ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
“ ครับพ่อ! ผมมาถึงแล้ว พ่ออยู่ตรงไหนครับ เดี๋ยวผมเดินไปหา ” เสียงสนทนาผ่านโทรศัพท์ถูกเอ่ยขึ้น ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ใส่แมสปกปิดใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ แต่ถึงจะใส่แมสปกปิดใบหน้าไว้ยังไง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็หันมามองเขากันทั้งนั้น เพราะออร่าของผู้ชายคนนี้แผ่ออกมาให้ได้เห็นว่า ใบหน้าและรูปร่างของเขาคนนี้นั้นสุดแสนจะเพอร์เฟกต์ขนาดไหน แม้หน้ากากอนามัยก็ไม่สามารถช่วยปกปิดความดูดีของผู้ชายคนนี้ได้เลย
โอ้ย! ! !
แต่เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์เลยไม่ทันได้ระวัง เลยเดินชนเข้ากับใครบางคน จนอีกฝ่ายล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้นทันที เสียงร้องที่บ่งบอกถึงความเจ็บของอีกฝ่ายพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมา ทำให้คนตัวสูงกว่าต้องรีบเอ่ยคำขอโทษพร้อมกับเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายที่ตัวเองเดินชนจนล้มลงไปนั่งกับพื้น
“ ขะ ขอโทษครับ เป็นอะไรรึเปล่า ” คนตัวสูงกว่ารีบเอ่ยถามอีกคนออกไป พร้อมกับรีบเข้าไปช่วยพยุงอีกคนทันที คนชุดดำอีก 3 คน ที่เดินมาด้วยกันจึงรีบเดินเข้าไปดูเจ้านายของตัวเองแต่กลับถูกยกมือห้่ามไว้ ทำให้ชายชุดดำทั้งสามคนหยุดอยู่กับที่พร้อมกับทำหน้างุนงงกันทันที
“ No, That's alright " ชายอีกคนที่ถูกช่วยพยุงตัวพอตัวเองสามารถยืนขึ้นได้ ก็ได้เอ่ยออกมาเป็นภาษาอังกฤษที่หมายความว่าไม่เป็นไรออกไปด้วยสำเนียงแบบบริทิชทันที พร้อมกับหันหน้าขึ้นมาสบตากับคู่กรณีของตัวเอง อีกฝ่ายเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่ตัวเองเดินชนจนล้มก็ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายกลับไปแบบนิ่งๆ เหมือนกับว่ากำลังพิจารณาใบหน้าของอีกคนที่ไม่ได้ใส่แมสเหมือนกับเขา ด้วยดวงตาที่เรียวสวย ขนตาที่ยาว พร้อมด้วยจมูกที่เป็นสันสวยไม่โด่งมากเหมือนคนยุโรปทั่วไป แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคนคนนี้อย่างน้อยต้องเป็นลูกครึ่งแน่ๆ ริมฝีปากอมชมพูที่เป็นกระจับสีแดงแบบธรรมชาติ กับแก้มที่ขึ้นสีแดงของเลือดฝาด ทำให้คนที่พบเห็นต่างยากที่จะหยุดมองได้
“ เอ่อออ…. ถ้าไม่มีไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ ” อีกฝ่ายพอรู้ว่าตัวเองเผลอพูดภาษาอังกฤษออกไปตอนแรก ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยแล้ว ก็ควรจะปรับตัวให้เหมือนกับคนทั่วไปเลยพูดภาษาไทยสื่อสารออกไป และรีบหันหลังเดินจากไปทันที แต่อีกฝ่ายที่พอได้สติขึ้นมาหลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์พิจารณาใบหน้าของอีกคน กำลังจะเอ่ยบทสนทนาต่อ ก็ต้องพบว่าอีกฝ่ายได้เดินหนีจากตัวเองไปแล้ว เขาได้แต่นึกในใจว่า ผู้ชายอะไรทำไมถึงได้หน้ามองขนาดนี้ พร้อมกับเผยรอยยิ้มส่ายหัวให้กับตัวเองที่อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการบ้าบออะไรไม่รู้ จนตัวเองไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วรีบเดินไปหาผู้เป็นพ่อที่ได้พูดคุยกันเมื่อก่อนหน้านี้
“สวัสดีครับพ่อ เป็นยังไงบ้างครับ นั่งเครื่องมารู้สึกเพลียหรือเปล่า ” เสียงของลูกชายเอ่ยถามผู้เป็นพ่อ พร้อมกับยืนมือไปรับกระเป๋าเดินทางของผู้เป็นพ่อ ที่พึ่งจะลงเครื่องหลังจากที่ไปประชุมงานที่ต่างประเทศมา
“ ก็มีเหนื่อยบ้าง มันก็เป็นธรรมดาแหละ ว่าแต่แกเถอะ เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นแกกลับบ้านกลับช่องเลย หมกตัวอยู่แต่คอนโด ไม่เป็นห่วงบ้านห่วงแม่แกบ้างรึไง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามผู้เป็นลูกกลับไปบ้าง
“ นี่พ่อส่งคนไปตามคอยดูผมอีกแล้วหรอ ผมโตขนาดนี้แล้วนะพ่อ อีกอย่างที่บ้านลูกน้องพ่อก็เดินกันจนเต็มบ้านแทบจะเดินชนกันอยู่แล้ว คงไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรไม่ดีในบ้านพ่อหรอก ”
“ เห้อ! เอาเถอะ ฉันขี้เกียจจะเถียงกับแกแล้ว มีอะไรก็กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ นี่แม่แกก็ไม่มารับชั้นด้วย คงจะออกไปสมาคมกับพวกเพื่อนๆคุณหญิงคุณนายอีกตามเคย ” เสียงถอนหายใจของผู้เป็นพ่อถูกปล่อยออกมา หลังจบบทสนทนา 2 คนพ่อลูกก็พากันเดินกลับไปที่รถแล้วเดินทางกลับบ้านโดยมีคนขับรถ และคนเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว