“เป็นไงบ้าง เดี๋ยวฉันเรียกหมอให้นะ” ไม่รอให้สาวเจ้าได้ขานรับก็รีบกดปุ่มเรียกหมดเข้ามาภายในห้องทันที
อีกคนที่ก็ตื่นจากอาการเจ็บไข้ขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวหนึบๆ ค่อยๆพยุงร่างลุกออกจากเตียงตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นมากแล้วหลังจากที่สลบไสลไปตอนไหนตัวเองก็ไม่ทราบ รู้แค่ว่าเธอตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องๆหนึ่งของบ้านหลังใหญ่
“อ้าวตื่นแล้วหรอ ฉันไปเอาข้าวต้มมาให้ ทานสักหน่อยนะ” ผู้หญิงคนเดิมในเมื่อวานที่เธอเห็นแอรอนพยายามไล่ตะเพิดให้ออกจากบ้าน ในตอนนี้กำลังยืนยิ้มถือข้าวต้มอยู่ต่อหน้าเธอตรงนี้แล้ว
“ขอบคุณค่ะ” เสียงแหบพร่าถูกส่งกลับไป สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้า เมื่อวานเรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอไม่ได้ทำความรู้จักกับเธอคนนี้ แม้ว่าอายุอานามอาจจะไม่น้อยแล้วแต่ใบหน้าของคนคนนี้กลับเฉิดฉายราวมีแสงมีแผดส่องให้อยู่ตลอดเวลาแต่มันกลับต่างอยู่ทีเดียวคือดวงตาที่มันแสนเศร้าและดูเหงาเหลือเกิน
“คือฉันอยากรู้ว่าคุณชื่ออะไรค่ะ”
“ฉันชื่อมิเกลจ๊ะ มิเกล ดรอฟ พัฒธรากรณ์รุณ” ย้ำชื่อของตัวเองจริงๆให้เด็กสาวที่อายุอานามก็น่าจะราวๆยี่สิบต้นๆ
“คะ...คุณเป็นแม่ของไอละ...คุณแอรอนนั้นจริงๆหรอค่ะ”
“ใช่ ฉันพูดจริงทุกอย่างเพียงแค่เขาไม่อยากยอมรับฉันก็เท่านั้น” ยิ้มน้อยๆเมื่อเด็กสาวคนนี้คล้ายว่าจะใช้สรรพนามเรียกบุตรชายอย่างอื่นแทนชื่อ
“ละ...แล้วทำไมคุณถึงทิ้งเขาไปละค่ะ”
“มันเป็นเหตุจำเป็น ฉันเลือกไม่ได้ ถ้าเขาจะโกรธและไม่ให้อภัยฉันมันก็คงจะไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก” เธอเข้าใจดีต่อให้เป็นใครก็คงต้องโกรธเคืองเป็นเรื่องธรรมดา
“ค่ะ” พยักหน้าและขานรับแต่เธอก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เข้ากำลังพูดถึงอยู่ดี เรื่องราวมันมีมากกว่านี้หรือ
“อาการของคุณกัณฑ์ธิราไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ
แต่ยังไงหมอก็อยากให้ระวังเรื่องของสภาพจิตใจไว้บ้าง”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวนะครับ”
เมื่อหมอออกไปแล้วภายในห้องนี้มันก็เหลืออยู่เพียงแค่เขาและกัณฑ์ธิรา เวลานี้ที่เห็นหน้าของเธออยากจะกระโจนเข้าไปหาแล้วเอ่ยคำว่าขอโทษนับพันๆครั้ง จนกว่าเธอผู้นี้จะให้อภัยเขาได้
“ฉะ...ฉันขอโทษ” เรียวปากหนากล่าววาจาอ่อนโยนต่อผู้หญิงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงหน้าของเขา ใบหน้าสวยเหลียวมองมาที่แอรอนเพิ่งแค่เสี้ยววินาทีจากนั้นเธอก็หันหน้ามองออกไปที่ระเบียงกระจกห้องด้านนอก ไม่มีวาจาใดเอ่ยออกมาว่าเธอนั้นให้อภัยเขาหรือกำลังรับรู้ต่อสิ่งที่ได้ยินเลย มันจึงทำให้ใจของแอรอนรู้สึกร้อนๆหนาวๆในยามที่เธอกำลังหมางเมินเขาเช่นนี้
กัณฑ์ธิราในยามนี้จิตใจเธอกำลังเลื่อนลอย หัวใจและสมองคิดทบทวนอย่างหนักว่าตนนั้นสมควรจะให้อภัยผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้หรือไม่
“เธอได้ยินฉันมั้ยกัณฑ์ ฉันขอโทษ” เอ่ยย้ำอีกรอบโดยเกรงว่าสาวเจ้าจะไม่ได้ยิน
กัณฑ์ธิรายังคงนิ่งเงียบต่อไป “หันมามองฉันสิ!” เขาไม่อยากจะโดนหญิงสาววางท่าเมินเฉยต่อตนเช่นนี้เลย
“กัณฑ์ธิรา ขอแค่เธอพูดเพียงคำเดียวเท่านั้นอย่านิ่งเฉยแบบนี้เลย ฉันขอร้อง” น้ำเสียงอ้อนวอนปนกับอารมณ์ที่มันเริ่มขุ่นมัวขึ้นตามนิสัยของคนที่กำลังร้องขอต้องการคำตอบ
คาร์มิลที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ที่แอรอนกำลังจับไหล่มนของร่างบางด้วยอารมณ์ตามสัญชาตญาณของเขาก็รีบเข้าไปห้ามทันที ในตอนแรกก็ตกใจที่อยู่ดีๆก็เห็นร่างบางลุกขึ้นมานั่งนอนได้หลังจากที่เธอนอนนิ่งเป็นเวลาเกือบห้าวัน
“ผมว่าหยุดก่อนดีกว่าครับ คุณกัณฑ์เธอคงยังไม่พร้อม” เห็นสถานการณ์แล้วคงต้องฉุดรั้งแอรอนไว้ก่อน
แอรอนหันมามองหน้าของคาร์มิลที่ยืนกุมมืออยู่ข้างหลังตน คำของลูกน้องคนสนิทพูดถูกเขาควรจะรอให้กัณฑ์ธิราพร้อมมากกว่านี้เสียก่อน จึงเป็นเขาเสียเองที่ต้องถอยทัพออกไป
“ฉันฝากนายด้วยก็แล้วกัน” แล้วก็เดินจากไปจากตรงนั้นแต่ทว่าเขายังไม่ทันที่จะได้เดินถึงประตูเสียงสะอื้นไห้ของกัณฑ์ธิราก็ดังระงมขึ้น ด้วยความตกใจจึงรีบรุจเข้าไปดู แต่สิ่งที่เห็นคือเธอนั้นกำลังร้องไห้อย่างหนักหน่วงและโอบรัดอยู่ที่เอวของคาร์มิลที่ยืนนิ่งไม่สามารถจะทำอะไรได้ ในคำคำว่าไม่พร้อมของกัณฑ์ธิรามันหมายถึงอะไรกัน? มันคือไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเขาเพียงแค่คนเดียวใช่หรือไม่
“โธ่เว้ย!!!” เสียงคำรามของแอรอนดังลั่นอยู่ในรถสถบอย่างไม่พอใจ ท่าทางของกัณฑ์ธิราในวันนี้มันตอกย้ำเขาอย่างแจ่มแจ้งว่าหญิงสาวไม่อยากที่จะเอ่ยคำพูดใดๆกับตนเลยนอกเสียจากความเงียบที่มีให้กัน เขาเข้าใจดีที่หญิงสาวจะมีท่าทีเช่นนี้ซึ่งมันก็คงจะไม่แปลก แต่ขอร้องอย่าหมางเมินเสมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้จะได้มั้ย...
ตอนนี้มุทิตา
กำลังเดินร่อนเร่อยู่ตามแผงลอยในตลาดแห่งหนึ่ง วันนี้เธอต้องออกมาซื้อของสดเข้าบ้านหลังใหญ่ ในคราแรกป้ามนไม่ยินยอมนักที่จะให้คนที่เพิ่งจะหายป่วยอย่างเธอออกไปไหนมาไหนแต่เธอก็ยืนยันว่าตัวเองนั้นรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว หากจะให้อยู่ว่างๆมันก็คงจะไม่คุ้มกับค่าจ้างที่ได้รับ ดวงตากวาดมองหาสิ่งที่ต้องซื้อโดยมีกระดาษโน้ตเล็กๆเป็นเครื่องช่วยเตือนความจำว่าต้องซื้ออะไรไปบ้าง
“เอาคะน้ากำนึงจ๊ะ” เสียงใสบอกแม่ค้าเสียงชัดเจน
“นี่ค่ะ” ยื่นเงินไปให้แม่ค้าเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว แต่ว่าเงินมันยังไม่ทันที่จะถูกส่งถึงมือเลยก็มีมือปริศนามาจ่ายเงินตัดหน้าเธอเสียดื้อๆ จึงหันหลังไปดูว่ามือนี้มันเป็นของใคร
“คะ...คุณฟิลลิป” ใช่คือเขาคนนั้นนั่นเอง
“ทำหน้าอย่างกับเห็นฉันเป็นผี หล่อขนาดนี้คงจะเป็นผีไม่ได้หรอก” มุทิตากำลังอ้าปากค้างหน่อยๆไม่คิดว่าจะเจอผู้บริหารโรงแรมมาเดินเร่ร่อนอยู่ในตลาดเช่นนี้ ที่นี่มันชั่งไม่เหมาะกับเขา
“มาได้ยังไงคะ” นั้นน่ะสิ่งเขาจะมาที่นี่ทำไม
“ว่าจะกลับบ้าน แต่เห็นเธอพอดีเลยเข้ามาทักทายซะหน่อย” ใช่ เขากำลังจะนั่งรถกลับบ้านแต่ทว่ากลับเจอเข้ากับร่างอวบตรงหน้านี้เสียก่อน
“คะ...แค่นั้นหรอคะ” เห็นกันก็ไม่จำเป็นต้องมาทักทายกันขนาดนี้ก็ได้มั้งแถมยังจ่ายเงินแทนเธอเสียด้วย
“ใช่”
ทำหน้าทะเล้นยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าสาวเจ้า จนมุทิตาต้องตกใจรีบชักหน้าของตัวเองกลับเสียเอง ผู้ชายคนนี้เหมือนกับเป็นคนละคนที่เคยเจอในวันแรกมันต้องเป็นคนละคนกันแน่! เธอมั่นใจ!
“เอ่อ เดี๋ยวฉันเอาเงินคืนให้ สักครู่นะคะ” มุทิตารีบยื่นเงินที่มันอยู่ในมือส่งคืนให้กับฟิลลิป แต่เขากลับผลักมือเธอคืนกลับไป
“ไม่ต้อง เงินแค่นั้นฉันจ่ายให้”
“อย่าดีกว่าค่ะ ถึงจะเป็นเงินแค่นั้นแต่ยังไงมันขึ้นชื่อว่าเงินมันมีค่าทุกบาททุกสตางค์”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนั้น มันจะมีก็แค่เธอคนเดียวเท่านั้นแหละ กับไอแค่เงินยี่สิบบาท คิดมาก”
“แต่...” ยังไม่ทันพูดได้เต้มประโยคฟิลลิปก็โผงความคิดขึ้นมา
“งั้นเอาอย่างนี้ ถ้าฉันให้เธอเลี้ยงอะไรสักอย่างแล้วมันจะหยวนๆกัน เอามั้ย?”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ฉันคงเลี้ยงอะไรแพงๆไม่ได้หรอกนะ” หันไปมองเงินในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองก็ถอดหายใจแรงๆ
“คิดว่าฉันจะให้พาไปกินสเต็กMedium Rareในโรงแรมห้าดาวหรอ” มุทิตาพยักหน้าหยอยๆ
“ที่โรงแรมฉันก็มีจะไปกินให้มันเสียตังค์ทำไม”
“ถ้าอย่างนั้นคุณฟิลลิปจะกินอะไรละคะ”
“อืมมม อ้ออันนั้นน่ากินดี” สายตาคมเหลียวมองไปทั่วทั้งตลาดจนสะดุดอยู่เข้ากับร้านไอศกรีมร้านเล็กๆ
“ไอติมเนี่ยนะ” โล่งอกไปที
“อ่าห๊ะ ปะ” แล้วมือเรียวหนาก็จูงมือของมุทิตาตรงไปที่ร้านไอศกรีมที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
ทั้งสองนั่งทานไอศกรีมกันอย่างเอร็ดอร่อย ฟิลลิปที่ไม่ค่อยได้กินไอศกรีมกะทิใส่ท็อปปิ้งเสริมเข้าไปเยอะๆก็ยิ่งชอบใหญ่ จนตอนนี้สั่งเป็นถ้วยที่สี่แล้ว “ถ้าคุณเป็นหวัดขึ้นมาจะไม่แปลกใจเลยค่ะ” ก็เล่นกินเยอะขนาดนี้จะกินล้างผลาญทั้งเธอและร้านแม่ค้าหรือยังไง
“ฉันไม่ค่อยได้กินอะไรแบบนี้ มันเลยเพลินปากไปหน่อย”
“เชื่อแล้วละค่ะว่าไม่เคยกินจริงๆ เล่นฟาดไป
แค่****!
สี่ถ้วยเองค่ะ” อดที่จะประชดเขาไม่ได้ ตอนนี้เธอรู้สึกได้ว่าฟิลลิปที่เจอในตอนนี้ดูเปลี่ยนไปมากจนเธอก็แปลกใจ ไม่เหมือนคราแรกที่เจอกันเขาทั้งรุนแรงและน่ากลัว แต่ตอนนี้ดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหิวร้องอยากกินไอศกรีมอย่างไงอย่างนั้น
“งั้นก็ถือว่าเราหายกันแล้วนะคะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ตอนนี้มันก็เริ่มจะค่ำเข้าแล้วแต่เธอยังไม่ถึงที่หมายเลยมีหวังกลับไปคงโดนป้ามนบ่นยาวๆว่าไปเถลไถลที่ไหนมา
“แล้วเธอกลับยังไงละ” วันนี้เขาเอารถมาเองมันคงจะไม่เสียเวลาหรอกถ้าจะอาสาไปส่งหญิงสาว
“บริการพิเศษซิ่งด่วน byพี่วินค่ะ”
“งั้นไปกับฉัน เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งวินไปดีกว่า”
“ไม่ต้อง เธอจะนั่งวินให้มันเสียเงินอีกทำไม ขึ้นรถเดี๋ยวฉันไปส่ง” คำนี้มันเป็นคำสั่งที่บอกให้มุทิตาทำตาม
มุทิตาไม่ได้พูดอะไรต่อเดินขึ้นรถไป มันก็จริงที่เธอจะได้ไม่ต้องเสียเงินเพื่อจ้างพี่วินมอเตอร์ไซค์ไปส่งแต่ใจเธอก็เกรงใจเขาเหมือนกันที่ช่วยเหลือเธออีกรอบโดยที่ก็ยังหาอะไรตอบแทนได้นอกจากแค่คำว่า ขอบคุณ
ฟิลลิปขับรถมาส่งมุทิตาจนถึงหน้าบ้านหลังใหญ่โต โดยอาศัยการบอกทางของหญิงสาว เมื่อเห็นบริเวณรอบบ้านหลังนี้เขาก็จำได้ทันทีว่าที่นี่มันเป็นถิ่นของใคร
“เธออยู่ที่นี่หรอ?” หันไปถามคนที่กำลังจะหันไปเปิดประตูลงจากรถ
“ใช่ค่ะ ฉันทำงานอยู่ที่นี่” ตอบของเขาก่อนที่จะหันไปเพื่อเปิด
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” ลงไปยืนอยู่ข้างๆรถก็ยื่นหน้าเข้ามาข้างในเอ่ยขอบคุณเขา แต่ก็ไม่ลืมสิ่งของที่มันอยู่ข้างหลังรถ
“เดี๋ยวฉันช่วย” อาสาลงมาช่วยสาวเจ้าขนของลงจากหลังรถของเขา
“ขอบคุณค่ะ”
มุทิตายืนรอจนกว่ารถของฟิลลิปจะเคลื่อนตัวออกไปพ้นหน้าบ้าน จากนั้นก็เดินหอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรังเข้าไปในบ้าน จากชั้นสองของบ้านหลังใหญ่มันมีกระจกบานหนึ่งถูกเปิดออกร่างหนาของชายชาตรีกำลังยืนขบกรามแน่น เขาเห็นทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง เขามองเห็นมันเต็มๆทั้งสองตา ไอฟิลลิปกับสาวใช้ในบ้านเขา!!!
มุทิตาค่อยๆย่องเบาๆเข้าบ้านราวกับโจรที่แอบย่องเบาขึ้นบ้านคนอื่นเขา แต่มันแตกต่างจากเธอตรงที่เธอต้องแอบย่องเพื่อหลบคนในบ้าน เพราะตัวเองนั้นออกไปก็ตั้งแต่ห้าโมงครึ่งแต่กลับกลับเข้ามาตอนเวลาทุ่มครึ่ง
“ไปเถลไถลที่ไหนมาละ กลับมาซะมืดค่ำ” เสียงของป้ามนดังมาระหว่างที่กำลังย่องเข้าไปในครัว เธอมองไม่เห็นร่างของสาววัยหกสิบกว่าได้ยินแค่เสียงแต่แค่นี้มันก็ขนลุกชันไปทั้งตัว
“เอ่อ ปะ...ไปทำธุระมาค่ะ” เสแสร้งหาคำพูดที่จะทำให้ตัวเองรอด ในขณะที่ป้ามนกำลังเดินมาจุดที่เธอยืนอยู่
“ก็แล้วไป ทีหลังก็หัดโทรมาบอกก่อน เผื่อเดี๋ยวไปเป็นลมเป็นแล้งเข้าจะทำยังไง”
“รับทราบค่ะ!” แบมือแล้วยกขึ้นทำท่าทางคล้ายการทำความเคารพของผู้รักษากฎหมายยิ้มน้อยๆ แล้วเธอก็เดินไปเก็บของใส่ตู้แช่เย็น แต่ทว่าในขณะเดียวกันบริเวณรอบบ้านในตอนนี้มันกำลังมีสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องเข้ามาภายในโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้
“ฮึ ร่านไปทั่ว” จู่ๆเสียงเข้มของคนที่มันแสนคุ้นเคยก็ดังเข้ามากระทบโสตประสาทหู
เธอรู้ว่าเป็นเสียงใคร แต่เลือกที่จะไม่สนใจ มันน่าเบื่อเต็มทีที่ต้องจะเถียงหรือทะเลาะกับเขาทุกวัน ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือรู้สึกว่าเปลืองน้ำลายตัวเองบางหรืออย่างไร เจอกันทีไรก็เป็นอันต้องพูดให้หัวใจเธอต้องเต้นหน่วง
“.......”
“เป็นยังไงบ้างล่ะ ออกออกไปคนเดียวแต่ขากลับมีผู้ชายมาส่ง ร่าน!”
“.......” ครั้งนี้เธอก็ไม่พูด บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยที่ต้องรับมือกับเขา
“ฉันถามทำไมไม่ตอบมุทิตา!!!” เริ่มโมโหเมื่อสาวเจ้าไม่ยอมตอบคำถามของเขา
“ฉันพูดอะไรไปมันก็เท่านั้น เชิญคุณคิดเองตามใจชอบเถอะค่ะ จะคิดว่าฉันไปมีอะไรกับใครที่ไหนหรือทำตัวเสียๆหายอย่างที่คุณว่าก็เชิญเพราะคำพูดของคุณมันคงจะศักดิ์สิทธิ์กว่าคำพูดของฉันเท่าตัว” คำพูดของเธอมันคงจะไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะพูดให้ฟังเพราะยังไงแล้วต่อให้เธอพูดความจริงออกไปเขาก็จะยัดเยียดความเท็จให้เธอเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นมันจึงไม่จำเป็นเลยสักนิด
“มุทิตา!!!”
“จะเรียกทำไมนักหนาค่ะ กลัวลืมชื่อคนใช้คนนี้หรืออย่างไร” อดไม่ได้ที่จะแซะแซมเขา มันน่าหมั่นไส้จริงๆ
“เอ่อ!!!”
“รู้มั้ยว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด” จู่ๆเสียงเข้มก็พูดขึ้น ในขณะที่เธอก็ยังงวนอยู่กับการนำของเข้าตู้เย็น
“ฉันคงจะไปไม่รู้อะไรได้มากไปกว่าตัวคุณเองหรอกค่ะ” พูดจบก็เดินหนีเขาออกมาทันที อยู่ไปมันก็จะมีแต่ต้องพ่นน้ำลายวาจาเราะร้ายใส่กันไม่มีหยุด
“พรึบ!!!”
“โอ๊ย!!”
เธอจะเดินออกมาพ้นเขาแล้วเชียว แต่มือหนากลับดึงแขนเธอไว้แถมยังบีบแรงลงมาราวกับเป็นครีมเหล็ก ทำให้เธอต้องเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“มะ...มันเจ็บ ปล่อย”
“ฉันเกลียดคนอย่างเธอที่สุดมุทิตา เกลียดคนที่ไม่เชื่อคำฟังคำสั่งของฉัน เกลียดคนที่มันชอบทำอะไรเกินหน้าที่ตัวเอง!!!”
“ปัก!!!”
ร่างของมุทิตากระแทกเข้ากับตู้เย็นที่ตั้งอยู่ด้านหลังของเธออย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ดวงหน้าของสาวเจ้านิ่งหน้าด้วยความจุกที่มันแล่นผ่านเข้าร่างอย่างจัง แต่ทว่าเธอกลับไม่มีเสียงร้องเหมือนรอบแรก สายตาของแอรอนมันยังจ้องมองมาที่เธออย่างดุเดือด ราวกับว่าเธอไปทำอะไรเสียๆหายๆจริงอย่างที่เขาว่า
“ฉันแค่บังเอิญเจอคุณฟิลลิป” ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันมาจากสาเหตุอะไร เธอไม่รู้ว่าฟิลลิปและแอรอนมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน แต่เธอไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาบ้าบออะไรของเขาสักนิด เธอไม่ได้มีส่วนอะไรด้วย แล้วทำไมเธอจะพูดจาสนทนากับฟิลลิปไม่ได้กัน
“อย่ามาตอแหล!!! ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้บังเอิญเจอมัน”
“ฉันพูดความจริง! คุณไม่ได้อยู่กับฉันคุณจะไปรู้อะไรมากกว่าฉันได้ยังไง”
“......!!!” สายตาเขามองเธอด้วยอารมณ์ที่มันน่ากลัวนัก
“ต่อให้ฉันไม่ได้อยู่กับเธอ เธอก็ควรสำนึกใช้สมองคิดซะบ้างว่าฉันเคยบอกเธอไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ความจำสั้นหรือยังไง!!!”
“ฉันไม่ได้ความจำสั้น เพียงแค่เขากับฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกันทำไมจะเจอกันมะ...!!!”
“ปึก!!!”
“อ๊ะ!!”
มุทิตายังไม่ทันที่จะเถียงได้สุดประโยคเลย แอรอนก็ดันเธอให้ชนเข้ากับตู้เย็นอีกครั้งจนเกิดเสียงดังและเจ็บจุกอีกครา ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วครอบงำปากของเธอด้วยอุ้งปากร้อนของเขา รสจูบที่เธอสัมผัสในครานี้มันทั้งดิบและเถื่อนรุนแรงจนเธออย่างจะร้องไห้ มือที่พัลวันทั้งทุบทั้งตีรัวๆก็ไม่อาจจะหยุดสัมผัสที่มันจาบจ้วงของเขาได้เลย หนำซ้ำมือหนายังจับกดข้อมือนี้ไว้ให้แนบติดไปกับพื้นที่ของตู้เย็นด้านหลัง ยามนี้เธอไม่มีทั้งแรงเพราะมันอ่อนระทวยไปหมด อีกทั้งพฤติกรรมคัดค้านมันก็ถูกมือหนากัดกั้นไว้
“อ๊ะ! อึก!” แอรอนงับเข้าที่ริมฝีปากล่างอย่างรุนแรงจนมุทิตาสัมผัสถึงกลิ่นคาวเลือดได้อย่างชัดเจน
“อ๊ะ! อ่อย!” เธอเจ็บ เจ็บไปทั้งหมด เจ็บจนไม่รู้จะร้องขอต่อเขายังไงแล้ว
แอรอนยังคงวนเวียนอยู่ที่ปากอิ่มของมุทิตา ควานวนหาเศษหาเลยจากปากสาวเจ้า ดูดทึ้งไปด้วยความดิบเถื่อน ขบกัดไปทั่วจนเลือดไหลซิบ แต่เขาหาได้สนใจ รู้สึกหมั่นไส้คนตรงหน้านัก อยากจะสั่งสอนให้มันรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ทั้งๆที่เขาเองก็ย้ำไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ทำมันสวนทางทุกครั้ง
“อึก! อ๊ะ!” ตอนนี้น้ำตาของเธอมันซึมไหลออกมาอีกแล้ว รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ต้องเป็นต่อให้กับผู้ชายคนนี้ ดวงตาดวงนี้มันค่อยปล่อยให้น้ำตาใสไหลออกมาจากดวงตาอย่างช้าๆ คล้ายคนกำลังทรมาน
“อ่าส์!” เขาผละใบหน้าของตัวเองออกจากเธอไปแล้ว สายตาคมจ้องมองเธอด้วยแววตาที่แข้งกร้าวราวกับว่าจะฆ่าเธอให้ตายเสีย ทำไม ความผิดของเธอมันมากมายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร ทำไมเขาต้องทำให้เธอต้องรู้สึกว่าร่างกายนี้มันเริ่มจะไม่มีค่าเสียแล้ว ทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้
น้ำตาที่มันไหลออกมาจากดวงตาไม่ได้เรียกร้องความเห็นใจได้จากแอรอนเลยสักนิด หนำซ้ำเขายังมองว่ามันน่าสมเพชด้วยซ้ำไป
สิ่งที่มุทิตาทำได้ในยามนี้คือเบนหน้าหนีออกไปจากใบหน้าของเขาเสีย เธอไม่อยากจะจ้องมองใบหน้านั้นเลยสักนิด ใบหน้าของคนที่ทำให้เธอต้องเจ็บจนแทบช้ำ มือหนาของเขาก็ยังไม่ยอมที่จะปล่อยออกจากข้อมือของเธอ แถมยังกดย้ำเน้นแน่นเข้าไปอีก
“จำไว้!!! อย่าทำในสิ่งที่ฉันเกลียดอีกเพราะมันจะเป็นเธอเองที่เดือดร้อน!!” เขาปลดปล่อยมือของมุทิตาให้เป็นอิสระ
“เพลี๊ยะ!!!”
เธอใช่ว่าจะเป็นคนที่ยอมคนในเมื่อเธอไม่ได้ผิดอะไร มันก็ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องเป็นฝ่ายเจ็บอยู่เพียงคนเดียว เขาต้องได้รับความเจ็บเหมือนที่เธอรับด้วยแม้ว่ามันจะเทียบเท่ากันไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเธอก็อยากจะให้เขาได้รับรู้ ได้รับเศษเสี้ยวความเจ็บปวดนี้ไปบ้าง
ใบหน้าของแอรอนหันแรงด้วยฝ่ามือของมุทิตา แต่ทว่าเขาไม่ทันที่จะได้ตั้งหลักได้ทัน ฝีเท้าของมุทิตาก็กระทบพื้นหนักๆออกไปเสียแล้ว เท้าของมุทิตาจากคราแรกที่เดินก็แปรเปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างเร็วไวมุ่งตรงไปที่ห้องพักของตัวเองในยามนี้ น้ำตาที่มันไหลออกมาก็ไม่อาจที่จะสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญได้เลย ในตอนนี้เธอเจ็บร้าวระทบไปหมดแล้ว ร้าวระทมไปทั้งร่างกายและหัวใจ
“ฮึก! ฮืออ! ฮืออ!” เสียงร้องไห้ระงมของคนเจ็บช้ำที่พิงตัวอยู่หลังประตูห้องของตัวเอง ปล่อยจิตใจที่มันช้ำให้ล่องลอย ปล่อยเสียงโฮร้องไห้ออกมาราวกับว่าจะขาดใจ
“ฉันเกลียดคุณ ฮึก! ฉันเกลียดคุณ” มันชั่งสวนทางกับความรู้สึกนักตอนนี้เธอกำลังสับสน ไม่อยากจะรู้สึกอย่างนี้เลย เพรามันไม่ใช่เขาที่จะเจ็บแต่มันเป็นเธอเองทั้งหมด
“อะ...ไอผู้ชายเฮ็งซวย! ฮึก! ฉะ...ฉันเกลียดคุณ ฮึก! ฮือออ!”
ด้านของแอรอนหลังจากที่มุทิตาวิ่งออกไปเข้าก็ต้องหาอะไรที่มันสามารถจะดับอารมณ์ร้อนที่มันปะทุเดือดในกายนี้ให้ดับลงให้ได้ ดังนั้น น้ำเย็นในตู้เย็นคือตัวเลือกแรก เขาเปิดและกระดกมันจนแทบจะหมดขวดหนึ่งใหญ่ๆ แต่ก็ยังไม่อาจที่จะทำให้อารมณ์เกรียวกราดนั้นลดลงได้
“โธ่เว๊ย!!!”
“เป็นอะไรวะ!!!” เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนักว่าตอนนี้มันเป็นอะไรกันแน่ ไม่เข้าใจว่าทำไมยามที่เห็นมุทิตาสนิทชิดเชื้อกับฟิลลิปอารมณ์ของเขามันถึงปะทุได้ขนาดนี้ ก่อนที่เท้าหนานี้จะจ้ำอ้าวเดินขึ้นห้องนอนของตนเองด้วยความสงสัยที่มันยังล้นอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ในเวลาเช้าแสงอาทิตย์ดวงโตแผดแสงส่องทั่ว ร่างหนากำลังมุ่งทำงานอยู่ภายในโรงแรมของตัวเองหลังจากที่กลับมาจากกการเข้าไปที่โรงแรมเทียร์ทาวน์เขาก็มานั่งจัดการเอกสารอยู่ที่นี่ในห้องทำงานใหญ่ที่ถูกจัดตกแต่งเรียบๆ แต่ทว่าราคาของมันกลับไม่เรียบไปตามรูปแบบห้องเลย จัดการเอกสารกองโตได้ไม่นานเสียงแผดร้องของโทรศัพท์เครื่องหรูที่มันวางอยู่ข้างใกล้ๆกันก็ดังขึ้น บนเจอปรากฏชื่อของลูกน้องคนสนิท
“ฮัลโหล” วาจาทุ้มของแอรอนส่งเข้าไปยังผู้ที่โทรข้ามา
“มันหนีออกมาได้ครับ” น้ำเสียงที่มันแสนจะเคร่งเครียดของคาร์มิลถูกส่งถึงแอรอนได้อย่างชัดเจน
“แล้วมันหนีออกมาได้ไง”
“มันลักลอบออกมาจากเรือนจำครับ ตอนนี้ยังไม่มีใครหาพบว่ามันไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน”
“พยายามออกตามหาให้ทั่ว มันอยู่ไม่ไกลเรานักหรอก”
“ครับ”
“ระยำ!” เสียงเข้มสถบลั่น
แอรอนวางสายจากคาร์มิลแล้ว สายตาคมก็จ้องเขม็งโกรธแค้น ปัญหากับแค่กัณฑ์ธิรามันยังไม่มากพอใช่มั้ย ไอเวรนั้นยังหนีออกมาจากเรือนจำทั้งๆที่เป็นเขาที่จำมันยัดเข้าไป แอรอนมั่นใจอย่างแน่ชัดว่ามันต้องวกกลับมาแน่นอนแต่ไม่คาดคิดว่าจะใช่วิธีนี้ คงจะเคืองแค้นกันหนักมากสินะถึงไม่ยอมให้ถึงวันที่ถูกปล่อยตัวไม่ได้!
ในบ้านหลังโตมุทิตากำลังขะมักเขม้นง่วนอยู่กับการทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง โดยข้างสาวเจ้านั้นก็มีมิเกลคอยช่วยเหลือกันอยู่ไม่ห่าง “เดี่ยวอันนี้ให้มุทำเองดีกว่าค่ะ” มุทิตาอาสายกถังน้ำที่ใส่น้ำเต็มถังในมือของมิเกลมาถือไว้เอง
“ขอบใจหนูมาก”
“ค่ะ” สาวเจ้าส่งยิ้มน้อยๆให้กับมิเกลก่อนจะเดินเอาน้ำในถังนี้ไปเททิ้ง
“แล้วนั้นจะเอาไปเททิ้งที่ไหนละ” สงสัยที่หญิงสาวรุ่นลูกจะเอาน้ำในมือนั้นเดินไปที่ทิศทางอื่นไม่ใช่ที่ท่อระบายน้ำข้างๆบ้าน
“พอดีคิดได้ว่า บ้านนี้มีเรือนดอกไม้อยู่น่ะค่ะ เลยว่าจะเอาไปรดน้ำที่นั้นจะได้ไม่เปลื้องทรัพยากร ไม่สูญเปล่า” เธอนึกขึ้นได้ว่าบ้านหลังนี้มีเรือนดอกไม้อยู่แต่มันไกลออกไปจากตัวบ้านมาก ถ้าเอาน้ำนี้ไปรดต้นไม้ดอกไม้ที่นั้นมันก็คงจะได้ประโยชน์กว่าเอาไปเททิ้งเฉยๆ
“ที่นี่มีเรือนดอกไม้ด้วยหรอ?” ไม่นึกว่าบ้านหลังนี้จะมีสิ่งที่เธอเคยฝันและโปรดปรานให้มีอยู่ด้วย
“ใช่ค่ะ แต่ว่ามันอยู่ไกลจากตัวบ้านไปหน่อย มุก็เพิ่งเคยไปดูแค่ครั้งเดียว”
“ฉันขอไปด้วยคนได้มั้ย” เธออยากจะไปดูให้เห็นกลับตาว่าบ้านหลังนี้มันมีเรือนดอกไม้อยู่จริงๆ
“ได้สิค่ะ” เธอจะไปห้ามไม่ให้หญิงคนนี้ไปที่นั้นได้อย่างไรเธอไม่ใช่เจ้าของที่นี่เสียหน่อย มุทิตาส่งยิ้มแล้วก็เดินนำไปที่เรือนดอกไม้
สองร่างสาวต่างวัยกำลังเกินย่างก้าวเข้ามาภายในเรือนดอกไม้ที่มันถูกจัดตกแต่งสวยงามแม้ว่ามันจะไม่ถูกดูแลหรือใส่ใจใยดีจากคนเป็นเจ้าของบ้าน แต่ทว่ามันกลับเติบโตงอกงามขึ้นมาได้ “สวยใช่มั้ยค่ะ” มุทิตาตั้งคำถามกับหญิงสาวรุ่นแม่ที่ตอนนี้เธอกำลังยืนนิ่งชื่นชมในสิ่งที่ตาเห็น
“ใช่จ๊ะ” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ นี่มันคือสิ่งที่เธอเฝ้าปรารถนามาตลอดว่าอยากจะมีสิ่งนี้อยู่ในอาณาเขตของตัวเองสักครั้ง จนวาจาที่เคยบอกไว้กับแอรอนในวัยเด็กมันผุดขึ้นมาในหัว
“แม่ชอบดอกไม้มากเลยหรอครับ” เสียงเด็กชายถามไถ่มารดาที่ยืนมองร้านดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตาเพราะเขาใช้ดวงตากลมโตยืนสังเกตอากัปกิริยาของมารดามานานพอสมควรแล้ว
“จ๊ะ แม่ชอบดอกไม้มากที่สุดเลยล่ะ” เสียงหวานตอบคำถามของบุตรชายที่อยู่ในวัยกำลังโต พลางลูบไปที่หัวทุยเบาๆอย่างเอ็นดู
“แสดงว่าแม่ชอบดอกไม้มากกว่าผมกับพ่อหรอฮะ”ทำท่าจมูกย่นน้อยๆ น้อยใจมารดาที่บอกว่าชอบสิ่งตรงหน้ามากกว่าตนกับบิดา
“ไม่ใช่อย่างนั้น หนูกับพ่อคือสิ่งที่แม่รักไงครับ ส่วนดอกไม้คือสิ่งที่แม่ชอบ” รีบแก้ตัวยกใหญ่กลัวว่าบุตรชายจะงอนตน
“อย่างนั้นก็แล้วไปครับ ถ้าแม่รักดอกไม้มากกว่าผมกับพ่อ ผมจะไม่คุยกับแม่ไปตลอดเลย จะงอนด้วย ฮึ!”
ยังคงย่นจมูกน้อยๆใส่มารดาแถมยังกอดอกทำท่าทำทางน่ารักบิดตัวนิดๆหันหลังให้ผู้เป็นแม่ จนมิเกลต้องอดขำกับท่าทีของพ่อหนุ่มน้อยนี้ไม่ได้ เรื่องน้อยใจนี่ขอให้บอก ไม่มีใครเกินเจ้าคนนี้จริงๆ
“แล้วถ้าแม่ชอบมันมากแม่จะทำยังไงครับ” อยู่ดีๆก็ตั้งคำถามให้มารดาได้ตอบ
“ก็คงทำอะไรได้ไม่มากหรอกครับ แต่แม่ฝันว่าอยากมีเรือนดอกไม้อยู่ในบ้านของเรานะ มันคงสวยน่าดู”
แค่นึกถึงมันก็ทำให้ดวงใจของเธอชุ่มช้ำได้ไม่น้อย ความฝันเธออยากจะมีเรือนดอกไม้ตั้งตงาดอยู่บริเวณบ้านและร้านดอกไม้เล็กๆ ส่วนเธอก็เดินเล่นเข้าออกไปมาระหว่างเรือนดอกไม้ร้านดอกไม้และบ้านหลังน้อยๆมันคงจะทำให้มีความสุขไม่น้อยไปกว่าอยู่กับเจ้าเด็กตรงหน้านี้กับพ่อของเจ้าตัวเลย
“โถ่! จะทำได้ยังไงบ้านเราเล็กจะตาย ถ้ามีดอกไม้เพิ่มมาผมคงต้องออกไปนอนที่อื่นๆแน่เลย แบบนั้นไม่เอาครับ ไม่เอาๆ”
ยกนิ้วชี้น้อยๆส่ายไปมาซ้ายขวาคล้ายว่าห้ามทำสิ่งนี้เด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นมันจะเป็นแบบที่เขาพูด เขาไม่อยากจะต้องไปนอนที่อื่น
มาเเล้วจ้าา