Love letter จดหมายรักที่ถูกต้อง
0
ตอน
231
เข้าชม
1
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง
จะสารภาพรักกับรุ่นพี่ดาวโรงเรียนแท้ๆ แต่ดันให้จดหมายรักผิดคน แค่นั้นไม่พอคนที่ให้ผิดยังเป็นน้องสาวของเธออีก “---ถ้ายังไง ให้ฉันช่วยเรื่องพี่สาวมั้ย?” แล้วเธอยังอาสามาช่วยเรื่องความรักอีก

< < จดหมายรักที่ผิดวิธี > > 

ผมมีคนที่ชอบอยู่ ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะทางผมอยู่ในสถานะที่รักข้างเดียว ไม่สิ ไม่เชิง ผมยังไม่รู้ใจอีกฝ่าย บางทีเขาอาจจะชอบผมก็ได้ ถึงจะไม่เคยคุยกันเลยสักครั้งก็เถอะ แต่ก็มีโอกาสที่แบบรักแรกกับผมไรงี้ แค่จ้องตาก็ตกอยู่ในห้วงความรัก ใช่ ฉะนั้นต้องบอกว่าผมอยู่ในสภาพแอบชอบมากกว่าสำหรับตอนนี้ 

เธอเป็นรุ่นพี่มัธยมปลายปี 6 ที่ชื่อ ‘ฮานะ’ ไม่รู้ฮาจริงมั้ย เรื่องนั้นต้องพิสูจน์ ไม่สิๆ ชื่อเธอไม่ได้มีความหมายอย่างนั้นเสียหน่อย ผมไม่ควรล้อเล่นกับชื่อของเธอ เพราะชื่อเล่นของเธอเป็นชื่ออันแสนล้ำค่าที่คุณแม่ชาวญี่ปุ่นอุตส่าห์ตั้งให้ 

ใช่แล้ว เธอเป็นเด็กสาวลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ชื่อนามสกุลจริงๆของเธอยังคงเป็นของไทย แต่ชื่อเล่นเป็นชื่อคนญี่ปุ่นอย่าง ‘花(HA-NA)’ แปลว่าดอกไม้ในภาษาญี่ปุ่น 

ส่วนเหตุผลที่ผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ ก็ง่ายๆพี่ฮานะที่ผมแอบชอบเขาเป็นคนดังประจำโรงเรียนน่ะนะ เรื่องข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอเลยผุดออกมาให้เห็นเป็นสิบๆเรื่องให้เห็นกันทั่วไป 

ดั่งชื่อจริงของเธอที่ชื่อ นภาพรกับฮานะ ตัวเธอเปรียบได้ดั่งดอกฟ้าประจำโรงเรียน เป็นประหนึ่งไอดอลของทุกคน 

ผมไม่คิดว่าคนอย่างผมจะคู่ควรกับเธอหรอก ต่อให้ผมจะเป็นผู้ชายที่ดีงามแค่ไหนก็ตามแต่อีกแค่ปีเดียวพี่เขาก็จะจบการศึกษา และศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยของญี่ปุ่น ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของคุณพ่อเขา นั่นจะทำให้ผมไม่มีทางได้เจอกับเธออีกแน่นอน 

ผมรู้ดีว่ามันเป็นความรักที่จะสมหวังได้ยาก ..แต่ผมไม่อยากให้ความรู้สึกของตัวเองมันเหี่ยวเสาไปกลางเวลา ถ้าจะให้มันค่อยๆจางหายไป ผมสู้ขอบึ้มมันให้เป็นจุย ไม่ก็เสี่ยงโชคชนะแล้วเดินอยู่ท่ามกลางลาเวนเดอร์ยังดีเสียกว่าอีก 

ด้วยความมุ่นมั่นที่มี ผมเลยเลือกจะใช้วิธีคลาสสิกแบบญี่ปุ่นเพื่อสารภาพความในใจอย่างการใช้ ‘จดหมายรัก’ นี่แหละ 

สมัยนี้ไม่มีใครทำกันหรอก ต่อให้ผมโง่แต่ผมรู้ดี แม้แต่ที่ญี่ปุ่นคงไม่ใช้จดหมายรักกันแล้ว ไอ้ผมก็มั่นใจว่ากว่าครึ่งเขาไม่ทำกันแล้ว ว่าไงดี มันดูแปลกๆนิดหน่อย แบบใสซื่อเกินจนน่าอายแทนน่ะนะ แต่ว่านะ ..ไม่คิดเหรอว่าการแสดงความรักที่บริสุทธิ์น่ะมันต้องใช้ ‘จดหมายรัก’ นี่แหละถึงจะถูก 

รุ่นพ่อรุ่นปู่เขาก็ใช้จดหมายรักกันในการจีบกันทั้งนั้น ซึ่งเป็นรักที่ใสกว่ายุคปัจจุบันที่เน้นแรงและเร็วมาก แน่นอนผมกล่าวแบบนี้ก็แปลว่าผมไม่ชอบรูปแบบความรักในปัจจุบัน ผมเลยเลือกใช้จดหมายรักเพื่อสื่อใจจริงอันใสซื่อบริสุทธิ์ของผม 

ตัวผมเปรียบได้ดั่งดอกไม้ ไม่ใช่ดอกฟ้าอย่างพี่ฮานะที่สูงส่ง แต่เป็นดอกลิลลี่ที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ ชื่อจริงของผมคือ ปวัตร เอี่ยมอารัต ปวัตรแปลว่าผู้บริสุทธิ์ ผมเลยคิดว่าตัวเองคือดอกลิลลี่ 

เพราะอย่างนั้นผมจะมอบจดหมายรักให้เธอ และยืนคาบดอกลิลลี่ที่แทนถึงตัวผม ในมือจะถือดอกกุหลาบที่แทนถึงความรักที่มีให้พี่ฮานะ นี่แหละสไตล์การสารภาพรักสุด ‘โรแมนติก’ ของผม ไม่คิดว่ามันเจ๋งบ้างรึ ‘โรแมนติก’ ไอคำว่า ‘ติก’ ข้างหลังเนี่ยมันให้อารมณ์แบบคนมีสไตล์ดี แบบ ‘อาร์ตติก’ เอย ‘วัยรุ่นติกๆ’เอย อะไรจำพวกนี้แหละ 

ว่าไงดี ..ใช่แล้ว ผมกำลังบอกว่าตัวเองนั้นพิเศษ เป็นคนที่มีอารมณ์ทางด้านศิลปะสูง ถ้าเธอรู้ว่าผมพิเศษหน่อยๆแบบมีสเน่ห์ เธอก็อาจจะชื่นชอบและไม่ปฎิเสธผมก็เป็นได้ แน่นอนผมไม่ได้โง่ ไม่ใช่คนหลงตัวเองที่เชื่อว่าตัวเองไม่มีทางพลาด ผมเผื่อใจไว้ถึง 50/50 เลยนะ  

ด้วยเหตุนั้นเอง ผมก็ไม่พูดพร่ำทำเพ ในวันที่ 14 มกราคม อันเป็นวันวาเลนไทน์ของทุกๆปี ผมได้ลงมือส่งจดหมายให้เธอผ่านคนกลาง และมายืนอยู่จุดนัดหมายที่ใต้ต้นไม้หลังโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ที่ไร้ผู้คน และยืนพิงต้นไม้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะเป็นวันพิเศษ ผมเลยบอกให้เพื่อนๆกลับกันก่อนเลย เพราะทางผมมีธุระที่ต้องสะสาง 

บนมือถือดอกกุหลาบ ปากคาบดอกลิลลี่ สวมชุดนักเรียนมัธยมปลายปีที่5 ตามกฎระเบียบทุกประการเพื่อแสดงถึงความเป็นคนดีรักษากฎระเบียบ 

ไม่นานเกินรอ เธอก็เดินมา ทว่า ..ไม่ใช่พี่ฮานะ 

ผมจ้องหน้าอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็เดินมาใกล้ๆจนเห็นหน้าตาได้ชัด 

เธอเป็นผู้หญิงที่สวมแว่นหนาตึก มีเลือนผมสีดำยาว สวมชุดนักเรียนตามกฎระเบียบเช่นกัน แต่เหมือนว่ากระโปรงจะยาวไปนิด 

ไม่ใช่พี่ฮานะ แต่เธอกลับยืนจ้องผมอยู่ใต้ต้นไม้ 

อะไรกัน อย่าบอกนะว่า 

ผมเข้าใจ บางทีมันก็มีบ้างอ่ะนะ แบบอารมณ์ชั่วขณะที่เก็บความในใจเอาไว้ และปล่อยมันออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ต้องใช่แน่ๆ 

ผมกำลังถูกสารภาพรัก เธอไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย แต่พอเห็นผมยืนอยู่ใต้ต้นไม้คงนึกย้อนไปถึงเรื่องสมัยก่อนระหว่างผมกับเธอ แม้ว่าทางผมจะลืมไปแล้ว แต่ความทรงจำนั้นต้องไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของเธอแน่นอน—ตัวผมใต้ต้นไม้น่าจะสะกิดต่อมความทรงจำของเธอเข้า เธอถึงได้เดินมาหาผมด้วยท่าทางแน่วแน่เช่นนี้ 

ขอชื่นชมจากใจเลย นางสาวปริศนา 

“ขอโทษนะ ฉันมีคนในใจแล้ว” 

ผมชิงพูดออกไปก่อนที่เรื่องมันจะน่าเศร้ามากกว่านี้ 

“ไม่ใช่ ..จดหมายนี้” 

เธอหยิบจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งขึ้นมา ..นั่นมันจดหมายรักของผมนี่นา! 

“ปะ ไปเอามาจากไหนเนี่ย!?” 

“มีเพื่อนเอามาให้ฉันน่ะ” 

“หา!?” 

“ฉันมาให้คำตอบ” 

ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะนะ แต่คนที่ผมฝากไปให้ไม่ใช่คนๆนี้สักหน่อย 

อะไรฟร้ะเนี่ย 

“จะว่าไปเธอชื่ออะไรอ่ะ?” 

“บาระ” 

‘บาระ’ ชื่อญี่ปุ่นอีกแล้ว คนไทยสมัยนี้ขยันตั้งชื่อลูกเป็นคนญี่ปุ่นเยอะจังนะ ว่าแต่แปลว่าอะไรหว่า—-ช่างเรื่องนั้นก่อน มันไม่ได้สำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับจดหมายรักที่เธอถืออยู่ 

“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อบอส” 

“อืม มะ ไม่เห็นต้องแนะนำตัวเลย อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ” 

“เอ๊ะ ไม่คุ้นหน้าเลยแฮะ เอาเถอะ” 

เธอตรงหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนถอนหายใจเฮือกโต 

“คือว่าบอส จดหมายรักที่นายให้มาอ่ะ เรามาให้คำตอบตามที่เขียนไว้” 

“หยุดก่อน เหมือนว่ามันจะเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างเข้า ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาอธิบาย” 

“..อืม” 

“ฉันส่งจดหมายให้ผิดคนน่ะ โทษที” 

ผมพนมมือไหว้เจ้าหล่อนจากใจจริง 

…พวกเราจ้องหน้ากันราวสิบวินาที สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคือแววตาที่สุดจะเย็นชาที่ส่งผ่านจากแว่นตาของเธอได้อย่างชัดเจน 

“คือ? ส่งผิด?” 

“ฉันตั้งใจส่งให้พี่ฮานะเขาอ่ะ” 

เสียง “หา??” ลากยาวที่แสนน่ากลัวดังขึ้น มันให้ความรู้สึกเหมือนคุณแม่ที่โกรธลูกชายคนนี้จัดๆ 

“ชื่อต่างกันคนล่ะขั้วเลยนะ ทำอีท่าไหนถึงส่งผิดเนี่ย” 

คู่สนทนาผมเริ่มหัวเสียแล้ว ฟังจากน้ำเสียงได้เลย ถ้าไม่ติดว่าพวกเราไม่สนิทกันผมคงโดนตบหัวไปแล้ว ซึ่งก็อาจจะสมควรโดนตบอยู่หรอก แต่หัวผมไม่ได้เกรียนหรอกนะ ตบไปก็ไม่ดัง ไม่ฟินหรอก เพราะนั้นอย่าเลย ถ้าเธอจะตบผมจะพูดอ้อนวอนไปตามนี้แน่นอน  

“ฉันฝากเพื่อนสนิทให้เอาไปให้พี่ฮานะ” 

“นั้นแหละ แล้วทำไมถึงผิดได้ล่ะ?” 

“ไม่รู้สิ เจ้าหมอนั่นจงใจแกล้งกันใช่มั้ยเนี่ย” 

บาระถึงกับไหล่ตก เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยท่าทางหน่ายใจ พอเห็นท่าทางเช่นนั้นผมก็จำได้ ใช่ เธอคือเพื่อนที่ดูจืดจางในห้องของผม ปกติเธอจะอยู่นิ่งๆเงียบๆในมุมห้องประจำทำให้เราไม่ได้คุยกันเลย ไม่แปลกที่ผมจะจำไม่ได้ 

ท่าทางของเธอมันสะกิดต่อมความทรงจำของผมเข้า เพราะตอนอยู่ในห้องต้องมีหลายครั้งเลยที่เห็นเธอทำท่าทางเซ็งๆดั่งตอนนี้ 

เอาเถอะ เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญอะไรเลย ที่สำคัญคือเจ้าเพื่อนบ้านั่นทำอีท่าไหนถึงส่งจดหมายผิดได้นะ 

“ฮานะ เป็นพี่สาวเราล่ะ” 

เธอว่าอย่างนั้น ได้ยินผมก็ทำเสียง “โฮ” ตามด้วยท่าทางสนอกสนใจ 

จะว่าไปตอนที่ผมฝากเพื่อนไปให้นี่ .. 

“ตอนที่ฉันฝากเพื่อนให้เอาจดหมายไปให้อ่ะ” 

“อืม” 

“ฉันบอกแค่นามสกุลไปอ่ะ เพราะไม่กล้าบอกชื่อจริงพี่เขา แล้วก็บอกอีกว่าจะใครล่ะ ก็ต้องคนที่ใกล้ตัวพวกเราสุดสิ ..ซึ่งก็คงจะเป็นเธอ” 

“ถ้าแกล้งกันก็ไม่เห็นต้องโกหกเลยนะ รูปความที่เลือกมาอธิบายก็ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดด้วย” 

“ไม่หรอกๆ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น คนแบบฉันไม่ใช้วิธีขี้ขลาดอย่างนี้หรอก อย่าดูถูก ปวัตร เอี่ยมอารัต คนนี้สิ” ผมพล่ามต่อ “ปวัตร เอี่ยมอารัต ชื่อเล่นบอส ไม่ใช่คนสวะที่นิยมการรังแกคนอื่น ยิ่งกับจดหมายรักที่แสนศักดิ์สิทธิ์ฉันไม่บังอาจหรอก โปรดจำไว้ให้ขึ้นใจ” 

“อืม ยังไงก็เถอะนะ บอส” 

“อ่า” 

บาระจ้องตาผมตรงๆ 

“โชคดีแล้วล่ะที่ส่งผิด” 

“จะบอกว่ายังไงฉันก็นกสินะ” 

“ดูเนื้อความในจดหมายสิ” 

เธอกางโชว์ให้ผมดู 

 

 

‘จดหมายวันวาเลนไทน์ที่ดีที่สุดสำหรับผม ไม่ใช่สติกเกอร์รูปหัวใจ หรือคำสารภาพรักที่ได้จากหญิงอื่น หากแต่เป็นการได้พบกับคุณที่โรงเรียนแห่งนี้ต่างหาก ไม่ใช่แค่วันวาเลนไทน์ แต่ผมอยากจะตอบแทนคุณที่มอบความสุขให้ผมโดยการมอบตัวผมให้ครับ ผมคือความสุข ใช่ ผมจะมอบความสุขให้คุณเอง 

ถ้าไม่เป็นการรบกวน เจอกันที่ xxxx ใต้ต้นไม้ ด้วยนะครับ’ 

 

 

“เป็นจดหมายรักที่ดีมากเลยใช่มะ~”  

“ว่าไงดี ดูหลงตัวเองมาก พออ่านครั้งแรกแล้วรู้สึกขนลุกเลย” 

พูดอะไรอย่างนั้นเล่า 

“แย่ยิ่งกว่านั้น ดูนายตอนนี้สิ คาบอะไรอยู่น่ะ” 

บาระชี้ไปที่ปากของผม ตามด้วยบนมือที่ถือดอกกุหลาบไว้อยู่ 

“ดอกลิลลี่ที่แทนถึงความบริสุทธิ์ ฉันคาบไว้เพื่อโชว์ให้เห็นถึงใจจริงอันบริสุทธิ์ของฉัน เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงตัวฉัน อ่า แล้วก็ดอกกุหลาบบนมือนี่ก็แทนถึงความรักที่มีให้พี่เขาแหละ โรแมนติกดีเนอะ~ 

บาระทำหน้าแหยงใส่ผม ถึงจะพยายามซ่อนสีหน้ายังไงแต่ก็เก็บไว้ไม่มิดหรอก แน่นอนผมไม่ได้โกรธอะไร ผมเป็นคนที่โกรธหรือเกลียดคนไม่เป็น รักเป็นอย่างเดียว อร๊ายยย 

“แบบนี้ไม่ไหวหรอก โชคดีแล้วล่ะที่ไม่ได้สารภาพรักไป” 

ให้ตายสิ มันก็มีบ้างประปรายล่ะนะ คนประเภทนี่น่ะ 

“ฟังนะ ..สิ่งสำคัญของการสารภาพ ไม่ใช่การสมหวัง แต่เป็นการได้พูดคำในใจต่างหาก” 

“ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากให้เขาตกลงใช่มั้ยล่ะ?” 

