วันวานเธอจากไปเพราะถูกเอาเงินฟาดหัวให้กำจัดเลือดเนื้อเชื้อไข แต่วันนี้จำต้องซมซานกลับมาด้วยความจำเป็น มีเพียงความหวังริบหรี่ว่า... เขาซึ่งเป็นพ่อของลูกจะดูแลเจ้าตัวเล็กแทนเธอได้ ในวันที่เธออาจไม่อยู่บ

 

 

ผู้คนที่พลุกพล่านบนสถานีรถไฟฟ้าใจกลางเมืองดูสับสนวุ่นวาย ยิ่งเป็นสถานีหลักที่เชื่อมต่อไปยังสายอื่นด้วยแล้ว พอเวลาที่รถไฟฟ้าเทียบชานชาลาผู้โดยสารก็แทบจะวิ่งกรูออกมาจากประตูรถเพื่อเปลี่ยนไปขบวนอื่น ไม่ก็ออกจากสถานีเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายของตัวเอง แต่หากมีใครสักคนหยุดมองภาพที่แสนสับสนอลหม่านนั้น จะได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอุ้มลูกซึ่งกำลังหลับพาดบ่าเอาไว้ สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความอ่อนล้าเหลือประมาณ 

เด็กผู้หญิงผมบ๊อบแก้มยุ้ยกำลังหลับสนิททำให้น้ำหนักตัวทั้งหมดลงกับผู้เป็นแม่ ต่อให้ลูกน้อยจะหนักถึงสิบกว่ากิโล แต่หญิงสาวก็ยังแบกรับเอาไว้ได้อย่างไม่รู้สึกลำบาก ทั้งที่ร่างกายตอนนี้ช่างอ่อนล้าเหมือนท้องฟ้ายามเย็นที่แดดเริ่มอ่อนแสงลงทุกที ทุกที... 

เมื่อรถไฟฟ้าจอดเทียบชานชาลาคนก็กรูกันออกมาจากด้านในส่วนคนด้านนอกก็พยายามแทรกตัวเข้าไปเพื่อที่จะหาที่นั่งให้ได้ก่อนคนอื่น เพราะแบบนี้คุณแม่และลูกรักจึงถูกเบียดไปมาอยู่ตรงประตูทางเข้า เธอพยายามมองหาเก้าอี้ตัวว่าง เพื่อที่ลูกจะได้หลับสบายกว่าการต้องยืนแบกแกเอาไว้ตลอดสาย แต่ขณะนั้นเอง… 

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นเมื่อเธอเซไปชนกับแม่ลูกอ่อนเข้าจนกระเป๋าของทั้งคู่หล่นลงพื้น แต่ด้วยความรีบร้อนจึงไม่ทันมองให้รอบคอบ พอขอโทษเสร็จเธอก็เดินจากไปโดยไม่สนใจว่า อีกฝ่ายจะจัดการกับกระเป๋าที่หล่นลงพื้นนั้นอย่างไร  

พิญญาถอนหายใจ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงเก็บกระเป๋าได้สำเร็จ แต่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เข้าไปนั่งจนเต็มขบวนแล้ว แม้เพียงที่จะยืนก็ยากเย็นเต็มที แต่อย่างไรเสียเธอก็ต้องพาลูกน้อยกลับไปยังที่พักก่อนจะค่ำมืด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเบียดตัวเข้าไปในขบวนรถไฟฟ้าที่อัดแน่นราวกับปลากระป๋อง สายตาของเธอสอดส่ายหาที่นั่งพิเศษที่มีอยู่ทุกขบวนแต่มองไปทางไหนก็มีคนนั่งจับจองไปเสียหมด แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่มีสิทธินั่งตรงนั้นก็ตาม 

“หนู หนู...มานั่งตรงนี้สิ”  

เสียงคนเรียกทำให้คนเป็นแม่หันตามแล้วพยายามพาตัวเองและลูกน้อยเบียดผู้คนจนไปถึงหน้าที่นั่งหญิงวัยกลางคนที่เรียกเธอมา “มานั่งแทนป้านี่แหละ ลูกก็เล็กจะกระเตงไปยังไงไหว” 

“แต่ว่า กว่าหนูจะลงก็หลายสถานีเลยนะคะ หนูกลัวคุณป้าจะต้องยืนนาน” หญิงคนนั้นยิ้มแล้วลุกขึ้นดึงชายเสื้อของหญิงสาวให้ไปนั่งส่วนตัวของเธอก็ไปยืนแทนที่กัน 

“ไม่เป็นไรหรอกหนู อีกสองสถานีป้าก็จะลงแล้ว หนูนั่งไปเถอะลูกจะได้นอนสบายๆ ด้วย ดูสิ...น่าเอ็นดู หลับสนิทเชียว” 

 “ขอบคุณค่ะคุณป้า” เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็จัดแจงข้าวของที่พะรุงพะรังให้เป็นระเบียบเพื่อไม่ให้เกะกะคนอื่น เพราะเธอรู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะใจดีและเข้าใจว่าทำไมเธอต้องหอบลูกเล็กเข้ามาในเมืองที่วุ่นวายแบบนี้ 

ผู้โดยสารบนรถไฟฟ้าเริ่มบางตาลงไปบ้างแล้ว ยิ่งถ้าเป็นสถานีที่สามารถต่อขนส่งมวลชนอื่นๆ ไปได้คนก็จะยิ่งลงไปมาก แต่ปลายทางที่เธอจะไปนั้นยังอีกไกล พอคนในตู้โดยสารน้อยลงก็ดูเหมือนจะมีช่องว่างให้หายใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อยจนกระทั่งบนรถเริ่มมีที่นั่งว่าง เธอจึงเลื่อนสัมภาระไปวางไว้เก้าอี้ข้างตัวเพื่อให้ลูกน้อยนอนสบายขึ้น 

รถไฟฟ้ายังวิ่งเรื่อยๆ ไปตามรางที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าและยังอีกหลายสถานีกว่าพิญญากับลูกจะถึง ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้เด็กหญิงตัวน้อยนอนหลับเอาแรงไปก่อนเพราะอีกเดี๋ยวคงจะต้องกระเตงกันขึ้นรถเมล์จนกระทั่งถึงที่พักแถวเกษตรนวมินทร์ หญิงสาวเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือก็เห็นว่าเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว ป่านนี้คนคงรอรถเมล์กันแน่นขนัด คิดแล้วก็เหนื่อยไปล่วงหน้าเนื่องจากว่าวันนี้ต้องเสียเวลาอยู่ครึ่งค่อนวันที่โรงพยาบาล 

ใครจะอยากไปโรงพยาบาล...หากไม่ป่วยไข้และตัวของพิญญาเองก็คิดว่าตัวเธอห่างไกลจากคำว่าเจ็บป่วยมากนักเพราะอายุก็ยังไม่มาก ร่างกายก็แข็งแรงดีไม่เคยมีปัญหาสุขภาพ จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงสาวคลำพบก้อนที่หน้าอก ตอนแรกเธอเข้าใจว่าคงเป็นความผิดปกติหลังจากคลอดและให้นมลูก แต่ก็น่าแปลกเมื่อลูกสาวของเธอหย่านมนานแล้วแต่ก้อนเนื้อก็ไม่มีท่าทีจะหายไป 

“คลำเจอก้อนที่หน้าอกมานานหรือยังคะ” หมอถามพิญญาขณะที่ก้มหน้าอ่านข้อมูลของคนไข้ในแฟ้ม 

“ก็...ตั้งแต่ลูกสาวได้สักขวบกว่าๆ ค่ะ ตอนนั้นดิฉันคิดว่าคงเพราะแกยังไม่หย่านมก็เลยคิดว่าแค่เต้านมมันคัดธรรมดา แต่พอลูกหย่านมแล้วก้อนนี้มันก็ไม่หายไปสักที” 

หมอเลื่อนเก้าอี้มาใกล้กับหญิงสาวแล้วใช้มือคลำก้อนปริศนานั้น จากนั้นหมอก็ทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันที จากที่พิญญาคิดว่าจะมาตรวจเพื่อคลายความสงสัยให้ตัวเอง แต่ตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าก้อนที่ว่านี้คืออะไรกันแน่ 

