ปักษาบรรณาการ
4
ตอน
1.4K
เข้าชม
19
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
12
เพิ่มลงคลัง

ปักษาบรรณาการ ถือเป็นภาคจบสมบูรณ์ของเรื่อง ‘เล่ห์รักจอมราชันย์’ บทสรุปของสามแคว้น เทียนกั๋ว สือซาน อู๋ซาน จะลงเอยเช่นไร เมื่อมีแคว้นเล็ก ๆ เช่น ‘เผิงกั๋ว’ ส่งบรรณาการมาป่วนหัวใจ ‘ลี่เฉียง’ ผู้ได้รับฉายาแม่ทัพไร้มารยาท สหายรักของ ‘เซิ่งหลง’ ฮ่องเต้หนุ่มแห่งเทียนกั๋ว 

บทที่ 1 

แคว้นเผิงกั๋วเป็นแคว้นเล็กหากเปรียบกับแคว้นเทียนกั๋วและแคว้นสือซาน แต่กลับเต็มไปด้วยสีสันอันงดงาม ไม่ว่าบ้านเรือนหรือการประดับตบแต่ง อีกทั้งผู้คนยังนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใสโดยเฉพาะเหล่าสตรีทั้งหลาย ดูแล้วงดงามไม่น้อย  

ทว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดันชวนมอง ดูมีสง่าราศี โดย 

เฉพาะรอยแผลเป็นบนใบหน้าคมยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขาม แม้อยู่ในชุดผ้าฝ้าย 

สีดำซึ่งไม่ต่างจากบุรุษชาวเผิงกั๋วทั่วไปที่นิยมแต่กายด้วยเสื้อผ้าสีเข้มสีเดียวทั้งกางเกงกับเสื้อ คาดเอวด้วยผ้าสีดำ กลับสะดุดตากับร้านขายวิหคที่มีอยู่มากมายหลายพันธุ์ 

ส่วนมากจะเป็นนกสีสวย เช่น นกแก้ว นกหงส์หยก นกแปลก ๆ อีกมากมายทั้งใหญ่เล็กต่างกันไป เช่น นกเหยี่ยวแสนดุร้าย นกอินทรี ทั้งยังมีร้านขายอาหารนก พวกตัวหนอนเป็น ๆ เมล็ดข้าว กรงนกลวดลายต่าง ๆ ไว้ให้ลูกค้าซื้อหาเลือกชม สมกับชื่อแคว้นเผิงกั๋วที่ตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งแคว้นได้รับการคุ้มครองจากพญาวิหคยักษ์ นามว่า ‘เผิง’ ขณะที่กำลังเผชิญกับงูยักษ์ที่มาจับผู้คนกิน พญาวิหคผ่านมาเห็นเข้าจึงได้ทำการช่วยเหลือจนงูยักษ์ไม่กล้ามารังควานอีก  

นับแต่นั้นมาผู้คนจึงนับถือพญาวิหค ‘เผิง’ เป็นเทพผู้พิทักษ์และตั้งชื่อแคว้นว่า ‘เผิง’ เพื่อระลึกถึงบุญคุณของพญาวิหค แม้กาลเวลาผ่านมาหลายร้อยปี ชาวเผิงกั๋วยังรักนกไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นในเมืองจึงเต็มไปด้วยเสียงสกุนา เช่นเวลานี้ ชายหนุ่มเดินชมอย่างเพลิดเพลิน แต่มิได้แวะเข้าไปชมจริงจัง แม้จะมีเสียงพ่อค้าแม่ค้าต่างร้องตะโกนเชิญชวนก็ตามที 

“นกสวย ๆ นกดุร้ายไว้เฝ้าบ้าน นกตัวเล็กตัวใหญ่ ร้านเรามีหมด เชิญแวะเข้ามาดูมาชมก่อน” 

ร่างสูงใหญ่เดินเลยผ่านร้านขายวิหคมากมายมาตลอดทางจนมาถึงถนนอีกเส้นซึ่งดูงดงาม มีชีวิตชีวา ร้านค้ากับแผงขายสินค้าต่าง ๆ ล้วนมีสีสัน ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหมสีสด ผ้าทอลายหลากสีสัน เครื่องประดับหลากชนิด แน่นอน นี่ย่อมต้องเป็นถนนที่ดึงดูดเหล่าสตรีทุกวัยให้มาซื้อหาสินค้า ดวงตาคมเข้มมองสีสันสดใสของชุดที่เหล่าสตรีสวมใส่ กับร้านรวงแผงขายของที่ตั้งเรียงรายตลอดแนวแล้วให้ลายตานัก จนอดคิดไม่ได้ว่า  

‘เหตุใดสตรีเผิงกั๋วจึงนิยมสวมชุดที่ชวนแสบตายิ่งนัก ข้าควรหลีกให้ห่างดีกว่า’  

แม้ใจจะไม่ชอบ ทว่ากลับพาร่างสูงใหญ่เข้าไปในร้านขายผ้าที่มีสตรีต่างวัยมากมายกำลังเลือกซื้อหาผ้ากันอยู่ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นมารดากับบุตรสาวหรือบุตรหลานกับญาติผู้ใหญ่มาเลือกซื้อหากัน คิ้วหนาเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางทำทีเป็นมองหาคนรู้จักและสดับเสียงผู้คนในร้านไปด้วย แต่มาสะดุดเสียงสนทนาของสองแม่ลูกที่กำลังเลือกผ้ากันอยู่ 

“ท่านแม่ ท่านว่าผ้าไหมสีเขียวปักลายนกเป็ดน้ำตัวเล็กนำไปเย็บชุด ใส่แล้วจะสวยสะดุดตาองค์รัชทายาทหรือไม่” 

“เจ้าเลิกเพ้อฝันถึงองค์รัชทายาทได้แล้ว ถึงอย่างไร เจ้าก็ไม่มีวันชนะบุตรสาวท่านเสนาบดีใหญ่ ได้ข่าวว่าพระองค์เสด็จไปที่จวนบ่อย คงงดงามไม่น้อย”  

คำตอบของผู้เป็นมารดาทำให้บุตรสาวมีสีหน้าผิดหวังไม่น้อย แต่ต่อมาก็ยิ้มอย่างมีหวังเมื่อมีหญิงสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดว่า 

“เจ้าก็...เหตุใดต้องทำลายขวัญของบุตรสาวด้วย หลานป้า เชื่อป้าเถิด ถึงอย่างไร องค์รัชทายาทก็ไม่มีวันได้สมหวังกับบุตรีท่านเสนาบดีใหญ่หรอก” 

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น” มารดาของหญิงสาวถาม อีกฝ่ายจึงขยับเข้าไปใกล้และเอ่ยเบา ๆ เกรงจะได้ยินไปถึงผู้อื่น 

“รู้แล้วอย่าบอกใคร ก็ท่านเสนาบดีใหญ่เตรียมจะส่งคุณหนูซือเซียน บุตรสาวคนเดียวไปเป็นบรรณาการให้กับฮ่องเต้เทียนกั๋วเพื่อผูกไมตรี” 

“เป็นไปไม่ได้ ท่านเสนาบดีใหญ่รักบุตรสาวมากนัก ไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่” 

“เรื่องนี้ ข้าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพระพันปีทรงเห็นชอบด้วย” 

“แต่ข้าเชื่อท่านแม่ ข้าจะเลือกผ้างาม ๆ ไปตัดชุดใส่เข้าเฝ้าในงานเลี้ยงพระราชทานตอบแทนเหล่าขุนนางที่พระพันปีทรงจัดขึ้น”  

ว่าจบ หญิงสาวก็เดินไปเลือกหาผ้าไหมสีสดซึ่งมีราคาสูงขึ้นไปอีกด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขและเต็มไปด้วยความหวัง 

ชายหนุ่มฟังแล้วได้แต่ทำเสียง “ฮึ” ก่อนเดินออกจากร้านไป... 

 

ณ เมืองฉางจิน เมืองหลวงแห่งเทียนกั๋ว ภายในราชวังหลวง ตำหนักฮ่องเต้ 

เซิ่งหลงอยู่บนศาลากลางอุทยานกับอิ้งเยว่ สตรีหนึ่งเดียวในใจเขา หากสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ดวงตาคมเข้มทอดมองไปข้างหน้าราวกับกำลังรอคอยการมาของใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ 

“มีเรื่องไม่สบายพระทัยหรือเพคะ”  

เสียงหวานใสของหญิงสาวข้างกายเอ่ยขึ้น ดวงตาคมเข้มจึงทอดมองผู้ถามนิ่ง ก่อนยื่นมือใหญ่ไปกุมมือเรียวเล็กของอีกฝ่ายแล้วถอนใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงหน้าที่กับความเหมาะสมในสายตาผู้อื่น ทั้งยังมิได้กำจัดอิทธิพลของเฒ่าเจ้าเล่ห์ให้หมดสิ้น จึงทำให้มิอาจยกย่องนางอันที่รักให้มาคู่บัลลังก์ได้ แต่กลับต้องยอมทนให้สตรีอีกนางครองตำแหน่งฮองเฮาอีกต่อไป เหตุเพราะในสายตาขุนนางในราชสำนักผู้รักเกียรติ สุ่ยหลิงนั้นเหมาะสมด้วยเหตุผลทุกประการ ทั้งสูงส่งและจิตใจดีงาม 

‘ฮึ สูงส่ง ดีงาม’  

เซิ่งหลงประชดในใจ พลางมองใบหน้างดงามปานเทพธิดาของนางอันเป็นที่รักนิ่งสักพักจึงเอ่ย 

“ได้รับการเอาใจใส่จากเจ้า ถือเป็นวาสนาของข้าไม่น้อย แผ่นดินนี้คงยากจะมีฮ่องเต้องค์ใดสุขเท่าข้าอีกแล้ว มีนางในดวงใจอยู่เคียงข้าง ไม่หวังยศศักดิ์ใด ๆ ขอเพียงได้อยู่กับปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดข้า เจ้าก็พอใจแล้ว จนข้ารู้สึกว่าตนเองโชคดี” 

“ทรงกล่าวเกินไปแล้ว เป็นหม่อมฉันมากกว่าที่มีวาสนาได้อยู่รับใช้พระองค์”  

อิ้งเยว่รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ด้วยฐานะของนางดูด้อยค่าต่ำต้อยและเพิ่งหลุดพ้นข้อหา ‘บุตรสาวกบฏ’ ด้วยการช่วยเหลือของพระนางหยู่เยียน หรือท่านป้าหยู่เยียนที่ยังสถิตในใจนางตลอดเวลา แม้จะจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน  

แต่สำหรับเหล่าขุนนางทั้งหลาย นางก็ยังเป็นบุตรสาวกบฏในสายตาของพวกเขาอยู่ดี แต่นับว่าสวรรค์เมตตาส่งจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่มาคอยดูแลปกป้อง เพียงเท่านี้ อิ้งเยว่ไม่หวังสิ่งใดแล้ว ขอเพียงได้อยู่กับบุรุษที่นางรักก็พอ แม้จะต้องกล้ำกลืนฝืนทนให้ผู้อื่นดูถูกก็ยินยอม และในยามนี้ หญิงสาวกลับรู้สึกเป็นสุขยิ่งนัก เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของผู้ที่นางรัก ใบหน้างดงามราวเทพธิดาจึงเลือกซบลงอกแกร่งด้วยหัวใจเปี่ยมสุข 

“บางครั้ง ข้าก็คิดว่าเจ้ารักสงบและดีเกินไปจนเดือดร้อนถึงตัว”  

เซิ่งหลงตำหนิตรง ๆ แต่กลับรู้สึกดีที่อิ้งเยว่เป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่รักนางหมดใจ 

“ก็หม่อมฉันโชคดีมีพระองค์คอยปกป้องนี่เพคะ ว่าแต่ทรงบอกได้หรือยังว่าไม่สบายพระทัยเรื่องใด” ใบหน้างดงามทอดมองบุรุษที่รักอย่างใคร่รู้ 

“ถ้าข้าไม่บอก เจ้าคงไม่สบายใจไปอีกนาน ไว้ลี่เฉียงมาก่อน เจ้าจะรู้เอง ไม่แน่ครั้งนี้ ลี่เฉียงอาจต้องยอมสละตนเองเพื่อแผ่นดินก็เป็นได้” 

“ทรงหมายความว่า...จะมีศึกอีกหรือเพคะ แล้วพระองค์จะเป็นผู้นำทัพไปด้วยหรือไม่” 

อิ้งเยว่เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ด้วยกลัวว่าจะต้องอยู่ตามลำพังในตำหนักอีก เพราะยามใดที่เซิ่งหลงไม่อยู่ในวัง นางต้องคอยระมัดระวังตัวตลอด แต่บ้านเมืองนั้นสำคัญเหนืออื่นใด นางจะเห็นแก่ตัวรั้งฮ่องเต้ไว้เพื่อตนเองได้อย่างไร จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ไม่อาจเอ่ยออกมา  

ทว่า ต่อให้นางไม่บอก เซิ่งหลงก็รู้อยู่ดี 

“เจ้าถามเพราะกลัวข้าจะจากเจ้าไปอีก หรืออยากให้ข้าไปให้พ้น ๆ เล่า” ฮ่องเต้หนุ่มตัดพ้อสตรีในอ้อมกอด  

อิ้งเยว่ได้แต่ยิ้มบาง ๆ แล้วสารภาพออกมา “หม่อมฉันไม่ได้หมาย 

ความเช่นนั้น เพียงแต่คาดเดาเพคะ แต่เห็นทีคงเดาผิด” 

หลังจากนั้นไม่นาน ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพเอกผู้เก่งกล้าแห่งเทียนกั๋ว ในชุดแต่งกายแต่งกายสีดำก็มาปรากฏให้เห็น แล้วถวายความเคารพประมุขแห่งแคว้นตามธรรมเนียม พร้อมกับโค้งศีรษะให้หญิงสาวที่นั่งอยู่เคียงข้างสหายรักอย่างนอบน้อม 

“มีอะไรให้รับใช้อีกพ่ะย่ะค่ะ ข้าคิดจะพักเสียหน่อยก็ทรงเรียกหาอีกแล้ว” ลี่เฉียงบ่นอย่างหัวเสีย 

“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”  

อิ้งเยว่เห็นหน้าตา ท่าทางไม่สบอารมณ์ของลี่เฉียงจึงรีบปลีกตัวอย่างรู้กาล เรื่องของบุรุษจะรบกัน สตรีไม่ขอมีส่วนร่วม แต่ก็แย้มยิ้มให้กับแม่ทัพหนุ่ม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  

“เชิญตามสบายนะท่านแม่ทัพ หวังว่าท่านจะโชคดี” ก่อนจากไป 

ลี่เฉียงได้ยินแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ด้วยไม่คาดคิดหญิงสาวอ่อนโยนเรียบร้อยยามหยอกเย้าผู้อื่นจะร้ายกาจเช่นนี้  

‘เฮ้อ! ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ต่างร้ายกาจเหมือนกันหมด’ 

“ไม่ใช้ท่านจะให้ข้าใช้ใคร ท่านแม่ทัพเอกผู้ยิ่งใหญ่” เซิ่งหลงย้อนถามกลับราวกับจะยั่วให้อีกฝ่ายโกรธ ทั้งที่อยากขำกับสีหน้าคล้ายกลืนยาขมของสหายรักเมื่อเจอกับคำพูดหยอกเย้าของอิ้งเยว่ 

“มีเรื่องใดว่ามา” คราวนี้ ลี่เฉียงถามด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทไร้ความรู้สึก การที่เขาเป็นสหายรักของเซิ่งหลงนับเป็นความผิดพลาดในชีวิตครั้งใหญ่ก็ว่าได้ 

“ข้ามีเรื่องจะขอร้อง อยากให้ท่านแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่ง เป็นไมตรีจากเผิงกั๋วที่มีต่อเทียนกั๋วของเรา ควรรับไว้”  

เซิ่งหลงมีสีหน้าจริงจังยิ่งนัก ทว่า ‘คำขอร้อง’ นั้น ทำให้สหายรักถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง 

“เผิงกั๋วคงต้องการให้นางเป็นสนมของท่านมากกว่า ท่านก็มีสนมประดับบารมีอยู่แล้ว รับเพิ่มอีกคนไม่เห็นเสียหาย หากท่านไม่รับเท่ากับดูหมิ่นไมตรี” ลี่เฉียงก็คือลี่เฉียง หากใจไม่ยินยอม ต่อให้สหายรักยกเรื่องบ้านเมืองมาอ้างก็ยากจะฝืน 

“สนมไม้ประดับบารมีของสุ่ยหลิงยังถือว่าเป็นสนมของข้าอีกหรือ อีกอย่าง ข้ามีอิ้งเยว่ในใจอยู่แล้ว ข้าไม่มีวันเอาหญิงอื่นมาเพิ่มความยุ่งยากในชีวิตอีก แค่รบรากับท่านผู้เฒ่าทั้งหลายในราชสำนัก ข้าก็เหนื่อยพอแล้ว อย่าหาเรื่องเหนื่อยมาเพิ่มให้ข้า” เหมือนเซิ่งหลงจะเป็นฮ่องเต้จอมขี้เกียจไปแล้ว 

“ท่านเหนื่อยแล้วข้าไม่รึ วัน ๆ ต้องคอยเป็นหนังหน้าไฟออกรบกับพวกของเฒ่าเจ้าเล่ห์แทนท่าน ครั้งนี้ยังหาเรื่องเดือดร้อนมาเพิ่มให้ข้าอีก โดยเฉพาะผู้หญิง ฉะนั้น ท่านจะยกให้ใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ข้า” เสียงลี่เฉียงแข็งกร้าวทีเดียว 

“ไม่ได้! ท่านไม่รับไม่ได้ สตรีผู้นี้เป็นถึงบุตรีเสนาบดีใหญ่แห่งเผิงกั๋ว ผู้เป็นเสาหลักของบ้านเมือง ใคร ๆ ต่างก็นับถือ ครั้งนี้ถึงกับยอมสละบุตรสาวของตนเองเพื่อให้เทียนกั๋วเห็นถึงความจริงใจ จะปฏิเสธไมตรีได้อย่างไร”  

เซิ่งหลงไม่ยินยอมเช่นกัน ดวงตาคมเข้มจ้องหน้าสหายรักนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนผ่อนคลายน้ำเสียงลง  

“แม้เผิงกั๋วจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเทียนกั๋วและแคว้นอื่น แต่เราจะประมาท 

ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ข้าต้องหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่เสมอเทียมข้าให้” 

“ไฉนต้องเป็นข้าด้วย” 

“แล้วจะมีใครเหมาะสมกว่าท่านอีก หากยกนางให้ผู้อื่น ฝ่ายนั้นจะกล่าวหาได้ว่าเราหมิ่นศักดิ์ศรี แต่สำหรับท่าน ข้าคิดว่าคงไม่ เพราะกิตติศัพท์ของท่านใคร ๆ ก็รู้ว่าน่าเกรงขามแค่ไหน ท่านแม่ทัพเอกผู้ยิ่งใหญ่แห่งเทียนกั๋ว” 

“ท่านคิดว่าข้าจะยอมเสียสละเพื่อท่านมากมายอย่างนั้นหรือ เซิ่งหลง” ลี่เฉียงย้อนถามเสียงแข็ง ไม่มีสิ่งใดที่เขาเกรงกลัวยิ่งกว่าต้องรบรากับพวกผู้หญิง โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่...แต่กับหญิงร้ายกาจ เขายินดีกำราบ 

“เปล่า ข้าแค่คิดว่าท่านจะยอมเสียสละเพื่อเทียนกั๋วของเรามากกว่า ลี่เฉียง ท่านสมควรได้รับรางวัลงาม ๆ สักครั้ง หากครั้งนี้ ท่านยอม ไม่แน่ ท่านอาจได้เป็นเจ้าครองแคว้นคนใหม่ก็ได้ บอกตรง ๆ ข้ารำคาญนักที่ต้องมีคนรู้ทันข้าอยู่ข้างกาย เพราะทำให้อำนาจของข้าลดลง จึงต้องรีบกำจัดไปให้ไกลตัว” แม้รู้ว่าสหายรักไม่อยากมีภรรยา เซิ่งหลงยังคงหาเหตุผลมาส่งเสริม 

“ข้ายังไม่อยากเป็นเจ้าครองแคว้น เห็นท่านเป็นแล้วเหนื่อยแทน อยู่อย่างนี้สบายกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ และผู้ที่ควรรับผิดชอบคือท่านในฐานะฮ่องเต้เจ้าของแคว้น” ลี่เฉียงกลับร้ายกว่า นอกจากไม่ยอมรับน้ำใจแล้วยังคิดส่งคืนผู้ที่เหมาะสมกว่าในการผูกไมตรีครั้งนี้ 

“แล้วท่านคิดว่าข้ามีความสุขนักรึกับการเป็นฮ่องเต้ หากเป็นได้ ข้าอยากลาออกแล้วยกให้พวกโลภที่อยากเป็น แล้วไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับอิ้งเยว่ แต่ข้าก็ทนเห็นเทียนกั๋วที่บรรพบุรุษสร้างมาต้องล่มสลายลงกับความเดือดร้อนของราษฎรไม่ได้ ข้าถึงต้องยอมอดทน” 

“แต่ท่านก็ยังอยู่ดีมีสุขไม่ใช่หรือ แถมยังรับมือเฒ่าเจ้าเล่ห์ได้สบาย ข้าคิดว่าท่านไม่น่าจะเดือดร้อนเท่าไรหากจะรับสนมเพิ่มอีกสักคน” 

“ลี่เฉียง ข้าบอกตามตรง ยิ่งข้าอยู่สูงยิ่งต้องคอยระวังไม่ให้ก้าวพลาดทุกขณะ แล้วท่านว่าผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวงตลอดเวลา มีความสุขดีอย่างนั้นหรือ”  

เซิ่งหลงมีท่าทีเหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด แต่ในฐานะเจ้าครองแคว้นจึงยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะ ‘กล่อม’ ให้อีกฝ่ายใจอ่อน ดังนั้นจากท่าทีแข็งกร้าวเมื่อครู่จึงเปลี่ยนเป็นขอร้องแทน  

“ท่านจะช่วยข้าอีกสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ” 

“ได้ ในฐานะข้าแผ่นดิน หากไม่ช่วยฮ่องเต้แบ่งเบาบ้างก็คงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ข้าก็ไม่อยากฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ชอบ และท่านก็เหนือกว่าข้าตรงจุดนี้ที่มีความอดทนอดกลั้นสูง” ครั้งนี้ ลี่เฉียงมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ 

“ตกลงท่านรับปากหรือไม่” เซิ่งหลงยังต้องการความชัดเจนจากอีกฝ่าย 

“ไว้ข้ารู้จักบรรณาการจากเผิงกั๋วก่อน แล้วท่านจะได้คำตอบเอง” ลี่เฉียงยังไม่รับปากในทันที 

“ได้ ข้าจะให้ท่านได้รู้จักนางก่อน อีกสามวัน เรือจากเผิงกั๋วจะมาถึงชายฝั่งทางใต้ของเรา ข้าจะให้ท่านไปต้อนรับในฐานะตัวแทนของข้า หวังว่านางคงไม่ขี้ริ้วนัก ไม่อย่างนั้น ภาระหนักอาจจะตกแก่ข้า” เซิ่งหลงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ข้าหวังว่าท่านจะใช้ความฉลาดของท่าน สืบหาเหตุผลแท้จริงของการผูกไมตรีครั้งนี้ได้” 

ลี่เฉียงถึงรู้ว่าหลงกลสหายรักจนได้ ที่แท้ เซิ่งหลงต้องการให้เขาไปล้วงความลับจากเผิงกั๋วนั่นเอง 

“ข้าซาบซึ้งจริง ๆ บางที พระองค์อาจต้องเสียหัวใจแม่ทัพเอกให้สาวงามจากเผิงกั๋วก็ได้ อันว่าผู้กล้าย่อมพ่ายต่อสาวงาม ดั่งเช่นฮ่องเต้แห่งเทียนกั๋วจริงไหมพ่ะย่ะค่ะ” ทนไม่ไหว ลี่เฉียงจึงประชดสหายรักในฐานะฮ่องเต้แถมขู่กลับ 

“เป็นข้าที่พลาดไป ลืมนึกไปว่าท่านถนัดในการสอดแนมข้าศึก แต่ในสายตาข้าท่านเหมาะสมมาก แต่พึงระวังไว้อย่าประมาทความงามของสตรี และหากท่านพึงพอใจ ข้ายินดีจัดงานแต่งให้” ไม่เคยมีสิ่งใดปิดบังเซิ่งหลงได้เลย องครักษ์ลับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ  

“ข้าคงปลอดภัยกระมัง มีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ทรงเป็นห่วง” ลี่เฉียงไม่วายประชดก่อนเดินจากไปพร้อมขบคิดไปตลอดทาง 

จากที่ไปเยือนแคว้นเผิงกั๋วอย่างลับ ๆ เขาต้องยอมรับว่า แม้เผิงกั๋วจะเป็นแคว้นเล็กแต่เต็มไปด้วยสิ่งสวยงามมากมาย โดยเฉพาะจำพวกอัญมณี ที่เลื่องลือไปทั่วถึงความงดงาม สตรีถนัดในการทอผ้า ฝ่ายบุรุษก็เก่งกล้าไม่แพ้แคว้นอื่น ผู้ปกครองแคว้นเป็นหญิงซึ่งมีอำนาจสูงสุดคือ พระพันปีหลิง 

ฉวน เดิมที พระนางเป็นเพียงฮองเฮาผู้ไร้อำนาจ ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของแม่ทัพใหญ่หลังพระสวามีสิ้นพระชนม์ลง แต่เพราะได้เสนาบดีใหญ่นามว่าจางเหว่ยผู้ชาญฉลาดเป็นที่ปรึกษาจึงได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างมั่นคง  

หวังว่าเสนาบดีใหญ่ผู้นี้จะไม่มักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว มิเช่นนั้น  

รัชทายาทที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ แม้มีฝีมือเก่งกล้าก็ไม่แคล้วเหมือน 

เซิ่งหลงตอนครองราชย์ใหม่ ๆ  

แล้วเหตุใด เสนาบดีใหญ่จึงไม่ยกธิดาให้องค์รัชทายาทเพื่อเสริมอำนาจบารมีของตนขึ้นไปอีก แต่กลับส่งมาเป็นบรรณาการให้เทียนกั๋ว ซึ่งไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากเผิงกั๋วนอกจากความเป็นมิตร ต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ และต้องหาคำตอบให้ได้ แต่คงต้องรอให้บรรณาการแสนงามมาถึงเสียก่อน ค่อยดูท่าทีอีกครั้ง 

*********** ฝากด้วยค่ะ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว