เริ่มต้น
“ไม่เกินพรุ่งนี้สิบโมงได้แน่นอนครับคุณนุ่น”
[งั้นก็ได้ค่ะ นุ่นจะรองานจนถึงพรุ่งนี้]
“ครับ ขอบคุณที่เข้าใจ”
[งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ นุ่นมีธุระที่ต้องไปจัดการต่อ]
“ได้ครับ ถ้าผมทำเสร็จเมื่อไหร่ผมจะส่งไฟล์งานไปที่อีเมลล์พร้อมกับแจ้งคุณนุ่นอีกรอบนะครับ”
[ค่ะ รบกวนทีนะคะ]
เฮ้อออ...ผมถอนหายใจในวันนี้เป็นรอบที่ร้อยได้ เมื่อนึกไปถึงงานที่ต้องทำส่งภายในพรุ่งนี้ให้ทัน เอาจริงร่างกายของผมในตอนนี้ก็แทบจะรับไม่ไหวเต็มทีแล้วด้วยเนื่องจากอดหลับอดนอนมาสามวันเพราะต้องเร่งมือทำอนิเมชั่นเกี่ยวกับตัวสินค้าตรงหน้าให้เสร็จ ด้วยความที่ไปรับงานซ้อนกันมาเนี่ยแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้เลยทำให้ผมเริ่มหัวหมุนไปหมด การเป็นกราฟฟิกดีไซน์มันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด ก่อนหน้านี้ผมลืมดูตารางงานด้วย เลยรับงานนี้มาทั้งที่งานก่อนหน้านั้นของผมก็ต้องวาดรูปปกนิยายให้กับนักเขียนชื่อดังอยู่ แต่ก็เอาเถอะ จะมาให้ผมยกเลิกมันในตอนนี้ก็ไม่ได้เดี๋ยวลูกค้าเขาจะหาว่าผมไม่มีความรับผิดชอบเอา แล้วอีกอย่างมันก็เป็นความผิดพลาดของผมด้วยแหละที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ผมนั่งทำอนิเมชั่นสินค้าลองผิดลองถูกไปเรื่อยถึงจะเข้าขั้นเป็นมืออาชีพแล้วก็ตามที แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะกราฟฟิกดีไซน์อย่างผมนั้นก็ต้องคอยพัฒนาฝีมือในด้านต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
“เที่ยงคืน” ผมมองดูนาฬิกาที่ติดกับพนังห้องแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะตั้งแต่ได้คุยกับคุณนุ่นไปเวลาก็ล่วงเลยผ่านมาแล้วตั้งหกชั่วโมงแถมยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด พอคิดได้แบบนั้นผมก็เลือกที่จะวางงานตรงหน้าไว้ก่อนเพราะถ้ายังดึงดันที่จะทำมีหวังได้น็อคตายคาห้องเช่าเป็นแน่ อย่างน้อยถ้าไม่ได้นอนผมก็ควรที่จะหาอะไรรองท้องสักหน่อยก็ยังดี
ผมเดินมายังโซนห้องครัวหยิบมาม่าที่อยู่ในตู้ออกมาแล้วฉีกมันใส่หม้อที่ผมพึ่งตั้งน้ำเปิดแก๊สทิ้งไว้ไปเมื่อครู่ก่อนจะรอเวลาให้น้ำเดือดแล้วเส้นอืดได้ที่ถึงใส่ผงวิเศษที่ทำให้อร่อยลงไป จากนั้นก็ปิดแก๊สแล้วยกหม้อที่ต้มมาม่านั่นไปนั่งยังโซฟาตัวใหญ่ที่อยู่ในห้องของตัวเองโดยไม่ลืมที่จะหยิบตะเกียบติดไม้ติดมือมาด้วย ก่อนจะใช้มันคีบเส้นมาม่าขึ้นมาแล้วเป่าให้ไอร้อนกระจายหายไปกับอากาศ
แต่ในขณะที่กำลังจะจับมันยัดใส่ปากอยู่นั้นในหัวของผมก็เริ่มวิ้งขึ้นมาอย่างฉับพลันภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอขึ้นมาอย่างกะทันหันในห้องที่นิ่งสงบในตอนแรกในขณะนี้ก็เริ่มโงนเงนไปมาจนทำให้ผมนั้นรู้สึกเวียนหัวจนแทบอยากจะอ้วก ตะเกียบในมือร่วงตุบลงไปกองอยู่ในหม้อพร้อมกับร่างกายของผมที่เริ่มโอนเอนลงไปกองอยู่ที่โซฟา
นี่ผมกำลังจะตายหรือเปล่านะ เป็นเพราะโหมงานหนักเกินไปอย่างนั้นเหรอ ไม่นะ...ผมยังไม่อยากที่จะซี้ม่องเท่งตอนนี้นะเว้ย พึ่งเรียนจบมาได้ไม่กี่ปีเอง
นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไปไวเหลือเกิน จนได้ยินเสียงของใครบางคนที่ดังระงมเข้ามาในสมอง
‘ช่วยมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ผมที’
“นั่นใคร” ถึงสติเริ่มจะหมดไปทุกทีก็ตามผมก็ยังคงตอบรับเสียงนั้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงของตัวเองออกไป ถึงมันจะแทบไม่ได้ยินก็เถอะ แต่ผมมั่นใจเหลือเกินว่าอีกคนนั้นต้องได้ยินเป็นแน่ ก็ห้องเช่าห้องนี้มันมีผมเพียงแค่คนเดียวไง ถ้านั่นไม่ใช่เสียงผมก็คงเป็นเสียงผีในห้อง แล้วอีกอย่างผีก็คงอ่านใจคนได้อยู่แล้วมั้ง หรือถึงต่อไม่ได้ผมก็อยากที่จะเชื่ออย่างนั้นอยู่ดี ความคิดเป็นเลิศอย่างผมน่ะคิดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ
พอดีอ่านนิยายมาเยอะซะด้วย
‘ผมก็คือคุณ’
“คือผม?” นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตงิดอยู่ในใจซะอย่างนั้น เขาจะเป็นผมได้ยังไงกัน ก็เสียงที่ลอยมานั่นแทบจะไม่ใช่ผมเลยสักนิด เพราะมันนุ่มแล้วก็น่าฟังกว่าเสียงของผมอีก
‘คุณอาจจะไม่เข้าใจ แต่นั่นมันคือความจริง’
แล้วพูดให้มันเข้าใจไม่ได้เหรอ
เนื่องจากเปล่งเสียงออกไปไม่ได้แล้วผมเลยจำเป็นต้องเอ่ยถามออกไปด้วยความคิดของตัวเองแบบนั้น ถึงแม้อีกคนนั้นจะไม่รู้ก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นอีกคนจะได้ยินเฉยเลย
‘คู่แห่งโชคชะตา’
คู่แห่งโชคชะตาอะไร
‘คุณไปแล้ว คุณก็จะรู้เอง แล้วก็ฝากดูแลทุกคนแทนผมด้วย ผมคงกลับไปไม่ได้อีกแล้ว’
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินแล้วสติก็ดับวูบไปในที่สุด
TBC
:: นิยายเรื่องนี้เป็นแนวฟีลกู๊ดน่ารักๆ นะคะ ใครที่เข้ามาดูฉากอย่างว่ากันนี่บอกเลยว่าน้อยมาก เพราะไรท์อยากจะเล่าแค่เรื่องราวน่ารักๆ ของตัวละครเท่านั้นและสำหรับใครที่ชอบนิยายแนวนี้ก็สามารถอ่านได้เรื่อยๆ เลยน้า ไม่มีมาม่าให้ปวดใจมากมายแน่นอน มาเสพความน่ารักสดใสกันดีกว่า ยังไงก็ฝากติดตามหรือกดหัวใจให้กันด้วยนะคะ รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นวล แง่มๆ ☺️