Let me be yours 8
โจเซฟปลดเข็มขัดนิรภัยออกพลางยื่นตัวเข้าหาเพื่อสูดดมใกล้ๆ ต่อให้นาธานถอยไปจนแผ่นหลังแนบชิดติดประตูแล้วก็หลบปลายจมูกโด่งเป็นสันไม่พ้นอยู่ดี เวลานี้เด็กแสบสบถดังลั่นอยู่ในหัวสรรหาทุกคำที่นึกได้มาบรรยายความโง่เขลาของตัวเอง
เวร เวร เวรเอ๊ย!!
เป็นเพราะถูกรมควันอยู่ตรงนั้นนานหลายชั่วโมงจมูกจึงเคยชินกับกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ จึงไม่รู้ตัวว่ามันตามติดเขามาด้วยจนถึงตอนนี้
หัวใจไม่รักดีเต้นโครมคราม เสียงดังชนิดที่ว่าอีกไม่นานมันคงเปิดโปงเจ้าของจนหมดสิ้น ทั้งที่มีปลายจมูกไล้ผิวละต้นคอชวนสยิวนาธานยังคิดสัปดนไม่ออก นี่นับว่าเป็นวิกฤติใหญ่หลวงแล้ว
ทางด้านโจเซฟ เมื่อมั่นใจแล้วว่ากลิ่นฉุนจมูกนี่คืออะไรจึงถอยกลับออกไปเล็กน้อยเพียงเพื่อเหลือบสายตาคมดุขึ้นมองนักเรียนในปกครอง ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผิดหวังกำลังโหมซัดใส่เขาเต็มแรง แต่ต้องขอบคุณประสบการณ์การทำงานหลายปีที่ช่วยให้ซ่อนอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่นาธานเห็นตอนนี้จึงมีเพียงใบหน้าเรียบเฉยไร้แวว
เขาไม่ถาม เพียงใช้ความเงียบคาดคั้นให้เจ้าตัวสารภาพออกมาเอง
"ฉันไม่ได้สูบนะ! กลิ่นมันติดตัวมาเฉยๆ " สองมือนาธานยกขึ้นโบกปฏิเสธพัลวัน หาข้ออ้างให้ตัวเองว่าเฮือกเดียวนั่นไม่นับเป็นการสูบสำหรับเขา
"อ้อ" โจเซฟรับคำหน้านิ่ง ถามต่อเสียงทุ้มต่ำที่เริ่มส่อเค้าอันตรายมากขึ้นทุกที "ติดมาจากไหนล่ะ บูธทดลองสูบในซูเปอร์ที่นายไปเดินตั้งหลายชั่วโมงแต่ไม่ได้อะไรติดมือออกมาเลยสักอย่างหรือไง"
ประโยคคำถามเดียวไล่เรียงได้ทุกคำโกหกของนาธานเสียจนเบ็ดเสร็จ ไม่เปิดโอกาสให้ปากพะงาบๆ ของเจ้าเม่นแคระได้แก้ตัว แบบนี้เรียกว่าจนด้วยคำพูดของตัวเองแท้ๆ นาธานนึกอยากตบปากไม่ได้เรื่องของตัวเองเสียเดี๋ยวนั้นเลย ทว่าในเมื่อหาทางรอดให้ตัวเองไม่ได้แล้วก็จำต้องหลับหูหลับตาสารภาพออกไป
"โอเคๆ ฉันไปที่ทะเลสาบมา! " จำต้องยอมรับเพราะหลักฐานมัดตัว ไม่ใช่ความเต็มใจ
โจเซฟดึงตัวกลับไปนั่งหลังตรงบนตำแหน่งเดิมอีกครั้งพลางออกรถโดยไม่พูดไม่จา ทำเอาเด็กแสบร้อนรนกระวนกระวาย แต่ด้วยรู้ว่าหากยิ่งพูดจะยิ่งแย่จึงเลือกเงียบไว้ก่อน รอถึงบ้านอีกฝ่ายอาจอารมณ์เย็นลงกว่านี้แล้วค่อยหาทางพูดคุยกันดีๆ ทว่าเมื่อตัวรถจอดเทียบฟุตบาทหน้าบ้านโจเซฟกลับไล่เขาลงโดยที่ตัวเองไม่แม้แต่จะปลดเข็มขัดนิรภัยออกด้วยซ้ำ
"นายล่ะ"
"ฉันจะกลับไปคุมงานที่ร้านต่อ"
"ได้ไง แล้วมื้อเย็นล่ะ นายสัญญาแล้วว่าจะกินด้วยกันนี่"
"ไม่มีสัญญาสำหรับคนไม่รักษาคำพูด"
....!!
เจ้าเม่นแคระใจหายวาบ โดนโกรธเข้าแล้วจริงด้วย! แถมยังเป็นการโกรธที่แม้แต่หน้ายังไม่อยากมอง ในอกพลันเต้นระส่ำ ปากรีบละล่ำละลักอธิบาย
"นายฟังก่อนสิ ฉันไม่ได้สูบจริงๆ นะ ฉันแค่อยากไปนั่งเล่นที่ทะเลสาบแก้เซ็งเฉยๆ พักหลังมานี้แถวนั้นไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่แล้วนายก็รู้นี่ ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอใครด้วยซ้ำ"
โจเซฟไม่พูดอะไรสักคำ เพียงมองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยอ่านไม่ออก เด็กแสบยิ่งร้อนใจ ทั้งที่คิดว่าทลายกำแพงเย็นชานี่ได้แล้วแท้ๆ ทำไมถึงกลับมาอีกล่ะ ไหนบอกว่าจะยอมเป็นคุณครูให้เด็กดื้ออย่างเขาไง แค่นี้ก็จะถอดใจแล้วเหรอ
เจ้าเม่นแคระเรียกเสียงอ่อยด้วยความน้อยใจ "โจ...."
เขายังไม่ถามด้วยซ้ำว่าเพราะอะไรนาธานถึงไปที่นั่นคนเดียวทั้งที่บอกว่าจะไปบ้านเพื่อนสนิท มันต้องมีเหตุผลสิที่เขาเลือกพื้นหญ้าเย็นชื้นแทนที่จะเป็นเตียงนุ่มอุ่นสบาย ....ทำไมถึงไม่ถามล่ะ
"โจเซฟ" เสียงเรียกเริ่มสั่นเครืออย่างผิดปกติวิสัย ทว่าอีกฝ่ายยังคงไม่หันมามองกัน ทำเหมือนพื้นถนนตรงหน้างอกต้นถั่วยักษ์ขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น มันถึงน่าสนใจมากกว่านาธานที่กำลังเสียใจ
ทีแรกเขาเสียแรนดี้ไป ตอนนี้ถึงคราวโจเซฟแล้วใช่ไหม ทุกคนกำลังจะทิ้งเขาไปหมด
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแดงเรื่อ เสียงสูดจมูกเบาๆ เรียกให้โจเซฟหันมามองด้วยความประหลาดใจ แต่เขากลับแยกไม่ออกว่าตาแดงๆ นั่นเป็นเพราะกลิ่นที่ตลบอบอวลทั่วตัวเจ้าเม่นแคระหรือเพราะอะไรกันแน่ ทว่าปลายจมูกสีชมพูเรื่อไม่น่าใช่ผลกระทบของกัญชา
คนดุถอนหายใจแรงๆ ด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเจ้าเม่นแคระดื้อรั้นดี ตลอดทางมานี้ก็พยายามสะกดกั้นอารมณ์เอาไว้เต็มที่แล้ว เขารู้ตัวว่าหากอ้าปากพูดคงไม่พ้นถ้อยคำดุว่าแรงๆ ให้เสียใจอีก แต่จะมีประโยชน์อะไรล่ะหากนาธานไม่สำนึก
"สูบกัญชามาหรือเปล่า" โจเซฟเลือกที่จะถามอีกครั้ง ให้โอกาสนาธานสารภาพด้วยตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
เจ้าตัวกัดริมฝีปากก้มหน้าซ่อนนัยน์ตาแดงก่ำไว้ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับในที่สุด เขาตั้งใจจะสูบจริงๆ นั่นล่ะหากว่ามวนนั้นเป็นกัญชาแบบปกติที่เขาเคยชิน เพราะฉะนั้นเฮือกเดียวไม่นับก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว
โจเซฟสะบัดหน้าออกไปมองนอกตัวรถพยายามสงบสติอารมณ์พักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาเมื่อสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิมแล้ว
"นายเข้าบ้านไปก่อนเถอะ มื้อเย็นเอาไว้วันหลังแล้วกัน"
เม่นน้อยเม้มปากแน่นมองหน้าคนปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เห็นได้เพียงใบหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น
"แล้วเรื่องฝึกงาน...."
"นาธาน" เสียงเรียกชื่อที่กลับมาเต็มยศทำเอานาธานหุบปากสนิท รอฟังคนใจร้ายไล่กันอีกครั้ง "เข้าบ้านไปซะ"
ฟันคมขบกัดปากล่างด้วยความน้อยใจ เขาไล่ขนาดนี้นาธานไม่กล้าหน้าด้านนั่งอยู่อีก เปิดประตูลงจากรถได้ก็จ้ำเท้าเข้าบ้านไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ ไม่สนใจจะปิดประตูกลับคืนที่ให้ด้วยซ้ำ เป็นโจเซฟต้องโน้มตัวข้ามเบาะเอื้อมดึงปิดด้วยตัวเอง เสียงเจื้อยแจ้วหายไปแล้วภายในรถกลับมาอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง มือใหญ่ยกขึ้นกุมขมับที่ปวดตุ้บไปหมด ในรถยังคงมีกลิ่นฉุนที่นาธานทิ้งไว้เจือจาง
เขาคิดผิดหรือคิดถูกกันแน่นะ ที่ยินยอมให้ตัวเองเริ่มสานต่อความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนนี้
โยลันดากำลังเพลิดเพลินกับการทำอาหารอยู่ในห้องครัวสะดุ้งไหว เกือบทำน้ำร้อนต้มเส้นสปาเกตตีลวกมือในตอนที่เสียงประตูบ้านกระแทกปิด และตามมาด้วยเสียงวิ่งตึงตังดังขึ้นบันไดไป เธอรีบตักเส้นขึ้น ปิดแก๊สวางทุกอย่างทิ้งไว้เพื่อเดินออกมาชะโงกหน้ามองต้นตอของเสียง ทว่าแม้แต่เงาหลังยังไม่พบ จึงเดินตามขึ้นไปเคาะประตูปิดสนิทเบาๆ
"เด็กแสบ นั่นลูกใช่ไหม"
คนข้างในไม่ตอบ ทั้งยังเงียบกริบไม่บ่งบอกถึงความเคลื่อนไหวใดๆ
"นาท ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น" ตอนออกไปยังดีๆ อยู่เลยนี่นา หายไปทั้งวันนึกว่าขลุกอยู่กับแรนดี้เสียอีก ทำไมตอนกลับมาถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ ต่อให้มีเรื่องทะเลาะกับแรนดี้จริงเจ้าตัวดีคงโวยวายบ่นให้เธอฟังไม่หยุดเหมือนเคยแล้ว แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้เธอรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ
"ฮันนี่"
"ผมไม่เป็นไร ปวดหัวนิดหน่อย ขอนอนพักแป๊บเดียว" เสียงตอบอู้อี้ราวกับแทรกตัวผ่านหมอนดังออกมา
โยลันดามองบานประตูปิดสนิทด้วยสายตาเป็นห่วง แต่ในเมื่อเขาอยากได้พื้นที่ส่วนตัวเธอก็จะยอมถอยให้ ได้แต่ลูบฝ่ามือผ่านบานประตูเบาๆ สมมติว่าเป็นเส้นผมนุ่มของลูกชาย "มื้อเย็นเป็นสปาเกตตีมีทบอลนะ มีพายแอปเปิลของโปรดลูกด้วย"
"รู้แล้ว"
คนเป็นแม่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับเดินลงบันไดไป
ภายในห้องเงียบสงัดมืดสลัว เพราะแสงสว่างจากด้านนอกกำลังถูกกลืนกินด้วยสีดำมืดของรัตติกาล ท้องฟ้าอึมครึมบ่งบอกว่าสภาพอากาศกำลังจะกลับมาย่ำแย่อีกครั้ง ไม่ต่างจากความรู้สึกของคนที่นอนคว่ำตะแคงใบหน้าหนุนหมอนอยู่บนเตียง สายตาเหม่อมองไปยังแสงสีสุดท้ายของวัน พระอาทิตย์ลาลับไปนานแล้ว
มีไม่กี่ครั้งหรอกที่เด็กแสบจะสิ้นฤทธิ์อย่างตอนนี้ มันเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดเหือดหายไปดื้อๆ อาจเพราะรู้ว่าต่อให้ลุกขึ้นมาโวยวายอย่างที่เคยทำได้ก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายแล้วแรนดี้ก็ยังคงต้องไปอยู่ดี ไหนเขาบอกว่ายังมีโจเซฟอยู่ไง แล้วตอนนี้โจเซฟคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ ทำไมปล่อยเขาไว้ในโลกเคว้งคว้างใบนี้คนเดียว
ร่างทอดยาวบนเตียงไม่ขยับเขยื้อน เพียงนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนครบหนึ่งชั่วโมง กระทั่งลำคอปวดเมื่อยจึงพลิกตัวนอนหงาย เห็นเพียงหลอดไฟบนเพดานห้องสลัวราง
นาธานยันตัวลุกขึ้นจากที่นอน หายเข้าไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในห้องน้ำ ก่อนจะเดินลงมายังห้องครัวเหมือนลืมวิญญาณไว้ที่ไหนสักแห่ง ตรงนี้เป็นเพียงร่างกลวงๆ นั่งลงได้ก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ไม่กระตือรือร้นกับกลิ่นซอสหอมกรุ่นกระทั่งจานอาหารชวนน้ำลายสอวางลงตรงหน้า
"ฟ้าจะถล่มลงมาหรือไง ลูกชายแม่ถึงได้เมินมีทบอลลูกโตๆ ได้ลงคอ"
"แรนด์จะย้ายไปอยู่หอใกล้ๆ กับวิทยาลัย" นาธานตอบโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
โอ้....ไม่ใช่ฟ้าถล่มลงมาหรอก แต่ก็คงใกล้เคียงมากทีเดียว อาจเรียกได้ว่าโลกใบเล็กๆ ในวัยเด็กของนาธานต่างหากที่กำลังจะถล่มลงมา โลกใบเล็กๆ ที่มีชื่อว่าเพื่อนสนิท
"เคยได้ยินจากนาตาลีว่าหลักสูตรที่เขาเลือกเรียนค่อนข้างยากและเรียนหนัก นั่นอาจเป็นเหตุผลที่แรนดี้ต้องย้ายไปอยู่หอ"
นาตาลีคือแม่แท้ๆ ของแรนดี้ และเธอกับโยลันดาก็เคยมีความทรงจำในวัยเด็กร่วมกัน จึงไม่แปลกที่พวกเธอโทรศัพท์พูดคุยกันบ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องลูกๆ
"วิทยาลัยไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้นสักหน่อย"
"ไหนดูสิ ขอดูหน้าคนซึมหน่อยว่ากี่ขวบแล้ว"
"แม่" นาธานเรียกแม่อย่างเคืองๆ ที่ถูกล้อ
ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวสักหน่อยที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ แต่อีกเรื่องยังเล่าให้แม่ฟังไม่ได้นี่นา
"อยากไปอยู่กับซาแมนธาระหว่างนั้นไหมล่ะ ป้าของลูกเปิดร้านอาหารอยู่ที่ดีซีนี่นะ นั่นอาจช่วยพัฒนาฝีมือการทำอาหารของลูกได้ ถ้ายังอยากเป็นเชฟอยู่"
แค่ได้ยินชื่อนาธานก็หน้าเบ้แล้ว พี่สาวพ่อที่หลายปีถึงจะได้เจอกันสักครั้งคนนี้ระเบียบจัดยิ่งกว่าอะไร นอกเสียจากว่านาธานอยากส่งตัวเองไปโรงเรียนดัดนิสัย ที่นั่นก็คงเหมาะ
"ไม่เอาหรอก" พูดพลางยืดตัวขึ้นนั่งดีๆ หยิบส้อมม้วนเส้นสปาเกตตีสุกกำลังดีเล่น ตาเหลือบมองที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่ยังว่างอยู่ไปด้วยพลางถอนหายใจแผ่ว หากวันนี้เขาทำตัวดีตรงนั้นคงมีใครอีกคนนั่งอยู่ไปแล้ว และตอนนี้เขาก็คงกำลังสาธยายว่ามีทบอลของแม่เขาเจ๋งอย่างไร และภัตตาคารที่ไหนก็ทำรสชาติพายแอปเปิลสู้แม่เขาไม่ได้
....ถ้าไปดีซีก็ไม่ได้เจอคนดุนั่นน่ะสิ อุตส่าห์ลากลงมาตกบ่วงกันได้แล้วแท้ๆ
จริงสิ
"ดีแลนซื้อบาร์เก่าข้างร้านแม่ไปแล้วนะ ที่ชอบส่งกลิ่นเหม็นแล้วก็เสียงดังเอะอะน่ะ ตอนนี้กำลังซ่อมแซมใหม่อยู่ เห็นว่าหุ้นกันสามคน หนึ่งในนั้นมีโจเซฟด้วยนะ"
"จริงเหรอ ก็ดีสิ เจ้าของเก่าไม่ค่อยดูแลมันดีเท่าที่ควรถึงได้ทรุดโทรมขนาดนั้น แม่ยังนึกเสียดายอยู่เลย" ตรงนั้นจะเรียกว่าทำเลดีก็คงได้ เพราะอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนผู้คนพลุกพล่าน หากปรับปรุงให้น่านั่งคงเรียกลูกค้าได้มากโข และหากโชคดีอาจทำให้ร้านขายของฝากของเธอมีรายได้เพิ่มมากขึ้นไปด้วย
"ถ้าบาร์กลับมาเปิดใหม่ได้แล้วผมจะเข้าไปฝึกงานที่นั่น โจเซฟบอกว่าถ้าแม่อนุญาตเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร" เจ้าเด็กแสบถือโอกาสอนุญาตตัวเองแทนคุณครูจอมดุไปแล้ว เพราะรู้ว่าหากเอาชื่อเขามาอ้างโยลันดาจะยอมอนุญาตไปแล้วกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์
ผู้เป็นแม่ย่นหัวคิ้ว ความจริงนั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่เธอชอบใจเท่าไหร่ ชั่งใจอยู่ระหว่างอันตรายที่จะเกิดกับลูกชายและความวุ่นวายที่เจ้าตัวดีจะสร้างให้กับเจ้าของบาร์ ตัวแสบของเธอใจเย็นเป็นเสียเมื่อไหร่เล่า ยิ่งเป็นงานบริการก็ยิ่งกลัวว่าจะไปสร้างความผิดใจให้ใครเข้า
"แต่ลูกยังอายุไม่ถึงเกณฑ์เลยนะ"
"ผมถึงใช้คำว่าฝึกงานไงล่ะ ก็แค่ลองดูไม่ได้บอกว่าจะจริงจังเลยเสียหน่อย แต่ไม่แน่นะ ผ่านไปสามปีผมอาจจะกลายเป็นบาร์เทนเดอร์ชื่อดังระดับประเทศไปแล้วก็ได้"
"เรื่องโอเวอร์นี่ขอให้บอก แต่เอาเถอะ ถ้าโจเซฟบอกว่าดีลูกก็ลองดู"
"จริงนะ?! "
"อืม"
เท่านี้ทางแม่ก็ผ่านฉลุย เหลือเพียงโจเซฟ.... ตอนนั้นเองรอยยิ้มเพิ่งปรากฏได้ไม่ถึงห้าวินาทีก็กลับต้องมลายหายหงอยเหงาลงตามเดิมเพราะเก้าอี้ตัวฝั่งตรงข้ามยังคงว่างเปล่า ก่อนจะฝันถึงการฝึกงาน ฝันถึงฝ่ายนั้นยอมคุยกับเขาเหมือนเดิมให้ได้ก่อนดีกว่าไหม
กระทั่งกลิ่นพายแอปเปิลที่แม่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ยังเยียวยาจิตใจนาธานไม่ได้เลย นี่เรียกว่าเข้าขั้นวิกฤตแล้ว
นาธานหน้ามุ่ยลง เขาไม่ชอบตัวเองเวลาเป็นแบบนี้เลย นี่คือปัญหาของการนำหัวใจวางไว้ในมือคนอื่นสินะ แถมคนอื่นที่ว่ายังเป็นคนที่ไม่ต้องการมันเสียด้วยสิ
ลูกชายตัวแสบของโยลัยดาไม่เคยกินอาหารไม่หมดจาน แต่ตอนที่เขากลับขึ้นห้องไปสปาเกตตียังเหลือเกินกว่าครึ่ง แถมยังกัดพายแอปเปิลชิ้นโตไปแค่คำเดียวเท่านั้น โยลันดามองตามแผ่นหลังงองุ้มเดินขึ้นบันไดไปด้วยความเป็นห่วง อาจต้องรอดูพรุ่งนี้ว่าทุกอย่างดีขึ้นไหม ถ้าไม่.... เธอคงต้องโทรไปถามสามารถจริงๆ จากแรนดี้แล้ว
TBC.
>>>>
มีคนน้อยใจหนึ่งอัตรา
ใครรู้ตัวว่าทำเม่นน้อยน้อยใจ รีบมาง้อเลย
ปล.ขอบคุณสำหรับคอมเม้นและกำลังใจเช่นเคยค่า