[SF] FOR YOU - YUZHOU
1
ตอน
12.6K
เข้าชม
118
ถูกใจ
54
ความคิดเห็น
69
เพิ่มลงคลัง

F O R - Y O U

 

 

 

-------------------------------------------------

 

 

 

ผมกำลังทรมาน

หัวใจของผมมันเบาโหวง

บางครั้งบีบหนัก บางคราวเจ็บร้าว

เพียงเพราะเป็นห่วงคนๆหนึ่ง

ผมควรทำยังไงดี

 

 

 

ข่าวเรื่องเพลงของเว่ยโจวที่เห็นเมื่อตอนดึกผ่านเว่ยป๋อชวนให้ผมนิ่งเฉยอีกต่อไปไม่ได้ ทั้งที่ควรหลับไปเสียเพราะการโหมงานหนักแต่ห้วงคำนึงของผมมันมีเพียงใบหน้ายิ้มแย้มของสวีเว่ยโจว หากเป็นเวลาปกติผมคงมีความสุขเพียงแค่ได้คิดถึง แต่เวลานี้ ผมเป็นห่วง ผมกลัวว่าเขาจะยิ้มแบบนั้นได้หรือเปล่า ผมกลัวสารพัดว่าเขาจะทำอะไร อยู่ที่ไหน กับใคร คนอื่นจะดูแลเขาได้เท่าที่ใจผมอยากทำหรือไม่ ผมส่งข้อความไปหาเขาทุกช่องทางแต่ได้รับกลับมาเพียงความนิ่งเฉยจนต้องต่อสายตรงไปหาหลายครั้งหลายครารอจนสัญญาณอัตโนมัติแจ้งเตือนให้ฝากข้อความจนแบตขึ้นสีแดงก็ยังไร้วี่แววข้อความตอบกลับของเว่ยโจว

 

 

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นพาผมมาถึงสนามบินในช่วงสายของอีกวัน

 

 

สวีเว่ยโจวยังคงปล่อยให้การรอคอยของผมดำเนินต่อไปราวกับวินาทีนั้นยาวนานกว่าคนอื่นหลายร้อยหลายพันเท่า ผมใส่ผ้าปิดปาก หยิบหูฟังขึ้นมาใช้ทั้งที่ไม่เคยทำเพียงเพราะยังฝืนยิ้มให้ใครไม่ได้กระทั่งเดินผ่านกลุ่มแฟนคลับยังไม่คิดเอ่ยพูดคุยกับใครจนกระทั่งตุ๊กตาลิงถูกยื่นมาตรงหน้า เพราะผมนึกถึงใครอีกคนจึงรับไว้ เจ้าเด็กที่ชอบสะสมของน่ารักต้องชอบแน่ๆ...ก็มันน่ารักเหมือนตัวเขานี่

 

 

“จิ่งหยู ช่วยดูแลโจวโจวของพวกเราด้วยนะ”

 

 

เสียงของแฟนคลับดังมาจากด้านข้าง ผมพยักหน้าให้เขาน้อยๆอยากตอบกลับไปแต่คงทำได้เพียงส่งความรู้สึกผ่านทางสายตา

 

 

 

 

ไม่ต้องห่วงนะครับผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด โจวโจวเขาเป็นของผมเหมือนกัน

 

 

 

 

เพียงแต่ตอนนี้ ผมจะทำยังไงดีให้เขาตอบกลับมา กระแสในโซเชียลหนักขึ้นเรื่อยๆหลายเสียงมีทั้งให้กำลังใจและขัดแย้ง ผมส่งข้อความไปหาเว่ยโจวนับไม่ถ้วน ยิ่งเขาหายเงียบไปยิ่งร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว

 

คุณเคยเป็นไหมครับ ความร้อนผ่าวที่มันจับอยู่ในอกสลับเย็นคล้ายจะหยุดลมหายใจเมื่อมันส่งผลให้ก้อนบางอย่างตีบตันอยู่ตรงลำคอ ผมพยายามสูดหายใจเข้าลึกหากทำได้ยากเหลือเกิน ไรขนตรงหลังคอร้อนผ่าวเช่นเดียวกับกระบอกตาทั้งสองข้าง ผมยกมือขึ้นนวดขมับช้าๆ  ถามตัวเองว่าพอจะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง ความสับสนตีกับอยู่ในหัวจนคล้ายจะอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป ผมหยิบโทรศัพท์สลับกับจิกเล็บลงบนนิ้วมืออีกข้างของตัวเองดับอาการว้าวุ่นในอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แบบนั้นก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาอีกครั้ง

 

แบตโทรศัพท์ของผมกำลังขึ้นขีดแดงตอนที่ส่งข้อความสุดท้ายไปหาและก่อนที่มันจะดับไปต่อหน้า  ผมใช้โอกาสน้อยนิดที่มีกดโทรออกอีกครั้ง

 

 

“ฮัลโหล”

 

เขารับสาย!

 

 

“ทำอะไรอยู่?”

 

(อยู่คอนโด มีอะไรหรือเปล่า?)

 

 

“นาย….เป็นอะไรไหม?” เขาหัวเราะตอบกลับมา เสียงหัวเราะที่ทำให้ใจผมปวดหนึบ

 

 

(จะให้เป็นอะไรเล่า นายนั่นแหล่ะ หน้าบึ้งเหมือนจะกินหัวใคร ยิ้มหน่อยสิ) ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

 

“นายเห็นหรือ?”

 

(คิดว่าไงล่ะ? เอาผ้าปิดปากออกได้แล้ว ยิ้มให้ฉันหน่อย...นะ)

 

“เว่ยโจว...ฮัลโหล โจวโจว ได้ยินไหม?” แบตโทรศัพท์ของผมหมดไปทั้งอย่างนั้น เช่นเดียวกับใจที่ต้องการชาร์จพลังจากสวีเว่ยโจว คำตอบจากเขาทั้งที่ควรสบายใจแต่กลับไม่ใช่เลย เด็กนั่นกำลังฝืน เขากำลังสาหัสมากมายกว่าผม แต่สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือถอดผ้าปิดปากออก กวาดตายิ้มให้กล้องไหนซักกล้องที่พอจะส่งรูปนั้นไปถึงเขาได้ ผมหยิบตุ๊กตาลิงขึ้นมาจับพลิกดูแล้วก็ยิ้มให้มันเพื่อส่งข้อความถึงเว่ยโจว

 

 

รอก่อนนะ

รอฉันก่อน

 

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นความต้องการในอกก็พาผมมาหยุดหน้าประตูห้องของคนโดที่เคยคุ้น ใจหนึ่งอยากเคาะหลังมือลงไปเรียกอีกคนให้ออกมาหา แต่อีกใจกลับชะงักหยุดการกระทำทั้งหมดไว้เพียงเพราะอยากให้เขาเห็นจิ่งหยูในแบบที่เว่ยโจวอยากเห็น ผมยืนอยู่ตรงนั้นนานหลายนาที ปรับอารมณ์ตัวเองแล้วลงหลังมือเคาะไม่เบานัก

 

 

ผมได้ยินเสียงลากรองเท้าสลิปเปอร์จากด้านใน คาดว่าเขากำลังหยุดอยู่ตรงนี้แล้วมองผมผ่านรูเล็กๆ

 

 

เห็นใช่ไหม

นายเห็นฉันยิ้มให้ใช่ไหม

 

 

 

“มาได้ยังไง?” ประตูบานหนาเปิดออกอย่างแรกพร้อมกับประโยคไร้การทักทาย ตาโตๆนั้นมีแววตกใจยามเอ่ยถามหากไม่มีรอยยิ้มเจืออยู่ชวนให้ใจหาย

 

 

“นั่งรถมาสิ” เขาทำหน้าบึ้ง

 

“เมื่อกี้ยังเห็นอยู่สนามบินอยู่เลย”

 

“ก็นั่นมันเมื่อกี้” ผมยักคิ้วให้ ถ้าเป็นเว่ยโจวในแบบปกติคงต้องลงไม้ลงมือกับผมซักหมัดสองหมัด  แต่เขาก็ทำเพียงยิ้มน้อยๆส่งมาให้

 

“กินอะไรมาหรือยัง?” คนน่ารักของผมยังเสมอต้นเสมอปลาย แม้ตัวเองจะทุกข์ใจขนาดไหนก็ยังนึกห่วงคนอื่น

 

“ถ้าตอบว่ายังจะทำให้กินหรือ?”

 

“อืม…” เขาพยักหน้าก่อนจะเดินนำผ่านเข้าไปในส่วนของเคาท์เตอร์ที่ใช้ประกอบอาหาร

 

 

“นั่งรอก่อนนะ มีแต่พวกบะหมี่ เอาเป็นผัดไหม?” เสียงหวานเอ่ยถาม มือก็จัดแจงเปิดตู้เย็นหาผักหาเนื้อมาทำให้คนอื่น

 

 

ได้ยังไง…

เป็นแบบนี้ได้ยังไง

เขาทนแบกเรื่องทั้งหมดไว้คนเดียวได้ยังไง

 

 

แผ่นหลังนั้นยิ่งดูเล็กลงกว่าเดิมเมื่อเจ้าของช่วงไหล่แคบทิ้งตัวให้งอน้อยๆเพราะความอ่อนล้า ผมมองเขาที่ผัดอาหารอยู่หน้าเตา ปากก็เอ่ยถามสารพัดเรื่องมันชวนให้ขอบตาของผมร้อนผ่าว

 

วินาทีนั้น ผมตัดสินใจกับตัวเอง ผมจะไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว

 

 

อยากเข้าไปหาผมก็จะเข้าไป

อยากกอดเขาผมก็จะกอดเอาไว้เช่นในตอนนี้

 

 

“โจวโจว” เขาครางรับในลำคอ หากเป็นเวลาปกติเว่ยโจวคงต่อว่าหาว่าผมเป็นบ้าที่นึกอยากอ้อนก็อ้อนแบบนี้

 

“เป็นอะไรไหม?” เขาส่ายหัว มือยังคงหยิบจับเครื่องปรุงไม่เปลี่ยน

 

“ให้ฉันกอดแบบนี้ได้หรือเปล่า” ผมกระชับแขนแน่นขึ้นให้แผ่นหลังของเขารับรู้แรงเต้นในอกของผม  ให้เขารู้ว่าจังหวะของมันเป็นแบบไหน จะหนักเบาหรือหยุดไป ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับเขาคนเดียวเท่านั้น

 

“ถ้าฉันวางคางไว้บนไหล่นายจะหนักไหม?” เขาส่ายหัวอีกครั้งยอมแม้กระทั่งผมกดจมูกลงไปสูดกลิ่นหอมจางตรงไหล่เขา

 

“ถ้าฉันกอดนายแน่นขึ้นจะอึดอัดหรือเปล่า?”

 

“ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ ถ้าฉันไม่ไปไหน ถ้าฉันอยากอยู่ข้างๆนาย จะยินดีไหม?” ไหล่เขาสั่นไหว มือสวยตักอาหารลงจานแล้วผมถึงจับไหล่เขาให้หันมาหากัน

 

ปากอิ่มนั้นเม้มแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ กรอบหน้าชวนมองนั้นก้มต่ำเพราะอะไร ทำไมผมจะไม่รู้

 

“เว่ยโจว…” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม ยิ้มที่พยายามบอกว่าเขาไม่เป็นไรทั้งที่มือขาวยังกำเสื้อผมแน่น เขาส่ายหัวทั้งที่มีน้ำรื้นคลอเหนือหน่วยตา

 

 

“เหนื่อยมากไหม?” หยาดน้ำใสกลิ้งผ่านเรียวแก้มขาวคล้ายว่ามันตกกระทบลงมาในใจผมให้แสบร้อน แต่เว่ยโจวกลับให้โอกาสผมได้เห็นมันเพียงเสี้ยววินาที เขาพยายามปาดน้ำตาออกในขณะเดียวกับที่เอ่ยขอตัวด้วยเสียงสั่นเครือยามที่หายเข้าไปในห้องน้ำ

 

ผมยกมือเสยผมตัวเองแรงๆอย่างนึกหงุดหงิดใจเพราะพยายามเท่าไหร่ก็สลัดอาการปวดร้าวในอกออกไปไม่ได้เลย

 

 

เสียงสะอื้นหลังประตูบานหนาดังลอดออกมาแม้เจ้าตัวจะพยายามสะกดมันไว้มากแค่ไหน เขาคงมองไม่เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งพิงหลังกับประตูบานนั้นแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆเป็นเพื่อนเขา

 

 

ฉันควรทำยังไงดีล่ะเว่ยโจว

ต้องทำยังไงถึงจะไปอยู่ตรงนั้นได้

 

 

“เว่ยโจว…” ผมเอ่ยเรียกคนที่อยู่ด้านใน มั่นใจว่าเขาจะได้ยินทุกคำพูดต่อจากนี้

 

“รู้ใช่ไหมว่าฉันอยู่ตรงนี้ รู้ใช่ไหมว่าไม่เคยไปไหน เมื่อไหร่ที่นายต้องการฉันจะมาหา” เสียงสะอื้นนั้นดังขึ้นอย่างปวดร้าว อาการในอกของผมมันสาหัสจนต้องจิกเล็บลงกับต้นแขนตัวเอง

 

“นาย...อนุญาตให้ฉันอยู่ตรงนั้นได้ไหม ตรงที่จะจับมือนายไว้แล้วฝ่าฟันให้ผ่านพ้นทุกปัญหาไปด้วยกัน ให้ฉันได้อยู่ตรงที่นายจะนึกถึงเป็นคนแรกยามทุกข์ใจ ให้ฉันได้กอดนายไว้แล้วปลอบใจ ให้ฉันได้เป็นคนที่นายจะบอกทุกอย่างแม้ไม่กล้าบอกใคร”

 

“ให้โอกาสฉันได้อยู่ตรงนั้นเถอะนะเว่ยโจว”

 

 

เสียงลูกบิดประตูปลดล็อค

แต่ผมยังไม่เปิดเข้าไปในทันที

ปล่อยให้เว่ยโจววักน้ำจากก๊อกล้างหน้าล้างตาตัวเองแล้วถึงได้เดินเข้าไปหา

 

 

ผมจับช่วงเอวของเขายกทีเดียวเจ้าตัวก็ขึ้นไปนั่งบนพื้นที่ด้านข้างอ่างล้างหน้าให้ผมแทรกตัวเข้าไปตรงช่วงขาของเขาอย่างง่ายดายก่อนใช้ผ้าสะอาดแตะซับหยาดน้ำให้เบามือเพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ปลายจมูกนั้นแดงกว่าเดิม

 

เว่ยโจวยังก้มหน้านิ่งจนผมต้องเชยคางเขาขึ้น เสียงสะอื้นหายไปแล้วแต่ปากอิ่มยังถูฟันคมกดไม่คลายจนกลัวว่าจะฝากรอยให้เลือดซึมในนาทีใดนาทีหนึ่ง ผมกลัวไปหมด กลัวว่าเขาจะเจ็บกว่าที่เป็นอยู่จนต้องส่งปลายนิ้วเข้าไปไล้คลึงให้เขาคลายอาการนั้นเช่นเดียวกับที่ปัดปอยผมเปียกลู่ด้านหน้าให้

 

ขอบตาบวมแดงนั้นน่าสงสารคล้ายเรียกร้องอยู่ในทีจนเผลอกดจูบลงไปให้เจ้าตัวตวัดสายตาใส่ผมถึงหัวเราะลงคอเป็นการล้อเลียนใส่เขา

 

“ก็ไหนว่าจูบกันจนชินแล้วไง” ลองพูดติดตลกออกไปแบบนั้นเขาถึงยิ้มออกมาได้ในที่สุด

 

“ไม่เอาแล้วนะ ไม่เป็นแบบนี้แล้ว มีอะไรทุกข์ใจหรือหนักใจต้องบอกฉัน เข้าใจไหม?”

 

“นายมีเรื่องให้ปวดหัวมากพออยู่แล้ว ฉันจะเอาปัญหาไปให้นายอีกได้ยังไง” ตัวดื้อยังไงก็ยังเป็นตัวดื้อของผมไม่เปลี่ยน พอเห็นเขาทำหน้าหมองอีกครั้งผมก็นึกขึ้นได้หยิบเจ้าตุ๊กตาลิงที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อสวมเข้ากับมือแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

 

 

“ไม่บอกจิ่งหยู บอกพี่ลิงก็ได้นะ” ให้ตายเถอะ เกิดมาผมไม่เคยดัดเสียงเล็กเสียงน้อยแบบนี้กับใครเลยจริงๆ แต่ถ้าทำให้เด็กตาโตของผมยิ้มออกมาได้จะให้เล่นเป็นพี่ลิงตลอดไปก็ยินดี

 

“น้องโจวเป็นอะไรครับ ไหนบอกพี่ลิงซิ” เด็กน้อยจับแขนพี่ลิงเล่นแล้วก็ยิ้มออกมา

 

“ผมกลัว…” เว่ยโจวยอมเอ่ยปาก เช่นเดียวกับผมที่นิ่งฟัง

 

“ถ้าผมพูดอะไรออกไปมันจะมีผลกระทบมากแค่ไหน”

 

“ถ้าผมทำอะไรลงไป จะส่งผลร้ายแรงไหม?”

 

“ผมขอโทษไปแล้วและผมกำลังคิดว่าควรทำยังไงต่อ เขาจะรอผมได้ไหม?”

 

“ผม...ทำผิดไปแล้ว…” เว่ยโจวกลืนก้อนสะอื้นลงคอ

 

“พวกเขา...จะให้อภัยผมไหม” เว่ยโจวแตะหน้าผากตัวเองลงกับตุ๊กตาลิง แต่ผมปัดมันออกแล้วแทนตัวเองลงไป

 

หน้าผากของเราแนบกัน เราส่งผ่านความรู้สึกถึงกันผ่านมือที่ผมบีบเบาๆให้เขาผ่อนคลาย

 

“ไม่ต้องกลัวนะเว่ยโจว พวกเขาจะเป็นกำลังใจให้นาย” ผมลูบเบาๆลงบนต้นคอของเขา เงาในกระจกสะท้อนช่วงไหล่ที่สั่นไหวอีกครั้ง

 

“พวกเขา...จะยังรักฉันอยู่ไหม?” ผมดึงเขามากอดแนบอก ให้น้ำตานั้นซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามาในใจ

 

“พวกเขาจะรักนาย เหมือนที่ฉันรัก” ผมจับไหล่ของเขาให้ทิ้งระยะพอสบตากัน

 

“แต่ฉันอาจจะรักนายมากกว่าพวกเขาหน่อยนะ อันนี้ต้องเข้าใจ เพราะฉันรักนายที่สุดแล้ว” มือเรียวสวยฟาดลงมาบนอกผม เขาระเบิดหัวเราะทั้งน้ำตา คงเพราะเหนื่อยใจกับผมเต็มทน หลังมือนั้นปาดเช็ดหน้าตัวเองแรงจนต้องหยุดมือเขาเอาไว้แล้วค่อยแตะซับออกให้เอง

 

“ขอบคุณนะ”

 

ผมอยากให้คุณเห็นจัง

เว่ยโจวยิ้มออกมาแล้ว

ยิ้มทั้งปากและตาเหมือนที่ทั้งคุณและผมปรารถนาให้เป็นอยู่เสมอ

 

ผมทิ้งเวลาให้เขาได้ปรับอารมณ์ตัวเองก่อนจะจับมือเขาให้แบออก

 

 

“รู้อะไรไหมเว่ยโจว” เขาเลิกคิ้วสงสัย แต่ผมกลับวาดปลายนิ้วของตัวเองลงบนฝ่ามือของเขา

 

“นิ้วของฉันเป็นของนาย ฉันจะปาดน้ำตาออกให้ตอนที่ร้องไห้”

 

ผมสอดมือจับเขาไว้ ให้นิ้วของเราเติมเต็มช่องว่างระหว่างกันจนแนบแน่น

“มือของฉันเป็นของนาย ฉันจะกุมไว้ถ้านายต้องการใครให้ไขว่คว้า”

 

 

ผมดึงเขาเข้ามาซบแนบอก

“อ้อมกอดนี้เป็นของนาย ฉันจะโอบเอาไว้ถ้านายหนาว”

 

 

ผมจับมือเขามาวางเหนือแผ่นอก ให้รับรู้ถึงแรงบีบหนักของก้อนเนื้อในนั้น

“หัวใจฉันเป็นของนาย มันจะหยุดหรือเดินต่อ ขึ้นอยู่กับความสุขของนายนะ”

 

 

“อื้อ”

 

เว่ยโจวรับคำ แต่คราวนี้เขากลับทำให้ลมหายใจของผมสะดุดเมื่อเรียวแขนนั้นโอบกอดผมเช่นกัน

 

 

“จิ่งหยู...มันอาจจะฟังดูแปลกไปซักหน่อย” ผมกลั้นหายใจ รอฟังทุกถ้อยคำของเขา

 

 

 

“แต่เรามาเป็นของกันและกันไหม?”

 

 

 

 

ผมเงียบไป ใบหน้าของตัวเองนั้นชวนตลกยามได้ยินประโยคนั้นของเขา ก่อนผมจะรวบรวมสติแล้วเอ่ยถามออกไป

 

 

 

“หมายถึงแบบนั้น...ในห้องน้ำนี้น่ะเหรอ?”

 

 

 

“ไอ้บ้าเอ๊ย!! ออกไปเลยนะ!!”

 

 

 

ทั้งที่ผมถูกผลักออกมาจากห้องน้ำ โดนตุ๊กตาโยนใส่หน้าแถมปิดประตูดังปังจนเกือบชนจมูก

 

 

แต่ให้ตายเถอะ

มีความสุขเป็นบ้า!!

 

 

 

คุณครับ...ผมทำสำเร็จแล้วนะ

บอกแล้วไง ว่าโจวโจวก็เป็นโลกทั้งใบของผมเช่นกัน

 

 

อ่า…

ผมรักเขาจัง

 

 

 

 

 

THE END

 

 

สวัสดีค่าาาา จบแล้วววว เย้เฮ!!!

ฟิคนี้ได้พล็อตมาจากพี่สาวคนหนึ่งค่ะ  นี่ก็บ้ายุแต่งเนอะ 5555555 เลยให้เรื่องนี้ชื่อ For you ค่ะ

You ที่แทนพี่ของเรา ที่คุณทุกคนที่อ่าน ที่แทนหยูโจว แทนเรื่องราวทั้งหมด

 

 

และจะดีใจมากเลย ถ้า You นั้นจะแทนเราที่ทุกคนคอมเม้นท์มาให้ นี่~~~~ อ้อนเลเวล 5 เลย 555555

 

ไปและ ขอโทษที่มาช้านะคะ

แล้วพบกันค่ะ

 

 

ด้วยรัก

จาก...ดิ'โรแมนดรา

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว