ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นทางสายใหม่
ในห้องเช่าย่านชุมชนแถวบางปู นะโมกำลังตั้งหน้าตั้งตาตัดต่อคลิปวีดีโอของเช้าวันหนึ่งแทนที่จะใช้เวลาสานความสัมพันธ์อยู่กับเสื่อผืนหมอนใบในวันหยุดที่มี เพียงหนึ่งวันในหนึ่งอาทิตย์กับการเป็นพนักงานฝ่ายผลิตของโรงงานในย่านบางปูหลังจากบ้านเกิดมาได้สามเดือนกับเงินเดือนค่าจ้างรายวันบวกโอทีอีกนิดหน่อยจึงใช้เวลาหารายได้ทางอื่นจาก ยูทูบในชื่อช่องสร้างการดีในขณะที่กำลังตัดต่อคลิปวีดีโออยู่อย่างตั้งใจ
“กริ้ง กริ้ง กริ้ง” เสียงโทรศัพท์ส่งสัญญาณดังพร้อมกับเสียงสั่นจนทำให้รู้สึกตัวเอื้อมมือรับสาย
“ฮัลโหลครับ” นะโมรับสายครับ
“สวัสดีค่ะคุณนะโม การดีเลิศใช่ไหมคะ” เสียงหญิงปลายสาย พูดอย่างรีบเร่ง
“ครับใช่ครับ” นะโมรีบตอบกลับจากเร่งด่วน
“ โทรจากบริษัทรสไทยย่านสีลมนะคะคุณได้สมัครงานไว้พร้อมที่จะมาสัมภาษณ์งานวันไหนคะ”
เอ่อ..” นะโมลังเลตั้งตัวไม่ทัน
“ ถ้าไม่ไปทางบริษัทจะเรียกคนใหม่แทนพรุ่งนี้เลยนะคะ” เสียงหญิงปลายสายพูดแกมบังคับ
“เอ่อ..ก็ได้ครับพรุ่งนี้กี่โมงดีครับนะโมรีบตัดสินใจเพราะงานที่สมัครไปได้เงินเดือนดีตรงกับสาขาที่เรียนมา
“พรุ่งนี้สิบโมงตรงที่ชั้นสิบห้า นะคะสวัสดีค่ะ” เสียงหญิงปลายสายพูดอย่างเร่งด่วนแล้ววางหูไป นะโมได้แต่ตื่นเต้นแบบงงๆกับสายที่รีบมารีบไปและรู้สึกลังเลเป็นกังวลกับงานที่กำลังทำอยู่เพราะพรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานแต่ต้องกล้าที่จะตัดสินใจเพื่ออนาคตที่ดี แล้วจึงรีบลุกจากที่นั่งหน้าคอมเปิดตู้เพื่อค้นหาแฟ้มเอกสารที่สำคัญในการที่ จะไปสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้
ณ กลางป่าคอนกรีตตึกสูงเสียดฟ้าเรียงรายลดหลั่นกันไปสะพานข้ามฟากรถเลี้ยวเคี้ยวคดเชื่อมต่อที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนกันไปมายิ่งรถ ลาบนท้องถนนมากมายจนสับสนไม่สามารถเดาถูก ว่าสายไหนเป็นสายไหน นะโมรอเดินข้ามแยกไฟแดงพร้อมผู้คนมากมายของเช้าอันเร่งรีบ เป็นบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งสู่ตึกสูงที่อยู่เบื้องหน้า
“ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ป้าดตึกอีหยังซะมาสูงยาวขาวอาดหลาดแท้วะ”ชายหนุ่มนายหนึ่งแต่งตัวเซอๆใส่รองเท้าแตะลักษณะไม่แคร์สายตาใคร กำลังยืนนับตึกสูงทีละชั้นด้วยเสียงในฟิล์มตะลึงในความสูงใหญ่ของตึกย่านสีลม
“เฮ้ยๆคุณๆไม่รู้หรือว่าเขาห้ามนับชั้นตึกมันผิดกฎหมายนะต้องเสียค่าปรับชั้นละสิบบาทนะ รปภ.ชี้หน้าชายหนุ่มอย่างขึงขัง พอดีกับที่นะโมมาถึงยืนอมยิ้มอยู่ข้างหลัง
“ห้วยๆข่อยบ่ได้นับจักซั่นเด้ละ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธเสียงแข็ง
“อย่ามาตั๋ว โอะ..อย่ามาหลอกผมเดี๋ยวไม่งั้นผมจะเรียกตำรวจให้ไปเสียค่าปรับที่โรงพัก” รปภ.รีบตอบจนออกสำเนียงผิดไปบางตัว
“โอ่ย อ้าย รปภ.ข่อยนับไปแค่สามชั้นหนึ่งดอก” ชายหนุ่มรีบแก้ตัวเพราะกลัวความผิดขี้เกียจไปเสียค่าปรับที่โรงพัก
“เอ้านับไปสามชั้นก็เสียค่าปรับสามสิบบาทมา” รปภ.ทำเสียงขึงขัง สายตาส่ายไปมาเหมือนระวังอะไรบางอย่าง
“เอ่านี่ค่าปรับสามสิบบาทโอ๊ยข่อยขอโทษเด้อข่อยบ่ฮู้” ชายหนุ่มยื่นเงินสามสิบบาทให้แล้วรีบเดินจากไปทางตึกสูง มีอาการกระหยิ่มยิ้มเยาะรปภ.พลางบ่นพึมพำหัวเราะในใจ ว่า รปภ.นี่โง่นัก แอบนับไปตั้งหลายชั้น หลอกว่าสามชั้นมันก็เชื่อ
“เอ้า.อ้ายเขาห้ามนับตึกอีหลีบ่” นะโมยังสงสัย
“โอ้ย.บ่ดอกครับผมหยอกเล่นซื่อๆคนบ้านนอกนี่เชื่ออะไรง่ายๆเนาะ” รปภ.ส่ายหัวอมยิ้มที่มุมปาก
“ฮ่าๆๆเจ้านี้กะดาย” นะโมหัวเราะพร้อมเอาฝ่ามือตีเบาๆที่หัวไหล่ รปภ.แล้วถามต่อว่า
“อ้ายๆแล้วบริษัทรสไทย อยู่ตึกไหนครับเขาบอกว่าอยู่ชั้นที่สิบห้า” นะโมถาม รปภ.แล้วหันหน้ามองที่ตึกสูง
“อยู่ตึกนี้แหละขึ้นลิฟท์ไปเลย” รปภ.ชี้มือไปที่ตึกสูงเบื้องหน้า
“ขอบคุณครับๆนะโมยกมือไหว้แล้วเดินตรงไปในตึกซึ่งมีผู้คนกำลังยืนรอหน้าลิฟท์มากมายแล้วเข้าไปในลิฟท์เกือบเต็ม จนมีเสียงดังส่งสัญญาณโอเวอร์โหลด
“ฮ่วยๆเสียงอีหยังวะนี่เป็นตาย่านแท้” ชายหนุ่มที่เจอกับนะโมที่หน้าตึกก่อนหน้านี้ส่งเสียงดังจนนะโมยกนิ้วชี้จุ๊ปากเตือน
“จุ จุ จุ อ้ายเจ้าอย่าเสียงดังออกมาๆ” นะโมบอกพร้อมกับดึงแขนชายหนุ่มออกมาจากลิฟท์
“ฮ่วยๆแม่นหยังดึงค่อยออกมาจากลิฟท์เฮ็ดหยัง” ชายหนุ่มถามอย่างฉุนเฉียว
“เจ้าอย่าเสียงดังเขาสิว่าเฮาเป็นคนบ้านนอกบ่รู้เรื่อง” นะโมอธิบายอย่างเสียงแข็ง
“แล้วลิฟท์มันเป็นหยังคือดังยืนท่าอยู่ตั้งโดนกว่าจะได้ขึ้น” ชายหนุ่มบนอีก
“ลิฟท์มันโอเวอร์โหลดมันเลยดัง” นะโมบอก
“อ๋อ..ออกไปโลด..มันบอกให้เราออกมาโลดวะติ” ชายหนุ่มทบทวนคำพูดของนะโมอีกครั้ง “บ่แม่น..โอเวอร์โหลด คือน้ำหนักเกิน ลิฟท์มันเลยดังบ่แม่นออกไปโลดเด้อ นี่” นะโมเอามือปิดปากขำอยู่คนเดียว
“ โอ..ซั่นตี่” ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจ แล้วทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนม
“ชื่อบักคักเด้อ” ชายหนุ่มแนะนำตัว
“ป้าดซื่อเจ้าคือบ่ ทรยศบ้านเกิดแท้” นะโมประชดว่าชื่อบ่งบอกถึงบ้านเกิดเมืองนอน
“ป่ะลิฟท์ลงมาแล้ว” ทั้งสองชวนกันขึ้นลิฟท์มุ่งหน้าสู่ชั้นสิบห้าอีกครั้งหนึ่ง
“เจ้าไปชั้นใด๋” นะโมถาม
“ ชั้นสิบห้าบริษัทรสไทยแมะ” บักคักบอกอย่างมั่นใจ
“อ้าวไปที่เดียวกันนี่แล้วเจ้ามาทำอะไร” นะโมถามอย่างสงสัย
“โอ๊ยหน้าตายังข่อยแต่งตัวแบบนี้เจ้าว่าค่อยมาสมัคตำแหน่งหยังล่ะ” บักคักเอานิ้วโป่งสะบัดที่ปลายจมูกถามอย่างภาคภูมิ
“โอ้..เบิ่งแล้วน่าสิเป็นตำแหน่งเจ้าของบริษัทแมนบ่” นะโมตอบแล้วหัวเราะ
“คือสิบ่ปานนั้นดอกที่เขาโทรบอกตำแหน่งคือสิสูงอยู่เขาบอกว่า แพ็คเกจติ่ง วะสั้นเป็นตะตำแหน่งใหญ่อยู่” บักคักตอบอย่างงงๆแล้วทั้งสองก็หัวเราะอย่างมีความสุขจนลิฟท์ถึงชั้นสิบห้าพอดีจึงก้าวออกมาแต่ก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีกจนได้
“เอ่า..เกิบเจ้าไปไสคือบ่ใส่มา” นะโมทำหน้ามึนงง
“ฮ่วยเขาให้ใส่ขึ้นมาอยู่บ่” บักคักถามอย่างสงสัย นะโมหัวเราะอย่างหนัก
“ฮ่าๆๆโอ๊ยเจ้ากะดายถอดไว้ไสล่ะ” นะโมทั้งถามทั้งหัวเราะจนน้ำตาไหล
“ก็ถอดไว้หน้าลิฟท์พุ่นแล้ว” บักคักตอบอย่างไม่เคอะเขิน จนนะโมส่ายหัวแล้วบอกให้รีบลงไปเอารองเท้าที่หน้าลิฟท์ก่อนที่แม่บ้านจะเก็บลงถังขยะ
“เดี๋ยวโตไปก่อนโลดเฮาสิลงไปเอาเกิบ” บักคักพยักหัวแล้วทั้งสองก็เดินแยกจากกันไปนะโมเดินเข้าไปภายในบริษัท
“สวัสดีจ้ามาติดต่ออะไรคะ” พนักงานหญิงคนหนึ่งถาม
“มาสัมภาษณ์งานครับ” นะโมตอบอย่างถ่อมตน
“อ๋อ.เชิญข้างในเลยค่ะ” พนักงานหญิงผายมือให้เดินเข้าด้านใน ที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งนั่งรออยู่ต่างก็แต่งตัวอย่างภูมิฐาน นะโมได้แต่มองดูสาระรูปตนเองที่ใส่เพียงเสื้อเชิ้ตเก่าๆดูเป็นบ้านนอกเข้ากรุง
“เชิญคุณนพรัตน์ค่ะ” พนักงานหญิงหน้าห้องเรียกชายหนุ่มที่แต่งตัวดีมีภูมิฐานให้เข้าไปสัมภาษณ์แล้วเขาก็เดินไปหยุดทักทายกับหญิงที่เรียกอย่างคุ้นเคย
“ได้อยู่แล้วคุณนพ” พนักงานหญิงบอก.แล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าไปสัมภาษณ์สักพักใหญ่ก็เดินออกมามีรอยยิ้มอย่างมั่นใจว่าจะได้งานแน่ๆบักคักเดินเข้ามาชะเง้อชะแง้หาที่นั่ง พอดีกับมีที่ว่างข้างนโมว่างอยู่พอดี แต่ในขณะกำลังจะนั่ง
“เดี๋ยวก่อน” นพรัตน์ที่เพิ่งสัมภาษณ์เสร็จสั่งห้ามบักคักไม่ให้นั่ง
“นี่ที่นั่งฉันแกเป็นใครเข้ามาทำไม” นพรัตน์ทำหน้าขึงขังมองบักคักตั้งแต่หัวจรดเท้า “มาสัมภาษณ์งานสิครับ” บักคัก ตอบกวนๆ ใส่บ้าง
“มาสัมภาษณ์งาน” นพรัตน์ ทบทวนคำพูดของบักคักอย่างงๆแล้วพูดต่อ
“สาระรูปแบบนี้นะเหรอมาสัมภาษณ์งาน มอมแมมน่ารังเกียจสิ้นดี” นพรัตน์ทำหน้าทะมึนใส่เหมือนไม่เชื่อสายตา จนนะโมต้องสะกิดบักคักให้มานั่งเก้าอี้อีกตัวด้านหนึ่ง “แล้วแกยุ่งอะไรให้เขาหาที่นั่งเองสิ” นพรัตน์เลิกคิ้วไม่พอใจ
“แล้วแกสัมภาษณ์ตำแหน่งอะไรดูแล้วน่าจะเป็นตำแหน่งแพ็คของน่ะสิ”นพรัตน์พูดเหน็บใส่นะโม
“เปล่าครับสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ออกแบบกราฟิกครับ” นะโมตอบทำเอา นพรัตน์อึ่งไปพักหนึ่งแล้วเดินไปทักทายกับพนักงานบริษัทคนหนึ่งเหมือนรู้จักกันดี
“ต่อไปเชิญคุณนะโม การดีเลิศค่ะ” เสียงเรียกจากพนักงานหญิงคนเดิมเรียกให้นะโมเข้าสัมภาษณ์นะโมจึงรีบลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปอีกห้อง
“ฮ่วย.ไปแล้วบ่ โชคดีเด้อ” บักคักอวยพรส่งท้าย
ในห้องหรูที่จัดไว้สัมภาษณ์ผู้สมัครงานมีโต๊ะยาวตั้งขวางผู้ที่รอสัมภาษณ์นั่งเรียงกันสามคน ชายดูภูมิฐานนั่งกลางขนาบข้างด้วยหญิงอีกสองคน มีโต๊ะทำงานใหญ่ห่างออกไปด้านขวามือบนโต๊ะวางด้วยแฟ้มงานสี่ห้าแฟ้มกลางโต๊ะหญิงสาวสวยหนึ่งคนนั่งทำงานมีโน๊ตบุ๊คยี่ห้อแม็คกำลังจ้องหน้าจอคอมบนโต๊ะฝั่งซ้ายมือมีป้ายชื่อและตำแหน่งวิภาดา จันทร์เมฆา ตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ
“คุณคิดว่าตำแหน่งงานที่คุณสมัครคือออกแบบกราฟิกนี่จะมีส่วนช่วยบริษัทของเราให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างไร” ชายนั่งตรงกลางที่ดูภูมิฐานยิงคำถามให้ผู้สัมภาษณ์ตอบ
“ถ้าท่านหมายถึงการทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทน่าสนใจมีคนอยากซื้อผมคิดว่าผู้ออกแบบกราฟิกนี่แหละมีส่วนสำคัญมากเหมือนคนที่แต่งตัวดีสะอาดดูภูมิฐานรู้จักกาลเทศะก็ย่อมมีคนนับถือจากพูดคุยอยากรู้จักน่าสนใจตั้งแต่แรกพบเหมือนคำพังเพยที่ว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง ผลิตภัณฑ์ห่อหุ้มด้วย แพ็คเกจจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะ ต้องทำให้น่าสนใจครับ” คำตอบที่ดูชัดเจนมุ่งมั่นทำเขาคณะผู้สำภาษถึงกับมองหน้ากัน หญิงที่นั่งอยู่อีกโต๊ะถึงกับหันหน้ามองแล้วยิ้มที่มุมปาก
สิ้นสุดประโยคสุดท้ายของการสัมภาษณ์ผู้สัมภาษณ์ก็บอกให้รอประกาศผลจากทางบริษัทซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่โทรแจ้งบอกให้ทราบต่อไป
ในลิฟท์นะโมกับบักคัก กำลังลงจากชั้นสิบห้าของตึกสูง หลังจากสัมภาษณ์เขาทั้งสองได้แต่หวังว่าจะได้งานไหม่ที่มีรายได้มากกว่าเดิมและเป็นสายงานที่อยากทำ
“เฮาสิได้งานทำบ่นะโม” บังคัก พูดเหมือนเป็นกังวล
“ได้หรือไม่ก็อยู่กับผู้บริหารเขาจะเห็นควรว่าเราเหมาะกับงานไหม” นะโมบอก
“โอ๊ยถ้าได้งานที่นี้คงจะดีนะผู้จัดการงามหล่ายหลาย” บักคักทิ้งประโยคสุดท้ายเสียยาว นะโมรีบเอามือปิดปากพร้อมกระซิบ
“อย่าเว้าเสียงดังผู้จัดการอยู่ในลิฟท์กับเฮาเวลานี้บ่เห็นบ่” วิภาดา รองกรรมการผู้จัดการได้แต่ขำพร้อมชำเรืองมองมาที่นะโมกับบักคัก
เมื่อออกมาจากตึกสูง นะโมหยุดหันมองไปที่ตึกสูงใหญ่ที่โอบล้อมผู้คนในเมืองกรุงต่างก็มุ่งหน้าตามหาความฝันความท้าทายของชีวิตเป็นแหล่งทำมาหากินราวกับว่าที่นี่เป็นป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดและผู้คนก็มายื้อแย่งกันหาอาหารในป่าใหญ่แห่งนี้แต่นี่คือป่าที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ไม่ใช่ป่าไม้แต่เป็นป่าคอนกรีตนะโมกับบักคักเมื่อลงจากรถไฟฟ้า บีทีเอส.แล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองรอข่าวดีจากบริษัทว่าจะเรียกตัวเข้าทำงานหรือไม่
ตอนที่ 2 งานใหม่ใจกลางกรุง
“ฮัลโหลนะโม” บักคักโทรหานะโมด้วยความตื่นเต้น
“ว่าจังได๋คุณบักคัก” นะโมรีบตอบสาย
“บริษัทรถไถ เอ่ย รสไทยโทรมาให้เฮาไปเฮ็ดงานแล้วเขาโทรหาเจ้าแล้วหรือยัง” บักคักถาม “ยังเลย” นะโมถอนหายใจตอบ
หลังจากสิ้นสุดการสนทนากับบักคัก นะโมดูสิ้นหวังการที่จะได้งานใหม่ทำคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบริษัทไม่โทรหานะโมเลยเป็นที่น่าสังเกตว่าถ้าโทรหาบักคักแล้วก็น่าจะโทรหาตนเพื่อไปร่วมงานพร้อมกันแต่นี่กับเงียบสนิทนะโมได้แต่คิดว่าพรุ่งนี้จะหาคำแก้ตัวเรื่องหยุดงานไปหนึ่ง วันกับหัวหน้างานที่โรงงานอย่างไรแต่ยังไม่ทันได้คิดก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง” นะโมมองที่จอโทรศัพท์อย่างสงสัยเพราะสายที่เห็นไม่ระบุชื่อผู้โทรและยิ่งไปกว่านั้นยังขึ้นต้นด้วย 02 แต่อย่างไรเสียน่าโมโหก็ต้องรีบครับก่อนที่จะถูกวางสาย
“ฮัลโหลครับ” นะโมรับสายอย่างใจจดจ่อ
“สวัสดีค่ะคุณนะโมโทรจากบริษัทรสไทยค่ะขอแจ้งให้คุณนะโมไปเริ่มงานกับบริษัทนะคะพร้อมที่จะไปทำงานไหมคะ” เสียงหญิงฝ่ายบุคคล
“แต่ทางบริษัทจะแจ้งให้คุณนะโมทราบเงื่อนไขในตำแหน่งงานสักเล็กน้อยเนื่องจากตำแหน่งที่คุณนะโมสมัครมีผู้เหมาะสมอยู่ สองคนจึงต้องการให้ทั้งสองคนมาทดลองงานสักสาม เดือนเพื่อหาคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานคุณนะโมจะมาทดลองงานไหมคะ” ฝ่ายบุคคลอธิบายเงื่อนไข
