หุบผาลับหุบผารัก
7
ตอน
1.17K
เข้าชม
13
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
5
เพิ่มลงคลัง

๕๕๕ ขอนำอีกเรื่องที่ชอบ มาลงให้อ่านค่ะ เรื่องลึกลับ หวาน ตัวละครทุกตัวมีมิติ ไม่อยากให้พลาดค่ะ๕๕๕ 

ณ บ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่บนเนินหญ้าเขียวขจีโอบล้อมด้วยป่าเขาอันงดงาม ภายในห้องนอนของชายชราผู้มีนาทีชีวิตเหลือน้อยเต็มทีด้วยโรคภัยรุมเร้า แต่ทว่ากลับพยายามยื้อชีวิตที่เหลือไว้เต็มที่เพียงเพื่อรอคอยคนผู้หนึ่งให้มาถึงก่อนลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิตจะมาเยือน ท่ามกลางสีหน้าหมองเศร้าของบุคคลที่รับใช้ใกล้ชิดและหลานสาวเพียงคนเดียวที่คอยปรนนิบัติรับใช้ดูแลมาตลอด กับสีหน้านิ่งเฉยของหมอกับพยาบาลเพราะเห็นคนป่วยใกล้สิ้นลมมามากจนกลายเป็นความเคยชิน แต่สำหรับญาติผู้ป่วยคงทำใจให้ชินลำบาก 

“สะ...ตอง มาหรือยัง แม่ชา” เสียงอันอ่อนระโหยโรยแรงของชายชราถามหาหลานทวดเพียงคนเดียว ผู้เป็นทายาทของท่านกับหลานสาวผู้ดูแลรับใช้ใกล้ชิดมาตลอดระยะเวลาที่ท่านล้มป่วยลง 

“ฟาลไปตามแล้ว คงใกล้มาถึงแล้วค่ะ อย่าพูดอะไรอีกเลยนะคะคุณตา” พีรชา หลานตาเพียงคนเดียวบอกกับชายชราและพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติไม่ให้สั่นเครือหรือร่ำไห้ให้เห็น 

“งั้นรึ...เปลว...เปลว...อยู่ไหน” ชายชราเพ้อเรียกหาคนสนิทที่รับใช้ใกล้ชิด เป็นผู้ชายรูปร่างหนาสูงใหญ่อายุประมาณห้าสิบให้เข้ามาหา 

“ผมอยู่นี่แล้วครับ คุณท่านมีอะไรจะสั่งหรือครับ” นายเปลวรีบขยับตัวเข้าหาชายชราด้วยสีหน้าหมองเศร้าเช่นเดียวกับผู้รับใช้คนอื่น 

“ฝาก นายสะ...ตอง ด้วย” ชายชราห่วงหลานทวดมากเป็นพิเศษ 

นายเปลวนิ่งไปพักหนึ่งพลางมองหน้าชราราวกับจะจดจำใบหน้าของท่านไว้ในใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า  

“คุณท่าน ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ทิ้งผาตะวันและนายสตรองไปไหน” 

“ดีมาก...แล้วสะ...ตองล่ะ มา...หรือ...ยัง”  

สีหน้าชายชราดูผ่อนคลายไม่น้อยทว่าน้ำเสียงนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าใกล้จะหมดลมเต็มที พลันเสียงตอบรับก็ดังขึ้นท่ามกลางสีหน้าเศร้าสร้อยของผู้คนในห้อง 

“ผมมาแล้วครับ คุณทวด” ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปีบอกผู้เป็นตาทวดก่อนรีบพาร่างสูงใหญ่เข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างเตียง จับมือเหี่ยวย่นมากุมไว้พลางมองหน้าชายชราด้วยความเคารพรักดุจบิดาก็ว่าได้ เพราะท่านได้ให้เขามากมายหลังตามมารดามาผาตะวัน สอนเขาหลายอย่าง แม้จะอยู่กับท่านได้ไม่นานเพราะถูกส่งตัวไปเรียนต่อต่างประเทศอยู่สามปี 

“ขยับหน้ามาให้ทวดดูใกล้ ๆ เป็นครั้งสุดท้ายซิ” คราวนี้น้ำเสียงกับสีหน้าของชายชราดูแจ่มใสนักเมื่อเห็นหน้าหลานทวดคนโปรดมาถึง 

ชายหนุ่มขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ชายชราแล้วท่านก็กระซิบบอกบางอย่างก่อนจะรวบรวมพลังชีวิตที่เหลือน้อยเต็มทีพูดให้ทุกคนในห้องได้ยินกันทั่วหน้า 

“สตรอง อย่าทิ้งผาตะวัน รักษาสมบัติล้ำค่าไว้ให้ดีในฐานะนายใหญ่แห่งผาตะวัน รับปากทวดนะลูกว่าจะไม่ให้ใครมาทำลายผาตะวัน” 

“ครับ คุณทวด ตราบใดที่ผมยังเป็นเจ้าของที่นี่ จะไม่มีใครมาทำลายได้ คุณทวดสบายใจได้ครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังขณะที่แววตาไม่ละห่างจากสีหน้าของชายชราแม้แต่น้อย 

“ดีมาก...ลูก” ชายชราเอ่ยเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นก็หลับตาลงด้วยสีหน้าผ่อนคลาย และจากไปอย่างสงบท่ามกลางสีหน้าเศร้าสร้อยของทุกคนในห้อง ทว่าหลานทวดผู้เป็นทายาทกลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เห็น มีเพียงคำสั่งราบเรียบเท่านั้นที่ทุกคนได้ยิน 

“นายเปลว ช่วยไปเตรียมงานศพให้คุณทวดด้วย”  

จากนั้นก็เข้าไปโอบกอดมารดาที่ทำท่าจะทรุดลงกับพื้นหลังเห็นผู้เป็นตาจากไปพร้อมกับคำปลอบประโลมสั้น ๆ  

“คุณทวดไปสบายแล้ว แม่อย่าเสียใจเลย ผมรับปากท่านจะดูแลผาตะวันให้ดีในฐานะนายใหญ่คนใหม่ของที่นี่” 

“ขอบใจลูก แม่หวังว่าจะเป็นตามที่ลูกพูด” 

 

หลังจากชายชราจากไปอย่างสงบ ปรินทร์หลานทวดคนเดียวของท่านและเป็นเจ้าของคนใหม่ในฐานะนายใหญ่แห่งผาตะวันก็ต้องผจญกับผู้บุกรุกมาตลอด เพราะทุกคนต่างอยากได้ผาตะวันกับสมบัติล้ำค่ามาครอง และมีบ่อยครั้งที่เขาถูกลอบทำร้าย แต่โชคดีที่มีทั้งนายเปลว คนสนิทของตาทวดกับฟาลคนสนิทที่อายุใกล้เคียงกับเขาคอยช่วยไว้ และตอนเขามาอยู่ผาตะวันใหม่ ๆ ฟาลคอยเฝ้าติดตามเขาไปตามที่ต่าง ๆ ตลอด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะโชคดีเสมอไปเพราะคนจ้องทำร้ายเขามีทั้งในที่มืดและที่แจ้ง 

อยู่มาคืนหนึ่งก็มีผู้บุกรุกเป็นชายฉกรรจ์สวมชุดดำปิดบังใบหน้าหลายสิบคนบุกเข้ามาผาตะวันและทำร้ายคนไปหลายคน ปรินทร์กับนายเปลวจึงรวบรวมคนไปล้อมจับพวกมัน แต่กลับมีบางคนเห็นท่าไม่ดีแล้วรีบหนีโดยมีปรินทร์กับคนของเขาตามไปติด ๆ เพื่อล่าตัวพวกมันที่เหลือมาให้หมด  

ทว่ากลับกลายเป็นตัวเองที่ต้องมาติดกับเพราะถูกหลอกล่อให้ออกจากเขตผาตะวัน แถมระหว่างทางยังมีชายชุดดำปิดบังใบหน้าอีกหลายคนคอยดักซุ่มโจมตีจนคนของเขาต้องมาสังเวยชีวิตไปหลายคน และสุดท้ายก็เหลือเขากับนายเปลวที่ตกอยู่ในวงล้อมของพวกมัน 

“นายสตรอง หนีไปก่อน ทางนี้ผมจัดการเอง” นายเปลวเห็นท่าไม่ดีจึงคิดสละชีวิตเพื่อช่วยคนเป็นนายให้รอด 

“ไม่ได้นายเปลว มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน จะรอดก็รอดด้วยกัน จะตายก็ตายด้วยกัน ให้มันรู้ไป นายใหญ่แห่งผาตะวันจะต้องมาจบชีวิตที่นี่ เราลุยกับมันเลย ฉันส่งสัญญาณให้ฟาลพาคนมาช่วยแล้ว ไม่ช้าคงมาถึง” ปรินทร์ใจเด็ดไม่ยอมทิ้งลูกน้อง 

“ช่างใจกล้าดีแท้ นายสตรอง แต่แกไม่รอดแน่ คืนนี้ยังไง ๆ ก็ต้องตาย” เสียงหนึ่งในชายชุดดำขู่ 

“นายสตรอง เชื่อผมเถอะ หนีไปซะ คนอย่างผมไม่ตายง่าย ๆ หรอก รักษาชีวิตไว้เพื่อชาวผาตะวัน อย่าลืมสิ คุณท่านฝากทุกชีวิตของที่นี่ไว้ในกำมือนายสตรอง ผมจะล่อพวกมันไป แล้วนายสตรองก็หนีไป หากผมเป็นอะไรไปฝากลูกสาวให้คุณชาดูแลด้วย” นายเปลวกระซิบบอก เขาไม่ยอมให้ปรินทร์ตายเพราะถ้าชายหนุ่มตายหมายถึงอนาคตของชาวผาตะวันต้องดับสูญและฝากบุตรสาวไว้ในความดูแลของพีรชา มารดาของปรินทร์ 

“ขอบใจนายเปลว ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น เราทั้งคู่ต้องรักษาชีวิตให้รอดกลับไปผาตะวันให้ได้” ปรินทร์บอกนายเปลวด้วยน้ำเสียงกร้าวจัดแม้จะไม่มั่นใจว่าจะรอดหรือไม่ 

“ถ้างั้นลุยกันเลยนายสตรอง เป็นไงเป็นกัน”  

นายเปลวแผดเสียงก้องและพาตัวพุ่งเข้าหาเหล่าชายชุดดำซึ่งมีกันอยู่ยี่สิบกว่าคนกับอาวุธครบมือ ใช้ทั้งปืนกับการเคลื่อนตัวที่รวดเร็วผิดกับรูปร่างที่หนาสูงใหญ่เข้าต่อสู้กับพวกมันอย่างคล่องแคล่วว่องไวและพยายามล่อพวกมันไปที่แม่น้ำ ส่วนปรินทร์ก็ใช้ปืนยิงสวนกลับพวกมันและพยายามหลอกล่อพวกมันให้ไปที่แม่น้ำเช่นเดียวกัน แต่พอไปถึงกระสุนในมือก็หมดเขาจึงใช้วิชาหมัดมวยสู้กับพวกมันพร้อมกับหลบหลีกอาวุธของพวกมันไปพลางจนได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัวและพยายามมองหาทางหนี  

ในที่สุดชายหนุ่มก็สบโอกาสแต่พอหันไปเห็นนายเปลวที่กำลังต่อสู้กับพวกมันทั้งที่ตัวบาดเจ็บ เขาก็อยากกระโจนเข้าไปช่วยแต่พอคิดถึงคำสั่งเสียของคุณตาทวดจึงจำใจทิ้งนายเปลวพร้อมกับตะโกนบอกดัง ๆ  

“รักษาชีวิตกลับมาให้ได้นะนายเปลว” 

พลันเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น 

“คิดหนีเรอะมึง ตายซะ”  

และก่อนที่ใครจะทันทำอะไร ลูกธนูที่ไม่รู้มาจากไหนก็พุ่งเข้าหาปรินทร์ แต่ทว่าร่างสูงใหญ่ของเขากลับถูกมือหนาแข็งแรงของนายเปลวผลักออกอย่างรวดเร็ว และรับลูกธนูแทนพร้อมกับตะโกนบอกว่า  

“นายสตรองหนีไป!”  

จากนั้นก็ดึงธนูออกเห็นเลือดแดงฉานและเดินลุยเข้าหาพวกมันสู้กับพวกมันอย่างเมามันไม่คิดชีวิต จนกระทั่งร่างกายชาเพราะมันเป็นลูกธนูอาบยาพิษและมองเห็นศัตรูตาพร่าไปหมด ตัวโงนเงนยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ริมแม่น้ำกับคำพูดสุดท้ายที่ว่า 

“นาย...สตรองหนี...ไป” จากนั้นร่างหนาสูงใหญ่ของนายเปลวก็ร่วงลงสู่แม่น้ำใหญ่พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกของปรินทร์ดัง ๆ  

“นายเปลว!!!” และเขาก็ล้มลงหมดสติไป  

 

มารู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ที่ห้องของตัวเองในบ้านใหญ่กับสีหน้ากังวลและดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอของมารดาที่คอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง 

“แม่ นายเปลวล่ะ” พอรู้สึกตัวปรินทร์ก็ถามหานายเปลวทันที 

“แม่ไม่รู้ ตอนฟาลไปถึงก็พบว่าพวกมันกำลังจะฆ่าลูกแต่โชคดีที่ฟาลมาช่วยทันและจับตัวพวกมันได้บางคนแต่มันกลับใจเด็ดฆ่าตัวตาย ฟาลพยายามตามหานายเปลวอยู่หลายวันก็ไม่เจอ ลูกสลบไปหลายวันจนแม่คิดว่าจะไม่รอด ฟื้นมาก็ดีแล้ว แม่จะไปหาอะไรมาให้ทานจะได้ทานยา เรื่องอื่นพักไว้ก่อนนะลูกนะ”  

พีรชารีบไล่น้ำตาแห่งความยินดีทิ้งไปทันทีที่เห็นบุตรอันเป็นดั่งแก้วตาดวงใจรู้สึกตัว หลังจากที่นางเฝ้าสวดอ้อนวอนขอพรพระกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยให้บุตรชายฟื้นขึ้นมาและรอดชีวิตจากอาการบาดเจ็บ 

“ไม่ได้ผมต้องไปหานายเปลวให้พบ นายเปลวตกลงไปในแม่น้ำ รับลูกธนูอาบยาพิษแทนผม ต่อให้เป็นศพก็ต้องหาให้เจอ” ปรินทร์ทำท่าจะลุกจากเตียงเพื่อไปหาตัวนายเปลว อดีตคนสนิทของคุณตาทวดที่จงรักภักดีถึงขั้นยอมสละชีวิตแทนเขาเพื่อชาวผาตะวัน 

“ไม่ได้นะ ลูกยังไม่หายดี หมอให้พักอีกหลายวัน ถ้าลูกอยากหานายเปลวให้เจอก็ต้องหายดีก่อน ดูซิจะลุกยังไม่ไหวเลย แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปตามหาคน” พีรชาห้ามเสียงแข็ง 

“ไม่ไหวยังไงก็ต้องไปหาให้พบ ไม่อย่างนั้นผมจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต” ปรินทร์กลับดื้อแพ่งไม่เชื่อฟังมารดา แล้วทำท่าจะลุกอีกหากไม่มีเสียงแทรกของชายหนุ่มรูปร่างหนาสูงใหญ่ดังขึ้น 

“ไม่ต้องไปหาแล้วครับ มีคนพบศพน้าเปลวลอยมาขึ้นอืดเน่าติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ นอกเขตผาตะวัน” 

“ฟาลแน่ใจนะว่าใช่นายเปลว” ปรินทร์ถามคนสนิท เขาไม่ยังไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นจริง 

“ดูจากเสื้อผ้ากับรูปร่างคิดว่าไม่ผิดตัวแน่ คาดว่าคงเสียชีวิตมาหลายวันแล้วศพถึงได้ขึ้นอืดเน่าส่งกลิ่นเหม็น ตอนนี้ผมให้คนนำไปทำพิธีที่วัดแล้วครับ” ฟาลบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกและก็ทำเอาคนเป็นนายนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนพยายามข่มใจยอมรับความจริงก่อนเอ่ยเบา ๆ  

“ขอบใจฟาล รบกวนช่วยจัดการต่อที ให้คนส่งข่าวไปบอกลูกสาวนายเปลวด้วย” 

“ได้ครับ นายสตรอง” ฟาลรับคำสั้น ๆ แล้วก็ไป 

ฟาลไปแล้วปรินทร์จึงหันมาพูดกับมารดาต่อด้วยน้ำเสียงกับสีหน้าจริงจัง 

“แม่ครับ ผมมีเรื่องอยากขอร้องแม่ ก่อนนายเปลวตาย ได้ฝากลูกสาวไว้ในความดูแลของแม่ ผมฝากด้วยนะครับเพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะชดเชยให้กับนายเปลวได้” 

“ไม่ต้องห่วงลูก แม่ก็รักเอ็นดูเด็กคนนี้เหมือนลูกเหมือนหลานอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ลูกพักก่อนดีกว่า แม่จะไปหาอะไรมาให้ทาน” พีรชาพูดกับบุตรชายอย่างอ่อนโยน  

นางเข้าใจความรู้สึกของปรินทร์ดีทีเดียว การสูญเสียคนเก่าแก่ที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดคุณตาของนางและจงรักภักดีถึงขั้นสละชีวิตตัวเองเพื่อเขาย่อมทำให้รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย แต่ด้วยหน้าที่ผู้นำของผาตะวัน เขาจึงจำต้องสะกดกลั้นความเจ็บปวดเสียใจไว้ 

“ครับแม่” จากนั้นเขาก็หลับตาลงช้า ๆ อย่างเหนื่อยอ่อนกับภาระหน้าที่ทั้งปวงในฐานะนายใหญ่แห่งผาตะวัน ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องอดทนอดกลั้นและแสดงความแข็งแกร่งให้ผู้คนที่นี่เห็น  

ดังนั้นไม่ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดเสียใจกับการตายของนายเปลวคนสนิทของคุณตาทวดที่ภักดีจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิตโดยที่เขาไม่สามารถช่วยได้ เขาก็ไม่อาจแสดงออกให้คนอื่นเห็นได้ เขาเหนื่อยเหลือเกิน ตั้งแต่รับปากคุณตาทวดจะรักษาดูแลที่นี่ให้ดี เหนื่อยกับการต่อสู้กับศัตรูทั้งในที่แจ้งและที่ลับเพราะคนโลภอยากได้ผาตะวันไปครอง เหนื่อยจนไม่มีเวลาแม้แต่จะได้กลับไปหาใครบางที่ไม่เคยลืมไปจากใจ และอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้ทำตามสัญญาใจที่ได้ให้ไว้กับเธอ เขายังไม่รู้เลย... 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว