เมื่อชีวิตกำลังหลงทาง อาจมีใครสักคนยื่นแผนที่มาให้พร้อมกับกำลังใจที่เต็มกระเป๋า แต่เราดันไม่พร้อมที่จะรับมันไว้ซะอย่างนั้น

“พี่ชื่อแสงแดดไม่ใช่หรอ? ทำไม...เจอทีไรชอบทำตัวอึมครึม เหมือนก้อนเมฆที่ฝนกำลังจะตกตลอดเลย” 

“ยิ้มให้เค้าเหมือนเวลายิ้มให้เด็ก ๆ หน่อยซี่~~ เค้าก็เด็กเหมือนกันนะ!!” 

เสียงเด็กผู้หญิงแปลกหน้า ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาทักทายแบบไม่ทันตั้งตัว เจ้าของความสดใส ผู้ที่หอบความรักมาเต็มกระเป๋า แต่ดันเป็นความรัก ที่มองทีไรก็เจ็บปวดไปหมด….. 

________________________________________________________________________________ 

ร่างกายลุกขึ้นตื่นไปทำหน้าที่ แต่ทว่าจิตวิญญาณยังคงนอนอยู่บนเตียง  

“ทำไมเหนื่อยแบบนี้นะ” 

มือเรียวบีบนวดไหล่กว้าง แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าที่ใช้ร่างกายมาทั้งสัปดาห์ แต่ถึงกระนั้นวันนี้พึ่งจะเป็นวันพฤหัสบดี เจ้าของเสียงเมื่อครู่จึงรีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่าง่าย  

“วันนี้เด็ก ๆ มีเรียนศิลปะ กิจกรรมกลางแจ้ง ว่ายน้ำ แล้วก็.....” 

ปฏิทินที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ถูกขีดเขียนรายการที่ต้องทำเต็มไปหมด สิ่งที่สำคัญในแต่ละวันถูกไฮไลท์ด้วยสีสันต่าง ๆ ช่างดูละลานตา ทำเอาเจ้าของปฏิทินเองยังต้องเพ่งเล็งมองลายมืออันเละเทะของตนอยู่นานหลายนาที ก่อนจะเปิดโทรศัพท์ดูตารางเรียนที่ตั้งไว้เป็นภาพพื้นหลังหน้าจอ  

“ตายแล้ว! นี่ 6 โมงกว่าแล้วหรอเนี่ย” 

พูดจบ โทรศัพท์ที่พึ่งจะถูกเปิดเมื่อครู่ ก็ถูกวางไว้บนเตียง ส่วนเจ้าของโทรศัพท์นั้น รีบหอบผ้าเช็ดตัวแล้ววิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำทันที 

. 

. 

. 

“คุณครู‘แสงแดด’~~” 

เสียงเด็กเล็ก ๆ เจี๊ยวจ๊าว ลอยมาตามลมในตอนเช้า ที่โรงเรียนอนุบาลขนาดใหญ่ใจกลางเมือง 

‘ฤกษ์ตะวัน’ วางกระเป๋าผ้าลงไว้ข้างโต๊ะประจำ ก่อนจะรีบเตรียมอุปกรณ์ศิลปะอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มทักทายเด็ก ๆ ที่ส่งเสียงเรียกเธอ รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมทุกครั้งที่เห็นเด็ก ๆ ตัวน้อยวิ่งเข้ามาหา เธอย่อตัวลงรับเจ้าเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน  

“สวัสดีครับวินวิน ไม่เจอกันนานคิดถึงจังเลย” 

“วินวินก็คิดถึงคุณครู” 

ห้องเรียนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกระดาษหลากสี บรรดาของเล่นและอุปกรณ์ทำกิจกรรมต่าง ๆ ถูกจัดวางไว้ทั่วห้องอย่างเป็นระเบียบ และเสียงสนทนาเล็ก ๆ เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวที่แสนจะวุ่นวายกลับกลายเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ แม้ว่าโลกข้างนอกจากโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่พื้นที่สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แห่งนี้กลับทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก 

“อีกสักพักเด็ก ๆ น่าจะมากันครบ เพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย....ว่าแต่เราชื่ออะไรนะ?” 

“ฤกษ์ตะวันค่ะ” 

“พี่หมายถึงชื่อเล่น” 

“ชื่อแสงแดดค่ะ” 

“แสงแดด...” 

หญิงสาวเจ้าของคำถามทำหน้านึกอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ 

“อ๋อ ที่เคยมาช่วยงานโรงเรียนตอนช่วงซัมเมอร์ใช่ไหม” 

“ใช่ค่ะ” 

“ตอนซัมเมอร์พี่มาแค่สองวันเอง เพราะป่วยกะทันหันเลยไม่ได้ทำความรู้จักเราเลย พี่ชื่อเตยนะ อยู่ห้องสายรุ้งแล้วนี่ฝึกสอนห้องไหนหรอ?” 

“ห้องครูแอมป์ค่ะ ห้องทานตะวันน่ะค่ะ” 

“ช่วงแรกอาจจะปรับตัวเยอะหน่อยนะ ปีนี้เด็กเยอะเลย ยิ่งเปิดเทอมแรก ๆ แบบนี้ พี่บอกเลยกับห้องไปได้กินข้าววันละสามจานแน่ ฮ่า ๆ” 

. 

. 

. 

ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก กริ๊งงงง 

เสียงนาฬิกาดังทั่วห้อง บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ฤกษ์ตะวันรีบเก็บอุปกรณ์ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับให้เด็ก ๆ ทำกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ไว้บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ  

“วันนี้เด็ก ๆ สนุกกันใหญ่เลยนะคะครูแสงแดด ครูแอมป์” 

เสียงแซวจากครูเตยดังขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏตรงหน้าห้องเรียน ในขณะที่ฤกษ์ตะวันกำลังเก็บของเล่นอย่างขะมักเขม้น  

“ใช่ค่ะ ครูแสงแดดช่วยได้เยอะเลย ส่วนเด็ก ๆ ก็พลังล้นเหลือกันสุด ๆ” 

“แต่ดีใจนะคะที่เด็ก ๆ มีความสุขตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอม ไม่มีใครร้องไห้งอแงเลย” 

“ดีแล้ว ตัดภาพไปที่ห้องพี่สิ ร้องไห้กันระงมเลย อยากจะร้องแข่งกับเหลือเกิน” 

ทั้งสามคนหัวเราะลั่น เพราะเมื่อนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นจริง ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ แต่ถึงแม้จะเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่พอพูดถึงเด็ก ๆ แววตาของฤกษ์ตะวันก็เปล่งประกายด้วยความสุขเล็ก ๆ เสมอ พอนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเด็ก ๆ แล้ว ช่างเป็นความเหนื่อยที่เต็มใจเหนื่อยซะเหลือเกิน 

หลังจากที่เก็บของทุกอย่างเสร็จ ฤกษ์ตะวันก็เดินไปหยิบกระเป๋าผ้าสีดำคู่ใจขึ้นพาดบ่า ก่อนจะหันไปโค้งเล็กน้อยให้กับครูทั้งสองคน 

“หนูขอตัวก่อนนะคะ วันนี้ต้องไปทำงานต่อที่ร้านกาแฟค่ะ” 

“โอเคจ้ะ สู้ ๆ น้า ดูแลตัวเองด้วย” 

“พรุ่งนี้เจอกันนะจ๊ะคุณครูแสงแดด” 

“ขอบคุณค่ะ” 

เสียงตอบรับของฤกษ์ตะวันแผ่วเบา ก่อนจะเดินออกจากโรงเรียนอย่างเงียบ ๆ ลมพัดโชยลอดผ่านประตูโรงเรียน ขณะที่เธอเดินเลียบฟุตบาทไปยังป้ายรถเมล์  

รถเมล์คันเก่า ๆ สีส้มเบรกส่งเสียงดัง 

เอี๊ยดดดดด 

เธอก้าวขึ้นไปพร้อมกับผู้คนอีกสองสามคน ก่อนจะหย่อนตัวลงตรงเบาะริมหน้าต่าง มือหยิบสมุดจดแผนการสอนขึ้นมาดูสลับกับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ‘แค่ถึงร้านให้ทันก็พอ…’ เธอคิดในใจ  

แสงแดดคล้อยต่ำทาบลงบนทางเท้าหน้าร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ริมถนนในซอยเงียบสงบ ฤกษ์ตะวันเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย เสียงกระดิ่งเหนือประตูกระจกส่งเสียงแผ่วเบาเมื่อเธอผลักประตูเข้าไป กลิ่นกาแฟผสมน้ำเชื่อมวานิลลาอุ่น ๆ ตีขึ้นแตะจมูกทันที 

“มาแล้วเหรอแสง แบตหมดรึเปล่าวันนี้?” 

เสียงแซวเบา ๆ จากพี่พนักงานหลังเคาน์เตอร์ดังขึ้น ฤกษ์ตะวันยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าแทนคำตอบ พร้อมปลดกระเป๋าผ้าออกจากไหล่ จากนั้นใส่กระเป๋าไว้ในล็อคเกอร์ แล้วสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มประจำร้านอย่างเงียบ ๆ  

ช่วงเย็นเป็นช่วงเวลาที่ร้านเริ่มมีลูกค้าประจำเข้ามานั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือหลบแดดร้อนในบ่ายแก่ ๆ ร้านไม่ได้พลุกพล่าน แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป มีเสียงเครื่องบดกาแฟ เสียงน้ำร้อนจากกาน้ำ และเสียงเพลงแจ๊สเบา ๆ คลออยู่ในร้าน  

ฤกษ์ตะวันขยับมืออย่างคล่องแคล่ว จัดมุมดอกไม้แห้งตรงโต๊ะหน้าร้าน เติมถังน้ำแข็ง เช็กเมล็ดกาแฟ และเริ่มชงลาเต้ให้ลูกค้าอย่างเงียบเชียบ สายตาเธอมักทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอก็เผลอทำบ่อยครั้ง เหมือนกำลังเฝ้ารอบางสิ่งที่ไม่มีชื่อ  

และในวันนั้นเอง... เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมร่างของใครบางคนที่เข้ามาอย่างมีพลัง รอยยิ้มสดใสติดอยู่บนใบหน้า และดวงตาวิบวับเหมือนดวงดาวตอนกลางวัน คนที่ฤกษ์ตะวันเองก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังจะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล 

  

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว