อินทรีหิมาลัยตอนท่ี ๔
0
ตอน
854
เข้าชม
52
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง

อินทรีหิมาลัย

ยอด เดชา

 

2.  อินทรีหิมาลัย  

เคลุงรูปนั้นอึกอัก

“ ไม่รู้ แต่เมื่อมีผู้บุกรุกยังงี้  เราก็ต้องป้องกันตัว”

“ แต่ไม่ควรจะฆ่า นั่นท่านกำลังจะสังหารชีวิตคน ศีลท่านไม่ขาดแล้วรึ”

เคลุงรูปนั้นมองหน้าเวทางค์ สลับกับเคลุงที่กำลังกระย่องกระแย่งลุกขึ้น

“ เราพยายามทำดีที่สุดแล้ว คนพวกนี้บุกเข้ามาในเขตของเรา และฆ่าคนของเราตาย ข้าย่อมมีสิทธิ์ที่จะฆ่าพวกมัน ”

“ ท่านคิดยังงั้น”

“ แน่นอน เมื่อไม่มีทางอื่น ก็ต้องเล่นกันแบบฟันต่อฟันตาต่อตา”

เวทางค์ประหลาดใจมากที่ได้ยินคำพูดนี้หลุดออกจากปากของพระ ซึ่งเป็นคนทิเบต และได้ชื่อว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ที่สุดชาติหนึ่ง

“ เอาล่ะ ผมจะถามเองว่าพวกเขาบุกเข้ามาทำไม”

แต่เวทางค์ไม่มีโอกาสได้ถามอีกแล้ว เพราะเคลุงไม่น้อยกว่าสิบต่างทะยานเข้ามาในตัวอาคารจนดูขวักไขว่ ความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้งในพริบตาต่อมา

“ เฮ้ย”

ผัวะ ว

หนึ่งในสิบ ซัดฝ่าเท้าเปรี้ยงเข้าเต็มปลายคางของเคลุงเจ้าของมีด ร่างของเขากระเด็นไปกระแทกข้างฝาเสียงดังโครม ก่อนจะสลบไสล และรูดลงไปกองกับพื้น

เวทางค์ถอยกลับไปที่ประตู แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เขาถูกเหล่าเคลุงผู้บุกรุกล้อมไว้

“ พวกท่านต้องการอะไร”

ด๊อกเตอร์เวทางค์ แข้งใจถาม

ไม่มีใครตอบ แต่เคลุงรูปหนึ่งท่าทางเป็นหัวหน้า เดินออกมายืนประจันหน้า

“ ท่านคือด็อกเตอร์เวทางค์ใช่ไหม”

เวทางค์ไม่ตอบในทันทีเช่นกัน แต่กลับย้อนถาม

“ มีอะไรรึ”

เคลุงรูปนั้นไม่ตอบ แต่กลับตบมือเป็นจังหวะสามครั้ง

ฉาด  ฉาด ฉาด

พอสิ้นเสียง ร่างของชายคนหนึ่งก็ปลิวมาจากด้านนอกซึ่งขาวโพลนไปด้วยหิมะ พอยืนเต็มตัว และเปิดผ้าที่คลุมหน้าออก เวทางค์ถึงกับอุทานออกมา เมื่อพบว่า ชายคนนั้นคือคนที่เขารู้จัก

“ ดอนดรุบ”

“ ข้าเอง ดีใจมากที่ท่านไม่เป็นอะไร”

“ ท่านรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”

“ ข้าไปพบท่านที่โรงแรม แต่คนโรงแรมบอกว่าท่านยังไม่กลับ ตั้งแต่วันนั้นแล้ว ข้ารู้สึกเอะ ใจ คิดว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จึงสั่งให้คนของข้าสืบหาข่าว จึงได้รู้ว่าท่านถูกจับตัวมาไว้ที่นี่”

“ ผมเป็นหนี้บุญคุณพวกท่านแล้ว ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ ไม่ยังงั้นผมคงตายอยู่ที่นี่”

“ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ มันเป็นหน้าที่ของพวกข้าอยู่แล้ว”

“ หน้าที่ของพวกท่าน หมายความว่ายังไง”

“ ไม่มีความหมายอื่นท่านอย่าเข้าใจผิด”

“ หรือว่าพวกท่านเป็น…”

“ เปล่า อย่าเข้าใจผิด คิดว่าข้าเป็นตำรวจหรือทหารของรัฐ ไม่ใช่ ที่ข้าบอกว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราก็เพราะว่า ชายทิเบตมีหน้าที่ต้องปกปักรักษาประเทศ และศาสนา คนพวกนี้ คือพวกนอกศาสนา ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ”

“ ท่านรู้”

“ แน่นอน ข้ารู้ดี และคนพวกนี้ก็ก่อเรื่องมาหลายครั้งแล้ว โดยอาศัยวัดร้างยังงี้ เป็นศูนย์อำนวยการ”

“ อือม์ พยักหน้ารับ “ ยังงั้น ท่านจะทำยังไงกับคนพวกนี้”

ดอนดรุบไม่ตอบ แต่หันไปทางลูกน้อง พลางออกคำสั่ง

“ เอาพวกมันไปขังไว้ รอพิจารณาความผิด”

ชั่วโมงต่อมา เวทางค์ก็พบว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ในห้องพักของโรงแรมอีกครั้งหนึ่ง โดยมีดอนดรุบกับลูกน้องตามมาส่ง

ด๊อกเตอร์เวทางค์สั่งอาหารกับเครื่องดื่มมาเลี้ยงเป็นการตอบแทน แม้ว่าดอนดรุบจะปฏิเสธยังไงก็ไม่สำเร็จ

“ ให้ผมเลี้ยงตอบแทนพวกท่านบ้าง โปรดอย่าปฏิเสธเลย”

เมื่อเจอคำพูดนี้ ดอนดรุบก็หมดหนทางเลี่ยง

หลังจากดื่มชา และรับประทานอาหารแล้ว ดอนดรุบจึงกล่าว

“ พรุ่งนี้ ท่านควรขึ้นเครื่องกลับซะ มีเครื่องบินไปลงเฉินตู แล้วจับเครื่องต่อไปถึงเมืองไทย”

“ ขอบคุณแต่....”

“ อย่าปฏิเสธเลย ถึงท่านจะมาเพื่อศึกษาชีวิตทิเบตถึงสามเดือน แต่ท่านไม่ควรอยู่ต่อ เชื่อข้า”

“ ท่านรู้” เวทางค์ตกใจ “ อ้า ผม...ผม...”

“ แน่นอน ไม่มีอะไรที่เกิดในทิเบตแล้วดอนดรุบไม่รู้ แต่ข้าไม่ถือโทษท่านหรอกที่โกหก ยังไงแล้วข้าขอให้ท่านกลับไป ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับท่าน”

เวทางค์กล่าวขอบคุณ และตกลงใจกลับประเทศไทยในเช้าวันต่อมานั่นเอง

ดอนดรุบฝากผ้าคาตักแก่เขา และพาเวทางค์ออกไปเดินเที่ยวย่านธุรกิจที่เรียกว่า “ บากอร์” ก่อนจะพาเขาไปดื่มชาเนย รับประทานซัมป้าด้วยกัน ก่อนจะไปส่งเขาที่สนามบิน

“ ผ้าคาตักสีขาว เป็นสิ่งบูชาพระศักดิ์สิทธิ์ สำหรับชาวทิเบตแล้ว คือของฝากที่ล้ำค่า”

“ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่าน”

“ ข้าทำหน้าที่ของเจ้าของประเทศ”

“ ถึงยังงั้นก็เถอะ ผมคงลืมไม่ลง มีอะไรให้ผมรับใช้ หรือท่านไปเมืองไทย ขอเชิญท่านแวะไปเยี่ยม ผมยินดีรับใช้”

“ แท็งกิ้วหลาย ข้าจะต้องไปรบกวนท่านแน่ๆ”

“ ยินดี ขอให้ไปจริงๆเถอะ” เวทางค์กล่าวอย่างซาบซึ้ง

เวทางค์นั่งมองออกนอกหน้าต่าง เมื่อเครื่องบินลัดฟ้าจากหลังคาโลกสู่เมืองเฉินตู

ทุกเทือกเขาที่มองลงมา เห็นแต่หิมะปกคลุม และน้ำแข็งจับจนขาวโพลน นานๆจะแลเห็นสีดำๆของบ้านเมือง และเส้นสีขาวคดโค้งของแม่น้ำที่ไหลลดเลี้ยวไปตามหุบเขาสูงชัน

เวทางค์รู้ว่านั่นคือแม่น้ำที่สำคัญของมวลมนุษยชาติ แยงซีเกียง โขง และนูเจียง หรือสาละวิน กำลังไหลลงสู่ทะเล เป็นเสมือนเส้นเลือดของผู้คนที่อาศัยอยู่สองฟากฝั่งของแม่น้ำทั้งสามสาย

ในขณะเดียวกัน ทางภาคพื้นดิน ดอนดรุบกำลังยืนทอดสายตามองไปยังขุนเขาที่ขาวโพลนเบื้องหน้า

“ ท่านลามะ ปล่อยเขาไปทำไม” ลูกน้องคนหนึ่งของดอนดรุบถาม เมื่ออยู่ตามลำพัง

“ ให้เขาไปรออยู่ที่กรุงเทพ  แล้วเราค่อยส่งคนของเราตามไป”

“ ท่านจะส่งใครไป”

“ ดอร์จี”

“ อินทรีหิมาลัย” ดอนดรุบพยักหน้ารับเสียงพึมพำของลูกน้อง พลางยิ้มๆน้อยๆ แล้วสายตาของเขาก็ทอดไปยังเวิ้งฟ้าอันไกลโพ้นอีกครั้ง

“ เดือนหน้า เจ้าส่งข่าวไปบอกดอร์จีให้มาพบข้า”

“ ครับ ว่าแต่ตอนนี้ เขาอยู่ที่ไหนรึ”

“ บ้านเกิดของเขา หมางคาม ถ้าไม่เจอที่นั่น ก็ให้คนไปตามที่เกียลทัง บางทีเขาอาจไปอยู่บ้านแม่ก็ได้”

“ ครับ เดี๋ยวข้าจะส่งมาเร็วไปตามมาให้”

“  ดี บอกไปว่าไม่ต้องเร่งรัดเขา ข้าอยากได้ใจมากกว่าถูกบังคับ”

“  ท่านไม่ต้องห่วง คนอย่างอินทรีหิมาลัยท่านก็รู้ว่าเขารักประเทศชาติ และหยิ่งในศักดิ์ศรีมากแค่ไหน”

“ ข้ารู้ ก็นี่แหละที่ทำให้เขาถูกเลือก”

………….

ชายหนุ่มผิวสีทองแดง ผู้เกิดในปีวัวไม้ ยืนทอดสายตามองไปยังเทือกเขาที่ดอกอาซาเลียสีชมพูสะพรั่งไปทั้งขุนเขาอันยาวเหยียด หลังจากที่หิมะละลาย ดอกไม้ก็มักจะผลิบานยังงี้

เมื่อวานเขาได้รับข่าวจากลาซาว่า ท่านดอนดรุบ ลามะผู้ใหญ่ฝ่ายฆราวาสต้องการพบเขา ซึ่งแน่นอน ชายหนุ่มผู้มีคุณสมบัติพิเศษอย่างเขาย่อมปฏิเสธไม่ได้ การได้ทำงานเพื่อประเทศชาติและศาสนา นับว่าโชคดี และถือว่าเป็นการบูชาพระโพธิสัตว์อย่างสูงสุด

ดอร์จีบอกกับคนส่งข่าวว่า อีกเจ็ดวันเขาจะตามไปพบที่กรุงลาซา เขาขอเวลาสะสางงานบางอย่าง โดยเฉพาะการมอบหมายฝูงจามรีที่เขาเลี้ยง ให้กับปาลเด็น น้องชายคนรอง และที่สำคัญเขาต้องการพบและลาหญิงคนรักก่อน ซึ่งวันนี้เธอได้นัดหมายให้เขามาพบที่นี่ หลังจากที่พ่อของเธอออกจากกระโจมไปดูฝูงสัตว์เลี้ยงแล้ว

เสียงม้าวิ่งดังมาจากหุบเขาเบื้องล่าง ดอร์จียิ้มออกมาเมื่อเขาจำได้ว่านั่นคือเสียงม้าของโลลุกะ

ชายหนุ่มทะยานออกจากที่ด้วยวิชาลังโกม ร่างของเขาละลิ่วลงไปสู่หุบเขาเบื้องล่างราวกับการเคลื่อนไหวของลม ไม่ถึงอึดใจ เขาก็มาถึงก้นหุบอันลึก

สายน้ำที่เคยแข็งตัวจับเป็นธารน้ำแข็งขาวโพลน บัดนี้ ความอบอุ่นได้เปลี่ยนแปลงมันให้กลายเป็นสายน้ำเย็นเฉียบ และไหลรินลงสู่แม่น้ำใหญ่

ดอร์จีพบว่า หญิงสาวยืนม้าอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ข้างลำธารเล็ก ชุดที่สวมใส่ดูทะมัดทะแมงไม่รุ่มร่ามอย่างที่เธอเคยใส่อยู่กับกระโจม ท่ามกลางญาติพี่น้อง

“ โลลุกะ” เขาส่งเสียงเรียกเมื่อมองไปเห็นหญิงสาวกำลังทอดสายตามองขึ้นไปยังสันเขาที่ขาวโพลนนั้น หญิงสาวดึงสายตากลับมาทันที พร้อมกับรอยยิ้มเปิดกว้างเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงคือคนที่เธอมองหา

“ ดอร์จี ท่านลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เดี๋ยวนี้เอง ว่าแต่โลลุกะเถอะมาถึงนานรึยัง”

“ เมื่อกี้เหมือนกัน”

ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปถึงม้าที่เธอยืนอยู่ แหงนหน้าขึ้นมองหญิงคนรัก พลางถาม

“โลลุกะ ต้องการขึ้นไปบนโน้นไหม”

หญิงสาวถอนหายใจ

“ ทำไมสูงยังงั้นล่ะ”

“ แค่นี้จะสูงอะไร ยอดที่สูงกว่านี้เรายังไปไล่จับก้อนเมฆกันมาแล้ว”

“ ทางขึ้นยอดเขานี้ ต้องย้อนกลับไปไกลนัก  ข้าไม่อยากทรมานม้า สงสารมันถ้าถามมันว่าอยากขึ้นยอดเขาไหม มันคงไม่อยากขึ้นไปที่สูงยังงั้นแน่ ”

“ จริง ม้ามันคงบอกยังงั้นเพราะมันไม่รู้ว่าบนนั้นมีอะไร”

หญิงสาวเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“ ข้าก็ไม่รู้”

“ แต่ถ้าท่านรู้ ท่านก็คงอยากขึ้นไป เพราะที่นั่นมองเห็นดอกอาซาเลียบาน”

“ จริงรึ”

“ ข้าไม่เคยโกหกท่านเลยตลอดที่รักกันมา”

“ ฮึ คำโกหกกับคำจริง แยกไม่ออกหรอก หากไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าคนพูดเอาความจริงมากล่าวรึเปล่า”

“ ข้ามักกล่าวแต่ความจริงเสมอ ไม่เหมือน...”

“ ข้าชักอยากขึ้นไปแล้วซี” หญิงสาวตัดบท เพราะเกรงว่าคำพูดบางคำจะหลุดออกมาจากปากของดอร์จี

เธอเองก็จำได้ว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อปีก่อนโน้น ทั้งสองเคยหมางใจกัน ด้วยเรื่องของหนุ่มคนจีนที่มาติดพันเธอ หลังจากที่พ่อผู้เป็นหัวหน้าเผ่าเข้าไปติดต่อกับคนในเมือง และหนุ่มชาวจีนคนนั้น ก็ไม่ได้จริงใจกับเธอและพ่อ หลอกลวงจนพ่อของเธอประกาศออกมาว่า ต่อไปจะไม่ยอมให้ลูกบ้านคบหากับคนจีนอีก

กว่าที่เธอและดอร์จีจะกลับมาดีด้วยกันเหมือนเดิมทั้งสอง ต่างก็เสียความรู้สึกไปตามๆกัน

“ ยังงั้นไปกันเลย”

หญิงสาวลังเล มองดูม้าแล้วส่ายหน้า

“ แล้วม้าล่ะ”

“ ปล่อยไว้ที่นี่ “

“เราจะไปยังไง”

“ข้าจะพาเจ้าขึ้นไปเอง”

หญิงสาวเลิกคิ้วสูง ด้วยความตื่นเต้น  พลางอุทานออกมา

“ ท่านจะใช้วิชาตัวเบายังงั้นรึ”

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว