ตอนที่19
หลังจากที่ผมเล่านิทาจนเด็กสองคนหลับ ผมก็เดินกลับลงมาข้างล่าง ออกมาเดินเล่นข้างนอกเพราะนอนมาแทบจะทั้งวัน ตอนนี้ผมเลยตาสว่างสุดๆแล้วก็คิดว่าคืนนี้ผมคงไม่หลับง่ายแน่นอน อีกอย่างดูเหมือนว่าโทรศัพท์มือถือของผมจะอยู่ที่คอนโดด้วย เลยยิ่งไม่รู้จะทำอะไรเข้าไปอีก จำเบอร์ใครก็ไม่ได้ด้วย
พอนึกถึงเรื่องนี้ก็พาให้คิดถึงเรื่องพี่ปอนด์ไม่รู้ป่านนี้ พี่แกจะนั่งสาปแช่งน้องรหัสเวร ใช้การไม่ได้อย่างผมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ผมเข้าใจว่าพี่ปอนด์แกเป็นห่วงผมมากขนาดไหน แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่มีทางเล่าเรื่องที่ผมต้องเจออยู่ตอนนี้ให้พี่ปอนด์ฟังได้หรอก ยิ่งถ้าเกิดพี่ปอนด์รู้ถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด ผมไม่รู้ว่าแกจะเสียใจมากขนาดไหน ไม่ว่าจะคิดยังไง ผมก็ไม่เห็นทางออกในเรื่องนี้เลย
“ทำไมยังไม่นอน”เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมองเจ้าของน้ำเสียงอย่างไม่ทันได้คิด ไอ้แก่ที่ตอนนี้เปลี่ยนใส่ชุดนอนสีอ่อนกำลังยืนกอนอกพิงขอบประตูกระจกมองมาที่ผม
ผมเลือกที่จะไม่สนใจคำถามของมัน แล้วพยายามเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ตอนนี้ผมรู้สึกแย่มากที่เห็นหน้ามัน มันเหมือนมีเรื่องอะไรหลายอย่างอัดแน่นอยู่ในใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องที่มันทำร้ายผมเมื่อครั้งที่ผ่านมา แต่มันเหมือนมีเรื่องอื่นอีก แต่ผมกลับไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องๆได้
“เดี๋ยว!”
“อย่ามาแตะตัวกู!”ผมปัดมือที่กำลังจะเอื้อมมาถึงออกอย่างแรง แอบตกใจเหมือนกัน ร่างกายของผมตอบสนองออกไปโดยไม่ทันคิดด้วยซ้ำ
“......”ไม่ใช่แค่ผมแต่เหมือนไอ้แก่มันก็ตกใจด้วย ถึงจะดึกขนาดนี้และมีเพียงแค่ไฟดาวไลน์ที่อยู่ใต้สระเท่านั้นที่ให้แสงสว่างแต่ผมก็เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า มือของไอ้แก่นั้นมีเลือดไหลออกมาตามแนวยาวของหลังมือ มองดูที่มือตัวเองก็เห็นว่ามีคาบเลือดติดอยู่ที่เล็บ
ผมกลัวขึ้นมาทันที เมื่อเห็นไอ้แก่เดินเข้ามา ผมถอยหลังหนี ได้ไม่กี่ก้าวมันก็มาประชิดตัว ความรู้สึกกลัวแผ่ไปทั่วทั้งร่างกาย ผมหลับตาลงทันทีที่เห็นแขนของมันง้างขึ้นเตรียมทำร้ายผม ภาพการกระทำของมันเมื่อคืนก็เด่นชัดขึ้นมาในหัว จู่ๆตัวก็สั่นอย่างเก็บอาการไม่อยู่
“หายกันหรือยัง” มืออุ่นๆแปะลงที่กลางหัว ผมลืมตาขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้ถูกมันทำร้ายอย่างที่คิด หน้าของมันอยู่ห่างไปไม่กี่คืบ มันมองผมนิ่งๆเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
“.....”ผมได้แต่มองมันด้วยความแปลกใจ ที่จริงผมควรโดนไม่ต่อยสองสามทีอย่างต่ำ แต่มันกลับไม่ทำ ทำไม
“ไม่พูดกูถือว่าหายกันแล้ว”มันบอก ลูบหัวผมเบาๆสองสามที
“......”ผมเบนหน้าหนีไม่ได้ขัดขืนอะไร ไม่ใช่เพราะยอมแต่ผมแค่รู้สึกสับสน ไม่เข้าใจการกระทำของมันเลยสักนิด
“เป็นอะไร”มันดึงผมให้มายืนชิดตัวมัน ไม่ได้กอดหรืออะไรแค่ให้ยืนหันหน้าเขาหามันแค่นั้น ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองมัน
ทุกครั้งที่มันทำร้ายผม ผมนึกในใจทุกครั้งว่าผมเกลียดมันและสักวันผมจะต้องเอาคืนมันให้สาสมทั้งๆที่ผมควรจะซะใจที่อย่างน้อยๆก็ทำมันเจ็บได้ แต่แค่ทำเล็บข่วนมันจนเลือดออก ผมก็รู้สึกผิดขึ้นแล้ว ผมเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้
“......”ผมไม่ได้ตอบแค่ก้มหน้ามองเท้าของตัวเอง ทำตัวไม่ต่างกับเด็กๆที่ถูกจับได้ว่าทำผิด
“เงยหน้าขึ้นมา”มันจับมือของผมทั้งสองข้าง ผมรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆที่มือทั้งสองข้าง มันเหมือนกับมันกำลัง พยายามจะบอกผมว่าไม่เป็นไร
ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้ามัน มันจ้องกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แค่มองผมนิ่งๆแบบนั้น
“ต้องทำยังไง”มันถามด้วยสีหน้าจริงจังคิ้วของมันขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังพยายามจะทำอะไรบ้างอย่างที่มันไม่ชอบ
“.........” ผมเงยหน้าขึ้นมองมัน ผมไม่รู้ว่าตลอดวันที่ผ่านมามันทำอะไร ตอนนี้ถึงได้ทำท่าเหมือนมันรู้สึกผิดแบบนี้
“กูต้องทำยังไง เพื่อไถ่โทษเรื่องเมื่อคืน” น้ำเสียงทุ้มเปล่งออกมาเบาหวิว เบาจนแทบไม่ได้ยิน ทั้งแบบนั้นแต่คำพูดของมันเมื่อกี้กลับดังก้องอยู่ในหัวของผม ใจเต้นแรงจนได้ยินก้องอยู่ในหู
ผมส่ายหน้า ก้มลงมองพื้นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่อก แสบคอ และร้อนที่ขอบตา เหมือนกำลังจะร้องไห้ จะร้องไห้แค่เพราะมันกำลังพยายามขอโทษผม
มันก็เหมือนกับเวลาที่คุณโกรธใครสักคนที่สำคัญต่อความรู้สึกลึกๆของคุณแล้วจู่ๆเขาก็กลับมาเผชิญหน้ากับคุณเพื่อจะขอโทษสิ่งที่เขาทำลงไป มันเลยทำให้คุณอยากร้องไห้ ไม่ใช่เพราะความเศร้า แต่เพราะเรื่องที่มันกำลังอัดแน่นอนอยู่ในอกกำลังจะถูกยกออกไป
แต่เรื่องมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ต้องไม่ใช่กับคนที่ทำร้ายคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้
ตาของพร่ามัวมองเห็นแม้กะทั่งปลายเท้าของตัวเองยังไม่ชัด ลมหายใจเริ่มติดขัด หายใจไม่ออก จนทนไม่ได้ที่จะเก็บเสียงร้องไห้เอาไว้
ใช่ครับ ผมกำลังร้องไห้ ร้องไห้ ไม่ต่างกับลูกๆของมัน มือของผมที่จับมือของมันอยู่บีบกระชับแน่นเหมือนอยากจะบอกมันว่าที่ผ่านมาผมรู้สึกแย่แค่ไหน อยากให้มันรู้ว่าผมเจ็บเท่าไหร่ อยากให้มันรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี
ผมเอนหัวไปซบที่ไหล่ของมันอย่างหมดแรง
ความอัดอั้นใจทั้งหมดหายไป ทั้งเศร้า เสียใจ อึดอัด และโล่งอก
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซัมซ้อนที่สุดในโลก เพราะมนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดที่หลากหลายจนแม้กระทั้งเครื่องจักรที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด และสิ่งที่ทำให้น่าฉงนมากกว่านั้นก็ คือแม้แต่คนที่กำลังรู้สึกก็ยังไม่เข้าใจตัวเองมัน
มันไม่ได้ดึงผมเข้าไปกอดปลอบเหมือนในละคร ไม่ไดลูบหัวพร้อมกับพูดขอโทษ มันแค่ยืนเฉยๆ แล้วกระชับมือที่กำลังบีบมือมันอยู่แค่นั้น
แค่นั้นที่ผมคิดว่าดีที่สุดแล้วสำหรับผมกับมันตอนนี้
เช้าวันตอนมาหลังจากที่เมื่อคืนผมยืนร้องไห้ต่อหน้ามันเป็นชั่วโมง ผมก็รู้สึกดีขึ้นและรู้สึกเหมือนตัวเองกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง
ตื่นขึ้นมาที่นอนข้างๆที่ก็เย็นชืดแล้ว ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไป มหาลัยซึ่งผมยังไม่รู้ว่าผมจะไปยังไงเพราะผมยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน
ข้าวของของผมที่คอนโดบ้างส่วน ถูกนำมาไว้ในห้องนอนของไอ้แก่ พวกเสื้อผ้ากับหนังสือเรียนเอกสารต่างๆก็ถูกเอามาให้พร้อมเสร็จสับ เหมือนผมจะต้องมาอยู่ที่นี่บ่อยๆยังไงอย่างงั้น
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็แบกกระเป๋าเป้ เดินลงมาชั้นล่างก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของลูกๆไอ้แก่ที่ทั้งกรี๊ดทั้งหัวเราะลั่นบ้านวิ่งรอบๆตัว บอดี้การ์ดตัวอย่างกับยักษ์ของไอ้แก ซึ่งถ้าคุณได้ลองมาเห็นสีหน้าของผู้ชายตรงหน้าผมตอนนี้ คุณเองก็คงอดขำไม่ได้ มันทำหน้าเหมือนกับโลกกำลังจะแตกยังไงอย่างงั้น
“นายสั่งให้คุณ ทานอาหารเช้าแล้วผมจะทำหน้าที่ไปส่งคุณที่มหาลัยเองครับ ตอนกลับ นายบอกว่าจะไปรับคุณเอง”รายงานยืดยาวเสร็จสับโดยไม่ได้ถามความเห็นผมสักคำ
ผมพยักหน้ารับคำ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะโต้แย้งอะไรอย่างอื่นได้ จะว่าไปมือถือของผมยังไม่เห็นเลย คงยังอยู่ที่คอนโด ผมอาจจะต้องแอบไปเอา
ผมเดินไปที่โต๊ะกินข้าวที่มี ชุดอาหารเช้าแบบฝรั่ง พวกขนมปังปิ้ง ไข่ดาว ไส้กรอก พวกนี้แหละครับ กับสลัดกับเครื่องเขียงอีกสองสามอย่าง ที่ถ้าคุณกินหมดคุณคงอิ่มไปทั้งวัน ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ ยังมีชุดของเด็กสองคนนั้นอยู่ด้วยและมันยังไม่พร่องลงเลยสักนิด แต่เหมือนเห็นแค่ของที่ถูกจัดไว้ในจานอย่างสวยงาม ปนกันมั่วไปหมด คงจะเขี่ยเล่นกันสนุกเลยซินะ
ผมหันไปมองเด็กทั้งสองคนที่ตอนนี้ยังคงวิ่งวนรอบตัวไอ้ยักษ์นั้นไม่ยอมหยุด
ใจหนึ่งก็อยากจะรีบกินๆแล้วก็รีบไปมหาลัย วันนี้มีเรียน9โมงครึ่ง ครั้งสุดท้ายก่อนปิดคลาสเตรียมสอบ แต่พอหันมาเห็นอาหาร2ชุดใกล้ๆก็อดกังวนไม่ได้ ดูก็รู้ว่าทั้งสองคนดื้อและแสบแค่ไหน และอีกอย่างคนในบ้านก็ดูเหมือนจะค่อนข้างหลีกเหลี่ยงที่จะเข้าใกล้เด็กสองคนนี้ด้วย
ได้แต่เคาะนิ้วกับโต๊ะ อย่างใช้ความคิด จนสุดท้ายผมก็ลุกขึ้นไปเอาเด็กสองคนนั้นมานั่งกินอาหารเช้า ซึ่งอย่างที่คาดการณ์ไว้เลยว่า ทั้งสองคนคงไม่ยอมดีๆแน่นอน
“กินข้าวก่อน”ผมบอก ใช้ภาษาไทยนี่แหละครับเพราะเด็กทั้งสองคนฟังออก
“ไม่!/ปล่อย!”ผมจับแขนทั้งสองคนที่กำลังวิ่งเล่นให้หยุดนิ่ง แล้วเตรียมพาเดินมากินอาหารเช้า
“มากิน!”ผมบอกอีกครั้งใช้น้ำเสียงที่เข้มขึ้น ทำให้เด็กสองคนยอมหยุดนิ่งๆ ไม่ได้ขืนตัวไว้แบบตอนแรก โอ๊ะง่ายดีแฮะ ผมจูงมือทั้งสองคนเดินมาที่โต๊ะกินข้าวได้อย่างง่ายดาย อุ้มทั้งสองขึ้นเก้าอี้สำหรับเด็กที่ตั้งติดกันไว้ แล้วเลื่อนจานอาหารเช้ามาให้ แต่ทั้งสองคนกับนิ่ง มองของในจากแล้วทำหน้าเหมือนไม่ชอบอะไรบ้างอย่างในนั้น
“ทำไมไม่กิน”ผมถามฉิงฉิงก่อน เพราะฉิงฉิงเป็นพี่เมื่อฉิงฉิงทำอะไร จงชิงก็จะทำตามผมเลยคิดว่าที่จงชิงไม่กินอาจจะเป็นเพราะฉิงฉิงก็ไม่กินเหมือนกัน
“.....”ฉิงฉิงไม่ตอบแต่หันหน้าหนี อย่างไม่พอใจ ผมเริ่มหัวเสียก็อย่างที่บอกผมไม่ใช่พวกรักเด็กครับ ถึงไม่ได้เกลียดหรือไม่ได้ไม่ชอบอะไร เลยทำให้ผมค่อนข้างจะมีความอดทนน้อยกว่าพวกรักเด็ก
“ไม่มีอะไรก็กิน”ผมบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ทำให้ฉิงฉิงหันกลับมาอีกครั้ง ผมเลือกที่จะไม่สนใจ ฉิงฉิงที่นั่งอยู่ถัดไป แต่กลับมาสนใจจงชิงที่นั่งอยู่ติดกับผมแทน
“กินซิ “ผมตัดสลัดทูน่าคอนร์ขึ้นมา แล้วเอาไปจ่อที่ปากจงชิง เพราะเห็นเจ้าตัวมองอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่กล้าตัก คงกลัวฉิงฉิงโกรธ แต่จงชิงก็ไม่ยอมอ้าปากได้แต่หันไปมองฉิงฉิงที่นั้นถัดไปอย่างขออนุญาต
“เท่าไหร่ภาษาอังกฤษพูดว่ายังไง”ผมถามจงชิง
“HOW”พอจงชินตอบผมก็รีบส่งทูน่าคอนร์เข้าปากในจังหวะที่เจ้าตัวอ้าปากตอบพอดี เมื่อของที่อยากกินอยู่ในปาก จงชิงก็เคี้ยวทันที แบบไม่ต้องให้พูดซ้ำ ผมหันไปยักคิ้วให้ฉิงฉิงที่กำลังกอดอกหน้างอคอหักเหมือนปลาทูอยู่
“อร่อย!”จงชินบอกขนาดที่ยังเคี้ยวไม่หมดปาก พอได้ลิ้มรสอาหารแล้วก็ยากที่จะหยุดถึงแม้จะกลัวพี่สาวโกรธแต่ร่างกายมันเรียกร้องอาหารตรงหน้ามากว่า เพราะความเป็นเด็กเลยทำให้การคิดวิเคราะห์ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น จงชิงลงมือกินของอื่นๆด้วยตัวเองอย่างอารมณ์ดี มีแต่ฉิงฉิงที่ตอนนี้ทำหน้างอยิ่งกว่าเดิม
ผมไม่ได้สนใจ ฉิงฉิง หันกลับมากินอาหารของตัวเองต่อพร้อมทำท่าทางแบบมื้อนี้อร่อยที่สุดที่ผมเคยกิน ฉิงฉิงเริ่มมองมาที่จานอาหารของผมกับจงชิง และสุดท้ายเมื่อไม่สามารถทนต่อความหิวและท่าทางเอร็ดอร่อยของผมกับจงชิงได้ฉิงฉิงเลยลงมือกินอาหารด้วยตัวเอง
ผมรู้จักคนที่มีนิสัยคล้ายๆแบบนี้ดี เลยรู้ว่าไม่ค่อยพูดอะไรเยอะเย้ยฉิงฉิงในตอนนี้ จะว่าไปบ้างทีเด็กก็อาจจะไม่ยุ่งยากเท่าที่ผมคิดก็ได้
กว่าจะทานอาหารเสร็จก็แปดโมงกว่าแล้ว ผมเลยรีบออกจากบ้าน เพราะกลัวไปเรียนไม่ทัน พอผมเดินออกมาใส่รองเท้าหน้าบ้านจงชิงก็เดินมากอดขาผมไว้เหมือนจะเรียกให้ไปเล่นด้วย
“เดี๋ยวพี่ต้องไปเรียนกลับมาเดี๋ยวมาเล่นด้วย ผมบอกแล้วรีบเดินไปที่รถที่กำลังจอดรออยู่ ขึ้นรถอย่างรวดเร็วมองลอดหน้าต่างก็เห็นจงชินยืนอยู่ข้างๆรถทำหน้าเศร้า คือมันดูน่าสงสารมากครับผมบอกเลย รู้สึกจี๊ดไปที่หัวใจเลย แต่เพราะวันนี้ปิดคอร์สเรียนด้วย เลยขาดไม่ได้ สุดท้ายก็ลดกระจกหน้าต่าง แล้วยื่นมือออกไปยีหัวจงชิงน้อยแสนเศร้า
“สัญญา เดี๋ยวรีบกลับมา”ผมบอกเห็น ฉิงฉิงยืนเกาะที่ขอบประตูบานใหญ่รอบมองมาที่ผมเหมือนกัน เลยยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าจงชิง
“สัญญานะ”เสียงเล็กร้องบอกอย่างตื่นเต้น ก่อนจะใช้ทั้งมือจับนิ้วก้อยผมเขย่าไปมา
ผมมาถึงมหาลัยภายในครึ่งชั่วโมง เพราะดูเหมือนบ้านของไอ้แก่มันจะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยเท่าไหร่นัก รถมาจอดที่หน้าคณะทั้งๆที่ผมบอกให้จอดแค่หน้า มหาลัย แต่เหมือนลูกน้องไอ้แก่มันจะถือว่าเสียงของผมเป็นแค่ลมที่ผ่านหูเท่านั้น พอจะลงจากรถมันก็ยื่นมือถือของผมให้ผม
“เลิกเรียนแล้วนายให้โทรหาครับ”มันบอก ส่งมือถือให้เสร็จ ก็หันกลับไปไม่สนใจสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของผมว่าทำไม ไม่ให้ตั้งแต่เมื่อเช้า
ผมเดินมานั่งรอเวลาเรียนที่ม้านั่งใต้หน้าคณะ วันนี้อากาศดีไม่ร้อนเหมือนทุกวัน เห็นนักศึกษาเริ่มทยอยกันเดินมาที่คณะ เมื่อใกล้ได้เวลาเรียน สายตาผมก็สอดส่องมองหาพวกเพื่อนผมว่าอยู่ตรงไหนกัน
“มึงหายหัวไปไหนมา!”แต่ยังไม่ทันได้เจอเพื่อน น้ำเสียงดุดันที่แสนคุ้นเคยก็ดังอยู่ด้านหลัง
หันไปก็เจอกับพี่ปอนด์ ที่มีเหงื่อพุดขึ้นเต็มใบหน้า เหมือนเพิ่งวิ่งมาจากที่ไหนสักที่ ทำหน้าตาโกรธแบบสุดๆส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งส่งให้อย่างเสียวสันหลัง
TBC.
ฮัลโหลทุกคน ยังสอบไม่เสร็จเเต่อู้อ่านหนังสือมาลงนิยาย
ตอนนี้อาจจะขัดใจหลายคนเรื่องน้องน่าน แต่อยากให้มองในมุมของคนที่เเบบโกรธใครเกลียดใครไม่ได้นานๆนี่เป็นลักษณะนิสัยของบรรดานางเองในละคร 555555 น้องน่านจริงคิดคาเเร็คเตอร์ให้เป็นเเข็งนอกอ่อนใน อาจจะขัดหูขัดตาใครหลายๆคนแต่ก็นะอิเสี่ยมันก็รู้สึกผิดเเ้ลวไง หยวนๆหน่อยเหอะยังไงมันก็เป็นพระเอก55555
เปลี่ยนนิยายดาร์กๆในสดใสภายใน1ตอน
ปล.คอมเม้นท์มาคุยกันมั้งนะ ช่วงนี้รู้สึกโดดเดี่ยวมองไปทางไหนก็เจอแต่กองหนังสือกับชีท เวรกรรมจริงๆ