หลังจากแต่งงานกับธานินทร์เรียบร้อยแล้ววิชชุดาจึงได้ย้ายเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ใน
คฤหาสน์ ติณทโสภณ... หลังใหญ่โตหรูหราแห่งนี้มีสนามหญ้าสีเขียวขจีล้อมรอบและพื้นที่รวมทั้งหมดก็เกือบร้อยไร่จากบริเวณประตูรั้วเข้ามาถึงตัวตึกต้องใช้เวลาเดินหลายสิบนาที
ผู้เป็นประมุขอย่างนายชยุทธได้แบ่งคฤหาสน์ออกมาสามส่วนชัดเจน ทางด้านปีกซ้ายของเสาวนิตย์บุตรสาวคนเล็กและครอบครัวของนางอยู่ด้วยกัน
ซึ่งปีกขวาเป็นของ เรวัต ติณทโสภณ...
บุตรชายคนโตที่เสียชีวิตไปนานแล้วและตอนนี้ก็ได้ตกทอดมาเป็นของภาวัตลูกชายเพียงคนเดียว
ส่วนตรงกลางของคฤหาสน์ใหญ่สุดเป็นพื้นที่พักอาศัยสำหรับนายชยุทธเท่านั้น
ซึ่งคฤหาสน์แห่งนี้มีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่งที่นายชยุทธได้กำหนดเอาไว้ให้ทุกคนจำต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็คือ...
เวลาเช้าและช่วงเย็น ถ้าหากใครยังไม่ได้ออกไปทำอะไรข้างนอกจะต้องเข้ามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันที่ตึกใหญ่และทุกคนก็ยอมกระทำเช่นนี้ด้วยดีเสมอมา
เวลาแปดโมงเช้า...
บนโต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าคลาสสิคขนาดใหญ่จึงเหมาะสำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัว
จากนั้นอาหารเช้าหลากหลายอย่างถูกนำมาจัดวางเรียบร้อยเพื่อเจ้าของบ้านแต่ละคนจะได้เลือกสรรค์ตามความต้องการของตนเอง
ส่วนบรรดาแม่บ้านสาวสองสามคนที่เตรียมเสร็จแล้วก็ต้องถอยออกมายืนเฝ้ารอคอยให้เจ้านายเรียกใช้อยู่ไม่ห่าง
ในขณะนายชยุทธที่นั่งวิลแชร์ไฟฟ้าส่วนตัวอยู่ตรงหัวโต๊ะมีสีหน้าค่อนข้างจะปรีติยินดีอย่างมากที่ได้ตอนรับหลานสะใภ้หมาดๆ
เสาวนิตย์นั่งเก้าอี้ประจำตามมาด้วย ทรงวุฒิ พลรัตน์...
สามีของนางเคียงข้าง ลูกชายกับลูกสะใภ้และลูกสาวคนเล็ก ชญาดา พลรัตน์...
ต่างนั่งเรียงกันตามลำดับไปทางฝั่งซ้ายมือของท่านประมุขของคฤหาสน์ทั้งหมด
และทุกคนจำต้องรอให้ภาวัตลงมากินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากันตามกฎ แต่เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีก็ไม่เห็นเขาลงมา...
“คุณพ่อค่ะ ถ้ารอนานแบบนี้.. หนูต้องขอตัวน่ะค่ะ วันนี้มีประชุมแต่เช้าเลย.. เรารีบไปเถอะคุณวุฒิ!!!”
เสาวนิตย์สีหน้าหงุดหงิดหยิบกระเป๋าทำงานใบหรูรุ่นล่าสุดลุกขึ้นยืนแล้วลากตัวคนเป็นสามีออกตามติดออกมาอย่างหัวเสีย
“ใจเย็นก่อนสิคุณเสา!!! สวัสดี... ครับคุณพ่อ”
นายทรุงวุฒิจำต้องลุกตามภรรยาแบบคนไม่กล้าขัดใจและรีบยกมือไหว้ล่ำลาผู้เป็นพ่อตาก่อนจะไปแทบไม่ทัน
ซึ่งเวลานี้จึงเหลือเพียงแค่ ธานินท์ วิชชุดาและชญาดาที่กำลังนั่งอยู่ทั้งสามต่างมองหน้าสบตากันเล็กน้อยหากแต่ไม่มีใครกล้าลุกออกไปเลยสักคน
และไม่นานนัก... ป๋อง. ชายหนุ่มผิวคล้ำอายุรุ่นราวคราวเดียวกับภาวัตและธานินทร์
เขาเป็นคนขับรถในบ้านหลังนี้นับมาตั้งแต่เรียนจบมอหกก็หลายปีแล้วเพราะแม่กับพ่อก็ต่างทำงานอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน..
ป๋องรีบวิ่งเข้ามาหาชายชราผู้เป็นใหญ่ที่สุดของบ้าน ยืนตัวตรงเอากุมประสานกันก้มหน้าเล็กน้อยอย่างเกรงกลัว
“คุณท่านครับ คุณแทนให้มาเรียนว่าลงมาไม่ไหว เพราะรู้สึกเจ็ตแปลกมากครับ”
สองสาวที่โต๊ะอาหารได้ยินอย่างนั้นก็ต่างยิ้มมองหน้ากันและหัวเราะเสียงเบาเพราะกลัวเสียมารยาท
“โถ่!! ไอ้ป๋อง เขาเรียกเจ็ตแล็ก... ไม่ใช่เจ็ตแปลก มันเป็นอาการผิดปกติทางการนอนของคนที่เดินทางบินข้ามเขตเวลาโลกมา ร่างกายก็เลยยังปรับตัวไม่ทัน”
ธานินทร์รีบพูดอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้มขำขันทำให้คนขับรถหนุ่มได้แต่ก้มหน้ายิ้มอายๆ
“งั้น!!! ทุกคนก็รีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยว... ปู่ขอตัวไปดูอาการของเจ้าแทนมันหน่อยน่ะ”
“แล้วคุณปู่ไม่ทานข้าวเช้าด้วยกัน ก่อนหรอครับ?”
ธานินทร์เอ่ยถามห่วงใยเพราะเขารู้ดีว่าผู้เป็นมีอาการป่วยหลายอย่างแทรกซ้อน
“ไม่ล่ะ ปู่ไม่ค่อยหิว”
พูดแล้วชายชราก็กดปุ่มวิลแชร์ให้ขับเคลื่อนพาตนเองไปหาหลานชายสุดที่รักอยู่ฝั่งปีกขวา...
โดยใช้ลิฟท์ที่ถูกสร้างมาสำหรับท่านในการขึ้นลงคฤหาสน์ชั้นบนและล่างอย่างสะดวกสบาย
□□□□□□□□□□□□
ภายในห้องนอนใหญ่โตตกแต่งด้วยโทนสีเทาอ่อนๆ ทั้งผ้าม่านเตียงนอนสบายตา
ชายหนุมร่างสูงใส่แค่เกงนอนขายาวตัวเดียว ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกร้ามเป็นชั้นๆ เรียงตัวกันสวยงามน่าสัมผัส
ภวัตกำลังยืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างไกลสุดลูกหูลูกตา ในขณะที่มีเพียงแสงแดดอ่อนๆยามเช้าส่องผ่านเข้ามากระทบร่างแกร่ง
ภาพเหตุการณ์งานแต่งเมื่อคืน.. เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต่างยิ้มแย้มชื่นมื่นให้กันมีความสุขมันยังติดตาตรึงใจ เขาอยู่ไม่จางหายไปไหน
ทันใดนั้น...
ประตูห้องนอนของภาวัตก็ถูกเปิดออกเผยร่างชายชราที่นั่งวิลแชร์ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาหาเขา
“คุณปู่ไม่เห็นต้องมาเองเลยครับ ให้ใครมาตามผมลงไปหาก็ได้... ”
ชายหนุ่มรีบเดินมานั่งคุกเข่าลงพื้นอย่างนอบน้อมตรงหน้าชายชราทันที
“เจ้าแทน ฟังดีๆปู่น่ะ”
“ครับ”
“บางครั้งคนเราก็ต้องพบเจอกับความผิดหวังเสียใจ ก่อนจะได้รู้ว่า.. ความสุขที่แท้จริงมันเป็นยังไง!!!”
ชายชรารับรู้เรื่องทุกอย่างและเข้าใจดี ท่านเอื้อมมือตบไหล่เตือนสติหลานชายเบาๆ
“ผมไม่รู้ชีวิตนี้จะเชื่อใจใครได้อีกแล้วล่ะ ครับคุณปู่”
ภาวัตมีสีหน้าเคร่งเครียดมาก จนผู้เป็นปู่รู้สึกเป็นห่วงหลานชายสุดที่รักอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าแทนจงเชื่อความรู้สึกของตัวเองก็พอน่ะ รีบไปแต่งตัวแล้วไปทำงานที่โรงแรม.. ปู่จะรออยู่ข้างล่าง”
พูดแล้วชายชราก็บังคับวิลแชร์พาตัวเองออกไปจากห้อง โดยไม่รอฟังตอบจากหลานชายเลยสักคำ
“เฮ้อ!!!”
ภาวัตได้แต่ผ่อนลมหายใจยาวออกมาเพราะยังไม่พร้อมที่จะพบเจอใครจริงๆ แต่ในเมื่อมันเป็นสั่งของผู้เป็นปู่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ณ. โรงแรมสิริธาร.
คือ สถานที่พักในย่านธุรกิจใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ทั้งหมดสองร้อยห้าสิบห้อง มีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง บาร์ เลาจน์ ห้องอาหารคอยให้บริการ
มีฟิตเนสที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่มีให้แก่ผู้เข้ามาพักอย่างครบครัน...
บริเวณภายในล็อบบี้ทางเข้าโรงแรม ตกแต่งด้วยสไตล์วิลเทจเรียบๆแต่ดูหรูหราไม่น้อย
พนักงานชายหญิงหลายสิบคนต่างรีบออกมายืนเข้าแถวรอต้อนรับท่านประธานใหญ่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย...
ชายชรานั่งวิลแชร์ค่อยๆขับเคลื่อนผ่าน เดินตามมาด้วยชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวด้วยสูทสีน้ำตาลเข้มโดดเด่นพอดีตัว ผมสีดำก็เซ็ทขึ้นอย่างเรียบร้อย...
ใบหน้าคม คิ้วเข้ม รับกับจมูกโด่งได้รูป บริเวณคางยังมีไรหนวดบางๆจากการโกนไม่นาน
โดยตลอดทางชายชรา ยังยิ้มแย้มให้กับพนักงานทุกคน อย่างเป็นกันเอง...
หลังจากลับหลังท่านประธานใหญ่ขึ้นลิฟท์ไปแล้ว ทั้งพนักงานสาวแท้สาวเทียม สามคนต่างรีบร้อนเดินเข้าหาซุบซิบกัน
“ผู้ชายหล่อๆที่มากับท่านประธานใหญ่... นั่นเป็นใครหรอแก..?”
พนักงานสาวคนหนึ่ง รีบเอ่ยถามเพื่อนอย่างตื่นเต้น
“คุณภาวัตหลานชายคนเล็กของท่านไง... แกไม่รู้หรอ!! เมื่อวานเขายังมางานแต่งงานของคุณธานินทร์อยู่เลย”
“มิน่าล่ะ ถึงหล่อ เท่ห์ ดูดีไปหมดเลย!!!”
พนักงานชายพูดแล้วยิ้มหวานตาเป็นประกาย ดูท่าทางเหมือนพนักงานสาวมากกว่า เพื่อนๆที่ยืนด้วยกันเห็นอย่างนั้น ก็ต่างหัวเราะขำขัน...
😎😎😎😎😎😎😎😎😎😎
..............................................................................................