"ฉันใช้ชีวิตคนเดียวมานาน นับ ๆ ดู ก็เกือบ 10 ปี เห็นจะได้ ตั้งแต่จบมัธยมปลาย ฉันก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด มีกลับบ้านบ้างเป็นช่วง ๆ ตอนฝึกงานก็ฝึกต่างหวัด อย่างตอนนี้ทำงาน ก็ทำต่างจังหวัดเหมือนกัน
ฉันไม่รู้สึกว่านั่นคือบ้านของฉัน เพราะโดนย้ำใส่ใจอยู่เสมอว่านี่คือบ้านตา ตาจะยกให้น้าชาย ครอบครัวเราไม่มีบ้านอยู่ อาศัยอยู่กับคนอื่น ทุกวันนี้ไม่มีห้องของฉันในบ้านหลังนั้น ฉันเลยอยากทำงาน ซื้อบ้านเป็นของตัวเองก่อนย้ายกลับไปทำงานประจำที่นั่น
ฉันแอบอิจฉาน้องสาวอยู่บ่อย ๆ เธอดูได้ทุกอย่างมาง่ายเหลือเกิน เธอดูใช้ชีวิตง่ายดี ทำพลาด ก็ไม่เคยโดนว่า อาจจะโดนบ่นเล็กน้อย เล็กน้อยจริง ๆ ถ้าเทียบกับฉัน ย้อนไปตอนเด็ก ๆ ฉันต้องเรียนให้เก่ง ต้องสอบให้ได้ที่ 1 ต้องได้เกรดดี ๆ ฉันถึงจะได้รับคำพูดดี ๆ ได้รับของดี ๆ แต่น้องของฉันไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย เรียนไม่เก่งก็ไม่เป็นไร ทำนิสัยไม่น่ารักก็ไม่มีใครว่า เวลาเราทะเลาะกัน ไม่ว่าใครจะผิดหรือถูก ก็เป็นฉันเสมอที่โดนลงโทษ อาจจะไม่ถึงขั้นทุบตี แต่โดนเฆี่ยนก็บ่อยอยู่ โดนดุด้วยถ้อยคำแรง ๆ เกือบจะประจำ ฉันเสียใจอยู่เสมอ แต่ไม่มีใครรู้ เพราะฉันไม่กล้าบอกใคร ฉันก็กลับย้ำตัวเองว่าต้องทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ต้องห้ามทำพลาดความเจ็บปวดทางใจมันน่ากลัว ฉันในตอนนั้นต้องอาศัยความอดทนอย่างมากในการประคับประคองใจที่แตกสลายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า นับครั้งไม่ถ้วน จนเติบโตมาเป็นฉันในวันนี้ ฉันตั้งใจไว้ตลอดว่าฉันจะขอใช้ชีวิตคนเดียว ไม่อยากสร้างครอบครัวเพิ่ม เพราะครอบครัวสำหรับฉันมันไม่ได้อบอุ่น และคุณก็คงไม่ได้เป็นคนใจดีทุกวัน ฉันอยากให้คุณเจอคนที่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ ส่วนฉันไม่พร้อมจริง ๆ และคิดว่าน่าจะไม่มีวันพร้อมสำหรับเรื่องนี้ ต้องขอโทษด้วยค่ะ"
“เราก็จะไม่ทำแบบนั้นกับลูกของเรา” ชายหนุ่มเอ่ยแผ่วเบาอย่างเข้าใจความรู้สึกของเธอ
“คุณอย่าคิดถึงขั้นนั้นเลย มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี ฉันไม่อยากหักหาญน้ำใจคุณไปมากกว่านี้ เราเป็นแค่กัลยาณมิตรที่ดีต่อกันได้ไหมคะ”
“ถ้าผมจะจับคุณปล้ำเสียตอนนี้เลยล่ะ”
“คุณไม่ทำหรอก เพราะคุณเองก็เป็นคนดี สักวันคุณก็ต้องเจอคนดี ๆ ที่เหมาะสมกับคุณในทุกด้าน”
“คุณไง”
“ไม่ใช่ฉันค่ะ ฉันทำนายอนาคตตัวเองแม่นเสมอ เพราะใจฉันมั่นคงมากกว่าที่คุณคิด”
“ผมก็เป็นคนอดทนมากกว่าที่คุณคิดเหมือนกัน ผมจะรอดูว่าคุณจะใจแข็งอีกนานแค่ไหน”
“นานกว่าที่คุณคิดละกันค่ะ”
“ผมไม่ดีตรงไหน อดีตของผมเหรอ ผมกลับไปแก้มันไม่ได้ แต่อนาคตผมกล้าพูดเลยว่าใจผมก็มั่นคงพอ ๆ กับใจคุณ”
“ไม่ได้เกี่ยวกับคุณเลยค่ะ ฉันเลือกเพราะตัวฉันล้วน ๆ ฉันแคร์ความรู้สึกของตัวเองมาก และฉันรู้จักตัวเองดี คุณ...ฉันผ่านช่วงเวลาย่ำแย่ของชีวิตมาตัวคนเดียวเสมอ ฉันเจ็บคนเดียว ป่วยคนเดียว ฉันขับรถพาตัวเองไปหาหมอ ฉันเที่ยวคนเดียว ฉันกินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ทำทุกอย่างคนเดียวได้ดี จนถึงตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรแล้วค่ะ”
“คุณอายุเท่าไหร่ ทำไมชอบพูดเหมือนคนแก่ ทำเหมือนตัวเองจะตายวันพรุ่งนี้อย่างนั้นแหละ เอาล่ะ ผมไม่อยากคุยกับคุณละ คุณตัดสินใจตามที่คุณเลือก ส่วนผมก็ตัดสินใจตามที่ผมเลือก แต่ผมอยากโชว์ให้คุณดูว่า ครอบครัวไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ยิ่งคุณมีครอบครัวกับผมยิ่งไม่น่ากลัว คุณอยากจะลองตอนไหน แค่บอกผม”
“เฮ้อ...คุณไม่ใช่พระอิฐ พระปูนนะ เดี๋ยวคุณก็จะเจอคนอีกมากมาย ฉันเองก็จนใจ ไม่รู้จะอธิบายคุณยังไงแล้ว”
.............
“คุณเริ่มเปิดใจให้ผมบ้างหรือยัง” น้ำเสียงค่อนไปทางเคร่งเครียดของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวฉงน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเกือบจะผูกเป็นโบ แต่ไม่ทันจะเอ่ยคำใด ชายหนุ่มดันเอ่ยประชดประชันต่อว่า
“ถ้ายังผมจะได้ถอย เพราะผมเองก็เริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกัน”
“ยังค่ะ ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้จริง ๆ ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ จริงจัง แต่ขณะที่เอ่ยออกไปก็รู้สึกแปลบ ๆ ที่อกข้างซ้ายอยู่ไม่น้อย “ฉันกลัวการมีครอบครัว” ประโยคหลังน้ำเสียงเบาลง ความแน่วแน่ในน้ำเสียงหายไปเกือบหมด
เอีี๊ยดดดดด!!!
ชายหนุ่มเทียบรถชิดบาทวิถีอย่างกะทันหัน
“คุณอายุเท่าไหร่แล้ว” จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ตั้งคำถามขึ้นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย น้ำเสียงติดห้วน เจือความหงุดหงิดเล็กน้อย ทำหญิงสาวคิ้วขมวดอีกระลอก
“อายุเท่าไหร่ แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณคะ” หญิงสาวตั้งคำถามด้วยอาการงงงวย ไม่ทราบสาเหตุว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มถึงพูดเรื่องอายุขึ้นมา ยังคิดไม่ตกกับคำถามแรก หญิงสาวก็ต้องตกใจอีกครั้งกับประโยคต่อมาของชายหนุ่ม
“ก็ผู้หญิงควรท้องตั้งแต่อายุ 20 กว่า ๆ ไม่เกิน 35 ไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นลูกจะมีสิทธิ์ไม่สมบูรณ์ ไหนจะมีภาวะเสี่ยงอื่น ๆ อีก” ขณะพูดชายหนุ่มนึกขำกับสีหน้าของหญิงสาวข้างกายที่ตอนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังงงเป็นไก่ตาแตก ยิ่งเขาพูดแบบนั้น หญิงสาวยิ่งงงไปกันใหญ่ ชายหนุ่มแอบยิ้มในใจ แล้วเอ่ยต่อคลายความสงสัยอย่างไม่รอช้า
“ก็ถ้าคุณยังไม่ตกลงปลงใจกับผมตอนนี้ ก็ไปฝากไข่ไว้ก่อน เผื่อคุณจะตกลงในอีกหลายปีข้างหน้า เราจะได้มีลูกโดยวิธีวิทยาศาสตร์ได้ไง ลำพังผมยังฟิตไปอีกนาน แต่คุณนี่สิ ทั้งทำงานหนัก พักผ่อนก็น้อย ไหนจะความเครียดสะสมอีก สุขภาพแย่หมด กำลังกายก็ไม่ออก ร่างกายไม่แข็งแรงจะมีลูกกับผะ…” ชายหนุ่มสาธยายไม่ทันจบ หญิงสาวที่เพิ่งควานหาเสียงตัวเองเจอ ก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อนว่า
“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
“น่าจะบ้าไปแล้วเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาตามง้อ ตามตอแยคุณ ทั้ง ๆ ที่ผมเองก็มีสาว ๆ มาขายขนมจีบออกจะบ่อย สารภาพตอนนี้เลย ตอนแรกผมกะจะให้คุณเป็นแม่สื่อให้ผมกับน้องสาวคุณ”
หญิงสาวหันขวับตอนได้ยินประโยคนั้น ตั้งท่าจะมีเรื่องกับชายหนุ่ม แต่เหมือนเขาจะรู้ทันความคิดเธอ เลยแย่งเอ่ยออกมาเสียก่อน “ผมรู้ว่ามันทุเรศ แต่ผมไม่เคยคิดอะไรไม่ดีกับน้องสาวคุณนะ ไม่สิ พอคิดดี ๆ ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยตั้งแต่แรก ต้องขอบคุณน้องสาวคุณมากกว่าที่ขับรถคุณเฉี่ยวรถผม แล้วให้คุณเคลียร์ ผมเลยได้รู้จักคนที่ใจเย็นที่สุดในโลก” หญิงสาวนั่งฟังนิ่ง ไม่รู้ว่านาทีนี้เธอควรต้องทำอย่างไร สมองเธอตื้อและขาวโพลน ไม่มีความคิดเห็น และคำพูดใดออกจากริมฝีปากบางเลยแม้แต่น้อย
“คุณเป็นคนดีมาก ในบางเรื่องคุณก็ดีเกินไป คนอื่นเขาจะเอาเปรียบคุณได้ง่าย ๆ แล้วคุณรู้อะไรไหม ชีวิตผมไม่เคยรู้สึกอยากยอมใครเท่าคุณมาก่อนเลย” เมื่อหญิงสาวยังคงเงียบ ชายหนุ่มจึงพูดต่อตามที่ใจคิด
“ความดีของคุณควรได้รับการถ่ายทอด ตอนนี้คุณสอนเด็ก ๆ คนอื่นไปแล้วในฐานะครู ผมอยากให้คุณมาสอนลูกผมบ้าง” “สอนลูกคุณเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่าง งงงวย เพราะเท่าที่เธอรู้จักเขา ก็พอจะทราบอยู่บ้างว่าชายหนุ่มยังไม่แต่งงาน แต่ก็ไม่แน่ สมัยนี้คนนิยมอยู่กินกันก่อนแต่งงานถมเถ เขาอาจจะเป็นผู้ชายประเภทนี้ก็ได้ หล่อนคิดในใจ ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นนานไปกว่านี้ จึงเอ่ยต่อว่า “ผมอยากให้คุณสอนลูกของผม ในฐานะแม่”
คำพูดทุกคำของชายหนุ่ม ทำหญิงสาวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าเห่อร้อน หูร้อน สมองว่างเปล่า เธอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถเคลื่อนออกจากริมบาทวิถีช้า ๆ หญิงสาวเหมือนจะนั่งเหม่อตลอดทาง แต่ความคิดในหัวถกเถียงกันอย่างกับมีคนขึ้นไปโต้วาทีในยัติ “ถูกต้องกับถูกใจ อย่างไหนดีกว่ากัน” เธอยังเถียงกับตัวเองไม่จบ แต่รถของชายหนุ่มถึงที่หมายแล้ว เธอเอ่ยขอบคุณเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เปิดประตูลงจากรถ แต่เมื่อได้สติก็พบว่าเขาพาเธอมาที่บ้านของใครก็ไม่รู้
“ผมรอคุณไม่ไหวหรอกนะ ผมรอคุณมาครึ่งปีแล้ว หมดเวลารอของผมแล้ว ถึงคราว ‘เอาจริง’ คุณเตรียมตัวให้ดี” ชายหนุ่มเน้นคำว่า 'เอาจริง' อย่างทะเล้นทะลึ่ง
“นี่เขาเป็นอะไร” คำถามนี้ผุดวนในหัวของเธอซ้ำ ๆ สลับกับ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”