“เดี๋ยวหมอจะส่งตรวจแมมโมแกรมนะคะแล้วก็เจาะเลือดดูด้วย ตอนนี้หมอฟันธงไม่ได้ว่ามันคือก้อนเนื้อหรืออะไรกันแน่ เดี๋ยวพอได้ผลตรวจแล้วเรามาดูกันอีกที” 

จากนั้นหมอก็ส่งเธอไปตรวจพิเศษเพื่อจะหาทางรู้ให้แน่ชัดว่าเธอเป็นอะไรกันแน่ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการรักษาที่วุ่นวายของวันนี้เนื่องจากผลตรวจจากเครื่องแมมโมแกรมบ่งชี้ว่าก้อนที่คลำเจอในหน้าอกของพิญญานั่นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง ดังนั้นในวันนี้หมอจึงนัดเธอเพื่อตรวจให้ละเอียดอีกครั้ง 

เช้าตรู่ต้องมาเจาะเลือดเพื่อรอพบหมอตอนสายๆ แต่วันนี้พิญญาต้องเอาลูกสาวมาด้วยเพราะกลัวจะไปรับลูกไม่ทันตอนเลิกเรียน เด็กอนุบาลบ่ายสามก็ไม่ต้องเรียนแล้ว หากยังติดธุระคงต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ตัดสินใจหอบเอากันมาด้วยเลยดีกว่า เธออยู่กันเพียงสองคนแม่ลูกในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ แถวเกษตรนวมินทร์ ที่ถึงแม้มันจะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็พอจะให้ลูกน้อยและตัวเธออยู่แบบสบาย 

เมื่อเช้าพิญญายังมีแรงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นรถเมล์ต่อรถไฟฟ้าเพื่อมาหาหมอด้วยกัน แต่พอหมอแจ้งให้ทราบว่าก้อนเนื้อในหน้าอกของเธอนั้นคือมะเร็ง ก็เหมือนว่ามีใครสักคนมาดับไฟไปวูบหนึ่ง ภาพที่หญิงสาวเห็นมืดดับเหมือนอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แสงสว่างที่พิญญาเคยคิดว่ามันมีอยู่เสมอ ณ เบื้องหน้าหายวับไปกับตาเมื่อรู้ว่ามะเร็งได้ลุกลามจนถึงขั้นที่สองเสียแล้ว 

“แล้ว...แล้วดิฉันต้องทำยังไงต่อคะ” หญิงสาวกล้ำกลืนความตระหนกไว้แล้วถามหมอถึงกระบวนการรักษา  

แม้หมอจะอธิบายทางเลือกและกระบวนการรักษาในแต่ละทางมาให้โดยละเอียดแต่ดูเหมือนว่าพิญญาจะไม่เข้าใจนัก ปกติเธอเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ และเธอก็คิดว่าสิ่งที่หมออธิบายนั้นไม่ได้ยากอะไร แต่นี่ทำไมวันนี้สิ่งที่หมอพูดเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เป็นเพียงลมพัดผ่านทุกอย่างอื้ออึงไปหมด ไม่รับรู้ว่าแนวทางการรักษามีอะไรบ้าง จำได้เพียงว่าได้ถามหมอกลับไปซ้ำๆ ว่ามีโอกาสที่เธอจะหายขาดจากโรคนี้หรือเปล่า 

“หมอบอกไม่ได้หรอกค่ะว่าจะหายขาดไหม เราต้องลองรักษาดูก่อนค่ะ แต่ตอนนี้มะเร็งลุกลามถึงขั้นสอง หมอจึงอยากแนะนำว่าควรรีบรับการรักษาให้เร็วที่สุดนะคะ ยิ่งรักษาเร็วมากเท่าไหร่โอกาสจะหายก็มีมากขึ้นเท่านั้นค่ะ” หมอตอบอย่างใจเย็นเมื่อรู้สึกได้ว่าคนไข้กำลังสับสนและเสียกำลังใจ ความหวังที่ได้ทั้งหมดมีอยู่เท่าที่หมอบอกแค่นี้เอง  

พิญญาถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปที่กระจกบานใหญ่ของรถไฟฟ้าฝั่งตรงข้าม ท้องฟ้ายามนี้เป็นสีม่วงคล้ำอมแดงเหมือนดวงตาของคนที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก ต้องผ่านเรื่องหนักหนาขนาดไหนกันคนเราถึงร้องไห้จนตาแดงก่ำได้เหมือนสีของท้องฟ้ายามนี้  

‘...เป็นมะเร็งแล้วต้องตาย...’ 

คำพูดนี้ฝังหัวของพิญญามาตั้งแต่เด็กๆ และใครต่อใครที่เธอรู้จักก็ตายด้วยมะเร็งกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามันเป็นมัจจุราชหรืออย่างไร โรคมะเร็งถึงได้คร่าชีวิตคนได้เป็นผักปลา ก่อนหน้านี้ถ้าใครมาคุยกับพิญญาเรื่องมะเร็งนั้น เธอคงหัวเราะขบขันและบอกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว มันไม่ใช่อยู่ๆ จะเป็นกันได้เสียที่ไหน มันต้องเป็นคนอ่อนแอขี้โรคต่างหากถึงจะเป็นมะเร็งได้ พิญญาเชื่อแบบนี้มาตลอดจนวันนี้ได้มาเจอกับตัวเอง แม้ว่าหมอจะอธิบายซ้ำๆ ว่าสมัยนี้มีวิทยาการก้าวหน้าในเรื่องการรักษาโรคร้ายนี้มากแต่ไหนแล้ว แต่คำว่าเป็นแล้วตายก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิดของพิญญาอยู่ดี 

‘...งั้นเราคงต้องตาย...’ 

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในความคิดของหญิงสาว ทำให้อยู่ๆ น้ำตาก็ล้นเอ่อขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นปาดเช็ดให้เหือดแห้ง เธอรู้ว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่ค้ำฟ้าไปได้ แต่ถ้าเธอตายแล้วชีวิตน้อยๆ ที่นอนหนุนตักของเธออยู่นี่จะทำอย่างไร พิญญาใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวของสาวน้อยเบาๆ ด้วยความรักและหวงแหนอย่างสุดซึ้ง 

“...สถานีถัดไปสถานีเกษตรศาสตร์...” เสียงประกาศในรถไฟฟ้าบอกให้ผู้โดยสารรู้ตัวว่าใกล้ถึงสถานีถัดไปแล้วและเป็นปลายทางของสองแม่ลูก  

“อลิน ลูก...ตื่นได้แล้วค่ะ เราต้องลงรถกันแล้วนะ” 

“อื้ม... นี่เราถึงบ้านกันแล้วเหรอคะแม่” เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางงัวเงียและถามทั้งที่ตายังปิดสนิท 

“ยังหรอกค่ะ เดี๋ยวเราต้องลงไปขึ้นรถเมล์อีกนะ มาค่ะ เดี๋ยวแม่เอากระเป๋าเป้ใส่หลังให้นะคะ” หญิงสาวจัดแจงเอากระเป๋าเป้ใบเล็กของลูกสาวใส่หลังให้ ในนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกจากขนมกรุบกรอบหนึ่งถุงและตุ๊กตาเจ้าหญิงตัวโปรดที่ไปไหนมาไหนเด็กน้อยจะต้องเอาติดตัวไปด้วยทุกครั้ง 

สองแม่ลูกลงจากรถไฟฟ้าแล้ว บนชานชาลามีคนไม่มากนักเนื่องจากเลยช่วงเวลาเร่งด่วน แต่อย่างไรเสียคนก็ยังหนาตาและนั่นก็หมายความว่าพิญญาจะต้องพาลูกน้อยฝ่าผู้คนเพื่อขึ้นรถเมล์อีกตามเคย 

“แม่ขา...” เสียงเล็กๆ เรียกพิญญาดังอยู่ข้างตัวทำให้เธอต้องก้มลงมามอง 

“มีอะไรหรือคะ” 

 “อลินกินเค้กได้ไหม” 

“แต่เราเพิ่งกินข้าวกันมานี่คะ” พิญญาตอบลูกสาวที่มองเธอสลับกับเค้กในตู้ตาละห้อย ก่อนขึ้นรถไฟฟ้ากลับมาหญิงสาวก็พาลูกน้อยกินข้าวจนอิ่มแปล้เพราะคะเนแล้วว่าต้องใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร แต่อย่างไรเสียเด็กกับขนมหวานก็มักจะเป็นของคู่กัน 

“แต่ว่า...เรายังไม่ได้กินขนมนี่คะ เรากินแต่ข้าว” เด็กหญิงต่อรองเผื่อแม่จะใจอ่อน 

“แต่ในร้าน อลินบอกแม่ว่ากินข้าวอิ่มแล้วไงคะ”  

“อลินบอกว่าอิ่มข้าว ไม่ได้อิ่มขนมนี่นา แม่ขา...เค้กชิ้นเล็กๆ นะคะ” เจ้าตัวเล็กพูดจบก็ทำนิ้วมือจีบให้เล็กที่สุดเพื่อจะบอกว่า เธอต้องการเพียงเค้กชิ้นเล็กนิดเดียวเพื่อปลอบประโลมพุงน้อยๆ หลังจากที่มันย่อยอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว 

หญิงสาวอดขำไม่ได้ที่เธอต้องมาต่อรองกับเด็กห้าขวบที่พยายามจะหาเหตุผลเพื่อจะกินขนม แต่ก็เอาเถอะเค้กชิ้นเล็กๆ แบ่งกันสองคนแม่ลูกมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เธอมีเงินทองพอควรที่จะซื้อขนมหรือของกินตามใจได้บ้าง แต่ที่พิญญาไม่อยากตามใจอลินมากนักเพราะกลัวว่าน้ำหนักจะเกินกว่าเกณฑ์ในอายุเท่านี้ 

เมื่อเลือกซื้อเค้กได้ตามที่ต้องการแล้วเด็กหญิงก็ดูอารมณ์ดีขึ้นแล้วเดินฮัมเพลงอย่างมีความสุข ทันทีที่เข้าไปในร้านขนมแม่ก็ใจอ่อนซื้อเค้กขนาดครึ่งปอนด์ที่หน้าของมันแต่งเป็นรูปตัวการ์ตูนใส่ชุดกระโปรงบานสีชมพูให้ เนื่องจากถ้าไม่ซื้อหนูน้อยคงเกาะคงติดอยู่ที่กระจกตู้โชว์เค้กไม่ไปไหนสักที  

สองแม่ลูกหอบของพะรุงพะรังเพราะเลือกซื้ออาหารและผลไม้หลายอย่างกลับไปไว้กินที่ห้องด้วย เย็นนี้อลินก็เลยโชคดีได้กลับรถแท็กซี่แทนที่จะต้องไปยืนเบียดกับคนบนรถเมล์พร้อมแม่ของเธอ 

“แม่ขา...ถึงบ้านแล้วกินเค้กเลยได้ไหม” อลินกระซิบถามหลังจากนั่งประคองกล่องเค้กบนรถแท็กซี่ไปได้สักพัก 

“ได้สิคะ แต่นิดเดียวนะ” พิญญาตอบลูกสาวพร้อมทำนิ้วมือจีบให้ดูว่าอลินจะกินเค้กได้แค่ไหน แต่ดูเหมือนเด็กหญิงจะต่อรองโดยใช้มือเล็กๆ ถ่างเอานิ้วมือของแม่ให้กว้างออก 

“เท่านี้ค่ะ” 

“อะไรกัน ไม่เห็นจะเล็กนิดเดียวเลย ใหญ่เบ้อเริ่ม” หญิงสาวเถียงปนขำกับการกระทำของลูกสาว 

“นิดเดียวของอลินกับของแม่ไม่เท่ากันค่ะ อลินเป็นเด็กแม่เป็นผู้ใหญ่” เสียงเจื้อยแจ้วต่อล้อต่อขาน 

เมื่ออลินพูดมาแบบนี้คนเป็นแม่จะว่าอย่างไรได้ คงต้องปล่อยเลยตามเลยให้เด็กน้อยได้กินขนมสมใจ ความสุขของเด็กก็คงมีเพียงเท่านี้ ได้กิน เล่น นอนและอยู่กับคนที่เขารักและรักเขา ช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีอยู่นี้พิญญาอยากจะยืดมันออกให้ยาวที่สุด แต่ก็ไม่รู้เลยว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่กัน... 

เมื่อถึงห้องอลินก็ประคองกล่องขนมเค้กอย่างระมัดระวังมาจนถึงหน้าห้องพัก แต่พอเปิดกล่องขนมออกดูหน้าเค้กสวยๆ ก็เละไปหมด อลินเงยหน้ามองแม่ด้วยแววตาสำนึกผิด เธอถือด้วยความระมัดระวังอย่างดีที่สุดแท้ๆ    

 “แม่ขา เค้กไม่สวยแล้ว” อลินบอกแม่เสียงเศร้าพลางมองเค้กในกล่อง   

 “ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ หน้ามันเละแต่มันก็ยังกินได้ มาค่ะ...แม่ป้อนนะ” 

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้เอาผิดกับเธอในเรื่องนี้ อลินตัวน้อยก็ยิ้มออกแล้วอ้าปากรับเค้กอร่อยๆ อย่างสบายใจ พอกินเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่เด็กน้อยต้องอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน 

“แม่ขา พรุ่งนี้อลินอยู่กับแม่อีกวันได้ไหม” เด็กน้อย 

“ทำไมละคะ อลินไม่อยากไปหาครูพลอยวันพรุ่งนี้เหรอ” 

“ก็อยากคะ แต่...อลินอยากอยู่กับแม่มากกว่า” เสียงเล็กๆ ออดอ้อน 

แม้พิญญาจะอยากเก็บลูกไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา แต่เธอก็รู้ดีว่าการศึกษาของอลินเป็นเรื่องสำคัญ หญิงสาวส่งอลินให้ไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลใกล้ที่พักเพื่อจะเตรียมตัวของเด็กหญิงให้พร้อมสำหรับการศึกษาในขั้นที่สูงขึ้นไป ในใจของพิญญาห่วงสุขภาพของอลินที่ไม่สู้จะแข็งแรงนัก แต่ด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแม่และครูพี่เลี้ยง หนูน้อยอลินจึงเติบโตขึ้นมาอย่างสดใสและแข็งแรงตามวัย อีกเพียงปีเดียวเท่านั้นอลินก็จะขึ้นไปเรียนในชั้นประถม ซึ่งพิญญาตั้งใจไว้ว่าจะพาลูกกลับไปเข้าเรียนที่บ้านนอก ถึงแม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่สามารถเทียบเคียงกันกับโรงเรียนในกรุงเทพ แต่ก็ดีกว่าอยู่ใกล้คนพันนั้น... 

อลินหลับไปแล้วคนเป็นแม่ก็พอจะมีเวลาหายใจหายคอขึ้นมาบ้าง หญิงสาวจึงเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจงานอีกครั้งก่อนส่งให้กับลูกค้า พิญญาใช้ความสามารถด้านการเขียนทำงานเพื่อหาเงินมาจุนเจือชีวิตเธอและลูก เธอเลือกอาชีพฟรีแลนซ์รับจ้างเขียนบทความลงเว็บไซต์ เรื่องสั้นหรืองานเขียนอื่นๆ แล้วแต่คนจะมาว่าจ้าง แม้กระทั่งงานนนักเขียนเงาเธอก็รับทำด้วยความเต็มใจ เพียงเพราะงานที่จ้างแต่ละชิ้นก็หมายถึงเงินที่มีค่าทุกบาททุกสตางค์ 

พิญญาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานแล้วแต่สายตาของเธอกลับเลื่อนลอยไปไกล อนาคตดูเหมือนไม่มีค่าแล้วสำหรับเธอในตอนนี้ เมื่อโรคร้ายที่เป็นอยู่พร้อมจะทำให้เธอจากลูกน้อยไปตลอดกาล เสียงของเด็กหญิงละเมอดังอู้อี้มาจากทางเตียงนอนทำให้พิญญาหันไปมอง หญิงสาวเคยบอกกับตัวเองว่าไม่กลัวที่จะต้องตายแต่หากไม่มีเธอสักคน ลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่นั่นจะใช้ชีวิตอย่างไร แล้วพลันน้ำตาของพิญญาก็ไหลนองหน้าจนเธอต้องถอดแว่นออกแล้ววางมันลงไปบนโต๊ะทำงานเบาๆ 

หญิงสาวพยายามเก็บเสียงร้องไห้ให้เบาที่สุดแม้เธออยากจะกรีดร้องจนสุดเสียงให้สมกับโชคชะตาที่ไม่เคยเข้าข้างเธอเลยสักครั้ง เธอซบหน้าลงกับมือทั้งสองข้างแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่แบบนั้น โดยหวังว่าความทุกข์โศกที่เข้ามาในชีวิตจะละลายหายไปพร้อมน้ำตาบ้างก็ได้ 

"แม่ขา แม่เป็นอะไร" เสียงเล็กๆ ดังข้างตัวของพิญญาจนเธอสะดุ้ง 

"อ๋อ แม่…แม่ไม่เป็นอะไรค่ะ แม่กำลังแก้งานแล้วอยู่ๆ ก็แสบตาจน…" หญิงสาวพูดไม่ทันจบมือน้อยๆ ของอลินก็ยื่นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอ 

พิญญามองแววตาซื่อบริสุทธิ์ของลูกน้อยก็อดไม่ได้ เธออยากจะปล่อยโฮออกมาแล้วกอดเจ้าตัวเล็กไว้แนบอก แต่หากทำแบบนั้นอลินก็จะโศกเศร้าไปด้วย ลูกยังเด็กเกินกว่าจะมารับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าตัวเล็กคงเข้าใจเพียงว่าแม่ของเธอคงเหน็ดเหนื่อยและปวดตาแบบที่เคยบ่นให้เธอได้ยินอยู่ทุกวัน 

"แม่ต้องพักผ่อนมากๆ แบบที่ป้าหมอบอกนะ" 

"นั่นสิ แม่ก็ลืมไปเลย งั้นเราไปนอนกันดีกว่านะคะ" 

พิญญาพยายามสะกดกลั้นตามรู้สึกเศร้าแล้วจูงมือเด็กหญิงเข้านอนพร้อมกัน ความทุกข์และปัญหาถาโถมใส่เธอมากมายก็จริง แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้คนที่เธอรักและต้องการการดูแลเอาใจใส่จากเธอมากที่สุดก็คืออลิน หากวันนี้เธอไม่เข้มแข็งอลินก็คงจะใจเสียเพราะเด็กเล็กคงยังไม่เข้าใจว่าแม่คนนี้จะอยู่กับเขาได้อีกไม่นาน  

จนถึงวันที่หญิงสาวจากโลกนี้ไปแล้วเธอก็ต้องมั่นใว่า อลินต้องไม่มีชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย เด็กตัวแค่นี้...จะอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นพิญญาจึงต้องหาหนทางที่คิดว่าเหมาะสมกับลูกสาวตัวน้อยของเธอที่สุด 

“ว่าไงนะญ่า แกจะเอาอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”  

เสียงจากปลายสายถามขึ้นเมื่อหญิงสาวเล่าเรื่องราวทั้งหมดและการตัดสินใจให้กัลยาได้ฟังก่อนที่พิญญาจะไปส่งลูกที่โรงเรียนอนุบาล แม้เพื่อนรุ่นพี่อย่างกัลยาจะรับรู้โชคชะตาของหญิงสาวและยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยหางานมาให้รุ่นน้องไม่ได้ขาด แต่กัลยาก็อดไม่ได้ที่จะถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจว่าเธอฟังไม่ผิด  

“เอาจริงสิเจ้ มันไม่มีทางอื่นแล้ว” พิญญาตอบเสียงหนักแน่น เธอมักจะเรียกกัลยาว่าเจ้แทนชื่อเล่นจนชินปากส่วนคนโดนเรียกก็ไม่ถือสาเพราะเรียกกันมาแบบนี้ตั้งแต่รู้จักกันในมหาวิทยาลัย 

“แกไม่คิดดูให้ดีอีกทีเหรอวะญ่า แกก็รู้ว่ามันเป็นคนไม่ดีแล้วจะกลับไปยุ่งกับมันอีกทำไม อีกอย่างนะ...แกก็ไม่ได้อดไม่ได้อยากขนาดไม่มีเงินซื้อข้าวให้ลูกกินหรือไม่มีเงินรักษาตัวนี่หว่า” 

“...” หญิงสาวเงียบแทนคำตอบ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่า ‘มัน’ ที่กัลยาพูดถึงคือใคร ใช่แล้ว เขาคนนั้นเป็นคนไม่ดีและครั้งหนึ่งเธอเคยตัดขาดเขาออกไปจากชีวิต 

“ไอ้โรคมะเร็งที่แกเป็นเนี่ยก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ที่ไหน เดี๋ยวนี้การรักษาเขาทันสมัยจะตายไป ดีไม่ดีนะ เจ้จะตายก่อนแกเสียอีกเพราะทำงานปวดหัวแทบจะระเบิดทุกวัน” 

“เจ้ก็พูดเกินไป ถ้าเจ้ตายไปแล้วใครจะหางานให้ญ่าล่ะ” 

“เออๆ มันก็จริงนั่นแหละ เดี๋ยวนี้คนเขียนงานขายกันเยอะแยะ แต่จะหาคนถูกใจแบบแกนี่มันยาก งั้นเรามาตกลงกันอย่างนี้ดีไหม เจ้ไม่ตาย แกไม่ตาย เราจะได้ทำงานไปด้วยกันอีกนานๆ” 

พิญญาหัวเราะคิกเพราะใครจะไปสัญญาเรื่องแบบนั้นได้ ที่สำคัญหญิงสาวไม่เคยคิดจะตายจากโลกใบนี้ไป แต่ใครจะห้ามเรื่องแบบนี้ได้เล่า 

“ก็ได้เจ้ แต่ยังไงงานที่จะส่งเจ้อาทิตย์หน้าอาจจะช้าหน่อยนะ” 

“ทำไม แกจะไปไหน อย่าบอกนะว่าแกจะไปหามันน่ะ” ปลายสายดูเหมือนจะอารมณ์ขึ้นเพราะโน้มน้าวตั้งนานพิญญาก็ไม่เปลี่ยนใจ 

“ก็นั่นพ่อของอลิน เขาก็ต้องดูแลลูกของตัวเองได้ หากญ่าไม่อยู่ใครจะเหมาะสมเท่าเขา หมามันยังรักลูกของมันเลย นี่คนแท้ๆ” อันที่จริงหญิงสาวก็ไม่อยากคาดหวังกับคนพรรค์นั้นมากนัก แต่เธอก็อับจนหนทางที่จะฝากอนาคตของลูกน้อยไว้ในมือของคนอื่นที่ไม่ได้มีสัมพันธ์กันทางสายเลือด 

“แล้วมันรู้เหรอว่าอลินเป็นลูกมันน่ะ” 

“ยังไม่รู้ แต่เดี๋ยวก็รู้” 

“เจ้ว่านะ คนอย่างมันน่ะ รักใครไม่เป็นหรอก มันรักแต่ตัวของมันเองเท่านั้นแหละ!” 

ปลายสายกระแทกเสียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก่อนวางสายเพราะอินกับเรื่องราวชีวิตบัดซบของพิญญา แต่เมื่อรุ่นน้องของเธอตัดสินใจแล้วคนนอกก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรได้ พิญญารู้ใจบรรณาธิการสาวรุ่นพี่เป็นอย่างดี ถึงจะปากร้ายแต่ก็มีน้ำใจและรักน้องสาวนอกไส้อย่างเธอแบบจริงใจ ยังดีที่พิญญาสนิทกับรุ่นพี่ที่คลุกคลีกับวงการหนังสือทำให้เธอได้ใช้พรสวรรค์เพื่อหาเงินจนลืมตาอ้าปากได้ ที่จริงกัลยาเคยคะยั้นคะยอให้หญิงสาวออกหนังสือในนามของตัวเองสักเล่ม แต่พิญญาก็จำใจปฏิเสธเพราะเธอไม่คิดว่าคนที่มีอดีตต่ำตมเช่นเธอจะเป็นนักเขียนดังอย่างใครเขาได้ 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว