เชลยรักสัญญานิรันดร์กาล
7
ตอน
183
เข้าชม
0
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง
ความรักที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเดินทางไปเป็นจิตอาสาในประเทศเวเลนา แต่กลับถูกท่านผู้นำของคาดาร์ซันจับตัวไป เป็นข้อต่อรองในนามเชลยสงครามจึงก่อเกิดเป็นความรักขึ้นท่ามกลางสมรภูมิรบ

ตอนที่ 1 ทีมแพทย์อาสา 

“ท่านเบลิน คือคนที่รักษาดินแดนของชาติ ส่วนผมคือคนที่รักษาคนเจ็บและกองกำลังของชาติ เราต่างคนต่างทำหน้าที่รักษาเหมือนกัน ถึงแม้มันจะคนละส่วนงานก็ตาม แต่ท้ายที่สุด แล้วเราทั้งคู่ก็มีจุดประสงค์เดียวกันนั้นคือการรักษา” 

ถ้าจะพูดถึงเรื่องสงครามครั้งใหญ่ ๆ ในโลกใบนี้ก็มีอยู่ด้วยกันถึงสองครั้ง นั้นคือสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง แต่สงครามระหว่างประเทศและในประเทศยังคงมีอยู่ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคือสงครามระหว่างคาดาร์ซันกับเวเลนา ที่กำลังก่อสงครามกันอยู่ในตอนนี้ 

ตามสนธิสัญญาสันติภาพ มนุษยธรรมระหว่างประเทศทางรัฐบาลไทยส่งความช่วยเหลือโดยการส่งบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือแพทย์ไปยังเวเลนา โดยได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลนิธิวัฒน์เวชในการส่งทีมแพทย์ไปในครั้งนี้ ดร.แพทย์หญิงพาฝัน นิธิวัฒน์ เจ้าของโรงพยาบาลนิธิวัฒน์เวชไม่ได้ขัดข้องอะไรในการส่งทีมสนับสนุนช่วยเหลือในครั้งนี้ เพราะเธอนั้นถือหลักยึดมั่นในคำกล่าวที่ว่า 

“ต้องช่วยคนให้ได้มากที่สุด ยื้อให้ได้มากที่สุด และอย่าหยุดจนกว่าจะถึงที่สุด” 

เป็นสโลแกนของโรงพยาบาลนิธิวัฒน์เวชที่ ดร.แพทย์หญิง พาฝัน และสามีของเธอ ศาสตราจารย์ ดร.น.พ. เมฆา นิธิวัฒน์ เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น 

แต่สิ่งที่ทำเธอหวาดหวั่นก็คือหนึ่งในแพทย์ที่เข้าร่วมทีมช่วยเหลือในครั้งนี้มีแก้วตาดวงใจของเธออย่าง นายแพทย์ พาขวัญ นิธิวัฒน์ บุตรชายของเธอเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย เธอจะไม่กังวลเลยหากเธอไม่เคยสูญเสียสามีอันเป็นที่รักในสงครามของระหว่างสองเมืองนี้... 

แพทย์หญิงพาฝันหวั่นเกรงว่าการไปเวเลนาของลูกชายเธอในครั้งนี้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมอีกครั้งหรือไม่ เธอได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้มันเป็นเพียงความคิดกังวลของเธอเพียงคนเดียว 

“เดินทางปลอดภัยนะลูก ขอให้บุญรักษาพระคุ้มครองอย่าได้มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับลูกรักของแม่ แม่จะรอจนกว่าลูกจะเดินทางกลับมาหาแม่อย่างปลอดภัยนะ” 

“ครับแม่ ผมจะดูแลตัวเองให้ดีกลับมาหาแม่นะครับ” 

“ลูกรักของแม่” แพทย์หญิงพาฝันโอบกอดลูกชายด้วยความรักความเป็นห่วงสุดหัวใจ 

หมอพาขวัญโอบกอดมารดาราวกับว่ากอดนี้เป็นกอดครั้งสุดท้าย ไม่รู้เลยว่าการเดินทางในครั้งนี้ของเขาจะต้องเจอกับอะไร แต่ในเมื่อเลือกแล้วเขาก็จะต้องเดินหน้าต่อไป 

“ได้เวลาที่ผมต้องไปขึ้นเครื่องแล้วครับ” 

เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารเที่ยวบินที่จะเดินทางไปเวเลนาดังขึ้น พาขวัญจำใจต้องปล่อยโอบกอดอันอบอุ่นจากมารดา 

ทีมแพทย์ที่ร่วมเดินทางกับเขาในครั้งนี้มีด้วยกันหกคน คนแรกคือ โปรเจ็ค ปอร์เซ่  พลอยเจ และพยาบาลอีกสองคนคือโบตั๋นและมิลินที่ทางโรงพยาบาล นิธิวัฒน์เวช ได้ส่งไปพร้อมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรคเป็นจำนวนมาก 

หมอพาขวัญหันกลับไปมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเป็นครั้งสุดท้ายราวกับจะจดจำบรรยากาศทั้งหมดไว้เพราะเขาอาจจะไม่ได้เห็นมันอีกนาน เพราะไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่ หรือสิ้นสุดลงตอนไหน เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้นอกจากผู้ที่เป็นต้นเหตุของสงครามในครั้งนี้ 

พาขวัญได้ก่อนจะเดินไปตามทางที่กำหนดเพื่อขึ้นเครื่องบินที่จะพาเขาและทีมแพทย์ไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง 

 

หลังจากที่เก็บสัมภาระเรียบร้อย พาขวัญนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรอเวลาเครื่องบินออกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า 

เขาคิดย้อนกลับไป ตอนที่บิดาของเขา ศาสตราจารย์ ดร.น.พ. เมฆา นิธิวัฒน์ หนึ่งในทีมแพทย์ที่เคยเดินทางไปยังเวเลนาและไม่ได้กลับมาอีก แหล่งข่าวเล่าว่าพ่อเขาถูกลุ่มกองกำลังติดอาวุธฆ่าในสงคราม บ้างก็ว่าถูกจับตัวไปทรมาน แต่ทุกอย่างยังไม่แน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นคนสังหารบิดาของเขา และนั่นคือสาเหตุที่เขาตัดสินใจอาสาเป็นทีมแพทย์ในครั้งนี้ เพื่อสืบหาสาเหตุการจากไปของบิดา 

 

ใช้เวลากว่าสิบชั่วโมงเครื่องบินก็เดินทางมาถึงสนามบินของเวเลนา ทันทีที่เครื่องลงจอดหมอปอร์เช่ที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ ตั้งแต่เครื่องบินออกจากต้นทางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย 

“หนาวไหม อากาศที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราปรับตัวได้ไหม มีอะไรก็บอกพี่ได้นะ” ปอร์เช่เป็นรุ่นพี่มหาลัยแพทย์ ดูก็รู้ว่าปอร์เช่คิดยังไงกับเขา แต่พาขวัญนอกจากจะไม่ให้ความหวังแล้วเขายังไม่สนใจด้วยซ้ำ สิ่งที่หมอปอร์แช่ได้คือความเงียบที่บ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการการดูแลใด ๆ จากเขาทั้งสิ้น 

หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองพวกเขาก็ได้เดินทางเข้าสู่ดินแดนของเวเลนาแบบเต็มตัว เหล่าทีมแพทย์เดินสำรวจสิ่งแปลกปลอมที่ไม่คุ้นตาในเวเลนา ทั้งสถาปัตยกรรม อาหารและการใช้ชีวิตของผู้คน ระหว่างรอรถจากสถานทูตมารับ 

จู่ ๆ โบตั๋นหนึ่งในทีมแพทย์ก็ได้เอ่ยประโยคที่ไม่ควรพูดออกมา 

“ถ้าเกิดผู้นำคาดาร์ซัน ทิ้งระเบิดลงที่สนามบินตอนนี้พวกเราจะทำไง!” 

“โบตั๋น! พูดอะไรออกมา นั่งเงียบ ๆ ก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอกนะ อีกอย่างที่นี่สนามบิน ไม่มีใครทำอย่างที่แกพูดเหรอ นอกจากคนนั้นบ้าดีเดือดจนยั้งไม่อยู่ก็ว่าไปอย่าง” พลอยเจออกความคิดเห็น 

“เงียบไปทั้งสองคนนั้นแหละ แค่นี้ยังน่ากลัวไม่พออีกหรือไง พวกเรามารักษาคนที่ทำสงครามกันอยู่นะ” มิลินปรามทั้งสองคน ก่อนที่พาขวัญที่นั่งเงียบมานานจะเอ่ยขึ้น 

“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” 

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม” ปอร์เช่รีบเสนอตัว 

“ไม่เป็นไรครับ” 

พาขวัญลุกขึ้นเดินไปตามป้ายบอกทางไปห้องน้ำ ปล่อยให้เพื่อน ๆ อีกห้าคนนั่งรอเจ้าหน้าที่สถานทูตมารับตามที่นัดหมายไว้ 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว