Luminous
6
ตอน
38
เข้าชม
0
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง
คำเตือนเนื้อหา
คำเตือนเกี่ยวกับเนื้อหาในเรื่องอาจมีการสปอยล์ถึงเนื้อเรื่องหลัก
ในโลกที่เวทมนตร์ดำรงอยู่ควบคู่กับโชคชะตา— ลูซิส เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตจากเผ่าพันธุ์โบราณ ลูมินัส ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนโดยไม่รู้เลยว่าเขาคือผู้สืบทอดสายเลือดแห่งจันทรา บุคคลที่คำทำนายว่าจะให้กำเนิด

ตอนที่ 1: เงาแห่งจันทรา  

 คำทำนายแห่งจันทรา 

ค่ำคืนหนึ่ง ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงสีเงินเหนือท้องฟ้ากว้าง ม่านเมฆเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ซ่อนเร้นแสงดาวที่ทอประกายอยู่เบื้องบน ลมหนาวโหมพัดผ่านป่าโบราณ กระทบยอดไม้สูงใหญ่จนเกิดเสียงหวีดหวิว เงาของต้นไม้ทอดยาวไปตามพื้นดิน ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังคืบคลานอยู่ใต้แสงจันทร์ 

กลางหุบเขาอันห่างไกล โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งจันทรา ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางม่านหมอก ภายในห้องโถงเก่าแก่ ผนังหินถูกสลักด้วยอักษรโบราณ บันทึกเรื่องราวของผู้ครองพลังแห่งจันทราตั้งแต่อดีตกาล เปลวไฟจากคบเพลิงไหววูบตามแรงลม เผยให้เห็นร่างของหญิงชราผู้หนึ่งในอาภรณ์ดำสนิท 

นางนั่งพับเพียบอยู่หน้าแท่นบูชา มือเหี่ยวย่นจับไม้เท้าที่สลักลวดลายเสี้ยวจันทร์แน่น นัยน์ตาของนางจ้องมองไปยังเด็กทารกที่นอนอยู่ในเปลไม้ เสียงร้องของทารกน้อยดังก้องในความเงียบร่างของเขาเรืองแสงสีเงินอ่อน—แสงที่สะท้อนดวงจันทร์ ราวกับประกาศให้โลกรู้ถึงการถือกำเนิดของเขา หญิงชราเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเด็กน้อย พึมพำถ้อยคำโบราณ นัยน์ตาของนางสะท้อนประกายบางอย่าง 

“คำทำนายเป็นจริง…” เสียงของหญิงชราสั่นสะท้าน “…ผู้ถือสายเลือดลูมินัส ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว” 

ทันใดนั้นเสียงกระแทกหนักดังขึ้นจากประตูไม้หนา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งร้อน เสียงเกราะกระทบกันกึกก้องทั่วโถงหิน เงาทะมึนพุ่งทะลวงผ่านบานประตู กลุ่มนักรบเกราะดำกว่าสิบคนกรูกันเข้ามาผู้นำของพวกมันคือ ชายในเสื้อคลุมดำสนิท ดวงตาสีอำพันเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง เขาก้าวออกจากเงามืด ร่างสูงสง่าของเขาเต็มไปด้วยออร่าของอำนาจเขามองไปที่เด็กทารก ดวงตาคู่นั้นแข็งกร้าว ราวกับมีบางอย่างถูกตัดสินใจไว้แล้ว 

“มอบเด็กคนนั้นมา” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่หนักหน่วง 

หญิงชราจ้องกลับ ไม่มีความหวาดหวั่นในดวงตาของนาง “เจ้าคิดว่าการกำจัดเด็กทารกคนหนึ่ง จะหยุดยั้งโชคชะตาได้หรือ?”ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงเย็นชา “ข้าจะไม่ยอมให้คำทำนายเป็นจริง” 

หญิงชราเพียงยิ้มบางเบา “ผู้ที่ต่อต้านโชคชะตา มักเป็นผู้ที่ติดอยู่ในบ่วงของมัน”สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านห้องโถง เปลวไฟจากคบเพลิงพลันไหววูบ ก่อนที่จะแตกกระจายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา 

เสียงกรีดร้องดังขึ้น เสียงดาบปะทะกัน เสียงเลือดสาดกระเซ็น 

ค่ำคืนนั้น ดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด—เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของยุคใหม่ 

 การหลบหนีของลูซิส 

  

สิบหกปีต่อมา 

เสียงหอบหายใจหนักดังสลับกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบเด็กชายในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง วิ่งฝ่าป่าทึบที่เต็มไปด้วยเงามืด แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เขาไม่มีเวลาหยุดพักด้านหลังของเขา เสียงกีบเท้าม้าดังกึกก้อง 

“มันต้องอยู่แถวนี้แน่!” 

“ค้นหาให้ทั่ว! อย่าให้มันหลุดมือ!” 

ลูซิสกัดฟันแน่น เร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายอ่อนล้า 

แสงจันทร์ที่เคยเป็นมิตร กลับกลายเป็นคำสาป มันทำให้ร่างกายของเขาเปล่งแสงจาง ๆ ราวกับเป็นดวงประทีปนำทางศัตรูมาหาเขา 

“ข้าจะต้องรอด…” 

เสียงแส้หวดอากาศดังขึ้นจากด้านหลัง ฉึบ! 

เถาวัลย์สีดำพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วสูง เวทมนตร์ของนักล่าเวทมนตร์! 

แต่ทันใดนั้น— 

ฟึ่บ! 

เถาวัลย์สีดำหยุดกลางอากาศ ราวกับถูกหยุดโดยพลังลึกลับบางอย่าง 

ดวงตาของลูซิสเบิกกว้าง เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่ในอกของเขารู้สึกร้อนวูบขึ้นมา 

“เป็นไปไม่ได้…” 

นักล่าเวทมนตร์พึมพำ ก่อนจะตวัดมือส่งเวทมนตร์โจมตีอีกครั้งลูซิสกำมือแน่น ก่อนที่ร่างของเขาจะส่องแสงอีกครั้ง 

ไม่ไกลจากที่นั้น ชายในชุดคลุมดำกำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟ เขาเฝ้ามองแสงจันทร์ด้วยสายตาเงียบสงบ 

ทันใดนั้น เขารับรู้ถึงคลื่นพลังแปลกประหลาด 

“พลังจันทรา…” 

เขาลุกขึ้น ดึงหมวกคลุมศีรษะให้ปกปิดใบหน้ามากขึ้น ก่อนจะก้าวเดินเข้าสู่เงามืด 

คืนนี้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสง และโชคชะตากำลังถูกกำหนดขึ้นใหม่ 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! 

เสียงลมหายใจหนักดังสลับกับเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบลูซิส วิ่งฝ่าป่าทึบ เงาของต้นไม้สูงทอดยาวภายใต้แสงจันทร์ ใบไม้แห้งถูกเหยียบย่ำเป็นทางยาว เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของเขาปลิวสะบัดตามแรงวิ่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านจากความเหนื่อยล้า แต่เขาไม่มีเวลาหยุดพัก 

“มันอยู่แถวนี้แน่!” 

“ค้นหาให้ทั่ว! อย่าให้มันหลุดมือ!” 

เสียงกีบเท้าม้าดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เสียงของเกราะเหล็กที่เสียดสีกันเป็นระยะ บ่งบอกว่าผู้ไล่ล่าของเขาไม่ใช่พวกธรรมดา แสงไฟจากคบเพลิงฉายผ่านแนวต้นไม้ราวกับดวงตาปีศาจที่กำลังจ้องมองเหยื่อ 

ลูซิสกัดฟัน หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกจากอก พยายามเร่งฝีเท่าให้เร็วขึ้น แต่ร่างกายของเขากำลังจะหมดแรงเต็มที “หึ...เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก”เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเย็นชาและทรงพลัง “เวทพันธนาการ” ตู้มมม แรงสั่นสะเทือนของเวทมนต์พุ่งเข้าหาตัวเขา รากไม้จากพื้นดินพุ่งขึ้นมาราวกับอสรพิษ “ข้าไม่มีทางหลบพ้น....” แต่แล้ว ฟึ่บ...ทุกอย่างรอบตัวพลันหยุดนิ่ง ออร่าสีเงินปรากฏขึ้นรอบกายของลูซิส แสงสีเงินเรืองรองจากร่างของเขา...มันส่องประกายภายใต้แสงจันทร์ 

อีกด้านหนึ่งของป่า กลางความมืดที่เงียบสงัด เอเรบัส ยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงสายตาของเขาจ้องไปยังพลังที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเงามืด “พลังจันทรา” เขาพึมพำเบาๆ แต่แววตาของเขาหาได้ตื่นตระหนก ตรงกันข้าม มันกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เป็นไปได้ยังไง? เผ่าพันธุ์ลูมินัสถูกล่าจนสูญสิ้นไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ควรมีใครมีพลังนี้เหลืออยู่ แต่เขาสัมผัสได้ พลังของเด็กคนนั้นมันชัดเจนเกินไป “น่าสนใจ” เอเรบัส กระตุกยิ้มบาง ก่อนจะกระโจนลงจากต้นไม้ ก้าวเข้าสู่เงามืด 

คืนนี้เขาจะหาคำตอบ 

ฉึก!!ฉึก!!ฉึก 

เสียงเสียดแทงของเวทมนตร์ กระทบเข้ากับบางสิ่ง แต่ไม่ใช่ร่างของลูซิส เพราะมีใครบางคนยืนขวางเขาไว้ เสื้อคลุมสีดำปลิวไหว มือข้างหนึ่งยกขึ้น สร้างม่านพลังโปร่งใส ลูซิสเงยหน้าขึ้น เห็นเสี้ยวหน้าคมคายของชายปริศนา “ใคร?” บุรุษคนนั้นไม่ตอบเขาหันไปจ้องนักล่าเวทมนตร์ “พวกเจ้ารบกวนข้า” เสียงของเขาเรียบ แต่แฝงไปด้วยความกดดันมหาศาล ฟึ่บ!!! เส้นพลังเวทสีเงินเข้มพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา แรงระเบิดกระแทกนักล่าเวทมนตร์ปลิวไปกระแทกต้นไม้เลือดสาดกระจาย “อั่ก” 

พวกมันตกตะลึง แล้วรีบหนีไปโดยไม่หันกลับมา ลูซิสยังคงยืนนิ่ง เขาหันไปสบตากับชายที่ช่วยชีวิตเขาไว้  

“เจ้าเป็นใคร”  

บุรุษร่างสูงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ 

“เอเรบัส” 

“จอมเวทที่ไม่มีพันธะใดๆ ต่อโลกใบนี้” 

ลูเซิสมองเอเรบัส แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะช่วยข้า” 

เอเรบัสยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ข้าไม่ได้ช่วย” 

“.....?” 

“ข้าแค่ไม่ชอบพวกนักล่าเวทมนตร์ก็เท่านั้น” 

ลูซิสขมวดคิ้ว”แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่?” 

เอเรบัสถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเจ้าเป็นแค่เด็กที่โชคร้ายหรือเป็นตัวปัญหากันแน่” 

“ท่านไม่กลัวข้าหรือ?” 

“กลัว?” “เด็กที่ยังควบคุมพลังตัวเองไว้ไม่ได้?”เอเรบัสหัวเราะในลำคอ “ไม่สักนิด”  

“แล้วเจ้า” 

“จริงๆ แล้วข้าควรจะปล่อยเจ้าไว้ที่นี่”เอเรบัสพูดขึ้น เสียงของเขายังคงราบเรียบ “...แต่คิดไปคิดมาข้าว่าข้าจะพาเจ้าไปด้วย” 

ลูซิสอึ้งไปเล็กน้อย”...เพราะอะไร?” 

เอเรบัสสบตากับเขา ก่อนจะหันหลังเดินไป 

“เพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะเป็นผลของคำทำนาย หรือเป็นหายนะของโลกนี้” 

สองเงาเดินผ่านป่ามืด เอเรบัสก้าวนำหน้าขณะที่ลูซิสเดินตามหลังอย่างไม่เต็มใจ ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขา มีเพียงเสียงใบไม้ที่ถูกเหยียบย่ำ และเสียงหายใจหนักของลูซิส  

เขายังไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้ 

ชายที่มีพลังมหาศาล แต่กลับไม่แม้แต่จะบอกเหตุผลที่ช่วยเขา “เจ้าเป็นใครกันแน่?” ลูซิสถามขึ้นอีกครั้งหลังจากทนเงียบอีกครั้งหลังจากทนเงียบมานาน  

เอเรบัสไม่ได้ตอบทันที 

ชายหนุ่งเพียงเดินต่อไปราวกับไม่ได้ยินคำถามนั้น 

ลูซิสขมวดคิ้ว ก่อนจะถามอีกครั้ง”ข้ากำลังถามเจ้าอยู่” 

เอเรบัสหยุดเดินกะทันหัน ทำให้ลูซิสเกือบชนแผ่นหลังของเขา “ข้าบอกเจ้าแล้ว” เอเรบัสตอลเสียงเรียบ 

“ชื่อของข้าคือเอเรบัส”  

“ข้ารู้แล้วหูข้าไม่ได้หนวกเจ้าบอกข้าแล้ว” แต่”เจ้าคือใคร เจ้ามาจากไหน เจ้าต้องการอะไรจากข้า?” ลูซิสกดดันต่อ” 

เอเรบัสเหลือบมองลูซิสอย่างเย็นชา ก่อนเจะกล่าวเสียงเบา “เจ้าพูดมาก” 

ลูซิสเม้มปากแน่น ความอดทนของเขาถูกผลักให้ถึงขีดสุด “ข้าไม่ไว้ใจเจ้า” 

“ดี” เอเรบัสตอบทันที 

ลูซิสชะงักไป”...อะไรนะ?” 

เอเรบัสหันกลับมา แววตาของเขายังคงเฉยชา “เจ้าไม่ควรไว้ใจข้า” 

ลูซิสรู้สึกถึงบางอย่างเย็นเยียบในน้ำเสียงของเอเรบัส “งั้นเจ้ากำลังคิดจะฆ่าข้าหรือ?” 

เอเรบัสหัวเราะในลำคอ แต่รอยยิ้มของเขากลับไม่ได้ดูสนุกจริงๆ  

“ถ้าข้าคิดจะฆ่าเจ้า เจ้าคงตายไปแล้ว” 

คำพูดนั้นทำให้ลูซิสตัวแข็งทื่อ 

“แล้วเจ้าจะพาข้าไปไหน?” ลูซิสถามต่อด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น 

เอเรบัสไม่ตอบในทันที เขาเพียงหันหลังกลับ แล้วก้าวเดินต่อ  

“ไปให้พ้นจากที่นี่” 

ลูซิสยังไม่เข้าใจชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย       

  

หลังจากเดินมาได้สักพัก ลูซิสก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้ากำลังถาโถมใส่เขา แข้งขาของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆแม้ว่าแผลของเขาจะไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต แต่ความเจ็บปวดก็ไม่อาจมองข้ามได้ 

“เราจะเดินไปแบบนี้นานแค่ไหน?” 

เอเรบัสไม่ตอบ 

“เจ้าจะพาข้าไปไหนกันแน่?” 

เงียบอีกครั้ง 

“ข้าไม่ใช่นักโทษของเจ้า!” ลูซิสตะโกนด้วยความหงุดหงิด 

เอเรบัสหยุดเดินครู่หนึ่ง ราวกับกำลังพิจารณาคำพูดของลูซิส 

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ 

“เจ้ากำลังหมดแรง” 

“ข้าไม่ได้ถามเรื่องนั้น!” 

“แต่เจ้ากำลังจะล้ม” 

ลูซิสอ้าปากจะเถียงต่อ แต่แล้วร่างกายของเขาก็ทรุดลงกับพื้นจริง ๆ 

อาการบาดเจ็บจากการไล่ล่าเริ่มเล่นงานเขาอย่างหนัก 

“บ้าชะมัด…” 

เอเรบัสยืนมองเขาอยู่เงียบ ๆ 

ลูซิสกัดฟัน พยายามจะลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่ขากลับไม่ยอมขยับ 

เขาเกลียดความรู้สึกนี้ 

ความอ่อนแอ—และการต้องพึ่งพาคนแปลกหน้า 

แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น— 

เสื้อคลุมสีดำถูกโยนมาทับร่างของเขา 

ลูซิสมองมันอย่างงุนงง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเอเรบัส 

“ข้าไม่ต้องการความสงสารจากเจ้า” เขาพูดเสียงแข็ง 

“ดี ข้าก็ไม่ได้ให้” เอเรบัสตอบเรียบ ๆ 

ลูซิสจ้องชายตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ 

“ถ้าเจ้าจะให้ข้าตามเจ้าไป เจ้าก็ควรจะบอกข้าสักอย่างหนึ่ง” 

เอเรบัสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ 

“คืนนี้ เจ้าจะไม่ตายหรอก” 

ลูซิสขมวดคิ้ว 

“หมายความว่าไง?” 

เอเรบัสหันหลังเดินออกไปช้า ๆ 

“หมายความว่า… ข้ายังไม่ให้เจ้าตาย” 

คืนแรกที่ต้องพักพิง – ความเงียบที่ไม่เป็นมิตร 

กองไฟเล็ก ๆ ลุกโชนอยู่กลางป่า เปลวไฟไหววูบไปตามกระแสลมเย็นของค่ำคืน 

ลูซิสนั่งกอดเข่าอยู่ข้างกองไฟ ในขณะที่เอเรบัสนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงข้าม ท่าทางผ่อนคลายราวกับไม่มีอะไรต้องกังวล 

“เจ้าคิดว่าเราปลอดภัยที่นี่?” ลูซิสถามขึ้น ดวงตายังฉายแววระแวง 

“ไม่มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับเจ้า” เอเรบัสตอบเรียบ ๆ “แต่ที่นี่ดีกว่าถูกไล่ล่าไปเรื่อย ๆ” 

ลูซิสขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าล่ะ? ไม่มีใครตามล่าเจ้าหรือไง?” 

เอเรบัสยิ้มมุมปาก “ถ้ามี พวกมันคงไม่รอดมาบอกเล่าได้” 

ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขา 

ลูซิสมองไปที่กองไฟ เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเถียงกับเอเรบัส แต่สมองของเขายังไม่สามารถผ่อนคลายได้ 

“เราต้องเดินทางกันอีกไกลแค่ไหน?” 

เอเรบัสไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงเหยียดขาออก แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า 

“พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่” 

“เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกพบตัว?” 

เอเรบัสปรายตามองลูซิส “ข้าไม่ได้เป็นเป้าหมายเหมือนเจ้า” 

“แต่เจ้าช่วยข้าไว้ พวกมันจะต้องตามล่าเจ้าเหมือนกัน” 

เอเรบัสหัวเราะเบา ๆ – แต่ไม่มีความขบขันในแววตา 

“ก็ให้พวกมันลองดู” 

ลูซิสไม่ได้ตอบอะไรกลับ เขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน เอเรบัสเป็นใครกันแน่? 

ความเงียบที่ถูกทำลาย – การโจมตีเล็ก ๆ น้อย ๆ 

เสียงลมพัดผ่านใบไม้ เสียงจิ้งหรีดร้องแว่วเบา ๆ 

แต่แล้ว…กร๊อบ! 

เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา 

ลูซิสสะดุ้งเฮือก – หันขวับไปมองทันที 

“อะไรน่ะ!?” 

เอเรบัสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่แววตา เยือกเย็นขึ้นมาทันที 

กร๊อบ… กร๊อบ… 

เสียงฝีเท้าเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด 

ลูซิสคว้าไม้แห้งขึ้นมาแนบตัวด้วยสัญชาตญาณ แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม 

จากเงามืด บางสิ่งเคลื่อนตัวออกมา—ดวงตาเรืองแสงสีแดงวาบขึ้น 

“เงาปักษา!” ลูซิสอุทานเสียงเบา สัตว์เวทมนตร์ที่ดุร้ายและโจมตีเป็นฝูง 

คำอธิบาย เงาปักษาคือสิ่งมีชีวิตกลางคืน มีปีกสีดำสนิทและกรงเล็บแหลมคม พวกมันโจมตีเหยื่ออย่างรวดเร็ว และไม่หยุดจนกว่าเหยื่อจะตาย 

แกร๊บ! 

เงาปักษาตัวหนึ่งโฉบลงมา—พุ่งตรงมาที่ลูซิส! 

แต่ทันใดนั้น…ฟุ่บ! 

มือของเอเรบัสตวัดขึ้นเร็วเท่าความคิด – เปลวไฟสีฟ้าพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา! 

“อยู่เฉย ๆ” เขาสั่งเสียงเย็น 

เปลวไฟพุ่งเข้ากระทบเงาปักษา—เสียงร้องแหลมดังขึ้นก่อนที่มันจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในอากาศ 

“…” 

ลูซิสจ้องเอเรบัสอย่างตกตะลึง 

เงาปักษาอีกสองตัวโฉบลงมา 

เอเรบัสไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย แต่เพียงแค่สะบัดนิ้ว เปลวไฟสีฟ้าก็พุ่งทะลุผ่านพวกมันไป 

ร่างของพวกมันแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเถ้าถ่านสีดำโปรยปรายไปทั่วพื้นดิน เศษขนนกสีดำแหลมคมของเงาปักษายังลอยอยู่ในอากาศ 

กลิ่นไหม้จากเปลวไฟของเอเรบัสคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ 

ลูซิสหอบหายใจ หัวใจของเขายังเต้นรัวจากการเผชิญหน้ากับสัตว์เวทมนตร์เมื่อครู่ 

“พวกมันไปหมดแล้วใช่ไหม…” 

เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ยังคงสั่นไหว เหงื่อไหลซึมทั่วแผ่นหลัง 

“ใช่” 

เสียงทุ้มต่ำของเอเรบัสดังขึ้น เขาปรายตามองรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะลดมือลง 

เปลวไฟสีน้ำเงินที่ปลายนิ้วของเขาดับวูบลง 

“พวกมันไม่ควรปรากฏตัวที่นี่” เอเรบัสพูดขึ้นเรียบ ๆ แต่สายตาของเขาคมกริบ 

ลูซิสหันขวับไปมองเขา “หมายความว่ายังไง?” 

“มีบางอย่างผิดปกติ” เอเรบัสกวาดตามองไปรอบ ๆ 

“เงาปักษาไม่ออกล่าเว้นแต่มีสิ่งที่พวกมันต้องการ” 

ลูซิสรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว บางอย่างในคำพูดของเอเรบัสทำให้เขาขนลุก 

“หมายความว่า…” 

“พวกมันมาหาเจ้า” เอเรบัสตัดบททันที 

ลูซิสตัวแข็งทื่อ 

เงาปักษา… ตั้งใจล่าเขา? 

  

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง 

ลูซิสยังคงนั่งนิ่ง หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก 

เอเรบัสปรายตามองเขาก่อนจะพูดขึ้นเรียบ ๆ 

“เจ้าหลบช้าเกินไป” 

“…” “ถ้าข้าไม่อยู่ เจ้าคงถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว” 

ลูซิสกำหมัดแน่น 

“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย” 

เอเรบัสหัวเราะในลำคอ “งั้นหรือ?” 

“ใช่!” 

“ถ้างั้นครั้งหน้า ข้าจะไม่ช่วย” 

“…” 

ลูซิสมองหน้าเอเรบัส เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้กำลังประชดหรือพูดจริง 

แต่ที่เขารู้คือ แม้แต่การคุยกับเอเรบัสก็เหมือนการต่อสู้ 

  

หลังจากเหตุการณ์เงาปักษา ลูซิสยังคงระแวง แต่บางสิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

เขามองกองไฟ แล้วก็เหลือบไปมองเอเรบัสที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ 

“…ขอบใจ” 

“อะไรนะ?” 

“ข้าบอกว่าขอบใจ” ลูซิสพูดเสียงเบา แต่ไม่มองเอเรบัสตรง ๆ 

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับทันที 

จากนั้นเพียงแค่ หัวเราะเบา ๆ 

“อย่าพูดแบบนั้นบ่อยนัก ข้าไม่ชิน” 

“…หึ” 

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ลูซิสมีความรู้สึกต่อเอเรบัสดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย 

ความเงียบหลังจากการถูกโจมตี  

กองไฟยังคงลุกไหม้ เปลวไฟสีส้มไหวระริกท่ามกลางความเงียบ 

ลูซิสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ขาของเขายังรู้สึกหนัก และความเหนื่อยล้ายังคงกดทับร่างกายของเขา 

แต่สมองของเขากลับไม่หยุดทำงาน 

เขากำลังคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น 

เงาปักษา – สัตว์เวทมนตร์ที่อันตราย มันสามารถฆ่าเขาได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ 

…และคนที่ช่วยเขา ก็คือ เอเรบัส 

‘ข้าไม่ได้ขอให้เขาช่วย…แต่ทำไมเขายังช่วยข้า...เหตุผลมันคืออะไรกันแน่? ทำไม? คำถามนี้ยังวนอยู่ในหัวลูซีส 

เอเรบัสยังคงนิ่งสงบอยู่ข้างกองไฟ ดวงตาของเขาสะท้อนแสงเปลวไฟ สีอำพันดูเย็นชาและไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ 

ดวงตาของลูซิสเหลือบไปมองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม 

แต่ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจอย่างที่ลูซิสคิดไว้ตอนแรก 

เขาช่วยชีวิตข้าถึงสองครั้งแล้ว… 

ครั้งแรกคือ ตอนที่พวกนักล่าเวทมนตร์กำลังจะจับตัวข้า 

ครั้งที่สองคือ เมื่อครู่ ตอนที่เงาปักษาโจมตี (ความคิดนี้วนอยู่ในหัวของลูซีส) 

“เจ้าจะจ้องข้าทำไม?” 

เสียงของเอเรบัสดังขึ้น ขัดความคิดของลูซิส 

ลูซิสสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบเบือนสายตาไปทางอื่น 

“ข้าเปล่า” ลูซีส(เสียงสูง) 

เอเรบัสหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “โกหกไม่เก่งเลยนะ เจ้าเด็กจันทรา” 

ลูซิสขมวดคิ้ว “ข้าไม่ใช่เด็ก” 

“ทำไม? เจ้าก็มีพลังของจันทราไม่ใช่หรือ?” 

ลูซิสเม้มปากแน่น เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะยอมรับมันดีหรือไม่ 

“เจ้ากลัวพลังของตัวเองหรือ?”  “…” “หรือลึก ๆ แล้ว เจ้ากลัวว่าข้าจะเห็นว่าเจ้าคือใครกันแน่?” 

ลูซิสเงียบ เขาไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี 

“พักซะ” 

คำพูดของเอเรบัสทำให้เขาเงยหน้าขึ้น 

“เจ้าพูดว่าอะไร?” 

“เจ้าบาดเจ็บ และถ้ายังดื้อดึง พรุ่งนี้เช้าข้าคงต้องแบกเจ้าขึ้นหลัง” 

ลูซิสอ้าปากค้าง “ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น!” 

“เจ้าแน่ใจ?” เอเรบัสเลิกคิ้ว 

“แน่!” 

เอเรบัสยิ้มมุมปากเล็ก ๆ “ถ้าแน่ใจ ก็หลับซะ” 

“…” 

ลูซิสมองชายตรงหน้า เขาอยากจะเถียงต่อ แต่ก็รู้ตัวดีว่าตัวเองเหนื่อยเกินกว่าจะทำแบบนั้น 

เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เอนตัวลงนอน ดวงตาจ้องมองเปลวไฟที่ไหวระริก 

คืนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะมาคิดเรื่องของเอเรบัสหรือคำทำนายอะไรอีก 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่ชัด 

‘อย่างน้อย… มีเอเรบัสอยู่ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่’ 

เหตุการณ์หลังจากการต่อสู้ – เอเรบัสอ่อนล้าและเผลอหลับไป] 

เปลวไฟจากกองไฟกลางป่าไหวระริกในความเงียบ 

บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้สูงเท่านั้น 

ลูซิสนั่งอยู่ข้างกองไฟ แขนของเขายังมีรอยขีดข่วนจากการต่อสู้เมื่อครู่ 

เขาเหลือบมองไปทางเอเรบัสที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกล 

เสื้อคลุมสีดำของเขาขาดเป็นรอยจากการปะทะ มือของเขามีรอยไหม้จากการใช้เวทมนตร์ต่อเนื่อง 

แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือ… 

เขาดูเหนื่อยมาก 

“เจ้าดูแย่กว่าข้าอีก” ลูซิสพูดขึ้น 

เอเรบัสปรายตามองเขาเล็กน้อย “พูดมากไปแล้ว เจ้าหนู” 

“ก็เจ้าเล่นไม่หยุดพักเลย” 

“ข้าไม่เหนื่อย” 

“โกหก ข้าเห็นเจ้าแทบล้มแน่ะ” 

เอเรบัสถอนหายใจเบา ๆ เขาไม่อยากเถียงอีกแล้ว 

เปลือกตาของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ 

และสุดท้าย… เขาก็เผลอหลับไป 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว