“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ดีใจหรือไงที่เธอกลับมา”เสียงของแม่ดังขึ้นจากหัวโต๊ะ เสียงนั้นยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม แต่ทุกถ้อยคำกลับแทงทะลุเข้ากลางอกผมอย่างจัง
ผมเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองใบหน้าของคนที่ผมเคยเชื่อว่าเข้าใจผมที่สุดในโลก แต่วันนี้...ผมไม่แน่ใจแล้ว
“ที่เธอมาอยู่ที่นี่ เป็นฝีมือแม่ทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ” ผมถามช้า ๆ เสียงเรียบแต่คุมไม่อยู่ ความขุ่นในอกมันตีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“รวมถึงเอาเข้ามาอยู่ในทีมผมด้วย?”แม่ยิ้มเบา ๆ ยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างใจเย็น
“จะบอกแบบนั้นก็ได้ แต่ไม่ทั้งหมดหรอกลูก”ผมหลุบตาลง แค่ประโยคสั้น ๆ ก็รู้แล้วว่าใช่
“ข้างบนอยากให้ทีมลูกมีคนเพิ่มมาดูแลเรื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ” แม่พูดต่อ
“พอดีเพื่อนแม่ที่อยู่อังกฤษแนะนำลูกน้องว่า ฝีมือใช้ได้ แม่เลยลองเอาประวัติมาดู ถึงรู้ว่าเป็น...เขียนฝัน”
“ทำไมครับแม่” ผมเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นตรง ๆ “แม่เป็นคนบอกให้เธอไปจากผมเอง เป็นคนแยกเราสองคนออกจากกัน แต่วันนี้แม่กลับเป็นคนดึงเธอกลับมา...แม่ต้องการอะไรกันแน่?”
เงียบ...
แม่ถอนหายใจแผ่ว เสียงของเธอเบาแต่มั่นคง
“ตอนนั้นแม่ยอมรับว่าแม่ผิด เพราะแม่คิดว่าทั้งสองคนยังเด็กเกินไป แยกกันไปเติบโตน่าจะดีกว่านี้ เห็นไหม...มันก็ดีจริง ๆ เขียนฝันเก่งมากเลยนะลูก”ผมหลับตา พยายามกลั้นทุกอย่างไว้
“แล้วความเจ็บปวดของผมล่ะครับแม่...แม่รู้ไหมว่าแต่ละวันที่ไม่มีเธอมันเป็นยังไง”แม่ยังคงนิ่ง ฟังผมพูดต่อด้วยสีหน้าเศร้า
“แม่ไม่รู้เหรอว่าเธอจะเป็นยังไงตอนนี้...เธออาจจะทำใจได้แล้ว มีครอบครัวไปแล้วก็ได้ ทำไมแม่ต้องให้เธอกลับมาอีก แม่จะทำร้ายผมไปถึงไหน?”
“เธอไม่มีใครแล้ว” เสียงของแม่อ่อนลง
“แม่ก็คิดว่าเธอ...ยังรอลูกอยู่ เหมือนที่ลูกรอเธอไง”หัวใจผมกระตุก เหมือนคำพูดนั้นขุดบางสิ่งที่ผมฝังไว้ลึก ๆ ให้โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
“พอเถอะครับ...” ผมลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“หยุดเถอะครับแม่ หยุดวุ่นวายกับผมหรือใคร ๆ ให้พวกเราเดินในทางของพวกเราเองเถอะครับ”ผมโค้งให้แม่เล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง เสียงเก้าอี้เสียดพื้นไม้ดังตามหลัง แต่แม่ไม่พูดอะไรอีกเลย
ผมเดินออกมาจากหน่วยด้วยหัวใจหนักอึ้ง... ผมไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรระหว่าง “ดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้ง” กับ “เจ็บที่ต้องเจอทั้งที่ยังลืมไม่ได้”
ความจริงคือ...ผมไม่เคยลืมเลยต่างหาก