“ อืม.ไปครับ” นะโมตอบรับอย่างลังเล
แต่เนื่องจากเงินเดือนที่จะได้รับสูงกว่าเงินเดือนที่ทำอยู่ปัจจุบันแล้วเป็นงานที่ชอบตรงสาขาที่เรียนมาทำให้ตัดสินใจที่จะไปทดลองงานในกรุงเทพฯนะโมเองก็มั่นใจว่าจะทำได้ดีและมีงาน ยูทูป ที่ได้ทำเพื่อหารายได้เสริมพอมีรายได้อยู่บ้างถ้าไม่ผ่านการทดลองงานก็น่าจะพอมีรายได้ประทังในระหว่างหางานใหม่ เช้าของอีกวันนะโมจึงไปเขียนใบลาออกจากโรงงานที่ทำอยู่ แล้วทำงานเต็มเวลาก่อนที่จะไปเริ่มงานใหม่
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์จากปากคักโทรถึงนะโมอีกครั้ง
“ ฮัลโหลว่าจังได๋” นะโมรับสาย
“มีคนโทรมาแจ้งให้ไปทำงานแล้วหรือยัง” บักคักถาม พอได้คำตอบจากนะโมปะทะถึงกับดีใจ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อนะโมพูดประโยคต่อมา
“แต่ว่ามีปัญหานิดหน่อย” นะโมบอก
“อีหยังอีกล่ะ” บักคักสงสัย
“เรื่องมันยาวเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังเจอกันพรุ่งนี้ที่บริษัท” นะโมบอกทิ้งท้ายแล้วรีบอัดวีดีโอที่ทำค้างไว้ต่อให้เสร็จเพื่ออัพโหลดลงในช่องยูทูป อีกครั้ง
“เอาล่ะครับท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังที่เคารพยิ่งสุดท้ายนี้ถ้าชอบคอนเทนต์ดีๆแบบนี้ของผมก็อย่าลืมกดซับสไครบ์กดกระดิ่งเพื่อแจ้งเตือนให้กับช่องสร้างการดี ชาแนลด้วยนะครับทิ้งท้ายข้อคิดดีๆเช่นเคยครับว่าถ้าเขาจะรักนั่ง โกโซอยู่โถส่วม เขากะข่วมมาฮัก เด้อพี่น้องสวัสดีครับ” สวัสดีครับ
“อีกฟากหนึ่งของบ้านหรูวิภาดา รองกรรมการผู้จัดการที่เป็นผู้ติดตามช่องสร้างการดีที่นั่งฟังอยู่ถึงกับหัวเราะเอามือปิดปากแทบไม่ทันในประโยคทิ้งท้าย ของเจ้าของช่อง วิถาดนั่งอมยิ้มหลังชม ยูทูปไลฟ์จบเธอเป็นสมาชิกผู้ติดตามในช่องสร้างการดี ชาแนลมาได้สักพัก
แต่ก็ไม่เคยรู้จักเจ้าของช่องเหมือนกับหลายๆช่องที่ติดตามก่อนที่ค่ำคืนนี้จะปิด ไอแพด ปิดไฟหัวเตียงนอนจากมีความสุข
“ปี๊ด ปี๊ด ปี๊ด” เสียง รปภ.เป่านกหวีดส่งสัญญาณอำนวยความสะดวกตึกสูงย่านสีลมที่มีผู้คนและรถยนต์แล่นสวนกันไปมา นะโมกับบักคักเดินทางมาถึงหน้าตึกเพื่อจะขึ้นลิฟท์ไปชั้นสิบห้า เพื่อเริ่มงานใหม่ ที่บริษัทรสไทย
“นั่นแนอ้าย รปภ.สุดหล่อคนเก่าคนเดิมมื้อนี่เฮาสิเอาคืน”บักคักทำหน้าหมั่นไส้ด้วยความแค้น
“จะทำยังไง” นะโมทำหน้าสงสัย
“เดี๋ยวเฮาสิทำเป็นยืนนับชั้นตึกเหมือนเดิมมันจะว่ายังไง”บักคักฟันอย่างโมโหที่เคยโดนหลอก
“เอาน๊า อย่าทำเลยเสียเวลารีบขึ้นไปเถอะ” นะโมสกิดข้างเร่งบักคัก
“เอ้า..ๆก็ได้ๆบักคักเห็นด้วยแต่ขณะที่เดินผ่าน รปภ.บักคักก็หันหน้ามายิ้มทักทายกลับรปภ.อีกครั้งราวกับจะบอกว่าไม่ได้ลืมในสิ่งที่โดนหลอก
“เดี๋ยวเด้ออ้าย รปภ.ค่อยสิเอาเงินสามสิบบาทข่อยคืน” บักคักยังผูกใจเจ็บ รปภ.ได้แต่ยืนงง เหมือนจะจำยังไม่ได้ในเหตุการณ์ครั้งก่อนจนทั้งสองขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นสิบห้าของตึกหรูถึงหน้าบริษัทรสไทย และเข้าไปยังห้องประชุมใหญ่ที่มีขนาดบรรจุคนเป็นจำนวนมาก
วิภาดา รองกรรมการผู้จัดการสาวสวยดูใจดีผิวขาวผมยาวสลวยผูกด้วยโบว์สีชมพูอ่อนๆรับกับชุดเสื้อกระโปรงสั้นเลยเข่ากล่าวทักทายและเป็นประธานกล่าวปฐมนิเทศพนักงานใหม่
“บริษัทของเรายินดีต้อนรับเพื่อนร่วมงานทุกคนที่จะได้ร่วมเดินไปด้วยกันในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ต่างๆของบริษัทที่จะทำงานในสำนักงานใหญ่ที่สีลมเพื่อประสานสอดคล้องกับโรงงานที่ผลิต” หลังจากที่รองกรรมการผู้จัดการกล่าวเสร็จก็จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายต่างๆในการแนะนำเรื่องราวต่างๆให้พนักงานใหม่เข้าใจ
“เชิญ คุณนพรัตน์กับคุณนะโม ที่ห้องผู้จัดการค่ะเลขาหน้าห้องบอก ทั้งนพรัตน์และนะโมเป็นผู้สมัครในตำแหน่งออกแบบกราฟิกที่ทางบริษัทตัดสินใจเลือกไม่ได้เนื่องจากนพรัตน์เองเป็นเด็กฝากที่ทางบริษัทรู้จักดีในนิสัยใจคอแต่ทางบริษัทปฏิเสธไม่ได้ส่วนนะโมเองก็เป็นความเห็นชอบของหลายคนจากที่ได้สัมภาษณ์เลยต้องรับทั้งสองคนเข้ามาทำงานโดยตั้งเงื่อนไขให้เวลาพิสูจน์ผลงานเป็นเวลาสามเดือนหลังจากนั้นจึงจะรับเข้าทำงานในตำแหน่งของบริษัทหรือหาตำแหน่งใหม่ที่เหมาะสมให้ สองคนนั่งเก้าอี้คู่กันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทโดยมีวิภาดา รองกรรมการผู้จัดการนั่งอีกโต๊ะสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆนพรัตน์ต้องมองหน้านะโมเหมือนคนโกรธกันมาส่วนนะโมก็ยิ้มให้และกล่าวทักทายแต่นพรัตน์กับเชิดหน้าใส่
“เป็นอันว่าทั้งสองคนน่าจะเข้าใจเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้แล้วนะครับ” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบอก
“ ครับ” นะโมพยักหน้ารับ
“ทำไมครับตำแหน่งนี้ผมคนเดียวก็น่าจะพอไม่เห็นจะต้องรับไอ้..เขาอีกคนเลยนพรัตน์บ่นอย่างมีอารมณ์
“ทางเราก็เห็นว่าคุณนะโมเขามีความสามารถหลายอย่างนอกเหนือจากงานออกแบบกราฟิก” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลอธิบาย
“คุณวิภาดาก็รู้จักกับครอบครัวผมดีน่าจะพอรู้ดีว่าผมมีความสามารถขนาดไหน” นพรัตน์พูดพร้อมกับหันหน้ามองไปที่วิภาดา รองกรรมการผู้จัดการขณะที่คนอื่นๆได้แต่สายหน้า
“เอ่อ..คุณนพรัตน์คะวิ รู้ดีค่ะ แต่เราช่วยกันทำงานหลายๆคนก็น่าจะดีนะคะทั้งคุณนพรัตน์และก็คุณนะโมต่างก็มีความสามารถมาช่วยกันดีกว่าค่ะหวังว่าภายในสามเดือนนี้ทั้งสองคนจะแสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่ค่ะเพื่อบริษัทจะได้รู้ว่าตำแหน่งที่เหมาะสมจะเป็นของใครค่ะเดี๋ยวเชิญไปแนะนำตัวกับเพื่อนๆที่แผนกนะคะเชิญค่ะ” วิภาดาพูดอย่างเด็ดขาดและตัดบทนพรัตน์
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลนำทั้งสองคนไปแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมงานในแผนกและมอบตัวให้กับหัวหน้าแผนกออกแบบกราฟิกที่มีพนักงานกว่าสิบ คน
“นี่คุณสุธีหัวหน้าแผนกออกแบบกราฟิก” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลแนะนำ
“ครับเรียกสั้นๆว่าธีก็ได้ครับ” หัวหน้าแผนกแนะนำตัวเพิ่มเติม
“สวัสดีครับพี่ธีฝากเนื้อฝากตัวแนะนำสั่งสอนผมด้วยนะครับ” นะโมทักทายอย่างยิ้มแย้มส่วนนพรัตน์ยืนมือล้วงกระเป๋าพูดแต่เพียงสั้นๆว่า
“ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวเพราะรู้จักกันดีอยู่แล้วนะครับ” นพรัตน์เชิดหน้าใส่
“ เอาล่ะๆผมมอบตัวทั้งสองคนให้หัวหน้าแผนกดูแลต่อผมขอตัวก่อนนะผู้จัดการฝ่ายบุคคลทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป
ดูเหมือนนะโมจะเข้ากันได้ง่ายพูดคุยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกๆคนจึงมีเพื่อนมาทักทายกันมากส่วนนพรัตน์ จะมีบุคลิกท่าทาง ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้ประกอบกับหลายคนพอรู้นิสัยและทราบดีว่าเป็นคนที่รู้จักของผู้ใหญ่ในบริษัทที่เคยออกงานเลี้ยงที่บริษัทเมื่อปีที่แล้ว วันแรกกับการเริ่มงานอย่างเป็นทางการจนล่วงเลยถึงเวลาพักเที่ยง
“ เฮ้ย.นะโมไปกินข้าวเที่ยงกัน” อนุชิตเพื่อนในแผนกชวน
“ ไปสิแต่ว่าเขาไปกินกันที่ไหนรึ” นะโมทำหน้าสงสัย
“ โชนอาหารไงเดี๋ยวพาไป” อนุชิตบอกด้วยความคุ้นเคย
ผู้คนมากมายแต่ไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยได้พักผ่อนในยามเที่ยงในสวนอาหารของตึกสูงบ้างก็ลงจากตึกสูงไปเปลี่ยนบรรยากาศซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนในสังคมในเมืองหลวงความกลมกลืนของผู้คนที่มาจากต่างจังหวัดแทบจะดูกันไม่ออกว่าใครมาจากไหนบางคนก็เปิดเผยตัวตนแต่หลายคนมักไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนกลัวว่าคนอื่นจะหาว่าเป็นคนบ้านนอกจึงต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน
“ นะโมเป็นไงบ้างบ่เจอกันเบิดมื่อเลย” บักคักทักถามด้วยความสำเนียงภาคกลางทำเอานะโมถึงกับอมยิ้ม
“ ฮ่าๆๆสบายดีมีที่นั่งแล้วบ่” นะโมชวน เพื่อนที่นั่งด้วยทำหน้างงๆในสำเนียงที่พูดแต่ก็พอรู้ว่าทั้งสองคนมาจากไหน
“ ว่าแต่ว่าสถานการณ์เรื่องนั้นเป็นไงบ้างวะ” บักคักถามทำหน้าขมึง
“ เรื่องอะไรหรอวะ” นะโมถามอย่างสงสัย
“ ก็เรื่องนพรัตน์ไง” บักคักกระซิบเบาๆ
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่” นะโมอธิบาย
“ ก็ดีนี่แต่ก็ระวังหน่อยก็แล้วกัน” บักคักเตือนด้วยความเป็นห่วง
อีกมุมหนึ่งของสวนอาหารเป็นมุมที่มีผู้บริหารกำลังนั่งรับประทานอาหารนพรัตน์ กับเป็นหนึ่งในนั้นที่นั่งอยู่และมีคนเดินมาเสิร์ฟอาหารถึงที่โต๊ะโดยไม่ต้องไปเข้าแถวซื้ออาหารเหมือนพนักงานทั่วไป อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นเวทีเล็กๆมีการเล่นดนตรีโฟล์คซองขับกล่อมให้คนที่รับประทานอาหารได้ฟัง ที่โต๊ะของนพรัตน์มีเพื่อนๆระดับหัวหน้างานนั่งร่วมโต๊ะ
“ เป็นไงบ้างวะนพได้ยินว่าต้องทำงานแข่งกับไอ้เด็กบ้านนอกด้วยฮ่าๆ” เพื่อนร่วมโต๊ะคนหนึ่งหัวเราะถาม
“ โถ่ก็ไอ้แค่เด็กบ้านนอกจะไปแข่งกับมันทำไมนพรัตน์” นพรัตน์ ว่าพลางกำกำปั้นแน่นบนโต๊ะ “ เฮ้ยอย่าประมาทนะเว้ยถ้าไม่เก่งจริงคุณวิภาดาจะให้ฝ่ายบุคคลรับเข้าทำงานด้วยหรือวะ” เพื่อนนพรัตน์อีกคนเดือน
“ เออ..ข้าได้ยินว่าตอนแรกจะรับมันเข้าทำงานแค่คนเดียวเท่านั้นนะเว้ยแต่มีผู้ใหญ่บางคนไม่กล้า เกรงใจพ่อแก่ไงวะ” เพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนให้ความเห็น
“ ถ้างั้นวันนี้ฉันจะทำให้มันหน้าแตกให้ดู” นพรัตน์พูดแล้วลุกเดินไปที่หน้าเวทีโฟล์คซองบอกให้คนที่กำลังร้องเพลงหยุดแล้วขอไมโครโฟน ท่ามกลางสายตาของผู้คนจ้องมองมาที่เขาอย่างสงสัย
“ สวัสดีครับเพื่อนๆพนักงานทุกคนวันนี้เป็นวันเริ่มงานใหม่ของหลายๆคนรวมทั้งผมด้วยผมก็เลยอยากจะมากล่าวขอบคุณ” เสียงผู้คนปรบมือเกรียวกราวพร้อมกับโห่ร้องอย่างพอใจ
“ และเพื่อนที่แผนกผมคนหนึ่งได้ยินว่าเขาเก่งมากเขาบอกผมว่าอยากมากล่าวขอบคุณโดยการมาเล่นกีต้าร์ร้องเพลงให้ฟังด้วยครับขอเชิญพบกับนะโม การดีเลิศ แผนกออกแบบกราฟิกได้ ณ บัดนี้ครับ” นพรัตน์เชิญนะโมขึ้นเวทีพร้อมกับเสียงปรบมือดังและเฮลั่นอย่างตื่นเต้นของพนักงานคนอื่นๆ
“ เอาได้ไงไอ้นะโมแกจะขึ้นเวทีเหรอ” บักคัก ถามอย่างสงสัย
“ เปล่าเลยไม่เคยพูด” นะโมรีบตอบอย่างมึนงง
“ ไม่ขึ้นก็ได้นะโมแบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ” อนุชิต เพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนบอก
“ ให้ไม่เป็นไรก็ดีเหมือนกันนะได้กล่าวขอบคุณผู้บริหารที่เขารับเราเข้าทำงานต่อพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปบนเวที ในขณะที่โต๊ะอาหารอีกมุมหนึ่งที่มีผู้บริหารยังงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ เอาแล้วไงครับคุณวิ นพรัตน์เริ่มออกลาย” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลกะซิบไปที่วิภาดา
“ ครั้งก่อนก็ทำแบบนี้ทำเอาพนักงานคนนั้นถึงกับร้องไห้ไปไม่เป็น” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเสริมอีกครั้ง
“ เราก็คงได้แต่คอยสอดส่องดูแลเขาถ้าไม่ไหวก็คงเรียกคุยตักเตือน” วิภาดา รองกรรมการผู้จัดการ บอกในขณะที่บนเวทีนะโมกำลังพูด
“ ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณคุณนพรัตน์ที่ลดตัวมาเห็นความสำคัญของคนบ้านนอกอย่างผม” เสียงกรีดร้องพร้อมกับปรบมือก็ดังขึ้น
“ ผมพึ่งรู้ว่าวันนี้ผมจะมีค่าขนาดนี้เพราะปกติผมจะมีค่าแต่เฉพาะวันสิ้นเดือนคือมีค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟเต็มไปหมด” เส้นประโยคนี้คุณวิภาดา แทบจะสำลักข้าวออกมาไม่ทันเพราะขำหนัก ผู้จัดการฝ่ายบุคคลถึงกับปรบมือลั่นร้องโอ้โฮกับประโยคสุดท้ายเสียงพนักงานในโซนอาหารร้องเฮลั่นปรบมือเกรียวกราวทำเอานพรัตน์ ดูหน้าเสียกำกำปั้นแน่นทุกลงที่โต๊ะอย่างอารมณ์เสีย
“ และสุดท้ายนี้นะครับผมต้องขอขอบคุณท่านผู้บริหารที่ได้เมตตามองเห็นคุณค่าของคนบ้านนอกอย่างพวกผมเข้ามาทำงานพวกเราสัญญาว่าเราจะทุ่มเทความรู้ความสามารถให้คุ้มกับเงินที่ท่านจ่ายพวกเราครับ” พูดจบนะโมก็เล่นกีต้าร์ร้องเพลงให้ เพราะคนที่อยู่ในโซนอาหารได้ฟังหลายคนก็ร้องตามบางคนก็ปรบมือตามจังหวะเพลง และบางคนถึงกลับน้ำตาซึมกับเนื้อหาของเพลง วิภาดาแอบปลื้มในความสามารถไม่คิดว่านะโม ที่ดูบุคลิกจะเซอๆเรียบง่ายจะทำให้ได้ขนาดนี้เธอได้แต่จ้องมองไปที่นะโมอย่างลืมไปว่าอาหารที่อยู่ในจานได้เย็นจนรสชาติเริ่มจืดชืดไปหมดแล้ว