จ้าวฟางเซียนต้องสวมรอยเป็น คุณหนูจ้าวผู้สูงศักดิ์ เพื่อเข้าพิธีวิวาห์กับแม่ทัพฉินจื่อหาน ในวันที่พี่สาวต่างมารดาผู้เป็นเจ้าสาวตัวจริงสิ้นลมเพราะโรคฝีดาษ ในขณะที่ชีวิตของนางกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางต้องเลือกระหว่างการรอความตายอยู่ที่จวนหรือหนีออกจากจวนเพื่อติดตามผู้เป็นสามีไปยังชายแดนพร้อมกับ “หนังสือหย่า” ที่เขาเขียนทิ้งไว้ให้นาง
ฮูหยินผู้นี้ขอคืนหนังสือหย่าให้กับท่านแม่ทัพ
บทนำ
“นางสารภาพหรือไม่”
“ไม่ขอรับ” เฉิงซีส่ายหน้าไปมา
“ท่านแม่ทัพหากนางสารภาพออกมาเองก็จะดีกว่าหรือไม่ แต่ตอนนี้ขอช่วยนางก่อนเถิดขอรับ” แต่จื่อหานกลับไม่เห็นด้วย
“หากเจ้าไม่ตอบ เจ้าก็ต้องตาย” แม่ทัพฉินมองฟางเซียนด้วยแววตาแข็งกร้าว มือใหญ่เอื้อมไปกระชากสาบเสื้อของนางอย่างดุดัน
“เอาแส้มา” คำสั่งดุเกรี้ยวของแม่ทัพฉินนั้นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทหารหลายนายรอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกังวลใจว่าสตรีบอบบางผู้นี้จะทนไม่ไหวกับการสอบนักโทษของผู้เป็นแม่ทัพ
“ท่านแม่ทัพ ข้าว่าท่านใจเย็น ๆ ก่อนจะได้หรือไม่”
“กุนซือหวัง” จื่อหานหันไปตะเบ็งเสียงสั่งกุนซือของกองทัพด้วยท่าทางไม่พอใจที่เฉิงซีคอยเข้ามาขัดขวางอยู่ตลอดเวลา เขาจะปล่อยให้ความเห็นใจของบุรุษอย่างเฉิงซีเกิดขึ้นไม่ได้ อีกทั้งหากจิตใจของเฉิงซีเอนเอียงให้ตรีนางนี้เพียงแรกพบเพราะนางมีใบหน้างดงามก็อาจจะทำให้ตกหลุมพรางของศัตรูได้
“ข้าว่า...”
“ถอยไป” กุนซือหวังยังพูดไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำแต่แล้วก็ถูกผลักเข้าที่หน้าอกด้วยความแรงของฝ่ามือใหญ่ จนร่างของเขากระเด็นถอยไปหลายก้าว
จื่อหานยกแส้หนังขึ้นสูงแล้วออกแรงเหวี่ยงลำแขนยาวฟาดแส้หนังลงบนหลังของฟางเซียน
“เพลี๊ยะ!” เสียงแส้กระทบแผ่นหลังบอบบางของนางดังสนั่นไปทั่วท้ายค่ายในความเงียบงัน ทหารที่เห็นภาพนั้นยังเสียวสันหลังไปตาม ๆ กัน เพราะหากโดนแส้ลงหลังถึงเพียงนั้น พวกเขาก็คงจะเจ็บจนต้องร้องโอดโอยออกมา
“อื้อ! อ๊ะ!” นางครางร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด นี่คือครั้งที่สองที่แส้หนังฟาดลงบนแผ่นหลังของนาง ความเจ็บปวดทรมานจนแทบไม่อาจบรรยายได้ ทั้งหดหู่และสิ้นหวัง ความรู้สึกนั้นฉายประกายชัดเจนในแววตาของนาง ความเจ็บปวดสุดแสนทรมานที่นางเพิ่งเคยได้รับมากที่สุดในชีวิตก็ครั้งนี้ ที่ผู้เป็นสามีเป็นคนลงมือฟาดแส้หนังลงที่แผ่นหลังของนางเอง
มือเรียวกำเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บปวด น้ำตาของนางรินไหลดุจหยาดฝนที่ตกกระทบพื้นทรายอันแห้งผาก ความเสียใจสุดซึ้งถาโถมเข้ากระแทกดวงใจเล็ก ๆ กุนซือหวังที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั้นกลับกัดฟันแน่นด้วยไม่รู้จะช่วยอย่างไร
สายฝนเริ่มค่อย ๆ โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ไปกับนาง แสงขาวจากสายฟ้าฟาดลงยังเชิงเขาป่าสนที่อยู่ไม่ไกลที่ตั้งค่าย
“เปรี้ยง!” แสงประกายวูบวาบสะท้อนใบหน้าขาวผ่องที่ทุกข์ทรมานกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ขาเรียวทั้งสองข้างกลับไม่มีแรงพยุงร่างกายที่บอบช้ำอีกแล้ว นางทรุดเข่าลงกับพื้นโดยไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป
“ฝนจะตกแล้วนะท่านแม่ทัพ” กุนซือหนุ่มที่ร้อนใจจนอยู่ไม่ติด
“อยู่ใต้ฟ้า เจ้าจะกลัวอะไรกับฝน” ผู้เป็นแม่ทัพหนุ่มหันไปถลึงตาใส่กุนซือที่เริ่มจะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเขาอยู่ในขณะนี้
“ฝนตกลงมาก็ดีให้นางตากฝนอยู่ตรงนี้จนกว่านางจะยอมเอ่ยปาก ว่านางเป็นผู้ใด เข้ามาในค่ายทหารด้วยเหตุใด” ช่างเป็นการทรมานนางยิ่งนัก
“จะดีหรือท่านแม่ทัพ ข้าว่าแค่ท่านเฆี่ยนนางด้วยแส้หนังสองครั้ง อาการของนางก็ปางตายแล้วนะ หากจะให้นางยืนตากฝนอยู่อย่างนี้ ข้าว่านางคงจะสิ้นใจคืนนี้เป็นแน่”
“นางเองที่เป็นผู้เรียกร้อง ผิดอันใดเล่าที่ข้าจะทำตามความต้องการของนาง” ฟางเซียนเงยหน้ามองผู้เป็นสามีที่อยู่ตรงหน้า จิตใจของเขาช่างโหดร้ายยิ่งนัก ถึงว่าเขาจึงได้เขียนจดหมายหย่าให้นางก่อนออกเดินทาง นางเข้าใจแล้วกับความคิดของผู้เป็นสามี นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความคิดของเขาก็วันนี้วันที่เขาไม่เคยมีความเมตตาสงสารผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย นี่หรือสามีที่นางเฝ้าโหยหาคิดถึงอยู่ในทุกย่างก้าวที่นางรอนแรมมาจนถึงชายแดน
ฉินจื่อหานเห็นดวงตาตัดพ้อในแววตาของนางก็ทำให้เขาชะงักขึ้นมา ไม่นึกว่าสตรีนางจะใช้สายตาแบบนั้นจ้องมองเขาเหมือนกับว่านางรู้จักเขามาก่อนและกำลังอยากจะตัดพ้อเรื่องบางอย่าง