห็นความสดใสน่ารักนั้น
นาราและอัคนีเดินดูแผนกต่างๆของโรงแรม นาราและอัคนีได้รู้จักกับนิรุจ และมารศรี เลขาและผู้ช่วยของรัชนีที่มาคอยสอนงานให้กับทั้งสองคน นาราจดทุกอย่างลงในสมุดบันทึกของตนเอง และเมื่อถึีงเวลาพักเที่ยงอัคนีจะพานาราไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารในโรงแรมแต่นาราจะไม่ยอมไป อัคนีบอกว่านี่เป็นงานหนึ่งที่เราจะต้องทำ คือชิมอาหารในร้านอาหารของโรงแรมทำให้นาราต้องจำใจไปรับประทานอาหารกับเขา
“คุณอยากทานอะไรสั่งได้เลยนะ วันนี้ผมเลี้ยง” อัคนีพูดขึ้นและมองดูกิริยาท่าทางของเธอ
นาราสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว และนาราก็สั่งอีกชุดสำหรับห่อกลับบ้านทำให้อัคนีสงสัย
“นี่เธอจะสั่งอาหารไปให้ใคร ทำไมต้องสั่งแบบห่อกลับบ้านด้วย”
“เอาน่า เดี๋ยวคุณก็รู้เองแหละนะ” นารายิ้มออกมาเมื่อเห็นอาหารจานโปรดส่งกลิ่นหอมวางอยู่ตรงหน้านาราจัดการอาหารในจานอย่างรวดเร็วและก็ตามด้วยของหวานจานโปรด
“คุณชอบมากเลยเหรอ ดูคุณทานท่าทางน่าอร่อยดีนะ” อัคนียิ้มออกมาเมื่อเห็นคราบช็อคโกแล๊ตบนหน้าของนารา
“คุณยิ้มอะไร คุณอัคนี” นารามขึ้นด้วยความโมโหเพราะเธอไม่อบให้คนอื่นมองเธอเวลากิน แทนคำตอบอัคนีหยิบกระดาษมาเช็ดคราบช็อคโกแล๊ตที่มุมปากให้นารา ทำให้นารารู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นมา เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วเหลือเวลาพักประมาณสามสิบนาที นาราบอกอัคนีว่าจะขอไปทำธุระส่วนตัวให้อัคนีไปรอที่ห้องทำงานก่อน แต่อัคนีไม่ยอมจะขอตามนาราไปด้วย นาราไปหาลุงพิทักษ์ที่ร้านหนังสือมือสองโดยมีอัคนีตามมาด้วย เมื่อมาถึงหน้าร้านนารามองหาลุงพิทักษ์และนาราก็เห็นลุงพิทักษ์ยกลังหนังสือออกจากรถจะยกเข้ามาในร้าน นารารีบวางของไปช่วยเหลือทันที
“ลุงจะยกเองทำไมค่ะ ทำไมไม่บอกหนูก่อน หนูจะได้หาคนมาช่วยยก” นาราพูดขึ้นขณะยกลังเขาไปในร้าน
อัคนีเห็นนารายกของหนักก็รีบเข้าไปช่วยทันที เมื่อยกของเสร็จหมดแล้วนาราไปขับรถลุงพิทักษ์เข้าไปจอดที่ลานจอดอย่างคล่องแคล่วทำให้อัคนีทึ่งในความสามารของนารา อัคนียิ้มให้ลุงพิทักษ์เหมือนสายเลือดสื่อถึงกัน ลุงพิทักษ์ถูกชะตากับอัคนีทันที ลุงพิทักษ์ถามอัคนีว่าเป็นแฟนของนาราหรือป่าว ทำไมมากับนาราได้ นาราได้ยินดังนั้นก็รีบปฏิเสธเขาทันที
20
“ไม่ใช่หรอกลุง คุณอัคนีเขาเป็นเจ้านายของหนู หนูซื้ออาหารมาให้กินซะนะเดี๋ยวเลิกงานแล้วหนูจะมาบอกข่าวดี”
“ข่าวดี ข่าวดีอะไรบอกตอนนี้เลยสิหรือว่าได้ข่าวลูกชายลุงแล้วใช่ไหม” พิทักษ์สังเกตสีหน้าของนาราก็พอจะเดาได้
“ก็ไม่เชิงหรอกนะ ตอนนี้ลุงกินข้าวนะแล้วอย่ายกของหนักอีกหละ เดี๋ยวหนูมาหาใหม่ตอนนี้เลยเวลาทำงานแล้ว” นาราพูดจบรีบเดินออกไปทันที อัคนีไหว้ลาลุงพิทักษ์และรีบเดินตามนาราไปที่รถอย่างรวดเร็ว
“ผู้ชายคนนั้นเป็นลุงของเธอเหรอ” อัคนีถามนาราขณะขับรถแล่นอยู่บนท้องถนน
“ไม่ใช่ลุงแท้ๆหรอก ฉันเจอแกโดยบังเอิญน่ะ ลูกชายของลุงพิทักษ์หายไป ลุงพิทักษ์ก็เลยให้ฉันช่วยตามหา”
“หายไปตอนไหน เมื่อไหร่แล้วเรื่องราวเป็นมาอย่างไร” อัคนีถามขึ้นอีกเพราะเขาอาจจะช่วยได้
“หายไปเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ในวันที่ลูกของลุงเกิดวันแรก” นาราบอกกับอัคนีและเล่าเรื่องของลุงพิทักษ์ให้อัคนีฟัง
อัคนีบอกให้นาราทำใจเพราะเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาคนคนนั้นเจอ เพราะมันผ่านมาสามสิบปีแล้วคนคนนั้นอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ อัคนีพานารามาหารัชนีที่ห้องทำงานเพื่อรายงานการทำงานของวันนี้ นาราและอัคนีทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว นาราก็ขอคุยกับรัชนีเป็นการส่วนตัว
“คุณรัชนีค่ะ หนูขอคุยธุระกับคุณหน่อยได้ไหมค่ะ พอดีหนูมีเรื่องงานอยากจะปรึกษาค่ะ” นาราอ้างเรื่องงานเมื่อเห็นรัชนีกำลังจะเดินออกไปข้างนอกแต่รัชนีก็ติดธุระด่วน เมื่อเลขาเข้ามาตามเธอหันมาพูดกับนารา
“เอาไว้คุยกันวันหลังนะวันนี้แม่มีงานเลี้ยงของลูกค้าสัมพันธ์ หรืออัคนีกับนาราจะไปงานด้วยกันไหม” คุณรัชนีชวนทั้งสองคนแต่ทั้งสองคนนาราและอัคนี ก็ปฏิเสธพร้อมกันทำให้นารามองหน้าอัคนีอย่างโมโหด้วยความลืมที่ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายของตนเอง และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้รัชนียิ้มออกมาเพราะเห็นแววตาของทั้งสองคนที่สื่อถึงกัน นารากับอัคนีเดินออกมานอกห้องอัคนียังถามเรื่องราวของลุงพิทักษ์ต่อ
“ฉันกลับก่อนนะ และขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ” นาราพูดจบและยกมือไหว้อัคนี อัคนีเดินตามนารามาตามทางและไปที่ลานจอดรถ ขับรถมารับนาราที่หน้าโรงแรม
“ขึ้นรถเดี๋ยวผมไปส่ง คุณจะไปไหนก็บอกมา”
“ฉันไปเองได้ไม่รบกวนคุณหรอก คุณกลับไปเถอะ” นาราพูดจบมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็มาพอดี
“มานี่ ผมบอกว่าจะไปส่งไงพูดไม่รู้เรื่องเหรอ” อัคนีลากนารามาอีกทางพูดด้วยความโมโห
“นายสิ พูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกว่าจะไปเองและถ้าจะขู่ไล่ฉันออกก็ไม่กลัวเพราะตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานนายไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับฉัน จำเอาไว้ด้วย” นาราพูดจบก็รีบวิ่งขึ้นแท็กซี่ไปทันที
นาราไปหาลุงพิทักษ์บอกกับลุงพิทักษ์ว่าตนได้เข้าไปทำงานที่โรงแรมจันธาราแล้ว
“อีกไม่นานหรอกค่ะ คงจะได้รู้ข่าวลูกชายของคุณลุงมากขึ้นจากที่คุณลุงเล่าให้หนูฟังหนูคิดว่าเมื่อสามสิบปีก่อนน่าจะมีคนเห็นเหตุการณ์คนที่อุ้มพาตัวเด็กคนนั้นไป” นาราพูดกับคุณลุงที่หน้าร้านและสายตาของนาราก็เห็นรถของอัคนีเข้ามาจอดเขาลงมาจากรถือของมาเต็มสองมือ
“คุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วซื้ออะไรมาเยอะแยะ” นารามองถุงที่อยู่ในมืออัคนี
21
“ผมก็มาเยี่ยมคุณลุงไง และนี่มีแต่ของบำรุงร่างกายทั้งนั้นเลยนะ ผมซื้อมาฝากและผมมีอะไรอยากจะถามคุณลุงหลายอย่างเลยและที่สำคัญผมจะช่วยคุณตามหาลูกชายอีกแรงหนึ่งด้วย” อัคนีพูดและยิ้มออกมามองหน้านาราอย่างคนอารมณ์ดี นาราโกรธมากเข้าไปดูหนังสือในร้านอัคนีมองตามด้วยรอยยิ้มในตอนนี้อัคนีคิดว่า นาราเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในใจของเขามากขึ้น นาราเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เข้ามีความสุขหลังจากที่เขาไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีความสุขได้ อัคนีสังเกตเห็นนาราเป็นคนเรียบง่าย แต่ถ้าจำอะไรก็จะทำอย่างจริงจัง
“คุณลุงครับผมจะช่วยคุณลุงตามหาลูกชายอีกคนครับ” อัคนีพูดกับลุงพิทักษ์มองลุงพิทักษ์จัดอาหารใส่จาน
“ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม ขอบใจจริงๆ” ลุงพิทักษ์มองหน้าอัคนีนิ่งด้วยมีพลังดึงดูดที่สื่อถึงกันได้
ความรู้สึกในใจของพิทักษ์ในตอนนี้มันสับสนเวลาพิทักษ์มองหน้าอัคนีทีไรมันเหมือนกับมองหน้าตัวเองราวกับคนเดียวกันแต่พิทักษ์ก็ยังมีสติคิดได้ สิ่งที่ตนเองคิดนั้นมันผิดพ่อหนุ่มคนนี้จะเป็นลูกชายของตนเองได้อย่างไรในเมื่อพ่อหนุ่มคนนี้มีพ่อแม่เป็นเจ้าของโรงแรมขนาดใหญ่ พิทักษ์คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
“หนูได้หนังสือไปอ่านแล้วเป็นหนังสือสุภาษิตสอนหญิง เล่มนี้ราคาเท่าไหร่ค่ะ”
นาราเดินออกมานั่งตรงแคร่ไม้ไผ่หน้าร้านและยื่นหนังสือให้คุณลุงดู นาราหยิบเงินแบงค์ร้อยมาจ่ายให้คุณลุงและหยิบขนมขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย นาราดูท่าทางมีความสุขมาก อัคนีคิดว่านับจากนี้ต่อไปชีวิตของเขาคงจะมีชีวิตชีวามากขึ้นนาราเปรียบเสมือนแสงสว่างที่นำพาชีวิตของเขาส่องแสงไปในทางที่ดีงามได้
“หนังสือสุภาษิตเล่มนี้ลุงไม่คิดเงินหรอก หนูเอาไปเถอะ มันเคยเป็นของนารีเขาน่ะ นารีชอบอ่านหนังสือ เธออ่านหนังสือทั้งวันจนบางครั้งลุงยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมเธอถึงมีนิสัยแบบนั้น สมัยก่อนนะนารีเขาเป็นสาวโรงงานมีเพื่อนเยอะ นารีเขาแต่งงานกับลุงเพราะพ่อและแม่ของนารีเป็นคนจัดการให้ ทั้งๆที่ไม่ได้รักกันแต่ก็ต้องมาแต่งงานกัน เพราะลุงเป็นลูกชายของกำนัน ส่วนนารีนั้นเป็นลูกแม่ค้าขายของชำในตลาด”
“แล้วคุณนารีทำไมถึงไม่อยากมีลูกหละครับ แล้วมีลูกชายด้วยกันได้อย่างไรในเมื่อไม่ได้รักกันครับ” อัคนีถามขึ้นมองหน้านาราอย่างขอคำตอบในข้อนี้ นาราก็อยากรู้ในข้อนี้แต่กลัวว่าคุณลุงจะเสียใจ
“ลุงเล่าให้ฟังได้ลุงไม่เป็นไรหรอก วันนั้นเป็นงานวันเกิดของนารีต่างคนต่างเมาแล้วเราทั้งสองคนก็มีความสัมพันธ์กันเมื่อผ่านพ้นวันนั้นมาชีวิตของลุงก็เปลี่ยนไป ลุงต้องทำงานหนักขึ้นเมื่อนารีได้อุ้มท้องลูกของลุงไว้ นารีนั้นชอบไปงานวันเกิดเพื่อนและไม่ชอบกลับบ้านหลายวัน จนบางทีลุงคิดว่าถ้าเธอไม่รักลุงเธอจะยอมมาแต่งงานกับลุงทำไม นารีเขามาบอกกับลุงตอนเขาท้องได้สามเดือนว่า เขาต้องการจะขออย่าแลกกับเด็กในท้องคนนี้”
“แล้วคุณลุงยอมไหมครับ” อัคนีถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ถ้าเป็นคุณอัคนีหละ คุณจะทำยังไง” นาราถามอัคนี
อัคนีมองหน้านาราและตอบอย่างชัดเจนเจตนาจะสื่อคำตอบนี้ให้นาราได้รับรู้และเข้าใจในความรู้สึกของตน
“เป็นผม ผมก็ต้องยอม ยอมให้เธอเก็บเด็กเอาไว้ อย่างน้อยคำว่าลูกก็เป็นโซ่ทองที่คล้องชีวิตคู่ให้มีความสุขและเป็นเหมือนพันธนาการให้คล้องหัวใจของคนสองคน”
“ลุงก็ยอม ลุงบอกกับเธอว่าว่าลุงจะอย่าให้หลังจากที่เขาคลอดลูกออกมาแล้ว และเลี้ยงดูลูกเป็นเวลาสามเดือน ในช่วงที่เธออุ้มท้องอยู่นั้นนารีไปหาผัวใหม่ทุกวัน ลุงไม่สามารทำอะไรได้นอกจากยอมจำนงและรอวันที่เธอคลอดลูกออกมาจนกระทั่งเธอได้พาลูกหนีออกจากโรงพยาบาลไปทิ้ง แต่ในที่สุดเธอก็หนีเวรกรรมไม่พ้นเพราะเธอก็ได้เสียชีวิตลงในวันนั้น”
22
“แล้วคุณลุงรักคุณป้านารีไหมค่ะ” นาราถามขึ้นพร้อมกับจับมือคุณลุงให้กำลังใจ
“ลุงรักและเข้าใจนารีนะ รักและเข้าใจทั้งๆที่หัวใจลุงก็เจ็บปวดเพราะไม่สามารแต่งงานกับคนที่ตนรักได้
พิทักษ์ยิ้มให้กับอัคนีและนาราด้วยความสุขเมื่อคิดถึงนารีผู้หญิงที่ทำให้เขารู้จักและเข้าใจคำว่ารักมากขึ้น
“ผู้หญิงทุกคนอยากจะแต่งงานกับผู้ชายที่ตนเองรักทั้งนั้นแหละ” นาราบอกกับลุงพิทักษ์และอัคนีด้วยความเข้าใจเพราะตนก็เป็นคนหนึ่งที่อยากแต่งงานกับคนที่ตนรัก และจะไม่ยอมถูกคลุมถุงชนอย่างเด็ดขาด
“หนุ่มสาวสมัยคุณลุงต้องตามใจพ่อแม่ทุกอย่างเลยใช่ไหมครับ” อัคนีถามคุณลุงพิทักษ์
“ใช่แล้วหละ คนสมัยลุงจะทำอะไรก็ต้องทำตามใจพ่อแม่เป็นหลัก”
“แล้วถ้าพ่อกับแม่ให้แต่งงานกันละค่ะ ก็ต้องยอมพ่อแม่ด้วยเหรอ” นาราถามขึ้นและทำหน้าเศร้าออกมา
อัคนีสังเกตเห็นสีหน้าของเธอ เขาคิดที่จะถามนาราให้ได้ถึงความเศร้าของเธอ อัคนีอยากจะช่วยเหลือนาราในทุกๆเรื่อง
“พ่อแม่ให้แต่งงานก็ต้องแต่ง ที่คนเขาพูดกันว่า แต่งงานกันไปก็รักกันไปเอง ข้อนี้มันไม่เป็นความจริงหรอกนะ แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงคนสองคนก็ต้องมีธรรมะเข้าหากัน ให้อภัยกัน รักใคร่ปรองดองกัน ถ้าคู่ไหนทำได้ก็จะอยู่กันยืนยาว แต่ถ้าคู่ไหนทำไม่ได้ชีวิตครอบครัวก็จะต้องพังในที่สุด” ลุงพิทักษ์ตอบคำถามและยิ้มออกมา
เมื่อเห็นว่าตะวันตกดินแล้ว นาราและอัคนีก็ขอตัวกลับบ้านแต่ยังไม่ทันจะไปขึ้นรถ ลุงพิทักษ์กำลังจะลุกขึ้นก็มีอาการเจ็บหัวใจล้มลงด้วยความเจ็บปวด นาราและอัคนีรีบพาลุงพิทักษ์ส่งโรงพยาบาล นาราน้ำตาไหลออกมาเมื่อรู้ว่าลุงพิทักษ์เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วต้องทำการผ่าตัดและ ถ้าผ่าตัดไปแล้วก็ยังมีความเสี่ยงสูงอยู่ดี เพราะลุงพิทักษ์มีอายุมากแล้ว
“คุณอัคนีคุณจะต้องช่วยฉันนะ ช่วยฉันตามหาลูกชายของคุณลุงให้ได้ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้วก็ต้องตามหาเขาให้ได้” นาราบอกกับอัคนีทั้งน้ำตา
“ผมสัญญาเราสองคนจะช่วยกันตามหาลูกของคุณลุง วันนี้คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ คุณลุงพิทักษ์ถึงมือคุณหมอแล้วอยู่ไปก็ไม่ช่วยอะไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะ” อัคนีปลอบนาราด้วยความอ่อนโยน
อัคนีไปส่งนาราที่คอนโดเมื่อไปถึงคอนโด อัคนีเห็นว่านาราร้องไห้จนหลับไปด้วยความเหนื่อย เขาประคองพานาราจะไปส่งที่ห้องในขณะที่กำลังจะเดินเข้าลิฟท์ อัคนีเห็นปรายดาวเดินออกมาจากลิฟท์อีกตัว ปรายดาวตกใจมากถามอัคนีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในขณะที่ปรายดาวจะออกไปข้างนอกปรายดาวก็ต้องรีบขึ้นไปบนห้องไปเปิดประตูให้อัคนี
“เกิดอะไรขึ้นค่ะคุณอัคนี ทำไมนาราถึงเป็นแบบนี้” อัคนีเล่าเรื่องของลุงพิทักษ์ให้นาราฟังทำให้ปรายดาวอนหายใจออกมาในความใจดีของเพื่อน
อัคนีอยู่เฝ้านาราเมื่อปรายดาวขอร้องให้อัคนีอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเธอจะฟื้นขึ้นมา เพราะปรายดาวต้องออกไปทำธุระกับที่บ้านของเธอก่อน อัคนีอยู่ในห้องกับนาราสองคนเธอสังเกตบริเวณรอบๆห้อง เห็นว่าข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่แยกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนนาราออกมาจะไปเข้าห้องน้ำก็แปลกใจว่าทำไมอัคนียังไม่กลับบ้านอีก
“นี่คุณทำไมยังไม่กลับบ้านอีก สามทุ่มแล้วกลับไปได้แล้วฉันจะพักผ่อน” นาราไล่หลังอัคนีให้กลับบ้านอย่างคนง่วงนอน
“ไม่หละ เพื่อนคุณให้ผมเฝ้าคุณไว้นะ วันนี้ผมจะนอนที่นี่แหละ” อัคนีพูดจบก็ล้มตัวนอนตรงโซฟาทันที
เช้าวันรุ่งขึ้นอัคนีตื่นเช้าไปตลาดที่อยู่ใกล้คอนโของนารา เขาได้เสื้อผ้ามาหนึ่งชุด
23
อัคนีมาที่ห้องของนาราจัดอาหารใส่จานรอเจ้าของห้องตื่น จัดการทำความสะอาดห้องให้นาราด้วยความคล่องแคล่วและตัวเธอก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ไม่ได้ล็อคประตูห้องน้ำ นาราเปิดประตูเข้าไปเห็นอัคนีกำลังสวมกางเกงอยู่ นาราตกใจมากร้องกรี๊ดออกมา
“นี่คุณอัคนีถ้าคุณจะใช้ห้องน้ำทำไมไม่ล็อคประตูให้ดีก่อนหละฮะ ทุเรศอุจาดตาที่สุดเลย แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก”ง
“ก็เมื่อคืนผมเหนื่อย ผมไม่อยากขับรถตอนกลางคืนแล้วทำไมคุณต้องทำหน้าแบบนั้นหุ่นผมดีขนาดนั้นเชียวเหรอ
“เมื่อก่อนฉันเล่นน้ำกับพี่ชายบ่อย ขนาดหุ่นของคุณไม่ได้เท่าพี่ชายของฉันหรอกยะ แล้วนี่คุณซื้ออะไรมาเยอะแยะใครจะไปกินหมดรวยนักก็ควรเก็บเงินไว้ไม่ใช่ซื้ออะไรมาอย่างไม่คิด รู้ไหมเรื่องอาหารน่ะ ไม่ใช่ฉันทำไม่เป็นหรอกนะแต่ฉันคิดว่าซื้อมากินจะประหยัดกว่า คุณเชื่อไหมเดือนหนึ่งฉันใช้เงินไม่ถึงพันด้วยซ้ำ”
“ผมเชื่อครับ กินแล้วคุณก็ไปอาบน้ำนะเพราะว่าพวกเราต้องไปทำงานต่อ” อัคนีพูดขึ้นและตักอาหารให้นารา
วันนี้อัคนีและนาราต้องไปประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทซึ่งการประชุมในวันนี้สำคัญมาก เพราะเป็นวันที่อัคนีต้องรับตำแหน่งแทนรัชนีอย่างเป็นทางการ การประชุมผ่านพ้นไปด้วยดี อัคนีพานาราไปทานอาหารเย็นที่บ้านของตน วันนี้นาราได้เจอกับอุสาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสองสามวัน นาราดีใจมากที่ได้เจออุสาอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างทำงานกับอัคนี ทะเลาะกันบ้างไหม” อุสาถามนาราเมื่อมาถึงที่โต๊ะอาหาร
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ คุณอัคนีเขาชอบกวนโมโห ถ้าให้เลือกหนูอยากไปทำงานที่ร้านของพี่มากกว่า” นาราพูดขึ้นวันนี้นาราก็ตั้งใจจะถามคุณรัชนีเรื่องราวเมื่อสามสิบปีก่อนให้ได้
เมื่อทุกคนรับประทานอาหารกันเสร็จแล้วอุสาก็พา นารามารับประทานน้ำชากับของว่างที่ห้องนั่งเล่น นาราถามหาคุณรัชนีกับอุสาและก็ได้รู้ว่ารัชนีคุยอยู่กับอัคนีในห้องทำงาน นาราถามทางไปห้องทำงานกับเด็กรับใช้และเดินไปตามที่เด็กรับใช้บอก
“คุณแม่ครับ พี่สาเคยเล่าให้ผมฟังว่าคุณแม่ไปเจอเด็กทารกคนหนึ่งใช่ไหมครับเมื่อสามสิบปีก่อน”
“ใช่ลูก ลูกถามทำไมเหรอจ๊ะ” รัชนีถามลูกชายอย่างไม่เข้าใจ
“อ้าวคุณขึ้นมาตามผมเหรอ ผมกำลังจะลงไปพอดี ผมว่าเราไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นดีกว่านะครับ”
อัคนีพูดเป็นการเป็นงานทำให้นาราหวั่นใจเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในบางส่วนแล้ว นาราเป็นคนเล่าเรื่องราวของลุงพิทักษ์ให้ทุกคนฟังจนถึงเรื่องราวของภรรยาของลุงพิทักษ์ เมื่อนาราเล่าจบรัชนีก็เล่าตอนที่เจอเด็กคนนั้นให้ทุกคนได้รับรู้
“แม่เป็นคนพบเจอทารกน้อยที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงแรมจันธาราและได้พาทารกน้อยไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเด็กคนนั้นได้ถูกส่งไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และหนึ่งปีต่อมา แม่ก็ได้ไปรับเด็กทารกคนนั้นมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเพราะคิดว่าแม่ของเด็กได้เสียชีวิตไปแล้วในตอนนั้น พ.ศ.2532 เดือนพฤษภาคมแม่ได้พาคุณอาทิตย์พ่อของลูกมาดูเด็กทารกที่แม่ช่วยชีวิตไว้ที่ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านเด็กอ่อน คุณอาทิตย์มองหน้าเด็กน้อยอย่างมีเมตตาและยื่นขนมให้ เด็กน้อยคนนั้นยิ้มออกมาอย่างดีใจ และก้มลงกราบอย่างนอบน้อมทำให้คุณอาทิตย์ถูกใจเด็กคนนี้มากขึ้น และได้จัดการเรื่องขอเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรม ตั้งแต่วันนั้นมาเด็กน้อยคนนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านอัครเวทย์ คุณอาทิตย์ตั้งชื่อเด็กน้อยคนนั้นว่า อัคนี อัครเวทย์ และอุสาก็มีอายุเพียง ห้าขวบเองนะ อุสาหนูจำได้ไหมลูก”
“จำได้ว่า คุณพ่ออุ้มเด็กขึ้นมานั่งบนตักและชวนสาไปเล่นกับน้องลามหนูว่า อยากมีน้องไหมอะไรประมาณนี้แหละค่ะแม่”
“จากที่ฟังเรื่องราวมาทั้งหมด หมายความว่า คุณอัคนีก็ต้องเป็นลูกชายแท้ๆของคุณลุงพิทักษ์ใช่ไหมค่ะพี่อุสา”
24
นาราพูดขึ้นและมองทุกคนไปมา รัชนีเห็นอัคนีน้ำตาไหลออกมาด้วยความเศร้าเสียใจเมื่อรู้จักชาติกำเนิดของตนเองและยิ่งเสียใจมาขึ้นเมื่ออัคนีรู้ว่าพ่อที่แท้จริงของตนป่วยหนัก อัคนีเข้าไปขังในห้องของตนเอง รัชนีจะเข้าไปปลอบแต่อุสาดึงมือผู้เป็นแม่ไว้และบอกให้นาราเข้าไปคุยกับอัคนี ส่วนตนกับมารดาจะลงไปรอข้างล่าง
“คุณอัคนี ลุงพิทักษ์จะต้องหายคุณเชื่อฉันสิ ลุงพิทักษ์เคยบอกฉันนะว่า คนเรานั้นถ้าจะเสียใจกับอะไร อย่าเสียใจนานพยายามแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปให้ดีที่สุด คุณโคดีนะที่เจอพ่อ ยังมีเด็กและคนอีกหลายร้อยหลายพันคนที่ขาดพ่อและแม่ คุณมีพ่อพิทักษ์ที่รอคอยกลังใจจากคุอยู่ มีคุณแม่รัชนีที่หวังดีกับคุณ คุณมีพี่อุสาที่ห่วงใยคุณและตอนนี้คุณมีฉันที่อยู่เคียงข้างคุณนะ หากคุณมานั่งเสียใจอย่างทุกคนก็คงจะเสียใจตาม เราลงไปทานอาหารกันก่อนนะแล้วเราไปเยี่ยมพ่อของคุณ ไปบอกข่าวดีกับท่านว่าคุณคือ ลูกชายของเขา ลุงพิทักษ์มีความหวังเสมอนะ เราก็ต้องมีความหวังเช่นกันสิ เชื่อฉันนะ คุณต้องเอฉันว่าเราจะสู้ด้วยกัน พวกเราจะช่วยกันดูแลคุณพ่อพิทักษ์ให้หายให้ได้ หากไม่หายก็ต้องรักษาให้ถึงสุด คุณต้องเข้มแข็งนะคุณอัคนี คุณอย่าให้ไฟในใจของคุณมาเผาผลาญจิตใจคุณเลยนะ คุณแม่กับพี่อุสารออยู่” นาราพูดจบก็น้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจ ซาบซึ้งใจที่ความพยายามของตนสำเร็จ นาราได้ช่วยให้พ่อลูกได้เจอกัน นาราสงสารอัคนี เธอปาดน้ำตาไล่ความรู้สึกที่ไม่ดีออกไปและกำลังจะลุกปล่อยให้อัคนีได้ใช้ความคิด ความรู้สึกพิจารณาจิตใจของตนเอง อัคนีดึงนาราเข้าไปกอดและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
นาราได้รับโทรศัพท์จาทางโรงพยาบาลว่าผ่าตัดให้พิทักษ์เรียบร้อยแล้วแต่ต้องดูอาการอีกสักระยะหนึ่งผลการรักษาอาจจะไม่ดีก็ได้ นาราบอให้อัคนีได้รับรู้ อัคนีและนารารีบไปที่โรงพยาบาลทันที เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพิทักษ์ฟื้นขึ้นมาเรียกนาราไปพบ
“ลุงพิทักษ์ค่ะหนูเจอลูกชายคุณลุงแล้ว นี่ไงค่ะอัคนี ลูกชายของคุณลุง” นาราพูดขึ้นและพิทักษ์ก็น้ำตาไหลออกมา มองหน้าอัคนี
“พ่อครับ ผมอยู่นี่ครับพ่อต้องหายนะครับ ผมจะดูแลพ่อเอง” อัคนีพูดและจับมือพิทักษ์ไว้ให้กำลังใจ
“ให้พ่อคุณได้พักผ่อนเถอะนะ” นาราพูดขึ้นและพาอัคนีไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศให้แม่นารี
“ผมจะพาพ่อมอยู่กับผมด้วย ถ้าพ่อหายป่วยเราพาพ่อไปเที่ยวกันนะ” อัคนีพูดขึ้นและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“คุณคงจะสบายใจแล้วสินะ ต่อไปคุณต้องตั้งใจนะ ตั้งใจทำงานเพื่อตอบทนแม่ของคุณ ตั้งใจดูแลพ่อของคุณตอบแทนบุพการี ฉันเอเสมอนะ หากเราคิดดี ทำดี พูดดี เราก็จะมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข”
นารากับอัคนีเดินเข้ามาในโรงพยาบาลเห็นพยาบาลว่งวุ่นก็ตกใจมากรีบถามพยาบาลว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้สักพักคุณหมอก็เปิดประตูออกมาบอกว่า “เสียใจด้วยนะครับ ผมพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไรครับ พ่อผม พ่อผมจะไม่เป็นไรใช่ไหมหมอ” อัคนีโมโหใส่อารมณ์มองหน้าคุณหมอ
“คนไข้เสียชีวิตแล้วครับ สาเหตุเกิดจากอาการหัวใจวายเฉียบพลันครับ คนไข้อาการแย่มาตั้งแต่ต้นเพราะร่างกายอ่อนแอร่างกายเลยไม่ตอบสนองกับการผ่าตัดครับ ผมพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว หมอขอตัวก่อนนะครับ”
งานศพของพิทักษ์จัดแบบเรียบง่าย สวดและเผาสามวันญาติๆของพิทักษ์มากันหลายคน ทุกคนเข้ามากอดอัคนีอย่างดีใจ กระดกของพิทักษ์ถูกนำไปรวมไว้กับกระดูกของนารี นาราลงมือวาดรูปพิทักษ์และนารีเดินจับมือกับอัคนีอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่เพื่อเป็นของขวัญให้แก่คุณพ่อพิทักษ์เป็นครั้งสุดท้าย รัชนีและอุสาถือพวงหรีดมาร่วมงานและบริจาคช่วยงานศพหนึ่งล้านบาทมอบให้แก่อัคนีไปทำบุญ อัคนีน้ำตาไหลออกมากอดผู้เป็นแม่แน่นเหมือนจะหาที่พึ่งให้ตนเอง ผมรักคุณแม่กับพี่อุสานะครับ
“จำไว้นะอัคนีพี่สากับแม่รักลูกเสมอนะ อัคนีคือทายาคนเดียวของอัครเวทย์นะ ลูกคือครอบครัวของพวกเราไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไรทิ้งไปให้หมด ลืมอดีตและเริ่มต้นใหม่นะอัคนี” ผู้เป็นแม่เตือนสติลูกชายและยิ้มให้กำลังใจด้วยความรักที่อบอุ่น