นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยามจ้องมองมาที่เขานั้นแฝงไปด้วยความดื้อรั้นไม่ยอมคน ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานกี่ปีดวงตาคู่นี้ก็ยังส่งผลกับหัวใจของเขาที่หวังอยากเอาชนะลูกแกะพยศตัวนี้
ฝ่ามือหนาของคิมหันต์ผลักไปที่หน้าอกของคนตัวเล็กกว่าให้ล้มลงบนเตียงก่อนจะก้าวขาขึ้นไปนั่งคร่อม แต่รอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มหน้าหวานกลับทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องราวอันน่าอดสูของตนเอง
‘ไม่สิ! คนตรงหน้าไม่ใช่ลูกแกะพยศแต่เป็นหมาป่าหุ้มหนังแกะต่างหากล่ะ’
คิดได้มันก็สายไปเสียแล้วเพราะตอนนี้ได้มีบางสิ่งที่ทั้งใหญ่และยาวกำลังถูกกดสอดแทรกเข้ามาในตัวของเขาแล้ว
“อึก!” เขาพยายามขบกัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงน่าอาย
ปัง! ปัง!
คิมหันต์ที่กำลังนอนกอดหมอนข้างอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตู
“นั่นใคร!” คิมหันต์ตะโกนถามด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขานั้นหงุดหงิดที่ถูกปลุกขึ้นมากลางดึกหรือหงุดหงิดที่มีคนมาขัดจังหวะความฝันที่กำลังถึงพริกถึงขิง
แต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้นอนคนเดียวจึงเอื้อมมือไปสัมผัสเด็กน้อยที่นอนหลับข้างกายทันทีด้วยกลัวว่าลูกน้อยจะตื่น หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าลูกชายตัวน้อยยังคงนอนนิ่งจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าโหมดไฟฉายแล้วเดินตรงไปที่ประตูห้อง
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นพนักงานของทางโรงแรมนะคะ”
“ผมไม่เข้าใจเลยนะว่าโรงแรมนี้ไม่มีความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าเลยหรือไง ถ้าลูกผมตื่นเพราะเสียงปลุกของคุณนะเราได้เห็นดีกันแน่” คิมหันต์ใช้น้ำเสียงที่เบากว่าตอนแรกแต่ยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
“คือว่า...ทางพนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นเด็กผู้ชายอายุไม่น่าจะเกินสี่ขวบเข้าลิฟต์ที่ชั้นนี้ค่ะ ทางเราตรวจสอบดูแล้วว่ามีลูกค้าชั้นนี้แค่คนเดียวที่มากับเด็กก็เลยอยากจะมาสอบถามว่าใช่ลูกชายของคุณลูกค้าหรือเปล่าคะ”
“เหลวไหลไร้สาระที่สุดลูกชายฉันก็นอนอยู่บนเตียงนั่นไง” คิมหันต์ว่าพลางเอื้อมมือไปกดเปิดสวิตช์ไฟ
ก่อนที่เขาจะลุกมาเปิดประตูพูดคุยกับพนักงานเขาได้เอื้อมมือไปแตะลูกชายดูแล้วตอนนั้นเขาสัมผัสได้ว่าลูกชายยังคงนอนหลับอยู่เขาจึงเลือกที่จะใช้ไฟฉายในโทรศัพท์แทนที่จะกดเปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียง
“เพื่อความสบายใจของพนักงานรักษาความปลอดภัยดิฉันขอเปิดผ้าห่มดูหน่อยนะคะ”
“เชิญ...แต่ถ้าลูกผมตื่นคุณถูกคอมเพลนแน่นอน”
“ขอบคุณค่ะ”
พนักงานสาวเดินตรงไปที่เตียงเตรียมเปิดผ้าห่มออก หากลูกชายของลูกค้าตื่นขึ้นมาตอนที่เธอเปิดผ้าห่มเธออาจจะถูกคอมเพลนอย่างที่ถูกขู่เอาไว้ แต่ถ้าเด็กคนนั้นที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นคือลูกชายของลูกค้าจริงๆ แล้วปล่อยให้ลูกค้ารู้เองว่าลูกชายหายไป ทางโรงแรมอาจจะถูกฟ้องเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยแน่นอน
“เฮ้ย...เดี๋ยวนะทำไมลูกฉันกลายเป็นตุ๊กตาไปได้ล่ะ” คิมหันต์ดวงตาเบิกกว้างในตอนที่เอ่ยถาม
“อย่างที่ดิฉันเรียนให้คุณลูกค้าทราบนั่นแหละค่ะ”
“มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่ผมหลับอยู่ เล่ามาให้ละเอียดเลยก่อนที่ผมจะฟ้องโรงแรมของคุณ”
แม้ว่าหัวใจจะร้อนรุ่มดั่งไฟมาสุมอกแต่การจะวิ่งออกไปตามหาลูกชายโดยไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยมันก็คงไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
“เมื่อตอนประมาณ 02:00 น. มีเหตุทะเลาะวิวาทกันที่หน้าโรงแรมทางพนักงานรักษาความปลอดภัยจึงออกไปเฝ้าสังเกตการณ์และโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาระงับเหตุ กว่าเรื่องจะจบก็กินเวลาไปถึง 03:00 น. เลยค่ะ หลังกลับมาที่ห้องสังเกตการณ์ทางพนักงานก็ย้อนดูกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ จึงได้เห็นว่าช่วงชุลมุนมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในลิฟต์ชั้นนี้เพื่อลงไปชั้นล่างก่อนจะแอบขึ้นรถที่มาส่งของให้ทางห้องครัวของโรงแรมออกไปค่ะ”
“ละ ลูกผมหนีออกจากห้องตอนกี่โมงครับ”
“ประมาณ 02:30 น. ค่ะ ทางโรงแรมได้ให้คนตามรถส่งของไปแล้วแต่คนขับบอกไม่พบตัวเด็กเลย”
“ผมต้องรีบแจ้งตำรวจก่อน” เตรียมกดโทรศัพท์เพื่อต่อสายหาตำรวจด้วยความร้อนใจ
“ตำรวจยังไม่รับแจ้งหรอกค่ะถ้ายังไม่ครบ 24 ชั่วโมง”
คิมหันต์จ้องมองพนักงานโรงแรมด้วยความกังวลใจ ในเมื่อยังแจ้งความไม่ได้เขาก็คงต้องพึ่งตัวเอง
“ขอบคุณมากเลยนะครับที่มาแจ้งผมเรื่องการหายตัวไปของน้อง รบกวนช่วยปิดเรื่องนี้ให้เป็นความลับด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
คิมหันต์รู้สึกมืดแปดด้านไปหมดเพราะตั้งแต่ นิวเยียร์ เกิดจนตอนนี้อายุสามขวบแล้ว เด็กน้อยไม่เคยใช้ชีวิตเพียงลำพังเลย ถ้าไม่ไปโรงเรียนก็จะอยู่กับเขาหรือไม่ก็พี่เลี้ยงตลอด อย่าว่าแต่ขึ้นลิฟต์เพียงลำพังเลยแค่เดินไปเข้าห้องน้ำคนเดียวยังไม่กล้า แต่วันนี้พนักงานของทางโรงแรมกลับมาบอกเขาว่าลูกชายแอบหนีออกจากโรงแรมตอนนี้สิ่งที่เขาคิดคือการได้เห็นกับตา
คิมหันต์รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เขาขอไปตรวจดูกล้องตอนที่ลูกชายหนีไปเพื่อให้เห็นกับตาว่าเด็กคนนั้นคือลูกชายของเขาจริงๆ