บนโรงแรมหรูระดับห้าดาว รามิล อายาด ยืนอวดหุ่นสูงหันหน้าออกไปมองวิวด้านนอกกระจกบนชั้นสามสิบห้าของตึกสูงระฟ้า เสียงดังจากเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นหลายครั้งแต่เขากลับไม่มีกระจิตกระใจที่จะหันไปสนใจรับสาย เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้รามิลตื่นจากภวังค์หันกลับไปมองที่ต้นเสียง จามานเลขาส่วนตัวของเขาเดินเข้ามาพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาล
"ข้อมูลที่ท่านประธานให้สืบเรียบร้อยแล้วครับ แล้วก็ท่านประธานใหญ่โทรหาหลายสายแล้วแจ้งว่าติดต่อไม่ได้"
"อื้ม"
เขารับคำเพียงสั้น ๆ จามานจ้องมองบุรุษหนุ่มรูปงามที่มีฐานะเป็นเจ้านายด้วยความสงสัย แม้เขาจะอยู่ในฐานะเลขาแต่ก็เติบโตมากับรามิลตั้งแต่เด็กแม่ของจามานเป็นผู้ดูแลรามิลมาตั้งแต่เกิดทำให้ความสัมพันธ์ของรามิลและจามานเปรียบเสมือนพี่น้องและเพื่อนสนิท รามิลไว้ใจจามานเท่า ๆ กับที่จามานก็ซื่อสัตย์กับรามิลไม่ต่างกัน ในเวลางานจามานจะเว้นระยะห่างกับรามิลในฐานะเลขาคนสนิทที่ทำงานทุกอย่างได้ไม่ขาดตกบกพร่อง หากแต่นอกเวลางานเขาจะเป็นเพื่อนสนิทที่คุยกับรามิลได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่รามิลเดินทางมาที่ประเทศไทยท่าทีของเจ้านายก็ดูแปลก ๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ยิ่งการที่รามิลสั่งให้เขาสืบเรื่องของหญิงคนหนึ่งถึงความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตรวมถึงสมาชิกในครอบครัวยิ่งทำให้จามานอยากจะเอ่ยปากถามหากแต่ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้เกรงว่าจะเป็นการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเจ้านายมากเกินไป
"ท่านประธานครับ จะให้ผมรายงานเลยไหมครับ"
"รอก่อน แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าท่านประธานซะทีไม่รู้สึกแปลก ๆ บ้างหรือไง"
จามานหยุดชะงักและยิ้มออกมาอย่างขบขัน เขาโดนรามิลตำหนิเรื่องสรรพนามที่ใช้เรียกระหว่างเขาและเจ้านายหนุ่มมาไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วแต่ก็ยังคงใช้สรรพนามแบบเดิมทุกทีไม่ยอมเปลี่ยน
"อุมมี[1]
สั่งผมไว้เป็นหนักหนาว่าให้วางตัวให้ถูกอย่าได้ทำตัวทัดเทียมเจ้านายเด็ดขาด"
จามานอธิบายพร้อมกับกลั่วหัวเราะไปด้วยเพราะอุมมีหรือแม่ของเขาเป็นคนเจ้าระเบียบในการใช้สรรพนามกับบุคคลแต่ละชนชั้นและต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแม้จะสนิทสนมกันมากแค่ไหนก็ตาม
"อุมมีวะลาก็ช่างเจ้ายศเจ้าอย่างไม่เข้าเรื่อง นี่ยุคไหนกันแล้วยังจะมาเคร่งครัดเรื่องไม่เข้าท่า"
รามิลเอ่ยอย่างหงุดหงิด พลางทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานสุดหรูเขาเพ่งมองซองเอกสารอยู่เพียงครู่ก่อนเอื้อมมือไปหยิบและเปิดออกดูในที่สุดแววตาสีน้ำตาลเข้มวูบไหวหม่นเศร้าเพียงครู่ก็กลับมาเป็นปกติเอกสารในมือถูกอ่านเพียงผ่าน ๆ จามานจ้างนักสืบชาวไทยในการหาข้อมูลส่วนตัวของหญิงสาว เขาใช้เวลาเพียงสองวันก็ได้ข้อมูลของหญิงสาวมาพลางเอ่ยรายงานประวัติที่ได้รับมาให้ผู้เป็นเจ้านายทราบ
"เธอชื่อ พิมทิชา นนท์สุวรรณ อายุ 20 ปีตอนนี้กำลังเรียนการท่องเที่ยวอยู่ปีสอง เธอทำงานนอกเวลาโดยการเป็นไกด์นำเที่ยวเพราะพูดภาษาอังกฤษได้ดี พ่อเธอเสียชีวิตเมื่อหลายปีที่แล้วด้วยโรคหัวใจตอนนี้เธออาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงซึ่งเปิดร้านขายอาหารทะเลแห้งและของฝากในตัวเมืองภูเก็ต เธอพักอยู่ที่บ้านห่างออกไปนอกเมืองเล็กน้อยเป็นบ้านของพ่อที่ทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเธอกับแม่เลี้ยงครับ"
การเรียกพ่อแม่ว่า อะบี - อุมมี เป็นการเรียกตามแบบอย่างของท่านนบีหรือเรียกตามชาวอาหรับมีความหมายว่า พ่อของฉัน แม่ของฉัน พ่อจ๋า แม่จ๋า พ่อครับ แม่ครับ ฯลฯ
^ อุมมี