เล่ห์รักจอมราชันย์ 1
6
ตอน
1.61K
เข้าชม
25
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
8
เพิ่มลงคลัง

รัชทายาทหนุ่ม เซิ่งหลง ซึ่งกว่าจะได้ครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้มีอำนาจอย่างแท้จริงก็ไม่ง่าย ต้องต่อกรกับเหล่าขุนนางทรงอิทธิพลในราชสำนักและประมือกับศัตรูต่างแคว้นที่หวังยึดครองแคว้น เทียนกั๋ว ของเขา อีกทั้งยังต้องคอยปกป้องหญิงผู้เป็นที่รักนาม อิ้งเยว่ซึ่งถูกให้โทษเป็นลูกสาวกบฏด้วย  

แต่ยังดีที่สวรรค์มีเมตตาส่งตัวช่วยคือ ลี่เฉียง สหายรักผู้ได้ฉายา แม่ทัพไร้มารยาท แห่งเทียนกั๋ว แต่หนทางสู่แม่ทัพของสหายก็ไม่ง่ายเช่นกัน  

บทที่ 1 

ณ กระท่อมไม้ไผ่หลังใหญ่ตั้งอยู่กลางหุบผาแห่งหนึ่งในป่าลึกลับที่ห่างไกลผู้คนในอาณาเขตของแคว้นเทียนกั๋ว ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ชายชราผมขาวเครายาว สวมชุดสีเทา นั่งหลังตรงงามสง่าอยู่ริมลำธารไม่ไกลจากกระท่อมนัก สายตาทอดมองดูน้ำในลำธารสะท้อนสีเขียวใสดั่งมรกต นาน ๆ ครั้งจึงรินชาจากหม้อต้มชาบนโต๊ะไม้ไผ่ตัวเล็กข้างกายมาดื่ม  

ชายชรามีสีหน้าเปี่ยมสุขยามได้นั่งจิบชาท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามไร้สิ่งรบกวน จึงไม่ตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามาจากบุรุษรูปร่างสูงใหญ่สองคน สวมชุดดำ ปิดบังใบหน้า พอเข้ามาใกล้ก็ซัดอาวุธเข้าใส่ทันที คนหนึ่งซัดมีดสั้นแหลมคม อีกคนใช้ลูกดอก 

อาวุธซัดทั้งสองพุ่งตรงเข้าสู่หลังชายชราอย่างรวดเร็ว ทว่า ชายชรากระโดดหนีได้อย่างว่องไวและซัดเข็มเงินเข้าหาบุรุษในชุดดำทั้งคู่หมายจะปลิดชีพอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน หากแต่ร่างสูงใหญ่ของบุรุษในชุดดำทั้งคู่ก็ว่องไวไม่น้อย กระโดดหลบหลีกได้ทันควัน  

พลันเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจก็ดังขึ้น 

“ฮ่า! ฮ่า! ศิษย์ชั่ว คิดล้างครู เก่งมาก” 

บุรุษในชุดดำทั้งสองรีบเปิดผ้าคลุมหน้าออก พลางคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับชายชราแล้วหนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิดว่า 

“ข้าผิดไปแล้วท่านอาจารย์ที่บังอาจทดสอบฝีมือกับท่านด้วยวิธีนี้”  

และอีกคนก็เอ่ยตามมา 

“หาใช่ความผิดของลี่เฉียงไม่ เป็นความคิดของข้าเอง ท่านอาจารย์สอนพวกข้า วันใดฝึกสำเร็จคือวันที่หลบหลีกอาวุธของท่านได้ พวกข้าเลยคิดหาวิธี ว่าทำอย่างไรให้ท่านอาจารย์ยอมออกอาวุธซัดใส่พวกข้า เพราะท่านบอกเองว่าไม่มีวันใช้อาวุธทำร้ายลูกศิษย์” 

“ข้ากับเซิ่งหลงจึงจำยอมเป็นศิษย์ชั่วคิดล้างครู ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะด้วย” 

ผู้เป็นอาจารย์มองหน้าลูกศิษย์ทั้งสองที่ยอมติดตามมาอยู่ที่ลึกลับห่างไกลผู้คนแห่งนี้เพื่อฝึกวิชาและถูกทดสอบมากมายกว่าจะยอมรับเป็นศิษย์ เนื่องจากตนนั้นปลีกตัวมาอยู่หุบผาลึกในป่าสามฤดู ไม่อยากวุ่นวายกับผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่ต่างแบ่งฝ่ายแบ่งพวกช่วงชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างเสาะแสวงหาผู้กล้า คนเก่ง คนดีมีฝีมือ ปราชญ์ผู้รู้ต่าง ๆ มารับใช้ การรับใช้ผู้มีอำนาจนั้นเหมือนดั่งเอาคอไปพาดบนเขียง ยามโปรด ชีวิตก็รุ่งเรือง ยามเลิกโปรดอาจมีภัยถึงชีวิตได้ 

ทว่า สวรรค์กลับลิขิตให้ต้องรับศิษย์ไว้สองคน นั่นเป็นเพราะตนเห็นดวงดาวเกิดใหม่สองดวง เจิดจรัสส่องรัศมีเป็นวงกลมใหญ่สีขาวขึ้นอยู่เหนือท้องฟ้ากลางเมืองฉางจินเมืองหลวงแห่งแคว้นเทียนกั๋ว บ่งบอกถึงบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สองคนที่จะนำพาเทียนกั๋วให้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดินทั่วหล้า หากถูกดาวจิ้งจอกบดบังไว้ และถ้าไม่มีผู้ใดสอนวิชาให้ ทั้งคู่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวจิ้งจอก และนำพาความเดือดร้อนมาสู่ผู้คนไปทั่วทั้งแผ่นดิน 

ดังนั้นเมื่อสามปีก่อน ตนจึงปรากฏกายในร่างชายชราท่าทางสกปรก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าปะผุ เดินทางเข้าเมืองและเที่ยวป่าวประกาศไปทั่ว  

บุรุษใดอยากได้วิชาจากฟ้า ให้ตามข้ามา”  

ทุกคนที่ได้เห็นต่างพากันหัวเราะขบขัน คิดว่าชายชราผู้นี้สติวิปลาส จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังไม่น้อย เห็นทีก่อนสิ้นชีพคงยากจะได้พบ สุดแล้วแต่โชคชะตาของเทียนกั๋ว จึงคิดกลับเข้าป่าสามฤดู 

ทันใดนั้นเองก็มีบุรุษหนุ่มปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด รูปร่างสูงใหญ่ดูมีสง่าแม้อยู่ในชุดชาวบ้านสามัญทั่วไป คนหนึ่งหน้าตาคมเข้ม งามสง่าเป็นที่ต้องตาต้องใจของหญิงสาวทั้งหลาย หากแววตาแข็งกร้าวฉลาดล้ำลึก อีกคนหน้าตาดุดันคมเข้ม แข็งกร้าว ฉลาด ดูเฉียบขาด พวกเขาเดินตามมาจนห่างไกลผู้คน แล้วเอ่ยขึ้นว่า 

“ท่านผู้เฒ่า พวกข้าอยากได้วิชาจากฟ้า ขอติดตามท่านไป” 

ชะตาฟ้าลิขิตจริง ๆ ในที่สุด บุคคลที่ตามหาก็มาปรากฏกายต่อหน้า จากนั้น ชายชราจึงพาทั้งคู่ไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเกือบปี ก่อนพาบุรุษหนุ่มทั้งสองมาฝึกวิชาในป่าสามฤดูแห่งนี้ ซึ่งมีทั้งฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน ในป่าเดียวกัน  

และที่เลวร้ายที่สุดคือแนวไม้มรณะ หากผู้ใดเข้าไปอาจไม่ได้กลับออกมา แต่สำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าแห่งนี้มาเกือบค่อนชีวิตกลับเห็นเป็นแค่แนวไม้ธรรมดา อีกทั้งลูกศิษย์ทั้งสองก็ได้ผ่านการทดสอบสุดโหดจากการใช้ชีวิตอยู่หลังแนวไม้มรณะเป็นเวลาสิบวัน  

ชายหนุ่มทั้งคู่สมแล้วเป็นผู้ที่สวรรค์ลิขิตให้นำพาความรุ่งเรืองมาสู่เทียนกั๋ว แต่...หนทางแห่งสวรรค์ไม่ได้ราบเรียบดั่งที่คิด หากเต็มไปด้วยขวากหนามกว่าจะก้าวไปถึง ด้านฝีมือเชิงยุทธ์ ทั้งคู่มีพร้อม ส่วนเล่ห์กลการเมืองนั้นสุดแล้วแต่ปัญญาของทั้งคู่ 

จากวันนั้นมาจนถึงบัดนี้ หน้าที่ของตนลุล่วงแล้ว ดวงตาของผู้เป็นอาจารย์มองหน้าลูกศิษย์ทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น 

“พวกเจ้าเก่งมาก ลุกขึ้นได้แล้ว จากนี้ไป ความเป็นศิษย์อาจารย์สิ้นสุดลงแล้ว พวกเจ้าออกจากป่านี้ได้” 

เหตุใดท่านอาจารย์จึงกล่าวเช่นนี้” ‘ลี่เฉียง’ ศิษย์ผู้มีใบหน้าดุดันคมเข้มแข็งกร้าวหากเต็มไปด้วยหนวดเคราจนไม่เหลือเค้าเดิม เป็นฝ่ายถามพลางมองหน้าเซิ่งหลงสหายรักแล้วรอคำตอบ 

“พบกันก็เพราะมีวาสนา จากกันก็เพราะสิ้นวาสนา หน้าที่อาจารย์ของข้าสิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องไปทำหน้าที่ตามชะตาฟ้าลิขิต” 

“ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร” ‘เซิ่งหลง’ ศิษย์ผู้มีใบหน้าคมเข้มงามสง่าแต่ถูกบดบังด้วยหนวดเคราถามอย่างสงสัย ตลอดเวลาที่อยู่กับอาจารย์ ท่านสอนเคล็ดวิชาต่าง ๆ มากมาย และทุ่มเทเวลาฝึกฝนพวกตนอย่างหนัก ทั้งบุ๋นและบู๊ให้ ถ้าเวลานั้น เขาไม่ค้านสหายรักคงไม่ได้มาพบเจออาจารย์ผู้เก่งกล้าแน่ 

“ชายชราผู้นี้หาได้เป็นชายแก่ยากจนสกปรกอย่างที่เห็น ฟังดี ๆ น้ำเสียงทรงพลังมาก อาจเป็นอาจารย์ที่พวกเราตามหาก็เป็นได้”  

ดังนั้น ลี่เฉียงจึงเห็นด้วยและตัดสินใจตามอาจารย์เฒ่าไปฝึกวิชาด้วยกัน 

“ใช่ว่าข้าไม่อยากให้พวกเจ้าอยู่ แต่เจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง เซิ่งหลง พ่อของเจ้าอนุญาตให้เจ้ามาเรียนวิชาแค่สามปี อีกไม่กี่วันก็จะครบตามที่พ่อเจ้ากำหนดไว้ หากไม่รีบกลับไป แม่เจ้าอาจเดือดร้อนได้”  

ผู้เป็นอาจารย์มองหน้าคมเข้มงามสง่ารกไปด้วยหนวดเครานิ่งเพื่อรอคำตอบ สักพักจึงเอ่ยขึ้น 

“จริงของท่านอาจารย์ ข้าควรทำตามที่รับปากท่านพ่อไว้ พรุ่งนี้ พวกเราจะไปจากที่นี่” 

“ต้องเป็นวันนี้ ถึงเวลาของข้าแล้วที่ต้องกลับไปอยู่ในที่ที่ข้าจากมา” 

ลูกศิษย์ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วลี่เฉียงซึ่งเงียบมานานก็เอ่ยถามขึ้น 

“ท่านอาจารย์ ที่นี่มิใช่บ้านของท่านหรอกหรือ” 

“ทุกสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา มีพบก็มีจาก ข้าอยากเตือนเจ้าทั้งสอง ภายหน้าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าทั้งสอง ก็จงอย่าทิ้งกัน ไม่แน่วันข้างหน้า เทียนกั๋วอาจต้องอาศัยพวกเจ้า และเจ้าทั้งสองอาจต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่เพื่อแผ่นดิน” 

“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์ พวกข้าจะทำให้ดีที่สุด” เซิ่งหลงให้คำมั่นสัญญาหนักแน่น หากสหายรักกลับแย้งขึ้น 

“เซิ่งหลง ท่านอย่าเอาข้าเข้าไปเกี่ยวสิ ท่านก็รู้ ข้าเบื่อมากแค่ไหนกับ...” ลี่เฉียงหยุดพูด กลัวความลับถูกเปิดเผย แม้รู้ว่าไม่สามารถปิดบังอาจารย์ผู้หยั่งรู้ดินฟ้าได้ก็ตาม 

“แต่ท่านรับปากข้าแล้วนะ ว่าจะ...” เซิ่งหลงแย้งสหายรัก  

แต่ยังไม่ทันที่ลี่เฉียงจะตอบ เสียงของผู้เป็นอาจารย์ก็ดังขึ้นแทน 

“ชะตาชีวิตของพวกเจ้าถูกสวรรค์ลิขิตไว้แล้ว ไม่มีทางเลี่ยงได้ แต่จงจำไว้ ไม่ว่าอุปสรรคจะมากแค่ไหน ขอเพียงใช้ปัญญากับฝีมือและไม่ทอดทิ้งสหายในยามยาก เมื่อนั้น ต่อให้ศัตรูภายนอกจะแข็งแกร่งเพียงไรก็มิอาจสู้ได้ แต่ภัยใดเล่าจะสู้ข้าทรยศนาย สหายใจคด...ขอให้พวกเจ้าโชคดี”  

ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยเป็นปริศนาก่อนเดินหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วโดยไม่นำพาต่อเสียงตะโกนไล่หลังของศิษย์ทั้งสอง 

“ท่านอาจารย์ ช้าก่อน” 

ศิษย์ทั้งสองต่างยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนรอคอยให้ผู้เป็นอาจารย์ย้อนกลับมาแต่ต้องผิดหวัง 

“ลี่เฉียง เรากลับเทียนกั๋วกันได้แล้ว วาสนาระหว่างเรากับท่านอาจารย์ 

สิ้นสุดเท่านี้ ข้ามีหน้าที่ที่ต้องทำ และท่านต้องไปกับข้าด้วย” เซิ่งหลงบอกสหายรัก 

“ข้าไม่น่าคิดผิดแต่แรกที่ยอมเป็นสหายท่าน” 

“แต่ข้าคิดถูกที่คบท่านเป็นสหาย” 

“ก็ได้ แต่หากวันข้างหน้า ท่านเป็นใหญ่ ช่วยปลดข้าออกจากตำแหน่งสหายด้วย ข้าเบื่อจริง ๆ ข้าอยากมีชีวิตที่อิสระ ท่านทนฟังพวกสอพลอคอยประจบพ่อท่านได้อย่างไร” ลี่เฉียงบ่นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย 

“เห็นทีจะยากหน่อย ขาดท่านไป ข้าคงเหงาน่าดู” เซิ่งหลงไม่ยอมให้สหายรักสมหวัง 

“ท่านหรือเหงา มีคนพร้อมจะรับใช้ท่านมากมาย ขอเพียงท่านเอ่ยปากเท่านั้น ส่วนข้ารับใช้ใครไม่เป็น ข้าทำสิ่งใดก็ขวางหูขวางตาคนพวกนั้นไปหมด จนบางครั้ง ข้าก็สงสัย ตกลงข้าผิดปกติหรือพวกเขาผิดปกติ”  

ลี่เฉียงประชด พลางมองใบหน้าคมเข้มงามสง่ารกไปด้วยหนวดเคราจนหมดสง่าของสหายรักผู้มีสิทธิ์ได้เป็นรัชทายาท เพราะเป็นพระโอรสองค์โตที่เกิดกับหยู่เยียนฮองเฮา สตรีหนึ่งเดียวผู้ครองใจฮ่องเต้ได้ ทว่า เซิ่งหลงกลับไม่อยากเป็นเจ้าครองแคว้นแต่อย่างไร แม้เกิดมาสูงส่งแต่กลับอยากมีชีวิตเยี่ยงสามัญชนซึ่งยากเต็มที กาลข้างหน้ายังไม่รู้จะต้องรับภาระหน้าที่หนักอกเพียงไร จะรอดพ้นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อเป็นใหญ่ในราชสำนักได้หรือไม่  

คิดแล้วน่าเห็นใจเซิ่งหลงในฐานะราชโอรสนัก แต่ยามนี้ ทั้งคู่ไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านสามัญชนทั่วไปและดูจะแย่กว่าด้วยซ้ำ 

“ข้าว่าท่านไม่ผิดปกติเพียงแต่ชอบทำตัวให้ถูกตำหนิ ข้าก็เบื่อเหมือนกัน ไว้ข้าเป็นใหญ่ก่อน ข้าจะให้ท่านเป็นแม่ทัพ น่าจะเหมาะกับท่านมากกว่า” ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนาเข้มได้รูปรับกับใบหน้าคมเข้มรกไปด้วยหนวดเครา มองหน้าสหายรักแล้วหัวเราะเบา ๆ 

“เซิ่งหลง อย่าเชียวนะ อย่าได้คิดให้ข้าเป็นแม่ทัพเชียว ข้าขอเป็นแค่สหายของท่านก็พอ แค่นี้ ข้าก็อึดอัดจะแย่แล้ว ยามอยู่ต่อหน้าคนพวกนั้น” 

“แต่ท่านก็มิอาจเลี่ยงได้ ท่านอาจารย์บอกว่า ต่อไปภายหน้า พวกเราจะต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน แล้วใครกันเล่าจะยิ่งใหญ่เสมอด้วยฮ่องเต้ หากไม่ใช่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่” 

“ท่านอย่าเพิ่งฝันไปไกล ข้าไม่เชื่อที่ท่านอาจารย์บอก เวลานี้ ท่านเป็นแค่องค์ชาย เพียงแต่โชคดีหน่อยที่แม่ท่านเป็นใหญ่เหนือสตรีทั้งปวง ส่วนข้าก็เป็นแค่หัวหน้าองครักษ์หลวง และตอนนี้มีหน้าที่ติดตามท่านเท่านั้น ถึงแม้พ่อข้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองฉางจินก็เถอะ และถ้าเป็นจริง ชีวิตข้าคงทั้งเหนื่อย ทั้งเบื่อ” สีหน้าภายใต้หนวดเครานั้นดูเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด 

“แล้วท่านคิดว่าข้าไม่เบื่อบ้างเลยหรือ ข้าเบื่อกฎเกณฑ์ในวังเต็มที ไม่มีอิสระทำตามใจชอบ แต่ข้าก็เลี่ยงไม่ได้ ท่านแม่สอนข้าเสมอ เมื่อฟ้าให้เราเกิดมาสูงส่ง เราต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อผู้คนอีกมากมายในแผ่นดิน ข้าก็ได้แต่หวังว่าท่านพ่อจะโปรดคนอื่นมากกว่าข้า ข้าจะได้ทำตามใจปรารถนา ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร” เซิ่งหลงก็มีสีหน้าไม่ต่างจากสหายรักนัก 

“ข้าขอบอกว่าท่านเหมาะสมที่สุด”  

ผิดคาด ลี่เฉียงกลับอยากให้สหายรักเป็นฮ่องเต้ เพราะเหล่าองค์ชายทั้งหลายที่เกิดจากพระสนมส่วนมากไม่สนใจเรียนรู้ วัน ๆ เอาแต่หาความสำราญใส่ตัว หากได้เป็นใหญ่ครองเมือง บ้านเมืองคงตกอยู่ภายใต้อำนาจของขุนนางแน่ 

“ข้ายังไม่อยากคิดไปไกลนัก ก่อนกลับข้าอยากเที่ยวชมเมืองสักครั้ง ใช้ชีวิตอิสระอีกสักสองสามวัน แล้วค่อยกลับไปทนฟังคำพูดพ่ะย่ะค่ะ พระเจ้าข้า ของพวกเคร่งธรรมเนียม” 

“หากเป็นความต้องการของท่านจริง ข้ายินดีไปด้วย กลับไปหาท่านแม่ช้าหน่อยคงมิเป็นไรหากข้าอ้างท่าน” ลี่เฉียงแสร้งบ่น 

“กล้ามากนะลี่เฉียงที่อ้างข้า” เซิ่งหลงแสร้งขู่ 

“ก็ไล่กระหม่อมออกสิพ่ะย่ะค่ะ” 

“อย่าเลย ข้ากลัวชีวิตข้าเหงา” 

ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน ต่างเป็นสหายที่รู้ใจกันมากที่สุด แม้ยศศักดิ์จะต่างกัน แต่ยามออกนอกวัง พวกเขาทั้งสองไม่ต่างจากชาวบ้านสามัญทั่วไป ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบในราชสำนัก ตั้งแต่เล็กจนโต เซิ่งหลงมีสหายสนิทเพียงคนเดียวคือ ลี่เฉียง ซึ่งใจกล้า บ้าบิ่น ไม่กลัวเกรงใคร ฉลาด จนบิดาต้องส่งมาอยู่ในวังเพื่อเป็นสหายให้กับบุตรชายของหยู่เยียนฮองเฮาหรือองค์ชายใหญ่โดยหวังว่าจะมีกิริยามารยาทที่ดีขึ้นบ้างเพราะเซิ่งหลงนั้นงามสง่ากิริยามารยาทงดงามในสายตาผู้อื่นเสมอ  

แต่หามีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว เซิ่งหลงเบื่อหน่ายกับกฎระเบียบในวังมากเพียงไร ดังนั้น การได้ลี่เฉียงมาอยู่ด้วยจึงเป็นที่ถูกใจเขามากเลยทำให้ทั้งคู่เป็นสหายที่รู้ใจกัน และมีเพียงลี่เฉียงที่ได้ติดตามองค์ชายใหญ่ไปทุกที่ หากแต่..การได้ติดตามองค์ชายใหญ่ก็ไม่อาจทำให้นิสัยเขาเปลี่ยนจากเดิมได้เลย 

 

ตลาดใหญ่ใจกลางเมืองฉางจินซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเทียนกั๋ว ผู้คนมากมายต่างสนใจมาจับจ่ายซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ซึ่งมีกันมากมาย ทั้งอาหารเลิศรสหลากหลายชนิดตามโรงเตี๊ยมต่าง ๆ ให้ผู้คนแวะมาลิ้มลองและคนต่างถิ่นที่มาพัก มีย่านขายเครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย ผ้าไหมแพรพรรณมากมายหลากหลายชนิดหลายราคาให้เลือก สุดแล้วแต่เงินทองในกระเป๋าของผู้คนทั้งหลายจะอำนวย มีทั้งสินค้าของชาวเทียนกั๋วเองกับจากแคว้นอื่นอันเลื่องชื่อ นอกจากนั้นยังมีการแสดงกลางลานกว้างของคณะนักแสดงต่าง ๆ ให้ชม 

ท่ามกลางผู้คนที่เดินทางมาจับจ่ายซื้อหาข้าวของเครื่องใช้และเที่ยวชมตลาดกันอยู่นั้น บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคมเข้มงามสง่าสะดุดตา หากถูกบดบังด้วยหนวดเครา สวมเสื้อตัวในสีดำทับกางสีดำยาวแนบช่วงขาแข็งแกร่งเข้าไปในรองเท้าผ้าฝ้ายสีดำที่ผ่านการใช้งานมานาน คาดเอวด้วยผ้าสีดำคลุมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำเงินตัวยาว เดินเคียงข้างชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มดุดันหากรกไปด้วยหนวดเคราเช่นเดียวกัน แต่งกายด้วยชุดสีเทาแบบเดียวกันแต่ต่างสี  

ทั้งคู่แต่งกายไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป หากใบหน้ากับบุคลิกนั้นเป็นที่สะดุดตา แม้จะรกไปด้วยหนวดเคราก็ตาม โดยเฉพาะชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินนั้นเป็นที่สนใจของหญิงสาวทั้งหลายยามเดินผ่าน 

“เซิ่งหลง ข้าไม่น่าคิดผิดยอมติดตามท่านมาชมเมืองเลย ไม่เห็นมีสิ่งใดผิดแปลกจากทุกครั้งที่ท่านกับข้าเคยเห็น นอกจากสาว ๆ ชายตาให้ท่าน”  

ลี่เฉียงรู้สึกเบื่อ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องติดตามเซิ่งหลงออกมาดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน 

“แต่ข้าสังหรณ์ใจต้องมีอะไรสนุก ๆ ให้ดูแน่ ไม่บ่อยนักหรอกที่ข้าจะได้ออกมาจากวัง ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่ท่านพ่ออนุญาตให้ข้าไปเรียนรู้หาวิชาเพิ่มเติมโดยเลือกอาจารย์เอง เทียนกั๋วดูเจริญขึ้นมากหลังข้าจากไป มีคนติดต่อค้าขายกับเรามากขึ้น ท่านว่าไหม”  

ดวงตาคมเข้มทอดมองสินค้าหลากหลายชนิดจากต่างแคว้นที่วางขายกันตามแผงกับร้านค้าต่าง ๆ แล้วคิ้วหนาเข้มได้รูปก็ขมวดเข้าหากันเมื่อสะดุดตาเข้ากับบางอย่าง 

“ข้าว่ามากเกินไป ดูนั่นสิ มีพวกเสื้อขนสัตว์ หนังสัตว์ ขายด้วย”  

ลี่เฉียงก็สังเกตเห็นเหมือนกัน ขณะที่ร่างสูงใหญ่งามสง่าของเซิ่งหลงเดินตรงเข้าไปยังร้านขายเสื้อขนสัตว์ หนังสัตว์และไม้หอมต่าง ๆ เขาจึงรีบตามไปดู 

“พ่อหนุ่มสนใจซื้อเสื้อขนสัตว์ไว้ใส่หน้าหนาวสักตัวไหม” เจ้าของร้านเป็นชายชราสูงวัยสีหน้ายิ้มแย้มรีบให้การต้อนรับ 

“ชาวฉางจินนิยมใส่เสื้อขนสัตว์แทนเสื้อคลุมตัวหนาในหน้าหนาวแล้วหรือท่านลุง” เซิ่งหลงถามอย่างแปลกใจ 

“พ่อหนุ่มไปอยู่ที่ไหนมา เสื้อขนสัตว์กับหนังสัตว์จากแคว้นสือซานกำลังเป็นที่นิยมของผู้คนที่นี่ตั้งแต่ต้นปี ยังมีพวกไม้หอมที่พวกขุนนางต่างสนใจซื้อไปทำโต๊ะ ทำเตียงในจวน” ชายชราเจ้าของร้านบอกพลางมองหน้าเซิ่งหลงแล้วอดสงสัยไม่ได้ ชายหนุ่มผู้นี้แม้อยู่ในชุดชาวบ้านสามัญทั่วไป แต่ก็ไม่อาจบดบังความงามสง่าดูน่าเกรงขามไว้ได้   

“ข้าไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เดินทางไปทั่วเลยไม่รู้ ว่าแต่สินค้าของสือซานผู้ใดนำเข้ามาขาย” เซิ่งหลงยังคงมีคำถามต่อ ผิดกับลี่เฉียงที่ทำทีเป็นหยิบจับเลือกชมสินค้าในร้านไปทั่ว 

“ข้าเองก็ไม่ทราบ เห็นเขารับมาขาย ข้าก็ไปรับมาขายบ้าง ปีก่อน ทางเหนือของเทียนกั๋วประสบภัยหนาว ชาวบ้านไม่มีเสื้อผ้ากันหนาวใส่ ท่านเสนาหลิวให้คนไปติดต่อหาซื้อจากแคว้นสือซานซึ่งมีผ้าขนสัตว์กันหนาวมากพอช่วยชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนในราคาถูกได้ จากนั้นก็เป็นที่นิยมแพร่ 

หลายมาถึงฉางจินด้วย” 

ได้ยินชายชราเจ้าของร้านบอกแล้ว เซิ่งหลงอดครุ่นคิดไม่ได้ เสนาบดีหลิว มีชื่อเต็มว่า ‘หลิวหยางเฉียน’ มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายปกครอง เขาไม่ค่อยได้คุ้นเคยนักเพียงแต่เคยได้ยินว่า เป็นคนซื่อตรงคนหนึ่ง ตื้นลึกหนาบางอย่างไรมิอาจทราบได้ แต่เหตุใดถึงติดต่อกับแคว้นสือซานได้? ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยกับชายชราต่อ 

“ขอบใจท่านลุง เห็นที ข้าต้องซื้อไปเป็นของกำนัลให้คนที่ข้านับถือแล้ว ข้าขอซื้อตัวหนึ่ง” 

“ได้พ่อหนุ่ม”  

ชายชรายิ้มดีใจที่ขายของได้แล้ว รีบหยิบเสื้อขนสัตว์สีขาวพับใส่ห่อผ้ายื่นให้ เซิ่งหลงจ่ายเงินให้แล้วหันไปพูดกับสหายรักที่กำลังหยิบจับกล่องไม้หอม 

“ลี่เฉียง ไปกันได้แล้ว”  

ลี่เฉียงรีบวางกล่องไม้หอมลงแล้วตามสหายรักไป 

“ข้าให้ท่านเอาไปฝากท่านป้า บอกเป็นของฝากจากข้า” เซิ่งหลงยื่นห่อผ้าขนสัตว์ให้ 

“ท่านขี้เกียจถือก็บอกมาตามตรง ไม่ต้องใจดีซื้อของฝากแม่ข้าหรอก” ลี่เฉียงรู้ทันจนได้ 

“เปล่า ข้าช่วยไม่ให้ท่านป้าบ่นท่าน จากบ้านไปนาน กลับมาควรมีของฝากให้ท่านชื่นใจบ้าง” เซิ่งหลงจัดแจงแทนสหายรัก 

“ข้าคงต้องขอบใจท่านสินะที่ช่วยคิดแทน ว่าแต่ท่านจะกลับเข้าวังเลยไหม ข้าจะได้กลับจวนเอาของฝากไปให้ท่านแม่ ท่านคงดีใจไม่น้อย”  

ลี่เฉียงแสร้งประชด แต่ยอมรับมีส่วนจริงอยู่บ้างเพราะเขาสนใจแต่เรื่องต่อสู้ ไม่เคยสนใจเรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ ผิดกับเซิ่งหลงที่มักใส่ใจความรู้สึกของผู้คนรอบข้างอันเป็นที่รักและเคารพนับถือ 

“เราแยกกันตรงนี้ก็ดี ท่านเบื่ออยู่บ้านเมื่อไรค่อยกลับไปหาข้าที่ตำหนัก ถึงเวลานั้น ข้าอาจมีเรื่องให้ท่านช่วย” 

“เห็นที องค์ชายต้องทนอยู่ในวังอย่างเงียบเหงาตามลำพังสักพักกระมัง” ลี่เฉียงหยอกล้อสหายรักเล่น 

“ไร้มารยาทเกินไปแล้วลี่เฉียง ข้าหาใช่เพื่อนเล่นของเจ้าไม่ แต่ครั้งนี้ ข้ายอม อยู่นอกวังข้าคือเซิ่งหลง ชาวบ้านสามัญ สหายของท่าน ไม่ช้า ท่านต้องไปหาข้าที่ตำหนัก ข้าอยากเห็นสีหน้าเบื่อรำคาญของท่านยามต้องทำตามกฎระเบียบในราชสำนัก”  

เซิ่งหลงเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนพาร่างสูงใหญ่งามสง่าเดินจากไปเพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนก่อนกลับเข้าวัง 

เดินมาได้สักพักก็สะดุดตาเข้ากับหญิงสาวร่างบางอรชรอ้อนแอ้น ผมยาวสลวยสีดำถักเป็นเปียพาดมาไว้ด้านหน้าประดับด้วยดอกไม้สีขาว สวมกระโปรงผ้าไหมชั้นดีสีเขียวอ่อนคลุมทับด้วยเสื้อตัวยาวสีขาวราบเรียบกำลังเดินเข้าไปในร้านขายผ้าไหมพร้อมกับหญิงสาวอีกคน เขาจึงตามเข้าไปดู 

“คุณหนู ทำไมต้องมาเอง สั่งบ่าวในจวนมาเลือกดูก็ได้นี่เจ้าคะ ออกมาตามลำพัง บ่าวกลัวเกิดเรื่องขึ้น” หญิงสาวสวมกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อสีน้ำเงินเข้มตัวบางยาวแค่เอว เกล้าผมมวยปักปิ่นไม้ อายุ 

ราว ๆ สามสิบพูดกับนายสาวด้วยความเป็นห่วง  

จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร ก็นายสาวของนางนั้นแม้อายุเพิ่งสิบหกย่าง ทว่างดงามสะดุดตา ดวงหน้างดงามราวเทพธิดาโบตั๋น ดวงตากลมโตสีนิลเข้มล้อมรอบด้วยแพขนตายาวงอนรับกับคิ้วโก่งดำสวยรับกับจมูกโด่งงาม ผิวขาวผ่องอมชมพูเนียนละเอียดงดงามราวหยกมันแพะจนน่าอิจฉา รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นบอบบางดูน่ารักน่าถนอมราวดอกโบตั๋นล้ำค่าหายากยามเบ่งบาน และนับวันจะงดงามมากขึ้น ท่านเสนาบดีถึงไม่อยากให้ออกมานอกจวนตามลำพังเพราะกลัวเหตุไม่ดีจะเกิดกับบุตรสาวนั่นเอง 

“พี่เสี่ยวเหมยกลัวเกินไป ผู้คนออกมากมาย เหตุใดต้องกลัวเล่า อีกอย่าง ข้าอยากเลือกผ้าไปเย็บเสื้อให้ท่านแม่ใส่ฉลองวันเกิดของท่าน คนอื่นเลือกให้คงไม่ถูกใจ” น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นไพเราะอย่างยิ่ง 

“เจ้าค่ะคุณหนู ถ้าอย่างนั้นก็รีบเลือกแล้วรีบกลับ กลัวท่านเสนาบดีเป็นห่วง”  

เสี่ยวเหมยเตือน พลางสอดส่ายสายตาดูผู้คนในร้านซึ่งนอกจากเจ้าของร้านที่เป็นหญิงวัยกลางคนมาคอยต้อนรับลูกค้า ยังมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเดินดูผ้าในร้านกับหญิงชายในวัยต่างกันอีกสองสามคน 

“ข้ายอมพี่เสี่ยวเหมยแล้ว”  

หญิงสาวจำยอมพี่เลี้ยงที่มักคิดมากเกินเหตุ ก่อนทอดสายตามองกองผ้าไหมหลากหลายสีตรงหน้าแล้วมือขาวเนียนอมชมพูก็หยิบจับผ้าไหมสีต่าง ๆ ที่ทอได้ละเอียดงดงามขึ้นมาดู หากยังไม่มีสีถูกใจ และแล้วดวงตางดงามก็สะดุดเข้ากับผ้าไหมสีม่วงอ่อนที่วางไว้กลางร้านจึงพาร่างบางอรชรงดงามไปดู 

เซิ่งหลงคิดขยับตามตามหวังจะเข้าไปใกล้สักหน่อย แต่ยังไม่ทันได้ทำตามใจหมายก็มีเสียงสั่งของหญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมดังขึ้น 

“ใครเป็นเจ้าของร้าน มาพบคุณหนูของข้าหน่อย” 

เจ้าของร้านซึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนรีบปรากฏตัวแล้วเดินตรงเข้าไปหา หญิงสาวหน้าตางดงามสวมกระโปรงผ้าไหมสีแดงอ่อนสวมเสื้อคลุมเนื้อบางเบาสีเดียวกันทับเสื้อตัวในสีขาวอีกชั้น รูปร่างอรชรเย้ายวนงดงาม แต่ดูหยิ่งทะนงชอบกล ผมสีน้ำตาลเข้มเกล้าสูงไว้กลางศีรษะปักปิ่นทองร้อยด้วยมุกห้อยลงมาหกเม็ด ไม่บอกก็รู้ต้องเป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่มากอิทธิพลแน่ เพราะนางไม่ได้มาตามลำพังกับพี่เลี้ยง แต่มีองครักษ์อีกสองนายคอยติดตามมาด้วย 

“เป็นเกียรติกับข้ายิ่งนัก ที่คุณหนูสุ่ยหลิงมาเยือนร้านเล็ก ๆ ของข้า คุณหนูมีอะไรให้ข้ารับใช้เจ้าคะ”  

หญิงเจ้าของร้านดูเหมือนรู้จักหญิงสาวเป็นอย่างดีจนเซิ่งหลงกับผู้คนในร้านพากันแปลกใจ 

“ข้าอยากได้ผ้าไหมสักผืนไว้ใส่เข้าวัง เห็นผู้คนร่ำลือกันว่าร้านของท่านมีผ้าไหมดีหายากจากทุกแคว้น ข้าอยากดูว่าจะสมคำร่ำลือไหม ถ้าข้าพอใจ ข้าจ่ายไม่อั้น” ถ้อยวาจาที่ออกจากปากของหญิงสาวนั้นบอกให้รู้ถึงความเอาแต่ใจ หยิ่ง อวดเก่งแถมร้ายกาจ แม้อายุจะไม่มาก 

“ถ้าเช่นนั้นเชิญคุณหนูรอสักครู่ ข้าจะให้คนไปหยิบผ้าไหมจากเมืองตงเป่ยทางเหนือของแคว้นอู๋ซานซึ่งมีฝีมือทอผ้าไหมได้งดงามยากจะมีเมืองไหนเทียบเท่ามาให้เลือกเจ้าคะ”  

หญิงเจ้าของร้านรีบนำเสนอผ้าไหมฝีมือดีซึ่งราคาย่อมต้องดีตามให้คุณหนูเอาแต่ใจเลือก หากสุ่ยหลิงไม่บังเอิญเห็นหญิงสาวอีกคนซึ่งมีรูปร่างหน้างดงามไม่ด้อยไปกว่านางกำลังเลือกผ้าไหมสีม่วงอ่อนจากกองผ้าไหมที่วางเด่นอยู่กลางร้านขึ้นมาดูอย่างสนใจ จึงชี้มือไปยังกองผ้ากลางร้านพร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจว่า 

“ไม่ต้อง ข้าอยากได้ผืนที่อยู่ในมือนาง”  

หญิงสาวผู้กำลังเลือกผ้าอยู่จึงหันมาดูและได้พบกับดวงตาสวยคมดุที่จ้องมองมาอย่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย รู้สึกตกใจที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนชังหน้าตั้งแต่แรกพบ  

‘สุ่ยหลิง’ พอได้เห็นหน้าอีกฝ่ายก็ยิ่งชิงชังหนักขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ที่จับจองผ้าไหมผืนงามนั้นมีใบหน้างดงามมาก เพราะนางนั้นจัดว่างดงามเกินกว่าธิดาขุนนางทั้งหลาย แต่บัดนี้กลับมีผู้มาเทียบรัศมีจึงทำให้หงุดหงิดพอควร  

นางเป็นใคร? ดูจากการแต่งกายหาใช่ชาวบ้านสามัญทั่วไป 

“แต่...แต่ว่า...นางเลือกแล้วนะเจ้าคะคุณหนู”  

หญิงเจ้าของร้านรีบแย้งด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นไม่น้อย นางก็ใช่ว่าจะโง่จึงพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของคุณหนูเอาแต่ใจ ทว่ายามซื้อหาข้าวของเครื่องใช้จะจ่ายไม่อั้นถ้าถูกใจ โดยแนะนำผ้าไหมอย่างดีชั้นหนึ่งซึ่งมักเก็บไว้ให้ลูกค้ากระเป๋าหนักเลือกดูแล้วเพื่อไม่ให้มีเรื่อง เพราะหญิงสาวที่กำลังเลือกผ้าอยู่นั้นงดงามจนน่าอิจฉา คนค้าขายย่อมไม่อยากให้เกิดเรื่องในร้านแน่นอนแต่เห็นทียากจะหลีกพ้นแล้วในหนนี้ 

“แต่ข้าอยากได้ผืนที่นางถือในมือ ท่านเป็นเจ้าของร้าน ย่อมมีสิทธิ์ขายให้ใครก็ได้จริงไหม”  

คำพูดเอาแต่ใจนั้นทำให้ผู้คนในร้านต่างพากันเอือมระอา หากไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ขณะที่เซิ่งหลงยืนนิ่งด้วยใคร่รู้ และแล้ว เขาก็ได้ยินหญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายสีเทาเอ่ยขึ้นแทนนายสาวแสนงามที่ยังคงยืนนิ่งด้วยคาดไม่ถึง 

“ใช่ คุณหนูของข้าเลือกแล้ว จะไม่ยกให้ใครด้วย อยากได้ก็หาผืนอื่นเอาเอง” 

“เจ้าเป็นใคร บังอาจกล้ามาขัดใจคุณหนูของข้า” 

เสียงหญิงวัยกลางคนร่างท้วมขู่กลับ พลางมองหน้าอีกฝ่ายที่มากันแค่สองคนเหมือนจะเย้ย 

“คุณหนูของเจ้าเป็นใครข้าไม่สน ข้ารู้แต่ว่า ผ้าผืนนี้ คุณหนูของข้าเลือกก่อน พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ใช้อำนาจบาตรใหญ่แย่งเอาไป” เสี่ยวเหมยไม่ยอมเช่นกัน 

“เจ้ารู้ไหม คุณหนูข้าเป็นใคร หากฉลาดก็จงยอมเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้น ครอบครัวนายเจ้าเดือดร้อนแน่” หญิงร่างท้วมยังคงขู่กลับ 

เสี่ยวเหมยยังไม่ยอมแพ้ ขยับปากจะสวนกลับ แต่เสียงหวานใสไพเราะของนายสาวก็ขัดขึ้นก่อน 

“พี่เสี่ยวเหมย ข้าไม่เอาแล้ว เรากลับกันดีกว่า ออกมานานแล้ว” 

“แต่ว่า...คุณหนู” 

“ไม่มีแต่แล้วพี่เสี่ยวเหมย อย่าทำให้ท่านน้าเจ้าของร้านลำบากใจเลย วันหลังค่อยมาใหม่ก็ได้ วันเกิดท่านแม่อีกหลายวันกว่าจะถึง ยังมีเวลา”  

เอ่ยจบ ร่างบางอรชรงดงามก็วางผ้าลงแล้วรีบจูงมือพี่เลี้ยงสาวออก 

ไปจากร้านจึงทำให้ผู้คนพากันโล่งอก 

“นางไม่เอาแล้ว ทีนี้ ท่านขายให้คุณหนูของข้าได้แล้วสินะ”  

หญิงร่างท้วมถามเจ้าของร้าน ทว่า คุณหนูเอาแต่ใจของนางกลับบอกว่า 

“ข้าไม่เอาแล้วพี่เสี่ยวชิง หมดอารมณ์ซื้อ ให้ท่านพ่อหาให้ก็ได้ กลับ” จากนั้น ผู้ติดตามของคุณหนูผู้ยิ่งใหญ่ก็พากันออกจากร้านไป 

“ท่านน้า แม่นางคนนั้นเป็นลูกใคร” เซิ่งหลงถามหญิงเจ้าของร้านหลังเห็นคุณหนูเอาแต่ใจไปจากร้านแล้ว 

“เจ้าไปอยู่ไหนมา ถึงไม่รู้ว่านางเป็นธิดาของท่านเสนาบดีหยาง ที่ 

ใคร ๆ ต่างเคารพยำเกรง บิดานางก็ออกจะดี แต่ทำไมนางถึงผิดจากบิดาก็ไม่รู้” 

“ข้ามาเยี่ยมญาติที่นี่เลยไม่รู้ ขอบคุณท่านน้ามาก ข้าขอตัวก่อน”  

จากนั้น ร่างสูงใหญ่งามสง่าก็รีบออกจากร้านเพื่อตามหญิงสาวที่มากับพี่เลี้ยงตามลำพัง พลางขบคิดไปด้วย เสนาบดีหยาง หรือ ‘หยางเฉิน’ นั้นดูแลกรมพระคลังหลวง เป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าขุนนางไม่น้อยหรืออาจมากกว่าเสนาบดีฝ่ายปกครองเสียอีก ทั้งที่ฝ่ายปกครองน่าจะสะสมอำนาจได้มากกว่า  

แปลก?  

เห็นทีเสนาบดีผู้นี้คงมีหลายอย่างให้ค้นหา แต่เหตุใดถึงได้ตามใจบุตรสาวมากมายถึงเพียงนี้ แล้วแม่นางคนงามนั่นเป็นคุณหนูตระกูลใดกันแน่ เซิ่งหลงคิดพลางรีบเดินตามไป และไม่นานนักก็เห็นพวกนางเดินดูผ้าตามแผงผ้าอื่นจึงทำทีเป็นเดินเข้าไปดูบ้างและลอบฟังเสียงหวานใสไพเราะพูดคุยกับพี่เลี้ยง 

“พี่เสี่ยวเหมย ต่อไปอย่าไปทะเลาะกับใครอีกนะ ท่านแม่สอนข้า พบคนพาลให้หลีกให้ห่างไกลดีกว่า” 

“ก็มันอดไม่ได้นี่เจ้าคะ ลูกสาวขุนนางตระกูลไหนก็ไม่รู้ ทำตัวยิ่งใหญ่จริง หน้าตาก็งดงามแต่กิริยามารยาทไม่ไหว บ่าวยังเจ็บใจอยู่เลย คุณหนูน่าจะให้บ่าวไพร่ในบ้านตามมามากหน่อย คุณหนูก็ลูกขุนนางใหญ่เหมือนกัน เหตุใดถึงต้องยอมด้วย” พี่เลี้ยงสาวรู้สึกขัดใจไม่น้อยกับความเป็นคนจิตใจดีของนายสาว 

“พี่เสี่ยวเหมยว่านางนิสัยไม่ดี แล้วยังอยากให้ข้าเอาอย่างอีก เที่ยวอวดอำนาจไปทั่ว ชาวบ้านชาวเมืองไม่พากันเกลียดชังขุนนางกันหมดหรือ ที่สำคัญ ข้าไม่อยากให้ใครมากล่าวหาท่านพ่อว่าอบรมลูกไม่ดี” 

“เจ้าค่ะ ใครจะคิดลึกซึ้งอย่างคุณหนูเล่าเจ้าคะ เที่ยวห่วงคนโน้นคนนี้ กลัวเขาเดือดร้อนไปหมด” พี่เลี้ยงสาวอดประชดนายสาวไม่ได้ 

“รู้ว่าข้าเป็นคนดี ก็ดีแล้ว”  

คุณหนูคนดียิ้มรับพลางยั่วพี่เลี้ยงสาวเล่น โดยหารู้ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ทำทีเป็นเลือกผ้าอยู่นั้นเผลอมองตะลึงไปพักหนึ่ง ก่อนทำทีเป็นเลือกผ้าต่อและฟังคำสนทนาของนายบ่าวต่อ 

“เจ้าค่ะ” 

“พี่เสี่ยวเหมยโกรธข้าใช่ไหม อย่าโกรธเลยนะ เดี๋ยวแก่เร็ว ท่านแม่บอกไว้อย่างนั้น” 

“ไม่โกรธก็ได้เจ้าค่ะ กลับดีกว่านะเจ้าคะ วันนี้เกรงจะไม่ได้ผ้ากระมัง” 

“ดีเหมือนกัน ที่จริง ผ้าผืนนั้นยังไม่ถูกใจข้าเท่าไร ไว้วันหลังค่อยมาดูใหม่” 

จากนั้น สองนายบ่าวก็พากันกลับโดยมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่งามสง่าแอบตามไปห่าง ๆ พอรู้ว่านางเป็นใครก็ยิ้ม 

“ที่แท้ นางอยู่จวนเสนาบดีกรมการปกครอง เห็นที ข้าต้องหาทางมาเยือนสักครั้ง” เซิ่งหลงพึมพำเบา ๆ ก่อนจากไป 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว