04 : เพียงแค่ได้กลิ่นก็รับรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นเขา
ผมมองดูตัวเองในกระจกก่อนจะถอนหายใจออกมาให้กับโชคชะตาที่ตลกของตัวเอง มาอยู่ในร่างคนอื่นที่เป็นเจ้าชายนิทรามาหนึ่งปีไม่พอก็ต้องได้มารู้ความจริงของโลกใบนี้เข้าซะอย่างนั้น โดยเฉพาะความจริงที่ว่าผู้ชายอย่างผมนั้นสามารถที่จะท้องได้เหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนนั้นจะสามารถที่จะท้องได้หรอกนะครับ คนที่เป็นแบบผมต่างหากที่จะท้องได้ ถ้าถามว่าอะไรน่ะเหรอ ผมก็คงสามารถตอบได้เต็มปากแล้วล่ะในตอนนี้ นั่นคือเป็นโอเมก้าแบบผมไง
ให้ตายนี่ผมหลุดเข้ามาอยู่ในโลกแฟนตาซีอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ โลกนี้ถึงได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมายเต็มไปหมดแบบนี้ ไหนจะมีพวกชนชั้นที่เรียกว่าอัลฟ่า เบต้า โอเมก้านั่นอีก ผมนี่ปวดหัวเลยยิ่งต้องมาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นแล้วอาการต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องการฮีทของโอเมก้าเนี่ย ผมต้องทำความเข้าใจมันอย่างหนักเลยก็ว่าได้ มีที่ไหนอาการติดสัตว์หรืออาการฮีทจะมาทุกรอบเดือนแบบนั้น คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เพราะผมนั้นไม่อยากที่จะคิดสภาพเลยแม้แต่น้อยเลยว่าถ้าช่วงเวลานั้นมาถึงตัวผมจะเป็นยังไงกัน
แล้วไอ้กลิ่นที่หอมยั่วยวนที่ลอยออกมาจากตัวใครบางคนนั่นอีก ถ้าจำไม่ผิดจากที่แม่เอามาให้อ่านจะเรียกว่าฟีโรโมนได้ไหมนะ เพราะดูเหมือนว่าคนที่เป็นอัลฟ่านั้นจะชอบแผ่รังสีอะไรออกมาให้คนอื่นได้สัมผัสซะด้วย แล้วกลิ่นที่ลอยมาตามลมหรือมาตามตัวคุณหมอคนนั้นก็คงจะเป็นอะไรที่คล้ายฟีโรโมนเป็นแน่ เลยหอมยั่วยวนผมขนาดนั้น ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจเลยสักนิด
เฮ้อออ...แต่ก็เอาเถอะถ้าผมยังไม่ได้กลับไปที่โลกเดิมผมก็ยังพอมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้อยู่ แล้วอีกอย่างวิธีที่จะกลับไปโลกนั้นผมก็ไม่รู้ซะด้วย เอาเป็นว่าอยู่ในโลกนี้ผมก็จะเป็นคนของโลกนี้เนี่ยแหละ เพราะไม่คิดที่จะหาวิธีกลับไปอยู่แล้ว ถ้ามันจะได้กลับไปจริงก็คงได้กลับไปเหมือนตอนมาเอง ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ เป็นคนง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะก็โชคชะตามันเล่นตลกกับผมขนาดนี้แล้วนี่หว่า คงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วไง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เสร็จหรือยังลูก” เสียงหญิงสาววัยกลางคนที่ผมคุ้นเคยดีในช่วงนี้เอ่ยเรียกขึ้นมาในขณะที่ผมเอาแต่จดจ้องไปยังปลอกคอของตัวเองในกระจกอยู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนให้กับสถานะของตัวเองในตอนนี้ แล้วหันหลังไปเปิดประตูห้องน้ำเพื่อเผชิญหน้ากับแม่เจ้าของร่างที่ผมอยู่
ผมยิ้ม “เสร็จแล้วครับ”
“เสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปทำกายภาพบำบัดกัน”
“ครับ”
อาทิตย์นี้คืออาทิตย์ที่ผมจะได้อยู่ที่นี่เป็นอาทิตย์สุดท้ายเพราะตัวผมนั้นเริ่มกลับมาเดินได้ปกติทำทุกอย่างได้ปกติเหมือนคนอื่นแล้ว คุณหมอบอกทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอสมควร เพราะผมเริ่มทำทุกอย่างได้ปกติแล้วไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นหรือต้องใช้ไม้เท้าในการช่วยเดิน แต่ก็ยังคงต้องทำกายภาพบำบัดอยู่ เพราะมันจะมีอยู่บางครั้งที่อยู่ดีขาผมนั้นก็หมดแรงไปซะดื้อๆ คุณหมอก็เลยบอกให้ทำอยู่อย่างที่เห็นบวกกับกินยาควบคู่ไปด้วย ถึงจะไม่หายเป็นปกติดีก็ตาม แต่ผมก็ยังสามารถที่จะใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ เพราะอาการนี้มันจะมาเพียงแค่ครั้งคราวเท่านั้น ถ้าจะให้มันหายขาดจริงๆ ผมก็ต้องกินยาและมาพบคุณหมออยู่ตลอดนั่นแหละ
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างลูก รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ยอาการล้าที่ขา” เธอเอ่ยถามขณะที่กำลังเข็นรถวิลแชร์ไปตามทางของโรงพยาบาลเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องทำกายภาพบำบัด
“ดีขึ้นครับ” ตอบไปตามความจริงเพราะอาการล้าของผมมันไม่ได้มีมากเหมือนก่อนนหน้าแล้ว “ดีขึ้นจนไม่ต้องนั่งวิลแชร์เลยก็ว่าได้ เอาจริงคุณแม่ให้แอลเดินไปก็ได้นะครับ มาเข็นให้แอลแบบนี้ลำบากแย่”
“ลำบากอะไรกัน แค่นี้เองแม่ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก”
“ก็แอลเป็นห่วง”
“ห่วงตัวเองเถอะแอล รีบกลับมาจำให้ได้ดีกว่ามั้ยว่าตัวเองเป็นใคร เห็นแบบนี้แม่ล่ะเป็นห่วง ยิ่งแอลลืมทุกอย่างแบบนี้อีกด้วย”
ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่เม้มปากเพราะผมนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกลับมาจำได้เลยสักนิด รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเหมือนกันที่บอกใครไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แต่ก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกไป เพราะผมนั้นไม่อยากที่จะให้เธอคนนี้มารับรู้เรื่องของลูกชายตัวเอง ที่อยู่ดีก็หายไปทั้งแบบนั้นแล้วก็กลายมาเป็นผมที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน แล้วอีกอย่างผมก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมานั่งนึกถึงความทรงจำที่ไม่เคยมีอีกด้วย ผมถึงบอกไงว่าผมนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกลับมาจำได้เลยสักนิด เพราะมันดันไม่มีความทรงจำนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
รู้สึกแย่ชะมัดที่ต้องมาเล่นเป็นลูกของคนอื่นแบบนี้ แล้วลูกที่แท้จริงของเขานั้นก็หายไปไหนก็ไม่รู้
“ครับ แอลจะพยายาม” และก็คงมีแต่คำตอบนี้แหละที่ผมสามารถตอบได้ดีเหลือเกิน นั่นก็คือผมจะพยายาม พูดมันมาตลอดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนตอนนี้ก็กลายเป็นคำที่ฮิตติดปากไปซะแล้ว ทั้งที่ผมไม่ควรที่จะต้อองมานั่งพยายามอะไรเลยสักนิด
เฮ้อออ...รู้สึกเหมือนตกนรกเลยเนี่ย โกหกและหลอกลวงจนเป็นนิสัยไปแล้ว
“เหนื่อยหน่อยนะคะหมอลี”
“แค่นี้เองครับ ไม่เหนื่อยเลย ยังไงก็ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับ”
“เช่นกันค่ะ”
ลีออนเอ่ยขอบคุณลูกมือหรือเหล่าคุณหมอของเขาที่เข้ามาช่วยในการผ่าตัดคนไข้ในครั้งนี้ด้วยรอยยิ้มใจดีอย่างเฉกเช่นทุกครั้ง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของตนเพื่อหวังว่าจะกลับไปพักสายตาซะหน่อยเพราะการผ่าตัดในครั้งนี้เล่นลากยาวมาถึงสี่ชั่วโมงเลยทำให้ร่างกายของเขานั้นเริ่มอ่อนล้า อีกอย่างเมื่อคืนก็ดันมีเคสผ่าตัดฉุนเฉินที่เข้ามาด้วย เลยทำให้เขาแทบจะไม่ได้นอน เคสนี้ก็เลยจะเป็นเคสสุดท้ายของเขาในวันนี้แต่ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตนนั้นเขามีที่ประจำที่ต้องแวะไปซะก่อนซึ่งจะเป็นที่ไหนไม่ได้เลยนอกจากห้องพิเศษหมายเลขสิบเอ็ด
ถ้าถามว่าทำไมถึงเป็นห้องนี้น่ะเหรอ ลีออนก็คงตอบได้เต็มปากเลยว่าเขานั้นจะไปหาคู่แห่งโชคชะตาของเขาที่เพียงเห็นแค่แวบแรกเขาก็สามารถที่จะรับรู้ได้ทันทีเลยว่าคนผู้นี้แหละคือคนที่เขานั้นต้องการมาตลอด ถ้าจะให้เล่าเรื่องมันก็เกิดมาจากที่ในช่วงที่เขาเข้าเวรกะดึกแล้วมีเคสอุบัติเหตุทางรถยนต์เข้ามา เขาเลยได้พบกับผู้ชายที่หมดสติแน่นิ่งคนนั้นเข้า แล้วนั่นก็คือเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแล้วรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยก็ว่าได้ ในใจของเขากระสับกระส่ายไปมาเมื่อได้เห็นคนผู้นั้น กลิ่นฟีโรโมนหอมหวานที่ปะปนกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วแผนกฉุนเฉินนั่น เขายังจำมันได้ดีเสมอเพราะกลิ่นนั้นมันทำให้เขาแทบจะคลั่งตายเสียตรงนั้นซะให้ได้แต่ก็ต้องระงับสติอารมณ์ของตัวเองไว้เพราะกลิ่นที่ลอยมานั้นดันมาจากตัวผู้ชายที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ในห้องฉุนเฉิน แล้วอัลฟ่าที่ต้องมาทนกลิ่นฟีโมนหอมเข้มข้นแบบนั้นน่ะคงจะรู้ดีใช่ไหมว่ามันทรมานแค่ไหน ที่ไม่สามารถทำอะไรกับคนผู้นั้นได้เลย
แต่พอมาถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยผ่านมาได้หนึ่งปีเขานั้นก็พอที่จะทนกลิ่นนั้นได้แล้ว ถึงจะมีอาการออกบ้างก็เถอะเวลาที่ได้กลิ่นหรือใกล้กับคนผู้นั้น แต่ก็ไม่ถึงกับระงับสติและอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เพราะฟีโรโมนของคนผู้นั้นก็ยังเข้มข้นอยู่เสมอแต่ด้วยความที่เขานั้นดันมีภูมิคุ้มกันเสียละมั้ง ที่เอาเวลาว่างของตนไปยืนมองแล้วทนกลิ่นใครบางคนอยู่ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เลยทำให้เขาไม่ได้ทำอะไรรุ่มร่ามกับอีกคนเมื่ออยู่ใกล้กัน
“ไม่อยู่สินะ” ลีออนมองไปยังหน้าต่างเล็กตรงกลางประตูห้องพิเศษก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกผิดหวังเมื่อโอเมก้าคนนั้นไม่ได้อยู่ในห้องอย่างที่เขาคิด แต่เอาจริงเขาก็พอจะเดาออกอยู่เหมือนกันแหละว่าคนผู้นั้นไม่อยู่ ก็ตอนที่เขาเดินมาตามทางเดินนั้นไม่ได้กลิ่นหอมที่แสนคุ้นเคยเลยสักนิด เพราะไม่ว่าเขาจะมาที่นี่เมื่อไหร่สิ่งที่รับรู้ได้เลยเป็นอย่างแรกก็มักจะเป็นฟีโรโมนของอีกฝ่ายอยู่ตลอดแต่ครั้งนี้ดันไม่มี
“คุณหมอมายืนทำอะไรเหรอคะ” เสียงของใครบางคนทำให้คุณหมออัลฟ่าหันไปมองก่อนจะส่งยิ้มให้ผู้หญิงที่มักเห็นอยู่บ่อยครั้งเมื่อเขาแวะมาที่นี่
“พอดีผมแค่จะมาดูว่าคนไข้ดีขึ้นหรือยังครับ” เป็นข้ออ้างที่มักจะสามารถใช้ได้ดีเสมอสำหรับคนที่เป็นหมอย่างเขา แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้หมายความอย่างที่ว่าหรอก เพราะที่มายืนหยุดอยู่ที่หน้าห้องแบบนี้ก็เพราะอยากที่จะเห็นหน้าอีกคนซะมากกว่า
“รู้จักน้องเหรอคะ”
“เคยเจออยู่สองสามครั้งเวลาพักน่ะครับ”
“อ๋อออ” เธอพยักหน้าเข้าใจก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคุณหมอที่อยู่ตรงหน้า “นี่ใช่คุณหมอที่คุยกับน้องตอนอยู่สวนหรือเปล่า”
“ครับ”
“ก็ถึงว่าหน้าคุ้นจัง เป็นห่วงน้องเหรอคะถึงได้มาหาแบบนี้”
“ครับ พอดีเห็นว่าห้องนี้มีคนเคยเป็นเจ้าชายนิทรามาหนึ่งปี ก็เลยอยากที่จะมาดูอาการสักหน่อยน่ะครับ พึ่งทราบเหมือนกันว่าคนไข้จะเป็นคนเดียวที่อยู่ในสวนวันนั้น” แถไปจนสีข้างแทบถลอกเพราะปากนั้นไม่ตรงกับใจ ก็ใครเขาจะไปกล้าบอกกันว่ามาแอบดูลูกชายชาวบ้านแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้โดนหาว่าเป็นโรคจิตกันพอดี แล้วเขาก็ไม่อยากที่จะมีฉายาไม่ดีแบบนั้นซะด้วย แต่ทว่าดุจดาวพยักหน้าเข้าใจทันที เพราะเคสที่เป็นเจ้าชายนิทราแล้วฟื้นขึ้นมาอย่างปฎิหาริย์แบบนี้นั้นมันหายากนั่นแหละ ก็เลยมีคุณหมอมากหน้าหลายตาแวะมาดูบ่อย แล้วคุณหมอตรงหน้าก็คงเป็นหนึ่งในคุณหมอพวกนั้น
“น้องดีขึ้นมากแล้วค่ะ ตอนนี้ก็เดินได้ปกติแล้ว อีกสองสามวันก็คงได้ออกจากโรงพยาบาล”
“ครับ?” ลีออนรู้สึกตกใจที่อีกคนก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ทั้งที่ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาเอาแต่เฝ้ามองอีกคนอยู่ตลอดแท้ๆ ถ้าคนผู้นั้นออกไปเขาก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้เฝ้ามองแบบนี้อีกเป็นแน่ เลยทำให้เขาดูลนลานขึ้นมาอย่างที่เห็น เพราะอยากรู้เหลือเกินว่าโอเมก้าคนนั้นจะไปอยู่ที่ไหน “ก-กลับบ้านเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ น้องจะกลับบ้าน”
“แล้วบ้านอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ดุจดาวที่ถูกถามแบบนั้นรู้สึกแปลกใจกับคำถามเหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดที่จะปกปิดที่อยู่ เพราะคุณหมอตรงหน้านี้เป็นคนที่ค่อนข้างเก่งและน่าเชื่อถือพอสมควร ก็ด้วยความที่เธอมักเห็นคุณหมอตามโปสเตอร์ของโรงพยาบาลไม่ก็มีคนพูดถึงนั่นแหละ เลยทำให้เธอไม่คิดที่จะปกปิดคุณหมอที่เก่งถึงขนาดนี้
“ร้านเฟอร์นิเจอร์แถวตึก XXX ค่ะ”
ลีออนพยักแล้วยิ้ม “ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณ?”
“อ่า...หมอหมายถึงโอเคน่ะครับ พอดีพูดผิด”
“อย่างนี้นี่เอง”
“งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับคุณแม่ พอดีเหมือนจะเคสเข้ามาอีกแล้ว” ลีออนว่าพลางหยิบโทรศัพท์ที่มีการแจ้งเตือนอะไรบางอย่างเข้ามาเมื่อครู่ ถึงมันจะไม่ใช่เคสอย่างที่ว่าก็ตาม แต่อีกคนก็อยากที่จะกลับไปพักผ่อนเต็มที และก็ไม่อยากที่จะยืนคุยอะไรนานอีกด้วย เพราะดูเหมือนว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นจะมีธุระอะไรบางอย่างที่ต้องเข้าไปในห้อง
“ได้ค่ะ ยังไงก็สู้ๆ นะคะคุณหมอ”
“เช่นกันครับ” ลีออนคลี่ยิ้ม “ผมก็ฝากบอกคนไข้สู้ๆ ด้วยนะครับ ผมจะเป็นกำลังใจให้”
“ขอบคุณนะคะ”
“ครับ”
“เขาจะเป็นกำลังใจให้ลูกด้วยนะ สงสัยจะเป็นห่วงลูกแม่หรือไม่แน่ก็อาจจะแอบชอบลูกมากก็ได้ถึงขนาดพูดออกมาแบบนั้น”
“ค-คุณแม่พูดเว่อร์ไปหรือเปล่าครับ” อยู่ดีก็โดนแซวว่ามีคนชอบซะอย่างนั้น แล้วคนที่ชอบก็ดันเป็นคุณหมอตัวหอมนั่นอีกมันเลยทำให้หัวใจผมตอนนี้เริ่มเต้นแรงขึ้นมาอย่างที่เห็น ถามจริงถ้าเป็นคนอื่นเนี่ยผมจะใจเต้นแรงขนาดนี้หรือเปล่านะสงสัยจริงๆ ทำไมต้องมารู้สึกอะไรกับคนคนเดียวตลอดเลย หรือจะเป็นเพราะว่าเขาหน้าตาดีอย่างนั้นเหรอ เลยทำให้ผมนั้นรู้สึกหวั่นไหวเมื่อนึกไปถึงใบหน้าของเขาแบบนี้
“แก้มแดงแล้วแอล เขินเหรอลูก”
“ขงเขินอะไรกันครับ แอลแค่ร้อนเฉยๆ” เป็นการแถที่สีข้างแทบถลอก ดูจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าผมนั้นไม่ได้ร้อน ก็อากาศมันออกจะเย็นขนาดนี้เลยไง
“จ้าๆ อุณหภูมิยี่สิบองศาเนี่ยคงร้อนน่าดู”
“ก-ก็มันร้อนจริงๆ นี่นา แอลไม่ได้โกหกสักหน่อย”
แม่ผมยิ้มแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างมาให้ผม ส่วนผมก็ยื่นมือไปรับแล้วมองสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเอง ซึ่งสิ่งนั้นก็เป็นโทรศัพท์เครื่องนึงนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก ด้วยความที่ผมจะออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วย เธอก็เลยอยากให้ผมมีพกติดตัวไว้สักเครื่องเวลาจะไปไหนมาไหนจะได้ติดต่อได้ง่าย
“แม่เมมชื่อคนในครอบครัวของเราไว้แล้ว มีปัญหาอะไรก็สามารถโทรได้ตลอดเลยนะ”
ผมพยักหน้าแล้วเข้าไปดูรายชื่อที่ถูกเมมไว้ในโทรศัพท์พร้อมกับไล่สายตาดูรายชื่อที่อยู่ในนั้น มีเบอร์แม่ พ่อ แล้วก็ใครอีกคนซึ่งผมนั้นก็ไม่รู้จักหรอก เลยได้แต่ถามออกไป
“เอสนี่ใครเหรอครับ”
“น้องชายลูกไง”
“น้องชาย?” พึ่งจะได้รู้ก็วันนี้แหละว่าตัวเองมีน้องชายทั้งที่ก็ได้มาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รู้เรื่องราวอะไรมากมายเลย นอกจากเรื่องของคนเป็นแม่ที่อยู่ตรงหน้าแล้วพ่อที่ชอบแวะมาหาบ้างบางครั้ง ส่วนเรื่องน้องชายนี่ผมไม่เคยรู้
“ใช่แล้ว น้องชายลูก”
“แล้วทำไมผมไม่เคยเห็น”
“จะเคยเห็นได้ยังไงล่ะ น้องติดเรียนอีกอย่างตอนที่เอสโทรมาลูกก็มักจะหลับตลอด เลยไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นน้องสักที” ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด
“ครับ”
“แอล”
“ครับ”
“วันนี้กับพรุ่งนี้แม่คงไม่ได้มานะลูก เพราะเดี๋ยวต้องพาพ่อเขาไปต่างจังหวัดสองวันนี้ลูกเลยต้องอยู่คนเดียว แอลจะอยู่ได้ใช่มั้ย”
ผมยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ อยู่คนเดียวแค่นี้เอง”
“แน่ใจนะลูก ถ้าอยู่ไม่ได้แม่จะให้น้องมาอยู่เป็นเพื่อน”
ผมส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนน้องแย่ ผมอยู่คนเดียวได้สบายมาก ไม่เป็นอะไรหรอก”
แม่มองหน้าผมอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่อยู่ครู่นึงก่อนจะพยักหน้าให้เหมือนกับว่าจะเอาแบบนั้นก็ได้แล้วยิ้มออกมาพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน “งั้นตลอดสองวันนี้ดูแลตัวเองให้มันดีเข้าใจมั้ย แม่กลับมาแล้วจะรีบมารับทันที”
“เข้าใจแล้วครับ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย แอลจะดูแลตัวเองให้ดี”
“ได้ยินแบบนี้แม่ก็สบายใจ กินข้าวต่อเถอะลูก เดี๋ยวจะเย็นหมด”
“ครับ”
TBC
ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะกลิ่นแรงคนเดียวสักหน่อยเพราะเธอก็ใช่ย่อยเหมือนกันที่ทำให้ใครบางคนไม่สงบแบบนั้น
:: คอมเมนต์ให้กำลังใจหรือขอหัวใจหน่อยก็ดีนะคะ แง่มๆ ::