ตอนที่ 1: เงาแห่งจันทรา
คำทำนายแห่งจันทรา
ค่ำคืนหนึ่ง ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงสีเงินเหนือท้องฟ้ากว้าง ม่านเมฆเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ซ่อนเร้นแสงดาวที่ทอประกายอยู่เบื้องบน ลมหนาวโหมพัดผ่านป่าโบราณ กระทบยอดไม้สูงใหญ่จนเกิดเสียงหวีดหวิว เงาของต้นไม้ทอดยาวไปตามพื้นดิน ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังคืบคลานอยู่ใต้แสงจันทร์
กลางหุบเขาอันห่างไกล โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งจันทรา ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางม่านหมอก ภายในห้องโถงเก่าแก่ ผนังหินถูกสลักด้วยอักษรโบราณ บันทึกเรื่องราวของผู้ครองพลังแห่งจันทราตั้งแต่อดีตกาล เปลวไฟจากคบเพลิงไหววูบตามแรงลม เผยให้เห็นร่างของหญิงชราผู้หนึ่งในอาภรณ์ดำสนิท
นางนั่งพับเพียบอยู่หน้าแท่นบูชา มือเหี่ยวย่นจับไม้เท้าที่สลักลวดลายเสี้ยวจันทร์แน่น นัยน์ตาของนางจ้องมองไปยังเด็กทารกที่นอนอยู่ในเปลไม้ เสียงร้องของทารกน้อยดังก้องในความเงียบร่างของเขาเรืองแสงสีเงินอ่อน—แสงที่สะท้อนดวงจันทร์ ราวกับประกาศให้โลกรู้ถึงการถือกำเนิดของเขา หญิงชราเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเด็กน้อย พึมพำถ้อยคำโบราณ นัยน์ตาของนางสะท้อนประกายบางอย่าง
“คำทำนายเป็นจริง…” เสียงของหญิงชราสั่นสะท้าน “…ผู้ถือสายเลือดลูมินัส ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงกระแทกหนักดังขึ้นจากประตูไม้หนา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งร้อน เสียงเกราะกระทบกันกึกก้องทั่วโถงหิน เงาทะมึนพุ่งทะลวงผ่านบานประตู กลุ่มนักรบเกราะดำกว่าสิบคนกรูกันเข้ามาผู้นำของพวกมันคือ ชายในเสื้อคลุมดำสนิท ดวงตาสีอำพันเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง เขาก้าวออกจากเงามืด ร่างสูงสง่าของเขาเต็มไปด้วยออร่าของอำนาจเขามองไปที่เด็กทารก ดวงตาคู่นั้นแข็งกร้าว ราวกับมีบางอย่างถูกตัดสินใจไว้แล้ว
“มอบเด็กคนนั้นมา” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่หนักหน่วง
หญิงชราจ้องกลับ ไม่มีความหวาดหวั่นในดวงตาของนาง “เจ้าคิดว่าการกำจัดเด็กทารกคนหนึ่ง จะหยุดยั้งโชคชะตาได้หรือ?”ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงเย็นชา “ข้าจะไม่ยอมให้คำทำนายเป็นจริง”
หญิงชราเพียงยิ้มบางเบา “ผู้ที่ต่อต้านโชคชะตา มักเป็นผู้ที่ติดอยู่ในบ่วงของมัน”สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านห้องโถง เปลวไฟจากคบเพลิงพลันไหววูบ ก่อนที่จะแตกกระจายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
เสียงกรีดร้องดังขึ้น เสียงดาบปะทะกัน เสียงเลือดสาดกระเซ็น
ค่ำคืนนั้น ดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด—เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของยุคใหม่
การหลบหนีของลูซิส
สิบหกปีต่อมา
เสียงหอบหายใจหนักดังสลับกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบเด็กชายในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง วิ่งฝ่าป่าทึบที่เต็มไปด้วยเงามืด แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เขาไม่มีเวลาหยุดพักด้านหลังของเขา เสียงกีบเท้าม้าดังกึกก้อง
“มันต้องอยู่แถวนี้แน่!”
“ค้นหาให้ทั่ว! อย่าให้มันหลุดมือ!”
ลูซิสกัดฟันแน่น เร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายอ่อนล้า
แสงจันทร์ที่เคยเป็นมิตร กลับกลายเป็นคำสาป มันทำให้ร่างกายของเขาเปล่งแสงจาง ๆ ราวกับเป็นดวงประทีปนำทางศัตรูมาหาเขา
“ข้าจะต้องรอด…”
เสียงแส้หวดอากาศดังขึ้นจากด้านหลัง ฉึบ!
เถาวัลย์สีดำพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วสูง เวทมนตร์ของนักล่าเวทมนตร์!
แต่ทันใดนั้น—
ฟึ่บ!
เถาวัลย์สีดำหยุดกลางอากาศ ราวกับถูกหยุดโดยพลังลึกลับบางอย่าง
ดวงตาของลูซิสเบิกกว้าง เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่ในอกของเขารู้สึกร้อนวูบขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้…”
นักล่าเวทมนตร์พึมพำ ก่อนจะตวัดมือส่งเวทมนตร์โจมตีอีกครั้งลูซิสกำมือแน่น ก่อนที่ร่างของเขาจะส่องแสงอีกครั้ง
ไม่ไกลจากที่นั้น ชายในชุดคลุมดำกำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟ เขาเฝ้ามองแสงจันทร์ด้วยสายตาเงียบสงบ
ทันใดนั้น เขารับรู้ถึงคลื่นพลังแปลกประหลาด
“พลังจันทรา…”
เขาลุกขึ้น ดึงหมวกคลุมศีรษะให้ปกปิดใบหน้ามากขึ้น ก่อนจะก้าวเดินเข้าสู่เงามืด
คืนนี้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสง และโชคชะตากำลังถูกกำหนดขึ้นใหม่
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงลมหายใจหนักดังสลับกับเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบลูซิส วิ่งฝ่าป่าทึบ เงาของต้นไม้สูงทอดยาวภายใต้แสงจันทร์ ใบไม้แห้งถูกเหยียบย่ำเป็นทางยาว เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของเขาปลิวสะบัดตามแรงวิ่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านจากความเหนื่อยล้า แต่เขาไม่มีเวลาหยุดพัก
“มันอยู่แถวนี้แน่!”
“ค้นหาให้ทั่ว! อย่าให้มันหลุดมือ!”
เสียงกีบเท้าม้าดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เสียงของเกราะเหล็กที่เสียดสีกันเป็นระยะ บ่งบอกว่าผู้ไล่ล่าของเขาไม่ใช่พวกธรรมดา แสงไฟจากคบเพลิงฉายผ่านแนวต้นไม้ราวกับดวงตาปีศาจที่กำลังจ้องมองเหยื่อ
ลูซิสกัดฟัน หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกจากอก พยายามเร่งฝีเท่าให้เร็วขึ้น แต่ร่างกายของเขากำลังจะหมดแรงเต็มที “หึ...เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก”เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเย็นชาและทรงพลัง “เวทพันธนาการ” ตู้มมม แรงสั่นสะเทือนของเวทมนต์พุ่งเข้าหาตัวเขา รากไม้จากพื้นดินพุ่งขึ้นมาราวกับอสรพิษ “ข้าไม่มีทางหลบพ้น....” แต่แล้ว ฟึ่บ...ทุกอย่างรอบตัวพลันหยุดนิ่ง ออร่าสีเงินปรากฏขึ้นรอบกายของลูซิส แสงสีเงินเรืองรองจากร่างของเขา...มันส่องประกายภายใต้แสงจันทร์
อีกด้านหนึ่งของป่า กลางความมืดที่เงียบสงัด เอเรบัส ยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงสายตาของเขาจ้องไปยังพลังที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเงามืด “พลังจันทรา” เขาพึมพำเบาๆ แต่แววตาของเขาหาได้ตื่นตระหนก ตรงกันข้าม มันกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เป็นไปได้ยังไง? เผ่าพันธุ์ลูมินัสถูกล่าจนสูญสิ้นไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ควรมีใครมีพลังนี้เหลืออยู่ แต่เขาสัมผัสได้ พลังของเด็กคนนั้นมันชัดเจนเกินไป “น่าสนใจ” เอเรบัส กระตุกยิ้มบาง ก่อนจะกระโจนลงจากต้นไม้ ก้าวเข้าสู่เงามืด
คืนนี้เขาจะหาคำตอบ
ฉึก!!ฉึก!!ฉึก
เสียงเสียดแทงของเวทมนตร์ กระทบเข้ากับบางสิ่ง แต่ไม่ใช่ร่างของลูซิส เพราะมีใครบางคนยืนขวางเขาไว้ เสื้อคลุมสีดำปลิวไหว มือข้างหนึ่งยกขึ้น สร้างม่านพลังโปร่งใส ลูซิสเงยหน้าขึ้น เห็นเสี้ยวหน้าคมคายของชายปริศนา “ใคร?” บุรุษคนนั้นไม่ตอบเขาหันไปจ้องนักล่าเวทมนตร์ “พวกเจ้ารบกวนข้า” เสียงของเขาเรียบ แต่แฝงไปด้วยความกดดันมหาศาล ฟึ่บ!!! เส้นพลังเวทสีเงินเข้มพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา แรงระเบิดกระแทกนักล่าเวทมนตร์ปลิวไปกระแทกต้นไม้เลือดสาดกระจาย “อั่ก”
พวกมันตกตะลึง แล้วรีบหนีไปโดยไม่หันกลับมา ลูซิสยังคงยืนนิ่ง เขาหันไปสบตากับชายที่ช่วยชีวิตเขาไว้
“เจ้าเป็นใคร”
บุรุษร่างสูงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“เอเรบัส”
“จอมเวทที่ไม่มีพันธะใดๆ ต่อโลกใบนี้”
ลูเซิสมองเอเรบัส แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะช่วยข้า”
เอเรบัสยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ข้าไม่ได้ช่วย”
“.....?”
“ข้าแค่ไม่ชอบพวกนักล่าเวทมนตร์ก็เท่านั้น”
ลูซิสขมวดคิ้ว”แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่?”
เอเรบัสถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเจ้าเป็นแค่เด็กที่โชคร้ายหรือเป็นตัวปัญหากันแน่”
“ท่านไม่กลัวข้าหรือ?”
“กลัว?” “เด็กที่ยังควบคุมพลังตัวเองไว้ไม่ได้?”เอเรบัสหัวเราะในลำคอ “ไม่สักนิด”
“แล้วเจ้า”
“จริงๆ แล้วข้าควรจะปล่อยเจ้าไว้ที่นี่”เอเรบัสพูดขึ้น เสียงของเขายังคงราบเรียบ “...แต่คิดไปคิดมาข้าว่าข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
ลูซิสอึ้งไปเล็กน้อย”...เพราะอะไร?”
เอเรบัสสบตากับเขา ก่อนจะหันหลังเดินไป
“เพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะเป็นผลของคำทำนาย หรือเป็นหายนะของโลกนี้”
สองเงาเดินผ่านป่ามืด เอเรบัสก้าวนำหน้าขณะที่ลูซิสเดินตามหลังอย่างไม่เต็มใจ ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขา มีเพียงเสียงใบไม้ที่ถูกเหยียบย่ำ และเสียงหายใจหนักของลูซิส
เขายังไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้
ชายที่มีพลังมหาศาล แต่กลับไม่แม้แต่จะบอกเหตุผลที่ช่วยเขา “เจ้าเป็นใครกันแน่?” ลูซิสถามขึ้นอีกครั้งหลังจากทนเงียบอีกครั้งหลังจากทนเงียบมานาน
เอเรบัสไม่ได้ตอบทันที
ชายหนุ่งเพียงเดินต่อไปราวกับไม่ได้ยินคำถามนั้น
ลูซิสขมวดคิ้ว ก่อนจะถามอีกครั้ง”ข้ากำลังถามเจ้าอยู่”
เอเรบัสหยุดเดินกะทันหัน ทำให้ลูซิสเกือบชนแผ่นหลังของเขา “ข้าบอกเจ้าแล้ว” เอเรบัสตอลเสียงเรียบ
“ชื่อของข้าคือเอเรบัส”
“ข้ารู้แล้วหูข้าไม่ได้หนวกเจ้าบอกข้าแล้ว” แต่”เจ้าคือใคร เจ้ามาจากไหน เจ้าต้องการอะไรจากข้า?” ลูซิสกดดันต่อ”
เอเรบัสเหลือบมองลูซิสอย่างเย็นชา ก่อนเจะกล่าวเสียงเบา “เจ้าพูดมาก”
ลูซิสเม้มปากแน่น ความอดทนของเขาถูกผลักให้ถึงขีดสุด “ข้าไม่ไว้ใจเจ้า”
“ดี” เอเรบัสตอบทันที
ลูซิสชะงักไป”...อะไรนะ?”
เอเรบัสหันกลับมา แววตาของเขายังคงเฉยชา “เจ้าไม่ควรไว้ใจข้า”
ลูซิสรู้สึกถึงบางอย่างเย็นเยียบในน้ำเสียงของเอเรบัส “งั้นเจ้ากำลังคิดจะฆ่าข้าหรือ?”
เอเรบัสหัวเราะในลำคอ แต่รอยยิ้มของเขากลับไม่ได้ดูสนุกจริงๆ
“ถ้าข้าคิดจะฆ่าเจ้า เจ้าคงตายไปแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้ลูซิสตัวแข็งทื่อ
“แล้วเจ้าจะพาข้าไปไหน?” ลูซิสถามต่อด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น
เอเรบัสไม่ตอบในทันที เขาเพียงหันหลังกลับ แล้วก้าวเดินต่อ
“ไปให้พ้นจากที่นี่”
ลูซิสยังไม่เข้าใจชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากเดินมาได้สักพัก ลูซิสก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้ากำลังถาโถมใส่เขา แข้งขาของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆแม้ว่าแผลของเขาจะไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต แต่ความเจ็บปวดก็ไม่อาจมองข้ามได้
“เราจะเดินไปแบบนี้นานแค่ไหน?”
เอเรบัสไม่ตอบ
“เจ้าจะพาข้าไปไหนกันแน่?”
เงียบอีกครั้ง
“ข้าไม่ใช่นักโทษของเจ้า!” ลูซิสตะโกนด้วยความหงุดหงิด
เอเรบัสหยุดเดินครู่หนึ่ง ราวกับกำลังพิจารณาคำพูดของลูซิส
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
“เจ้ากำลังหมดแรง”
“ข้าไม่ได้ถามเรื่องนั้น!”
“แต่เจ้ากำลังจะล้ม”
ลูซิสอ้าปากจะเถียงต่อ แต่แล้วร่างกายของเขาก็ทรุดลงกับพื้นจริง ๆ
อาการบาดเจ็บจากการไล่ล่าเริ่มเล่นงานเขาอย่างหนัก
“บ้าชะมัด…”
เอเรบัสยืนมองเขาอยู่เงียบ ๆ
ลูซิสกัดฟัน พยายามจะลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่ขากลับไม่ยอมขยับ
เขาเกลียดความรู้สึกนี้
ความอ่อนแอ—และการต้องพึ่งพาคนแปลกหน้า
แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น—
เสื้อคลุมสีดำถูกโยนมาทับร่างของเขา
ลูซิสมองมันอย่างงุนงง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเอเรบัส
“ข้าไม่ต้องการความสงสารจากเจ้า” เขาพูดเสียงแข็ง
“ดี ข้าก็ไม่ได้ให้” เอเรบัสตอบเรียบ ๆ
ลูซิสจ้องชายตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้าเจ้าจะให้ข้าตามเจ้าไป เจ้าก็ควรจะบอกข้าสักอย่างหนึ่ง”
เอเรบัสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ
“คืนนี้ เจ้าจะไม่ตายหรอก”
ลูซิสขมวดคิ้ว
“หมายความว่าไง?”
เอเรบัสหันหลังเดินออกไปช้า ๆ
“หมายความว่า… ข้ายังไม่ให้เจ้าตาย”
คืนแรกที่ต้องพักพิง – ความเงียบที่ไม่เป็นมิตร
กองไฟเล็ก ๆ ลุกโชนอยู่กลางป่า เปลวไฟไหววูบไปตามกระแสลมเย็นของค่ำคืน
ลูซิสนั่งกอดเข่าอยู่ข้างกองไฟ ในขณะที่เอเรบัสนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงข้าม ท่าทางผ่อนคลายราวกับไม่มีอะไรต้องกังวล
“เจ้าคิดว่าเราปลอดภัยที่นี่?” ลูซิสถามขึ้น ดวงตายังฉายแววระแวง
“ไม่มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับเจ้า” เอเรบัสตอบเรียบ ๆ “แต่ที่นี่ดีกว่าถูกไล่ล่าไปเรื่อย ๆ”
ลูซิสขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าล่ะ? ไม่มีใครตามล่าเจ้าหรือไง?”
เอเรบัสยิ้มมุมปาก “ถ้ามี พวกมันคงไม่รอดมาบอกเล่าได้”
ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขา
ลูซิสมองไปที่กองไฟ เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเถียงกับเอเรบัส แต่สมองของเขายังไม่สามารถผ่อนคลายได้
“เราต้องเดินทางกันอีกไกลแค่ไหน?”
เอเรบัสไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงเหยียดขาออก แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า
“พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่”
“เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกพบตัว?”
เอเรบัสปรายตามองลูซิส “ข้าไม่ได้เป็นเป้าหมายเหมือนเจ้า”
“แต่เจ้าช่วยข้าไว้ พวกมันจะต้องตามล่าเจ้าเหมือนกัน”
เอเรบัสหัวเราะเบา ๆ – แต่ไม่มีความขบขันในแววตา
“ก็ให้พวกมันลองดู”
ลูซิสไม่ได้ตอบอะไรกลับ เขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน เอเรบัสเป็นใครกันแน่?
ความเงียบที่ถูกทำลาย – การโจมตีเล็ก ๆ น้อย ๆ
เสียงลมพัดผ่านใบไม้ เสียงจิ้งหรีดร้องแว่วเบา ๆ
แต่แล้ว…กร๊อบ!
เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา
ลูซิสสะดุ้งเฮือก – หันขวับไปมองทันที
“อะไรน่ะ!?”
เอเรบัสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่แววตา เยือกเย็นขึ้นมาทันที
กร๊อบ… กร๊อบ…
เสียงฝีเท้าเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด
ลูซิสคว้าไม้แห้งขึ้นมาแนบตัวด้วยสัญชาตญาณ แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม
จากเงามืด บางสิ่งเคลื่อนตัวออกมา—ดวงตาเรืองแสงสีแดงวาบขึ้น
“เงาปักษา!” ลูซิสอุทานเสียงเบา สัตว์เวทมนตร์ที่ดุร้ายและโจมตีเป็นฝูง
คำอธิบาย เงาปักษาคือสิ่งมีชีวิตกลางคืน มีปีกสีดำสนิทและกรงเล็บแหลมคม พวกมันโจมตีเหยื่ออย่างรวดเร็ว และไม่หยุดจนกว่าเหยื่อจะตาย
แกร๊บ!
เงาปักษาตัวหนึ่งโฉบลงมา—พุ่งตรงมาที่ลูซิส!
แต่ทันใดนั้น…ฟุ่บ!
มือของเอเรบัสตวัดขึ้นเร็วเท่าความคิด – เปลวไฟสีฟ้าพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา!
“อยู่เฉย ๆ” เขาสั่งเสียงเย็น
เปลวไฟพุ่งเข้ากระทบเงาปักษา—เสียงร้องแหลมดังขึ้นก่อนที่มันจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในอากาศ
“…”
ลูซิสจ้องเอเรบัสอย่างตกตะลึง
เงาปักษาอีกสองตัวโฉบลงมา
เอเรบัสไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย แต่เพียงแค่สะบัดนิ้ว เปลวไฟสีฟ้าก็พุ่งทะลุผ่านพวกมันไป
ร่างของพวกมันแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเถ้าถ่านสีดำโปรยปรายไปทั่วพื้นดิน เศษขนนกสีดำแหลมคมของเงาปักษายังลอยอยู่ในอากาศ
กลิ่นไหม้จากเปลวไฟของเอเรบัสคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ
ลูซิสหอบหายใจ หัวใจของเขายังเต้นรัวจากการเผชิญหน้ากับสัตว์เวทมนตร์เมื่อครู่
“พวกมันไปหมดแล้วใช่ไหม…”
เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ยังคงสั่นไหว เหงื่อไหลซึมทั่วแผ่นหลัง
“ใช่”
เสียงทุ้มต่ำของเอเรบัสดังขึ้น เขาปรายตามองรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะลดมือลง
เปลวไฟสีน้ำเงินที่ปลายนิ้วของเขาดับวูบลง
“พวกมันไม่ควรปรากฏตัวที่นี่” เอเรบัสพูดขึ้นเรียบ ๆ แต่สายตาของเขาคมกริบ
ลูซิสหันขวับไปมองเขา “หมายความว่ายังไง?”
“มีบางอย่างผิดปกติ” เอเรบัสกวาดตามองไปรอบ ๆ
“เงาปักษาไม่ออกล่าเว้นแต่มีสิ่งที่พวกมันต้องการ”
ลูซิสรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว บางอย่างในคำพูดของเอเรบัสทำให้เขาขนลุก
“หมายความว่า…”
“พวกมันมาหาเจ้า” เอเรบัสตัดบททันที
ลูซิสตัวแข็งทื่อ
เงาปักษา… ตั้งใจล่าเขา?
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง
ลูซิสยังคงนั่งนิ่ง หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก
เอเรบัสปรายตามองเขาก่อนจะพูดขึ้นเรียบ ๆ
“เจ้าหลบช้าเกินไป”
“…” “ถ้าข้าไม่อยู่ เจ้าคงถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว”
ลูซิสกำหมัดแน่น
“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย”
เอเรบัสหัวเราะในลำคอ “งั้นหรือ?”
“ใช่!”
“ถ้างั้นครั้งหน้า ข้าจะไม่ช่วย”
“…”
ลูซิสมองหน้าเอเรบัส เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้กำลังประชดหรือพูดจริง
แต่ที่เขารู้คือ แม้แต่การคุยกับเอเรบัสก็เหมือนการต่อสู้
หลังจากเหตุการณ์เงาปักษา ลูซิสยังคงระแวง แต่บางสิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขามองกองไฟ แล้วก็เหลือบไปมองเอเรบัสที่ยังคงนั่งเงียบอยู่
“…ขอบใจ”
“อะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าขอบใจ” ลูซิสพูดเสียงเบา แต่ไม่มองเอเรบัสตรง ๆ
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับทันที
จากนั้นเพียงแค่ หัวเราะเบา ๆ
“อย่าพูดแบบนั้นบ่อยนัก ข้าไม่ชิน”
“…หึ”
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ลูซิสมีความรู้สึกต่อเอเรบัสดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ความเงียบหลังจากการถูกโจมตี
กองไฟยังคงลุกไหม้ เปลวไฟสีส้มไหวระริกท่ามกลางความเงียบ
ลูซิสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ขาของเขายังรู้สึกหนัก และความเหนื่อยล้ายังคงกดทับร่างกายของเขา
แต่สมองของเขากลับไม่หยุดทำงาน
เขากำลังคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
เงาปักษา – สัตว์เวทมนตร์ที่อันตราย มันสามารถฆ่าเขาได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ
…และคนที่ช่วยเขา ก็คือ เอเรบัส
‘ข้าไม่ได้ขอให้เขาช่วย…แต่ทำไมเขายังช่วยข้า...เหตุผลมันคืออะไรกันแน่? ทำไม? คำถามนี้ยังวนอยู่ในหัวลูซีส
เอเรบัสยังคงนิ่งสงบอยู่ข้างกองไฟ ดวงตาของเขาสะท้อนแสงเปลวไฟ สีอำพันดูเย็นชาและไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ
ดวงตาของลูซิสเหลือบไปมองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
แต่ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจอย่างที่ลูซิสคิดไว้ตอนแรก
เขาช่วยชีวิตข้าถึงสองครั้งแล้ว…
ครั้งแรกคือ ตอนที่พวกนักล่าเวทมนตร์กำลังจะจับตัวข้า
ครั้งที่สองคือ เมื่อครู่ ตอนที่เงาปักษาโจมตี (ความคิดนี้วนอยู่ในหัวของลูซีส)
“เจ้าจะจ้องข้าทำไม?”
เสียงของเอเรบัสดังขึ้น ขัดความคิดของลูซิส
ลูซิสสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบเบือนสายตาไปทางอื่น
“ข้าเปล่า” ลูซีส(เสียงสูง)
เอเรบัสหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “โกหกไม่เก่งเลยนะ เจ้าเด็กจันทรา”
ลูซิสขมวดคิ้ว “ข้าไม่ใช่เด็ก”
“ทำไม? เจ้าก็มีพลังของจันทราไม่ใช่หรือ?”
ลูซิสเม้มปากแน่น เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะยอมรับมันดีหรือไม่
“เจ้ากลัวพลังของตัวเองหรือ?” “…” “หรือลึก ๆ แล้ว เจ้ากลัวว่าข้าจะเห็นว่าเจ้าคือใครกันแน่?”
ลูซิสเงียบ เขาไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี
“พักซะ”
คำพูดของเอเรบัสทำให้เขาเงยหน้าขึ้น
“เจ้าพูดว่าอะไร?”
“เจ้าบาดเจ็บ และถ้ายังดื้อดึง พรุ่งนี้เช้าข้าคงต้องแบกเจ้าขึ้นหลัง”
ลูซิสอ้าปากค้าง “ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น!”
“เจ้าแน่ใจ?” เอเรบัสเลิกคิ้ว
“แน่!”
เอเรบัสยิ้มมุมปากเล็ก ๆ “ถ้าแน่ใจ ก็หลับซะ”
“…”
ลูซิสมองชายตรงหน้า เขาอยากจะเถียงต่อ แต่ก็รู้ตัวดีว่าตัวเองเหนื่อยเกินกว่าจะทำแบบนั้น
เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เอนตัวลงนอน ดวงตาจ้องมองเปลวไฟที่ไหวระริก
คืนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะมาคิดเรื่องของเอเรบัสหรือคำทำนายอะไรอีก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่ชัด
‘อย่างน้อย… มีเอเรบัสอยู่ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่’
เหตุการณ์หลังจากการต่อสู้ – เอเรบัสอ่อนล้าและเผลอหลับไป]
เปลวไฟจากกองไฟกลางป่าไหวระริกในความเงียบ
บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้สูงเท่านั้น
ลูซิสนั่งอยู่ข้างกองไฟ แขนของเขายังมีรอยขีดข่วนจากการต่อสู้เมื่อครู่
เขาเหลือบมองไปทางเอเรบัสที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกล
เสื้อคลุมสีดำของเขาขาดเป็นรอยจากการปะทะ มือของเขามีรอยไหม้จากการใช้เวทมนตร์ต่อเนื่อง
แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือ…
เขาดูเหนื่อยมาก
“เจ้าดูแย่กว่าข้าอีก” ลูซิสพูดขึ้น
เอเรบัสปรายตามองเขาเล็กน้อย “พูดมากไปแล้ว เจ้าหนู”
“ก็เจ้าเล่นไม่หยุดพักเลย”
“ข้าไม่เหนื่อย”
“โกหก ข้าเห็นเจ้าแทบล้มแน่ะ”
เอเรบัสถอนหายใจเบา ๆ เขาไม่อยากเถียงอีกแล้ว
เปลือกตาของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ
และสุดท้าย… เขาก็เผลอหลับไป