ณ ตำหนักของเมืองหมิ่งเวย ทุกคนต่างวุ่นวายกันมากเพราะ ฮ่องเฮาหลิ่นเฟิ่น กำลังสิ้นลมหายใจเพราะอาหารเป็นพิษต่างก็โศกเศร้าร่ำไห้เพราะเสียใจเป็นอย่างมากโดยมีพระสวามีของนางนั้นยืนอยู่ข้างร่างที่ไร้ลมหายใจหมอหลวงทำการรักษาอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไร้วีแววว่านางจะฟื้นคืนชีพ
ในขณะที่สูญสิ้นความหวังนั้นจู่ๆร่างของหญิงสาวที่ไร้ลมหายใจก็กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ทำให้ทุกคนต่างแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก
“ ไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า พระนางหลิ่นเฟิ่นฟื้นคืนชีพแล้ว” ฮ่องเต้จางหมิ่น สั่งทาสบริวารให้รีบไปตามหมอหลวงมาดูอาการของผู้เป็นชายาของตน ถึงแม้จะไม่ได้รักนางแต่นางก็คือพระชายาของเขาจึงเป็นห่วงเป็นใยเป็นธรรมดา
หญิงสาวที่ฟื้นคืนชีพลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ สายตาของนางตวัดมองรอบๆก็เห็นคนแปลกหน้าเป็นจำนวนมากการแต่งกายก็ผิดแปลกไปมีแต่ผู้คนแปลกหน้าทั้งหมดยกเว้นบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างร่างของนางที่นางรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมากเพราะเขาเป็นสามีของนางในภพปัจจุบันที่นางชื่อ เป่าเป้ย หญิงสาวในวัย26ปี
เธอเป็นพนักงานบริษัทและมีสามีชื่อ ซีฮัน แต่เธอกลับอาหารเป็นพิษจนเสียชีวิตและข้ามภพมาที่นี่
“ พี่ซีฮัน เราอยู่ที่ไหนกันคะทำไมรู้สึกแปลกๆ”
เธอเอ่ยถามผู้เป็นสามีของเธอโดยที่ไม่รู้เลยว่าเธอนั้นตายจากปัจจุบันและข้ามภพมาในอดีตและเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ที่เป็นสามีคนปัจจุบันของเธอแต่เขานั้นจดจำเธอไม่ได้
“ เจ้าพูดอะไรกัน ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมาย” ฮ่องเต้มองผู้เป็นชายาของตนด้วยความงงงวยกับคำพูดของนาง
หญิงสาวแปลกใจทำไมเขาถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูดเธอมองดูรอบๆภายในตำหนักอย่างงงวย ที่นี่เป็นที่ๆนางไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ในระหว่างที่คุ่นคิดอยู่นั้นหมอหลวงก็เข้ามาพอดี “ ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้างพะยะค่ะ ” หมอหลวงสอบถามอาการของนางและตรวจดูกลับไม่พบอาการใดๆนางหายป่วยอย่างอัศจรรย์
“ ว่าอย่างไรบ้างหมอหลวง ฮองเฮาหลิ่นเฟิ่นเป็นอย่างไร” ฮ่องเต้จางหมิ่นเอ่ยถามหมอหลวงอย่างประหลาดใจเพราะนางได้สิ้นชีพไปแล้วแต่ทำไมถึงฟื้นคืนมาได้ และดูเหมือนว่าอาการจะปกติ
หมอหลวงไม่สามารถตอบคำถามของฮ่องเต้ได้เพราะเขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันนี่เป็นเรื่องที่ประหลาดใจมากไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ หม่อมฉันก็ไม่ทราบพะยะค่ะ เพราะฮองเฮาไม่มีอาการอะไรเลย” เมื่อได้ยินเช่นนั้นฮ้องเต้จึงหันกลับมาถามอาการของผู้เป็นชายา
“ เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นเธอจึงคิดว่าเธอน่าจะข้ามภพมาใยยุคอดีต “ แล้วฉันจะพูดยังไงละ ไม่ค่อยเข้าใจภาษา” เธอได้แต่บ่นอยู่คนเดียวและส่ายหัวตอบเขาไป
“ ดีแล้วงั้นข้าไปก่อนแล้วกัน” ฮ่องเต้พูดจบก็เดินออกจากตำหนักของนางไป
“ ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" บริวารของนางนั้นก็ได้เข้ามาสอบถามอาการทั้งที่นางยังมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่
ฮองเฮาเหรอ ฉันเป็นฮองเฮา เธอพูดอยู่คนเดียวและหันไปถามบริวารของเธอ “ ข้าเป็นฮองเฮาอย่างนั้นหรือ” เมื่อบริวารได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจว่านางทำไมถึงทำเหมือนจำอะไรมิได้เลย
“ ใช่แล้วเพคะ” หญิงสาวผู้เป็นคนรับใช้ส่วนตัวของนางเอ่ยตอบในทันที
“ แล้วชายหนุ่มผู้นั้นที่ยืนอยู่ข้างข้าคือใครกัน" หลิ่นเฟิ่นเอ่ยถามเพราะรับรู้แล้วว่าตัวเองนั้นได้ข้ามภพมาอยู่ในอดีตแต่ไม่รู้ว่าสามีที่เคยอยู่กินกันมาในภพนี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเธอ
“ ก็ฮ่องเต้พระสวามีของท่านหญิงไงเพคะ จำมิได้หรือ” บริวารเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่กังวลกลัวว่านางจะจำอะไรมิได้
“ พระสวามีอย่างงั้นหรือ” หญิงสาวยิ้มออกมาเพราะถึงแม้ว่าเธอจะข้ามภพมาก็ยังมาเจอสามีของตนอยู่ในภพนี้แถมยังเป็นพระสวามีของตนอีกแต่เธอกลับไม่รู้เลยว่าเขามิได้มีความรักใคร่ใดๆต่อเธอเลย
แต่ที่ต้องอภิเสกสมรสด้วยก็เพราะไทเฮาต้องการแบบนั้น เขามิเคยรักนางเลยแถมยังไปรักคนอื่นและกำลังจะมีพิธีแต่งตั้งสนมอีกด้วย
“ ท่านหญิงจำได้หรือไม่ว่าอีกไม่นานฮ่องเต้ก็จะมีพิธีแต่งตั้งสนมเอกแล้ว” เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองหน้าทาสบริวารในทันทีพร้อมแสดงสีหน้ามึนงง
“ ว่าไงนะ สนมอย่างงั้นหรือ" เมื่อพูดจบนางก็นั่งนึกว่าสนมคืออะไรจนกระทั่งนึกได้ว่าคือเมียอีกคนของสามี นางตกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่คิดว่าคนที่นางรักจะมามีเมียอีกคนถึงแม้เขาจะจำไม่ได้ว่าเคยรักกันกับนางมามากแค่ไหนแต่นางก็ไม่ยอมให้เขามีสนมอีกแน่นอน
“พาข้าไปตำหนักของฮ่องเต้ที” นางเอ่ยขึ้นและลุกขึ้นยืนเดินนำไป
“ ไปทำอันใดหรือเพคะ”
“ อย่าถามมากพาข้าไปที” เมื่อฮองเฮาสั่งแบบนั้นนางก็รีบพาไปในทันที
“ ตำหนักของฮ่องเต้อยู่ตรงนี้เพคะ” ทาสบริวารชี้ไปที่ตำหนักของจางหมิ่น นางไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปภายในตำหนัก
เมื่อฮ่องเต้ที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่เห็นนางเดินเข้าไปจึงเอ่ยถาม “ เจ้ามาหาข้ามีอันใดหรือ”
“ ท่านจะมีสนมอีกอย่างงั้นหรือ? ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยท่าทางที่โกรธเคือง
“ ก็ใช่ เจ้าก็รับรู้แล้วมิใช่หรือ ทำไมถึงทำหน้าตะหนกตกใจอย่างนั้นเล่า” ฮ่องเต้เอ่ยถามเพราะทั้งคู่ได้ตกลงกันแล้วว่าจะอภิเสกสมรสโดยมิได้ผูกมัดกันเพราะมิได้มีความรักใคร่ต่อกัน แล้วเหตุอันใดกันวันนี้ถึงมาทำเหมือนไม่พอใจ
“ ข้ามิยอมหรอก ท่านต้องมีข้าเป็นชายาองค์เดียวห้ามไม่ให้มีสนม”
“ ไหนเจ้าตกลงกับข้าแล้วไงมีเหตุอันใดถึงทำให้เปลี่ยนใจ”
“ พี่ซีฮันจำเป่าเป้ยไม่ได้เหรอ เรารักกันมากไม่ใช่เหรอทำไมพี่ถึงอยากมีเมียอีกคนละ ” เธอพูดภาษาปัจจุบันพร้อมร้องไห้ออกมาหวังให้คนที่อยู่ตรงหน้าจดจำเธอได้ แต่มันไม่เป็นผลเลยเพราะไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็จำเธอไม่ได้อยู่ดี
“ เจ้าพูดอันใดกัน ทำไมถึึงมีน้ำตาหรือเศร้าโศกที่ข้าจะแต่งตั้งสนม”
“ใช่ ข้าเศร้าโศกเพราะข้ารักท่านไม่อยากให้ท่านเป็นของผู้ใดนอกจากข้า ” นางเดินไปโอบกอดเขาแต่เขากลับผลักดันนางออกมา
“ เหลวไหลสิ้นดี เป็นไปมิได้หรอก เจ้ามิได้รักข้าเจ้าต้องการอันใดพูดมาเถิด” ฮ่องเต้จางหมิ่นขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่านางนั้นมาแกล้งอะไรเหรือเปล่าเพราะก่อนที่จะสมรสนางกลับมีท่าทางที่ไม่อยากอภิเสกสมรสกับตนแต่มาวันนี้ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
“ แล้วข้าจะหลอกท่านเพื่อสิ่งใดเล่า? ” น้ำเสียงที่ดูจริงจังทำให้ผู้เป็นฮ่องเต้ยิ่งสงสัยไปใหญ่หรือจะเป็นผลจากการสิ้นชีพแล้วฟื้น
“ ต่อให้เจ้าจะรักข้าแต่ถึงอย่างไรข้าก็มิได้รักเจ้าหรอกข้ารัก เหมยลี่เท่านั้น ” เหมยลี่ คือคนที่ฮ่องเต้หลงรักและกำลังจะแต่งตั้งนางให้เป็นสนมเอกทั้งคู่รักกันมานานแล้วแต่ไทเฮาไม่ยอมรับให้นางเป็นฮองเฮาจึงให้อภิเสกสมรสกับนางหลิ่นเฟิ่นก่อนค่อยให้นางมาเป็นสนม นางมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามชวนหลงใหล
“ เหมยลี่ ใครกันเล่า ” หลิ่นเฟิ่นยืนขมวดคิ้วคิดด้วยความปวดหัวพร้อมสีหน้าที่สงสัยว่านางคือใครกันคนที่ทำให้สามีของนางหลงรักจนไม่สนใจนางเลย
“ เจ้าทำเหมือนกับว่าจำนางไม่ได้ ”
“ ใช่ข้าจำนางไม่ได้ และข้าก็มิยอมด้วย” นางหลั่งน้ำตาออกมาอาบเต็มสองแก้มด้วยความเสียใจเพราะนางรักสามีของนางมากมาเจอกันในภพนี้แล้วเขากลับไม่รักนางแถมไปรักคนอื่นเป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้เลย นางพูดจบก็เดินออกจากตำหนักของฮ่องเต้กลับมาที่ตำหนักของตนทันที
ฮ่องเต้จางหมิ่นที่ยืนมองก็ขมวดคิ้วชนกันด้วยความกังวลใจเพราะไม่ทราบว่านางเป็นอะไรและคิดอะไรอยู่ แต่ถึงอย่างไรการแต่งตั้งสนมก็ไม่สามารถขัดใจฮ่องเต้ได้เพราะตนจะมีชายากี่คนก็ได้
>>>>>ติดตามตอนต่อไป