“ถูกต้องเลย เลือกได้ก็อยากสมหวังอยู่ล่ะ สารภาพรักโดยไม่หวังให้อีกฝ่ายรับรักเนี่ย มันเรียกว่าความรักไม่ได้หรอกนะ” 

“เลยดีแล้วไงที่ไม่ได้สารภาพรัก” 

ไม่เข้าใจเลยว่าดียังไง 

“อีกอย่าง นี่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์นะ” 

เอ๊ะ  

“ก็วันที่ 14 นะ” 

“วันที่ 14 ก็จริง แต่เป็นเดือนกุมภานะ ไม่ใช่เดือนมกรา” 

“อ่าว เหรอ พึ่งรู้นี่แหละ แบบนี้น่ะเอง เพราะสารภาพผิดวัน บรรยากาศกับของที่เตรียมมาเลยสูญเปล่าสินะ อืมๆ ขอบใจมาก เดือนหน้าจะเอาใหม่นะ” 

ซวยจังเลยนะ ดอกไม้ที่เตรียมมามันไม่สดพอดีสิ ต้องซื้อใหม่อีกแล้วสิเรา ..ไม่สิ ลองปลูกเองเลยดีกว่ามั้ยนะ จะได้สื่อถึงความรู้สึกที่ตื่นขึ้นจากการดูแลเอาใจใส่ เปรียบได้ดั่งความรู้สึกของผมที่ฝักขึ้นจากการที่ได้เห็นเธอทุกวัน 

ใช่ๆ สังเคราะห์แสง ตัวผมสังเคราะห์แสงจนเกิดความรู้สึกหลงรักในแสงอย่างพี่ฮานะเข้า คล้ายกันกับดอกไม้ที่ผมให้ที่โตขึ้นจากการสังเคราะห์แสง 

อะไรวะเนี่ย ดูโรแมนติกชะมัด เอาล่ะ มีไฟแล้วเว้ย เอาตามนี้ดีกว่า!! 

ทว่าไฟของผมกลับถูกดับในทันที 

“ต่อให้เดือนหน้าก็ไม่สมหวังหรอก เพราะปัญหามันไม่ใช่ผิดวัน แต่เป็นทั้งหมดต่างหาก” 

บาระ ..เธอเป็นผู้หญิงที่แอบปากเสีย คิดว่า 

“ไหงนั้นล่ะ?” 

“ลองนึกภาพเราที่มาสารภาพรักกับนายโดยการคาบดอกลิลลี่กับถือดอกกุหลาบดูสิ” 

“ดูเกินตัวดีแฮะ ฝืนชะมัด” 

บาระเป็นผู้หญิงตัวเปี๊ยกนิดเดียว ถือว่าค่อยข้างเตี้ยเมื่อเทียบกับมาตรฐานของผู้หญิงในโรงเรียน ถือของขนาดนั้นมันดูไม่ไหวหรอก ทำเอาเสียภาพลักษณ์ชอบกลด้วย 

“ยิ่งไปกว่านั้น ในจดหมายรักที่ให้ยังมีเนื้อความเชิงเชียร์ให้รับรักแบบโต่งๆอีก” 

“ไม่ไหว ดูน่าหยะแขยงเนอะ” 

“อืม ไม่มีผู้หญิง ..ไม่สิ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่รับรักคนที่ทำตัวน่าหยะแขยงหรอก” 

ดูแรงแต่ก็ตรงดี ไม่ใช่หน้าตาน่าหยะแหยง แต่เป็นทำตัวน่าหยะแหยง แบบนั้นต่อให้หล่อสวยมาจากไหนก็ไม่มีทางรับรักหรอก  

บาระพูดต่อ 

“และนั่นคือสิ่งที่นายทำไงล่ะ” 

“บะ บ้าน่า!?” 

ผมคือคนน่าหยะแหยงล่ะ แต่เดี่ยวนะ จำไม่เห็นได้เลยว่าตัวเองไปทำอะไรน่าหยะแหยงเข้าให—-อ่าวเห้ย ก็ทำไปแล้วนี่หว่า 

“มะ ไม่รู้สึกตัวเลย! ฉันมันน่าหยะแหยงโดยธรรมชาติสินะ ..ถ้าจดหมายนี้ไม่ใช่ความเข้าใจผิด ฉันคงโดนเธอปฎิเสธไปแล้วด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่พี่ฮานะเลย” 

“เทียบแบบนี้เหมือนจะยกพี่สาวสูงกว่าเรามันแปลกๆนะ เสียมารยาทมาก ถึงจะรู้ว่านายไม่น่าคิดมากอะไรหรอก ..แต่ก็นั่นสินะ อาจจะไม่ได้ปฎิเสธแบบที่ควรทำก็ได้นะ” 

บาระเหล่มองท้องฟ้าเล่น ผมเห็นก็ทำอุปทานหมู่โดยการมองท้องฟ้าตามเจ้าหล่อน 

“ขอบคุณเธอมากนะที่ทำให้ฉันตระหนักรู้ ..ว่าแต่พี่สาวสินะ ..พี่ฮานะเป็นพี่สาวเธอสินะ เห็นบอกมา” 

“อืม” 

“เจ๋งโคตร” 

“ใช่ พี่สาวเจ๋งมาก เธอเด่นเกินไปจนกลบฉันประจำน่ะ” 

ไม่รู้ว่าตอนนี้บาระทำสีหน้ายังไง แต่น้ำเสียงไม่ค่อยดีเลย 

“ลำบากแย่เลยเนอะ” 

มีพี่สาวระดับนั้นก็ต้องมีเสียความมั่นใจบ้างแหละนะ อืม  

ผมย่อตัวลงไปนั่งกอดเข่าบนผืนหญ้า พลางมองท้องฟ้าสีแดงยามเย็น ถ้าที่นี่คือญี่ปุ่น ผมจะบอกว่าตัวเองกำลังนั่งจ้องพระอาทิตย์อัสดงอยู่อย่างเหงาหงอย ไม่สิ ขอคิดอย่างนั้นเลยดีกว่า ต่อให้ไม่ใช่ญี่ปุ่นแต่ก็พระอาทิตย์เหมือนกัน ไม่ควรแตกแยกกัน นี่แหละความเท่าเทียมที่ยุคสมัยนี้ต้องพึงจะมี ทางบาระเดินไปนั่งพิงต้นไม้ข้างหลังผม 

ว่าไงดี  

“พระอาทิตย์อัสดงนี่เท่ดีเนอะ พอผสานเข้ากับอารมณ์เหงาๆที่ผิดหวังการกับการสารภาพรัก มันยิ่งให้ความรู้สึกว่าเท่ดี” 

“บรรยากาศดีจริงๆนั่นแหละ เราเองก็ชอบพระอาทิตย์ตอนตกดิน ..ว่าแต่ไม่สนใจเรื่องฉันกับพี่สาวหน่อยเหรอ? ในโรงเรียนมีคนที่รู้อยู่ไม่กี่คนเองนะ” 

คิดว่าเรื่องที่เธอเป็นน้องสาวของพี่ฮานะควรยกเป็นหัวข้อสนทนาหลักมากกว่า แต่ช่วยไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระอาทิตย์อัสดงสุดเท่ จิตวิญญาณของลูกผู้ชายที่ชื่นชอบอะไรเท่ๆย่อมโดนจูงไปหาของเท่ๆก่อนเป็นธรรมดา 

สภาพตอนนี้คือ พระอาทิตย์อัสดง > > > > > บาระคือน้องสาวของพี่ฮานะ กระมัง 

“สนใจอยู่แหละ นั้นถามเลยล่ะกัน พี่ฮานะชอบผู้ชายแบบไหนเหรอ” 

“คนที่สุภาพ เรียนเก่ง จริงใจ ดูมีอนาคตน่ะ” 

“เห๋ ตรงหมดเลยนี่หว่า” 

“ไม่ตรงสักข้อต่างหาก” 

เจอความจริงกระแทกเข้าหน้าเข้าให้ ผมก็ถึงกับคอตก โดยที่มีสายตาเวทนาจากบาระส่งมา 

ถ้านี่เป็นรายการตลก คงจะมีเสียงเอฟเฟคหัวเราะเยาะดังขึ้นจนน่ารำคาญแหงๆ 

“อย่างน้อยฉันก็จริงใจนะ” 

“นั่นสินะ เว้นไว้หนึ่งข้อ ..นี่ บอส” 

“ว่าไง บาริบาริ 

“อธิบายทีทำไมถึงเรียกเราว่า บาริบาริ 

“ว่าไงดี ก็บาระเนี่ย มันออกเสียงคล้ายกับผลปีoาจในวันoีชเลยนะ ผล บาริบาริ น่ะ” 

มันคือมุกล้อชื่อแหละ ไม่คิดว่าบาระกับบาริมันออกเสียงคล้ายกันเหรอ?  

“พอเถอะ นั่นเรียกว่ามุกไม่ได้หรอกนะ มุกเกี่บวกับการออกเสียงก็ไม่เชิง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคิดมุกแบบนี้มาได้ยังไง” 

ดูท่าจะไม่ใช่ความเห็นในเชิงบวก 

“ขอโทษครับ ว่าแต่มีอะไรล่ะ บาริบาริ” 

“พอเถอะ” 

ทางบาระเริ่มหายใจหอบแล้วคงจะเหนื่อยน่าดู 

“ว่าแต่มีอะไรล่ะ บาระ” 

“ทำไมต้องพูดย้อนใหม่หมดเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นด้วยล่ะ” 

“ทางเธอเองก็ใช่ย่อย สงสัยมันซะทุกอย่าง” 

“..โทษที” 

ก็ไม่รังเกียจหรอกนะ เพราะปกติเวลาผมเล่นมุกอะไรจะไม่มีใครถามหาที่มาที่ไปเลย ถ้าพึ่งรู้จักอาจถามบ้างสองรอบ แต่หลังจากนั้นจะเมินมุกตลกของผมหมดเลย การที่มีคนรับมุกผมแล้วถามกลับตั้งหลายรอบเช่นเธอ นับว่าหาได้ยากมาก 

ว่าไงดี ผมดีใจนะว่าตามความรู้สึกน่ะ 

“แล้วมีอะไรล่ะ บาระบาริ” 

“ถ้าเอาแต่เล่นอะไรแบบนี้ เมื่อไหร่จะได้เข้าเรื่องสักที” 

“โทษที” 

บาระถอนหายใจเฮือกใหญ่ และพูดธุระของตัวเองออกมา— 

“---ถ้ายังไง ให้ฉันช่วยเรื่องพี่สาวมั้ย?” 

..เอ๊ะ 

“ช่วยนี่คือ” 

“ฉันจะเป็นแม่สื่อให้เอง” 

…. 

ผมคว้ามือของบาระไว้ทันที เธอดูตกใจเล็กน้อยแต่พอเห็นหน้าผมก็ไม่พูดถามอะไร นอกจากบ่น 

“จะร้องไห้ทำไมล่ะ..” 

ผมเป็นคนที่ต่อมน้ำตาแตกได้ง่าย ใช่ ผมร้องไห้เก่งมากๆเพราะตอนเด็กแม่สอนว่าถ้าอยากชนะคนอื่นในชั้นประถม ให้ร้องไห้โชว์ต่อหน้าครูซะ นับจากนั้นผมก็ร้องไห้เป็นว่าเล่นเลย กลายเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวโดยไม่รู้ตัว 

“ก็แบบว่า พอมาพลอตแบบนี้แล้ว มันหมายความว่าเธอจะต้องตกหลุมรักฉันแน่ๆไง แล้วก็คงลงเอยกับฉันตามพลอต แต่ว่านะ ฉันไม่เหมือนกับพระเอกทั่วไป ฉันน่ะรักเดียวใจเดียว ไม่มีเปลี่ยน ไม่มีรักแท้แพ้ใกล้ชิด เพราะฉะนั้นคงต้องขอให้เธอนกไปตามระเบียบ พอคิดอย่างนั้นก็ปวดใจขึ้นมา อุตส่าห์พยายามเพื่อคนที่รักมาตลอดแท้ๆ แต่กลับไม่สมหวังเนี่ย! ว่าไงดี..น่าเศร้าเนอะ!!” 

“ไม่ช่วยล่ะดีกว่า” 

บาระถอนหายใจ “ฟู่ว!” ใส่ ดูหงุดหงิดมาก ทำเอานึกถึงคุณแม่ที่เคราพขึ้นมาได้เลย ความทรงจำที่โดนคุณแม่มองแรงย้อนเข้ามาในหัวของผม 

ในเวลาแบบนี้ ถ้าเป็นคุณแม่จะต้อง—- 

“ขอโทษครับ ช่วยผมด้วยเถิด!!!” 

บาระหรี่ตามองผมต่ำใส่ผมราวห้าวิได้ ก่อนจะรวบรวมลมหายใจเข้าปอด ท่าทางเหมือนกับคุณแม่ที่โกรธลูกตัวแสนดีคนนี้ไม่ลงไม่มีผิด 

“ช่วยไม่ได้นะ” 

เธอเหมือน ..ไม่สิ นี่แม่ของผมชัดๆ คุณแม่ผมก็แบบนี้แหละ ต่อให้โกรธแต่ก็ไม่มีทางปฎิเสธ ..คุณแม่บาระ!! 

ด้วยเหตุนั้นเอง ตั้งแต่วันนี้ผมเลยถือวิสาสะตั้งชื่อเล่นให้เธอว่า ‘คุณแม่บาระ’ 

 

 

 

< < จดหมายรักควรจะใสซื่อ > > 

ผมกับคุณแม่บาระกำลังนั่งอยู่ในร้านคาเฟ่เก่าๆที่ไม่มีคน น่าจะเป็นเพราะเย็นมากแล้วคนเลยกลับบ้านกันหมด 

“อันนี้ร้านโปรดของฉันเลย” 

“สุดยอดเลยนะ มีร้านประจำแบบนี้” 

“อืม เพราะนมไม่อร่อยร้านเลยไม่ค่อยมีคน ฉันชอบที่เงียบๆอยู่แล้วเลยมาประจำ” 

ไม่ใช่เพราะจะมืดแล้ว แต่เพราะไม่อร่อยต่างหาก แถมยังพูดทั้งๆที่เจ้าของร้านแกนั่งอยู่กลางร้านด้วย คุณแม่บาระน่าตบปากชะมัด 

“แต่ว่าพวกเมนูอาหารตามสั่งร้านนี้อร่อยมาก ราคาก็ถูกด้วย” 

“คาเฟ่ที่มีจุดเด่นเป็นข้าวมื้อเนี่ยแปลกๆเนอะ” 

“อืม คนเลยหายไปหมดไง” 

ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณพี่เจ้าของร้านรู้สึกยังไง เป็นไปได้ผมก็อยากขอโทษแทนคุณแม่บาระที่พูดเสียมารยาทเป็นช็อตๆไม่หยุดเหมือนกัน 

ขณะนี้คุณแม่บาระกำลังดูดน้ำเปล่าจากแก้วน้ำอยู่ หลอดที่ถูกดูดมีรอยบีบเพราะเธอดูดค่อนข้างแรง ดูท่าจะหิวน้ำมากพอดู 

“กินน้ำเยอะจัง” 

“คุยกับนายทำให้ฉันคอแห้งน่ะ ..ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ เพราะปกติไม่ได้คุยกับใคร” 

“เหรอ ฉันว่าเธอเองก็พูดเก่งนะ ถึงจะเหมือนพูดบ่นอยู่คนเดียวมากกว่าก็เถอะ แต่ก็สมคาแรคเตอร์ดี ให้ความรู้สึกเหมือนสาวมืดมนที่ชอบนั่งคุยคนเดียวเลย” 

“..เห็นฉันเป็นคนยังไงล่ะเนี่ย” 

ถามมาได้นะคุณแม่บาระเนี่ย 

“ในห้องเห็นนั่งอยู่คนเดียวตลอด เวลาเรียนก็แอบหลับด้วย ตอนครูเรียกตอบก็ตอบอะไรไม่ได้สักข้ออีก ดูเหมือนคนที่มาโรงเรียนเพราะที่บ้านบังคับ มากกว่ามาเล่นกับเพื่อนแบบฉันเลย” 

“แต่ผลลัพธ์ก็คือเรียนไม่รู้เรื่องเหมือนกันนี่ ไม่เห็นต้องแยกประเภทเลย” 

ว่าจบเธอก็กัดหลอดและจ้องเขม็งผม ได้ยินเธอสวนกลับมาอย่างนั้นผมก็หัวเราะลั่น 

“นั่นสิเนอะ! สอบกลางภาคฉันแก้สอบเป็นสิบวิชาเลย” 

“ฉันห้า เพราะพี่ฮานะช่วยติวให้ก่อนสอบด้วย” 

ตกน้อยตกมากมันก็ตกเหมือนกันแหละ ไม่เห็นว่าน่าอวดอะไรเลย แต่ว่าก็ว่าเถอะ น่าอิจฉาชะมัด  

“มีพี่ฮานะคนนั้นติวสอบให้เนี่ย มันความฝันของชายหนุ่มทั้งโรงเรียนเลยนะนั่น” 

“บอสเองก็อยากได้แบบนั้นเหรอ?” 

“แน่นอนสิ ติวเนี่ยมันให้ความรู้สึกโรแมนติกดีเนอะ คนสองคนนั่งใกล้กัน สอนสิ่งที่แต่ล่ะคนไม่เข้าใจให้กันและกัน แล้วก็เผลอจ้องตากันบางที ..อ๊ะ อาจจะเผลอโดนตัวอีกฝ่ายด้วยนา” 

“ถ้านั้นวันพรุ่งนี้นี้มาติวที่บ้านเราเลยดีมั้ย?” 

 

“มีสอบวิทยาศาสตร์พอดี ถือโอกาสตอนนั้นเลยไง” 

 

“เราบอกว่าจะเป็นแม่สื่อช่วยด้วย เริ่มจากแนะนำให้พี่สาวรู้จักนายก่อนนน่าจะดีกว่า” 

 

“เงียบทำไมล่ะ?” 

“แบบว่า ชื่อบาระเนี่ยก็ออกเสียงคล้ายคำว่านางฟ้าดีเนอะ นางฟ้ามาโปรดชัดๆ” 

“หยุดเถอะ ไม่ได้ออกเสียงคล้ายกันเลย” 

คุณแม่บาระขมวดคิ้วใส่ แต่ผมหาได้สนไม่ พล่ามมันต่อทั้งอย่างนั้นล่ะ 

“แบบว่า ต่อให้เธอจะไม่เหมือนนางฟ้า แต่ตอนนี้เธอคือนางฟ้าชัดๆ ไม่ใช่การเล่นคำออกเสียง แต่เป็นการเล่นจิตใต้สำนึก ใช่ จิตใต้สำนึกของฉันตอนนี้เห็นเธอคือนางฟ้า—ไม่สิๆ ต้องบอกว่าคิวปิดสินะ ถึงจะถูก ไม่คิดว่าบาริกับคิวปิดเนี่ยมันดูคล้ายกันหรือไง” 

“ไม่คล้ายเลยสักนิด ทำอีท่าไหนถึงคล้ายก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าหยุดเถอะ 

คุณแม่บาระถอนหายใจ และผุดยิ้มบางๆขึ้นมา 

“เราบอกแล้วไงว่าจะเป็นแม่สื่อให้ ไม่เห็นเป็นไรเลย” 

“เธอก็นิสัยดีนะ คุยก็เก่ง ทำไมถึงไม่มีเพื่อนล่ะเนี่ย” 

“..ถ้าไม่มีคนมาชวนคุย เราก็ไม่พูดด้วยหรอก” 

“เหรอ” 

ผมเท้าคางมองคุณแม่บาระ ไม่รู้เหตุใดเธอถึงเลี่ยงจะสบตากับผม  

“ว่าไงดี ..” 

พอสังเกตุดีๆคุณแม่บาระก็หน้าตาดีไม่แพ้พี่ฮานะเลย เธอแค่ไม่ค่อยดูแลเรื่องทรงผมแล้วก็แว่นที่ใส่ไม่ค่อยเข้ากับรูปหน้าเธอสักเท่าไหร่ด้วย 

เธอให้ความรู้สึกเหมือนนางเอกในเรื่องแนวแปลงโฉมอยู่เล็กน้อย  

“..เธอเนี่ยเหมือนกับเมล็ดดอกฟ้าเลยนะ” 

“หมายความว่ายังไงล่ะนั่น” 

“นั่นสิ ยังไงกันแน่เนอะ” 

ผมยิ้มให้คุณแม่บาระ เธอไม่ได้หงุดหงิดอะไร ก็แค่ถอนหายใจเฉยๆ 

วันต่อมา 

ผมตรงดิ่งไปหาคุณแม่บาระตั้งแต่คาบโฮมรูม 

“หวัดดี คุณแม่บาริบาระ” 

“บาระค่ะ ไม่ใช่คุณแม่แล้วก็ไม่ใช่คนที่ชื่อบาริบาระด้วย ทราบแล้วเปลี่ยน” 

“ทราบแล้วครับ คุณแม่บาระ” 

พวกเราคุยอะไรกันไม่รู้จบก็จ้องตากัน จังหวะนี้ควรจะตบมุกว่า “ไม่ใช่คุณแม่” แต่ก็มาไม่ถึงสักที เพราะคุณแม่บาระเบือนหน้าหนีผมก่อน 

“แล้วมีอะไรล่ะ” 

นั่นสินะ–ผมเกาหัวตัวเอง 

“ว่าไงดี ตื่นเต้นเรื่องติวที่บ้านเธอมากอ่ะ พอคิดอะไรไม่ออกก็เข้ามาคุยเลยดีกว่า” 

“ไว้คุยตอนเย็นก็ได้” 

“ลองคิดดูสิ เมื่อวานคุยกันแบบดุเดือดเลือดพล่านไปตั้งขนาดนั้น แต่วันต่อมากลับไม่พูดอะไรกันสักครั้ง มันจะรู้สึกอึดอัดนะ แล้วมันก็จะอึดอัดยาวยันตอนเย็นเลยด้วย ลองนึกภาพฉันที่พูดแบบติดอ่างดูสิ ดูไม่ใช่ฉันเลยเนอะ” 

“อืม นั่นสินะ” 

คุณแม่บาระมองไปรอบๆห้อง ก่อนที่เธอจะลงไปนอนฟุบกับโต๊ะ 

“วันนี้มีคนมองเยอะเป็นพิเศษนะ” 

“ปกติคุณแม่บาระไม่ค่อยได้คุยกับใครนี่เนอะ ลอกนึกภาพเต่าที่จู่ๆก็วิ่งเร็วแซงกระต๋ายสิ” 

“อืม เอาเป็นว่า..ไว้คุยตอนเย็นเถอะนะ ..เราไม่ค่อยชอบที่ๆคนเยอะน่ะ” 

คุณแม่บาระพยายามจะไม่มองหน้าใครเลย แม้แต่หน้าผมเธอก็ไม่มอง ตอนนี้เธออยู่ในสภาพขดตัวคล้ายเต่า 

“ถ้าคุยโดยที่มีคนมองอยู่ ..สมองมันจะฝ่อ” 

“ลำบากแย่เลยเนอะ นั้นอย่าตายซะล่ะ บาระด้า” 

ถึงจะรู้จักกันไปนาน แต่คิดว่าคุณแม่บาระควรถามมาว่า “ตัวละครจากเรื่องอะไรเนี่ย” กลับ แต่เช้านี้เธอไม่แม้แต่จะตั้งใจฟังที่ผมเล่นมุกเลย 

ดูท่าทางแล้วน่าจะไม่ถูกกับสถานที่ที่มีคนเยอะอาทิเช่นห้องเรียนอย่างที่ว่าไว้ 

หลังเลิกเรียน คุณแม่บาระยังคงนั่งอยู่กับที่ เธอนั่งนิ่งพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแล้วไอ้ผมก็งงว่านอกหน้าต่างมันมีอะไรให้มองกัน 

“เห้ย บอส! ไปเกมเซนเตอร์กัน” 

เพื่อนสนิทวิ่งมาตบหลังผม ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากพูด 

“วันนี้ไม่ว่างอ่ะ คิวเต็ม” 

“ปะๆ เห็นพี่ที่เกมเซนเตอร์บอกว่ามีเครื่องเล่นใหม่มา…หะ? คิวเต็ม? ชีวิตแกมีอะไรนอกจากเที่ยวเล่นไปวันๆด้วยเรอะ?” 

“ว่าไงดีล่ะ ..คนเราไม่ได้เป็นเด็กไปตลอดเวลาหรอกนะ ดั่งคำที่ว่าสักวันนกน้อยก็ต้องโบยบิน ตอนนี้เองก็ถึงเวลาที่ฉันจะได้โบยบินแล้วล่ะ” 

เจ้าเพื่อนสนิทหน้าซีดเผือกปากสั่นพะงาบๆ ส่วนผมก็ทำเชิดใส่ทั้งรอยยิ้ม 

“ตะ ..โตขึ้นแล้วสินะ ตลอดสี่ปีที่รู้จักกับแก ฉันกลุ้มใจแทนแม่แกมาตลอดเลยวะ” 

“ขอร้องล่ะเพื่อน เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ” 

“เข้าใจแล้ว แทนที่จะห่วงแกห่วงตัวเองก่อนท่าจะดีกว่า อือๆ วันนี้กลับไปแก้ ร. ช่วง ม.4 ดีกว่า” 

“ไปดีมาไม่ดีล่ะ” 

ผมโบกมือให้เจ้าเพื่อนสนิทเสร็จก็นั่งอยู่เฉยๆปล่อยให้เวลาผ่านไปจวบจงคนในห้องเหลือแค่พวกเราสองคน 

คุณแม่บาระค่อยๆชำเลืองมองผมตามที่คาดไว้ ผมไม่รอให้เธอลุกขึ้น ผมชิงวิ่งไปเกาะปลายโต๊ะเธอก่อนที่เธอจะได้ทำอะไร 

เธอดูตกใจทำท่าหงอๆแต่ก็เงียบไม่ได้พูดอะไร ทางผมก็ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่จ้องเธอทั้งรอยยิ้ม 

“หน้าคุณแม่บาระเนี่ยดูได้ไม่มีเบื่อเลยนะ” 

“เพราะคล้ายกับพี่สาวสินะ บอกทีว่าแบบนั้น” คุณแม่บาระพูดต่อ “แล้วก็เลิกเรียกเราว่าคุณแม่เถอะนะ เรียกฉันว่าเธอเฉยๆก็ได้นะ ขอร้อง” 

ผมทำเมินเรื่องคำนำหน้าคุณแม่และตอบคำถามอื่นแทน 

“ว่าไงดี ..คุณแม่บาระเนี่ยมีออร่าที่น่ามองเป็นพิเศษน่ะ แบบเป็นคนที่นั่งอยู่เฉยๆก็จะสะดุ้งขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือนั่งเรียนอยู่ดีๆก็นั่งเล่นยางลบแบบเป็นจริงเป็นจัง ไม่ก็ วิชาที่ไม่ชอบเรียน วันดีคืนดีก็ตั้งใจเรียนขึ้นมาแค่บางคาบ ประมาณว่าเดาพฤติกรรมไม่ค่อยได้ อ่าๆ ใช่ๆ เหมือนดูพวกสารคดีสำรวจพฤติกรรมสัตว์ป่าเลยล่ะ!” 

“ช่วยบอกว่าเพราะหน้าเราคล้ายพี่สาวทีเถอะ” 

เหตุใดถึงสองจิตสองใจอย่างนั้นล่ะ? 

คุณแม่บาระมีสีหน้าที่หดหู่ขึ้นมา แต่ผมหาได้สนไม่ 

“วันนี้ฉันสำรวจพฤติกรรมเธอมาเยอะเลยล่ะ ต้องบอกว่าน่าสนใจมาก” 

“ถ้าจะบอกว่าพฤติกรรมของเราเดาไม่ค่อยได้ เราว่าทางนายหนักกว่าอีกนะ ..คนดังที่ชอบทำอะไรตามใจชอบ วันดีคืนดีก็ไปยืนเถียงกับ ผอ หน้าเสาธง ไม่ก็ เข้าประกวดวาดรูปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย” 

อ๋อ เรื่องพวกนั้นน่ะเอง จะว่าไปก็เคยมีแฮะ 

“ว่าไงดี—อารมณ์ศิลปิลก็แบบนี้แหละนะ” 

“อืม ศิลปินสินะ อืม ..เอาเป็นว่านะ ทีหลังอย่าทำวิจัยค้นคว้าพฤติกรรมของเราอีกล่ะ รู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่น่ะ เวลามีคนจับตาดู” 

“เอาตามนั้นเนอะ” 

“อืม ตามนั้น” 

คุณแม่บาระยิ้มแบบเหนื่อยๆแล้วลุกขึ้นสะพายกระเป๋านักเรียน เธอเดินผ่านผมไปก่อนจะหันหลังมาพูดด้วย 

“ไปกันเลยมั้ย?” 

…แปลกๆแฮะ 

“ว่าไงดี ชักรู้สึกว่ามันเข้าพลอตรักแท้แพ้ใกล้ชิดแล้วสิ ให้เดานี่คงเป็นปฐมบทสินะ” 

“ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก พูดดักขนาดนี้แล้วไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก อีกอย่างเราไม่ได้หน้าตาดีแบบพี่ด้วย ..” 

“คนเราไม่ได้ดูกันที่หน้าตาหรอกนะ” 

คุณแม่บาระหัวเราะขึ้นจมูก 

“ถ้ากรณีของนายคงจะใช่อยู่” 

กรณีของผมนั้นเหรอ ..คุณแม่บาระรู้จักผมเป็นกรณีพิเศษรึเปล่านะ 

น่าสงสัยจริงๆ แต่เวลานั้นผมก็ไม่ได้ถามอะไรไป 

ผมเดินตามหลังคุณแม่บาระไปหยุดตรงหน้าบ้านที่อีกนิดเดียวก็แทบจะเป็นคฤหาสน์แล้ว 

“เป็นลูกคุณหนูกันสินะ สุดยอดเลย ตัวฉันกำลังจะกลายเป็นหนุ่มตกถังข้าวสารสินะ” 

“ทำไมคิดไปเองแล้วล่ะว่าสมหวังแน่ๆล่ะ?” 

“ถ้าจะทำอะไรสักอย่างก็ต้องคิดให้สมหวังอยู่แล้วสิ อ๊ะ แต่บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่เคยอยากคบหวังเงินนะ อย่าคิดว่าตัวเองชักศึกเข้าบ้านเลยนะ” ผมพูดต่อ “ว่าแต่คฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้ไม่คิดจะเรียกสัตว์หน่อยเหรอ? จำพวกหมาหรือแมว จะจ้างฉันเลี้ยงก็ได้นะ บ้านฉันเปิดคลีนิกเกี่ยวกับสัตว์น่ะเลยพอมีความรู้บ้าง นี่ๆ ได้ยินรึเปล่า ถ้าไม่ชอบหมาเดี่ยวฉันช่วยป้ายยาเองเอามั้ย?” 

“บางที ..นายเงียบบ้างก็ดีนะ” 

คุณแม่บาระเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ทางผมเดินตามเธอต๋อยๆเหมือนเด็กน้อย แต่รอบนี้ยอมปิดปากเงียบตามที่คุณแม่บาระบอก โดนบ่นทีเดียวเล่นเอาไอ้ผมหงอยเลยแหละ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆก็หงุดหงิด แต่ก็นั่นแหละ ว่าไงดี ..นั่นแหละมนุษย์ หงุดหงิดได้แบบไร้สาเหตุจริงๆ 

พอเงียบแล้วทำให้ทิวทัศน์ของคฤหาสน์ภายในตามันเปิดกว้างมากขึ้น ตัวคฤหาสน์มีสนามเด็กเล่นที่ใหญ่มาก แล้วตรงทางเดินก็สวยสุดๆ มีน้ำพุตรงใจกลางบ้านด้วย เห็นแล้วทำเอาน้ำลายไหลเลย ไม่ใช่ไรหรอก หิวน้ำน่ะ 

เหนือยิ่งกว่านั้นก็คือรถหรูที่เรียงกันสามคันได้ เห็นแล้วทำเอาตัวสั่นเลย ไม่ใช่ไรหรอก อากาศหนาวจริง น่าจะใส่เสื้อกันหนาวมาด้วย 

แล้วก็สุดท้ายตัวคฤหาสน์ เห็นแล้วทำเอาใจสั่นเลย ไม่ได้อาการกำเริบหรือเป็นโรคอะไรหรอก แค่คิดว่าต้องเจอพี่ฮานะแล้วก็ใจสั่นไม่หยุด 

ก็ผมไม่เคยคุยกับเธอเลยนี่นะ! ถึงจะแอบชอบเธอแล้วคิดจะสารภาพไปเมื่อวันก่อน แต่ว่าตามตรงก็ไม่เคยคุยกันเลย! 

พอมานึกดีๆแล้วโอกาสไม่ใช่ 50/50 แต่เป็น 99/1 ต่างหาก จริงๆจะปัดให้เป็น 100ทั้ง100 เลยก็ได้แหละ แต่เผื่อไว้ให้ตัวเองมีค่าหน่อยดีกว่า 

พอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็โผล่อยู่ภายในคฤหาสน์แล้ว 

ต้องบอกว่าสมกับเป็นคฤหาสน์หรูมาก แค่พื้นก็ดูสะอาดกว่าบ้านผมสิบเท่าได้แล้ว ทั้งๆที่ถ้าดูขนาดตรงโถงทางเข้า บ้านผมเล็กกว่าบ้านเขาเยอะมาก 

กลับไปบ่นแม่หน่อยดีกว่า แต่คิดไปคิดมาไม่ดีกว่าเดี่ยวโดนตบ 

“ตามมานะ” 

“ครับคุณหญิง” 

“..เฮ้อ” 

ถอนหายใจ ใช่ ผมโดนถอนหายใจใส่ล่ะ 

ผมเดินตามคุณแม่บาระไปจนถึงห้องรับแขก และคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ..พี่ฮานะที่อยู่ในชุดนักเรียน 

เธอสังเกตุเห็นพวกผม และยิ้มให้ 

พี่ฮานะเป็นผู้หญิงที่ไว้ผมทรงโพนี่เทล ตัวสูงได้มาตรฐานผู้หญิงในโรงเรียนต่างกับน้องสาวอย่างคุณแม่บาระ นอกจากนั้นก็หลายๆอย่าง เอาเป็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยทัดเทียมกับนางแบบดังๆในนิตยสารทั้งหลายแหล่เลย 

ทันทีที่เห็นเธอยิ้ม ผมก็นึกย้อนกลับไปวัย 14 ใช่ ตอนอายุ14คือช่วงที่ผมตกหลุมรักพี่ฮานะเป็นครั้งแรก พอนึกถึงตอนนั้นแล้วมันก็นะ ..ย้อนกลับไปเมื่อตอนอยู่มัธยมต้นปีที่2 

“อันนี้เพื่อนหนู ..ชื่อบอส” 

“หวัดดีจ้า~ บอส พี่ชื่อฮานะนะ ฮาจริงรึเปล่า เรื่องนี้ต้องพิสูจน์” 

เพราะโดนขัดทำให้เรื่องราวในอดีตของผมยังถูกปิดเอาไว้อยู่ แต่ก็นั่นสินะ 

ทางพี่ฮานะแนะนำตัวได้ฉูดฉาดดีจริงๆ จะน้อยหน้าไม่ได้เด็ดขาด 

ผมรวบรวมลมหายใจ เพียงแค่รอบเดียวความกังวลในใจก็หายไปหมด ถ้าพูดถึงข้อดีของผมคงเป็นการที่ตัวผมควบคุมอารมณ์ได้ดีกระมัง ทั้งความตื่นเต้น ความโกรธ มันไม่ใช่อุปสรรคในชีวิตผมเลย เพราะอย่างนั้นการคุยกับพี่ฮานะที่ได้แต่มองมาตลอดจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร 

“ผมชื่อบอสครับ เพื่อนในห้องผมคนหนึ่งก็ชื่อบอส ห้องข้างๆก็ชื่อบอส ชื่อผมโหลดีเนอะครับ” 

“นั่นสิ ค่อนข้างผมเห็นได้ทั่วไปเลย” 

“เพราะไม่อยากจะถูกลืม หรือจำชื่อผิดกันคนอื่น ผมเลยจะบอกชื่อจริงครับ ตั้งใจฟังนะครับ” 

“อืมๆๆๆ ว่ามาเลยจ๊ะ” 

“ปวัตร เอี่ยมอารัต คือชื่อจริงของผมครับ พอคิดๆดูชื่อจริงก็โหลเหมือนกันแฮะ ไม่เห็นมีอะไรน่าอวดเลย” 

พูดถึงตรงนี้พี่ฮานะก็หัวเราะร่า 

“แนะนำตัวขนาดนี้พี่ไม่มีทางลืมแล้วล่ะ เพื่อนของบาริริริ นี่น่าสนใจจังนะ” 

โดนบอกว่าน่าสนใจด้วยอ่า—ว่าแต่คุณพี่สาวตั้งชื่อเล่นให้คุณแม่บาระเหมือนกันเลย 

“บาระค่ะ! ผิดไปไกลแล้วพี่!” 

ทางคุณแม่บาระอารมณ์ไปคนล่ะทางกับผมตอนนี้เลย 

“คุณแม่บาริบาริครับ สำรวมหน่อยครับ” 

“บา!---ระ!! ต่างหาก! ละ ไล่ออกจากบ้านให้หมดซะเลยดีมั้ยเนี่ย!?” 

“น่าๆ อย่าคิดมากเลย นั่งก่อนสิ ทั้งบอสทั้งบาริบาริเลย” 

พี่ฮานะภายมือไปบนโซฟาให้พวกเรา ผมยิ้มรับและลงไปนั่งด้วยท่าทางมีความสุขต่างกับคุณแม่บาระที่ดูห่อเหี่ยวหมดเรี่ยวแรง 

“ทำไมรอบตัวเราต้องมีแต่คนแบบนี้ด้วยเนี่ย ..” 

“ก็บาริบาริพูดน้อยนี่ เลยต้องมีส่วนที่พูดเยอะมากลบซะหน่อย” 

“อย่างน้อยก็ขอแบบพอดีไม่ได้หรือไง ..ให้ตายสิ” 

พี่ฮานะหันมามองหน้าผมแทนและยิ้มให้ 

“จะว่าไปรู้จักกับบาระเขาได้ไงเนี่ย” 

“เป็นเพื่อนห้องเดียวน่ะครับ ก่อนหน้านี้มีเรื่องปรึกษาเธออยู่นิดหน่อยทำให้ได้คุยกัน” 

“โฮ บาระให้คำปรึกษาให้ได้ด้วยเหรอเนี่ย เกิดมาพึ่งเคยเห็น เป็นบุญตาพี่จริงๆ” 

พี่ฮานะพยักหน้าหงึกๆ ผมเห็นก็พยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน ก็ไม่ได้รู้จักคุณแม่บาระลึกหรอกนะ แต่พยักหน้าตามเขาไปนั้นแหละ 

“รีบๆติวสักทีเถอะ” 

“นั่นสิเนอะ” 

“นั่นสินะ” 

ผมกับพี่ฮานะผสานเสียงกัน นั่นทำให้คุณแม่ฮานะถึงกับหน้าบึ้ง 

“ติว—ได้แล้ว!” 

จากนั้นก็เริ่มติววิทยาศาสตร์ วิชาที่ผมเกลียดและเบื่อมันมากที่สุดพอๆกันกับคณิตศาสตร์ ืทว่าติวรอบนี้ดันสนุกเกินคาด ..คงเป็นเพราะได้คุยกับพี่ฮานะตลอดล่ะมั้ง 

รู้ตัวอีกทีก็คือหลังติวเสร็จซึ่งเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสองชั่วโมงแล้ว 

ต้องบอกว่าไม่รู้สึกตัวเลย ที่สำคัญที่พี่ฮานะเขาสอนก็ซึมเข้าหัวได้ง่ายๆเลยด้วย ผมมั่นใจว่าถ้าถึงวันสอบเมื่อไหร่ ตัวเองมีสิทธิ์ได้ท็อปห้องแน่ๆ 

พอติวกันเสร็จแล้ว คุณแม่บาระก็ลุกขึ้น เห็นทีผมจะต้องกลับก่อนแล้วล่ะมั้ง ในขณะที่จะลุกตามผมก็โดนสายตาอาฆาตจากคุณแม่บาระ 

(อยู่ต่อซะ) คงจะบอกผมแบบนั้นแน่ๆ 

“เข้าห้องน้ำแปปเดียวนะ” 

“จ้า~” 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมอยู่สองต่อสองกับพี่ฮานะ 

ผมกับพี่ฮานะนั่งเหล่มองกันเป็นระยะๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลย ว่าง่ายๆบรรยากาศกำลังเสีย ผมจะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ 

“ว่าไงดี ..การนั่งอยู่กับคนที่พึ่งเคยเจอกันครั้งแรกแค่สองคน สองต่อสองเนี่ย มันให้ความรู้สึกเหมือนซามูไรเวลาดวลดาบกันเลยนะครับ ยิ่งจ้องกันนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งให้ความรู้สึกคล้ายๆที่พูดมากขึ้น” 

“นั่นสิ เหมือนดูเชิงกันตลอดเวลาเลย” 

“ทางผมไม่อยากให้มันดูเป็นแบบนั้นด้วย เพราะผมไม่ได้อยากตัดหัวพี่ฮานะ” 

“แหม่ๆ พูดเหมือนว่าตัวเองจะชนะอย่างนั้นแหละ พี่ต่างหากล่ะที่ต้องกลัวว่าจะเผลอตัดหัวน้องบอส” 

รอยยิ้มของพี่ฮานะดูน่ากลัวขึ้นมาทันตา บางที แค่บางทีนะ พี่ฮานะอาจจะเป็นพวกเกลียดความพ่ายแพ้ก็เป็นได้ เหมือนกับผมเลย 

“บอสแปลว่าหัวหน้าซึ่งจะมองอีกนัยหนึ่งว่ายิ่งใหญ่ก็ได้ครับ ชื่อจริงผมแปลว่าบริสุทธิ์ด้วย พอเอาชื่อเล่นชื่อจริงไปผสมกัน แปลว่าชื่อบอสที่แปลว่ายิ่งใหญ่ของผมคือของจริง ผมยิ่งใหญ่อย่างบริสุทธิ์ครับ ผมไม่โดนตัดหัวง่ายๆหรอกครับ” 

“จริงๆแล้วที่บ้านพี่มีเครื่องเล่น Ps5 อยู่น่ะ” 

“โฮ ความฝันของชายหนุ่มทั้งประเทศ เครื่องเล่นเกมที่หาซื้อได้ยากสุดในเวลานี้” 

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ดวลกับพี่สักเกมดีรึเปล่า?” 

พี่ฮานะเกลียดความพ่ายแพ้จริงๆด้วย .. 

“เอาสิครับ ผมขอเกมที่มีซามูไรนะครับ ผมชอบซามูไรมาก ว่าไงดี เท่ชะมัด” 

“อืมๆ ได้เลย” 

จากนั้นผมกับพี่ฮานะก็ดวลเกมต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน 

ดั่งที่เห็นได้บ่อยๆในร้านเกมสมัยก่อน ผู้คนสามารถสนิทกันได้ง่ายๆด้วย ‘เกม’  

“น้องบอสนี่กากจริงกากจัง~” 

“กากไม่กากไม่รู้ แต่ที่รู้ๆผมกั้กนะครับ กั้กฝีมือไว้อยู่” 

“เอาจริงสักที–สิ!! นี่ไงโดนเข้าให้ เจอโจโฉของฉันเข้าไป!” 

“เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆแต่กลับชอบโจโฉ ไม่ไหวเลยนะครับ” 

“ไม่เห็นเป็นไรเลย~ ก็โจโฉเขาหนวดหนาวจะตาย ฉันชอบลุงๆที่ไว้หนวดยาวอ่ะ แต่ว่าแต่ทางพี่ ทางน้องบอสเป็นคนไทยยังชอบ โคจิโร่ เลยนี่นา” 

อนึ่งโจโฉเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ของจีน และโคจิโร่ก็เป็นบุคคลทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น 

“ช่วยไม่ได้ก็แกเท่นี่ครับ แล้วในเกมก็ไม่มีพระเจ้าตากด้วย! แต่ยังไงผมก็ชอบโคจิโร่มากกว่าแหละ แปลกดีเนอะครับ!” 

“นั่นสิ แปลกจริงเนอะ!” 

ระหว่างที่เล่นเกม คุณแม่บาระก็เข้าห้องน้ำ(เข้าหลอกๆ)เสร็จแล้วนั่งดูพวกเราเล่นอยู่ข้างหลังนั้นก็บ่นอะไรของแกไปเรื่อย  

“..นี่ฉันเลือกทางเดินชีวิตผิดสินะ” 

เธอพึมพำขึ้นเบาหวิว—ถึงผมจะได้ยินชัดเลยก็เถอะ!! 

“นี่ไงครับโดนเข้าให้ นางแอ่นหวนกลับ!! วิชาสำนักโจโจริว!” 

“โดนเล่นจนได้!!” 

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา พอเล่นเกมกับพี่ฮานาจบก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้านแล้ว และระหว่างทางออกนอกคฤหาสน์ แม่บาระก็ออกมาส่งผมด้วย ตามมารยาทของเจ้าบ้านน่ะนะ 

“ว่าไงดี ..ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยติวหนังสือแล้วมีความสุขนาดนี้เลยล่ะ” 

“น่ายินดีจังนะ” 

“พี่ฮานะเขาเล่นเกมเก่งมากด้วย ทำเอาเสียความมั่นใจเลย ไอ้ฉันก็ฝึกที่เกมเซนเตอร์ทุกวันแท้ๆ” 

“พี่เค้าไม่ได้เล่นแค่สองสามชั่วโมงหรอกนะ เขาเล่นตั้งแต่เย็นยันสว่าง” 

พวกที่มีเครื่องเล่นอยู่ที่บ้านนี่ขี้โกงจังนะ ว่าแต่ 

“เล่นเกมโหดขนาดนั้นยังรักษาผลการเรียนระดับต้นๆของโรงเรียนได้อีกเนี่ย ไม่เหลือเชื่อไปหน่อยหรือไง อย่างฉันเล่นแค่สามชั่วโมงต่อวัน เกรดยังแทนจะหลุดจากเลขสองล่ะเลย” 

“อืม เข้าใจเลย พวกเราไม่ใช่แค่ไม่เรียน แต่งานก็ไม่ส่งด้วย ไม่เหมือนพี่เขาน่ะที่เล่นไปด้วยเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย” 

“ทำสามอย่างพร้อมกันได้นี่ไม่ใช่คนแล้ว” 

ว่าแล้วเชียว พี่ฮานะเนี่ยน่าชื่นชมจังนะ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมจะรู้จักได้เลย 

“แต่ว่านะ วันนี้นายทำได้ดีมากเลย ตอนแรกนึกว่าจะเกร็งจนไม่ได้พูดอะไรซะอีก ..สุดยอดเลยนะ คุยกับคนที่พึ่งรู้จักได้ขนาดนั้นน่ะ” 

คุณแม่บาระกล่าวชมผม รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะปกติไม่ค่อยมีคนชมผมสักเท่าไหร่ เพราะผมมันไม่ใช่แค่ไม่เรียน ยังไม่มีด้านที่เด่นแบบสุดๆเลยสักด้าน เป็นคนประเภทที่ถ้าเข้าสังคมการทำงานเมื่อไหร่ ไอ้ผมหางานไม่ได้แน่ๆ 

ชีวิตปกติทั้งที่โรงเรียนหรือที่บ้านก็ไม่มีใครชมผมหรอก รู้แหละว่าพวกเขาก็ไม่ได้เกลียดผมแต่ความจริงที่ไม่มีใครชมก็คือความจริง อย่างคุณแม่ที่เคราพวันๆก็เอาแต่บ่นทำตัว ซึนเดเระ ตลอดเวลา 

ผมผู้ไม่มีอะไรดีกลับถูกชม น่าแปลกชะมัด 

พอโดนชม สมองมันก็ทื่อขึ้นมาเลย ..ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน 

“ระ เหรอ” 

เขินล่ะมั้ง 

คุณแม่บาระที่คล้ายกับคุณแม่ของผมจนน่าตะลึง แน่นอนว่าเธอมองมันออกทั้งหมดและยิ้มเป็นรูป ω อย่างกับนางแมวร้าย 

“ใช้ได้เลยนะวันนี้ คุยกับพี่สาวเราซะเผลินเลยนะ ตัวลอยเลยล่ะสิ” 

“โจโฉของพี่ฮานะเนี่ยเทพสุดๆ ทำเอาฉันตัวลอยกลางอากาศบ่อยๆเลย” 

“คนล่ะลอยสิแล้วก็ถ้าจะแถก็เอาดีๆหน่อยสิ” 

“จะไปคุณแม่บาระรัดก้าครับ” 

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าชื่อของเราจะพัฒนาไปได้ขนาดนี้ ไม่อยากเชื่อเลย–แล้วมีอะไรล่ะ” 

พอนึกๆดูมันก็มีเรื่องที่ผมควรจะสงสัยที่สุดอยู่ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะผมเป็นคนประเภทที่ว่าจะอยู่กับสิ่งที่คิดว่ามีความสุขที่สุดก่อน อย่างการให้คุณแม่บาระช่วยเป็นแม่สื่อให้ ทั้งๆที่ผมควรถามเรื่องสำคัญก่อนแท้ๆ 

บ่องตง ผมนี่มันโง่ของแท้เลย 

“ทำไมถึงช่วยเป็นแม่สื่อให้เหรอ ..หวังว่าจะไม่เข้าดราม่าว่ามีผู้ชายที่เธอชอบไปชอบพี่สาวของเธอ เธอเลยอยากให้พี่สาวสมหวังแล้วไปตามจีบผู้ชายคนนั้นแทนนะ” 

“ทำไมในหัวของนายถึงมีแต่เรื่องดราม่าในนิยายความรักเนี่ย ไม่เข้าใจเลย” 

อยากถามคุณแม่บาระกลับเหมือนกันว่าทำไมถึงขี้สงสัยได้ขนาดนี้ แต่ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์บ่นหรอก ใช่ สิทธิ์ในการบ่นมันควรอยู่กับคุณแม่บาระมากกว่าผม ว่าไงดี ..คาแรคเตอร์มันให้แบบนั้นมากกว่าล่ะมั้ง 

ช่างเถอะ 

“อันนี้ฉันสงสัยจริงๆนะ พึ่งนึกได้ว่าควรสงสัย” 

“นั่นสินะ จริงๆเราเตรียมคำตอบให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เห็นว่าไม่ถามสักทีก็เลยลืมไปแล้วน่ะ ขอนึกก่อนนะ” 

คุณแม่บาระหยุดเดินและลงไปนั่งบนที่นั่งข้างๆน้ำพุ 

“โห ขนาดที่นั่งตรงน้ำพุยังหรู ทำเอาไม่กล้านั่งเลย” 

“นั่งๆไปเถอะ” 

อีกฝ่ายว่าอย่างนั้นผมก็ทำตามที่บอก–ผมชำเลืองมองหน้าของคุณแม่บาระที่กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ น่าจะเรียบเรียงคำอธิบายง่ายๆที่คนฉลาดน้อยเช่นผมจะเข้าใจได้ 

แต่ไม่รู้ทำไม พอสบตาเจ้าหล่อนถึงหลบตาผม 

“อะ อืม .. ทำไมกันนะ ..ใช่ๆ จริงๆแล้วเรามีคนที่ชอบน่ะ ถ้าเกิดนายลงเอยกับพี่สาวได้ เราก็จะได้ตามจีบเขาแบบไม่ต้องกลัวพี่สาวอีก ไม่อยากทำผิดเหมือนแย่งของจากพี่สาวด้วย เราเลยเลือกใช้วิธีนี้แทน” 

“แผนสูงมาก สมกับเป็นคุณแม่บาริบาริ ถึงที่พูดมันจะขัดๆกันหน่อยก็เถอะ” 

“อืม คงไม่เชื่อสินะ แต่ไม่เป็นไร ขอให้เข้าใจอย่างนั้นดีกว่านะ” 

เธอไม่บ่นเรื่องชื่อเล่นที่ตั้งให้แล้วเปลี่ยนไปมาตามใจชอบแล้ว ดูท่าจะชินเสียแล้ว ชินกับเรื่องอะไรแบบนี้น่ะรึ ว่าไงดีนะ 

“มีแต่ต้องเชื่อล่ะนะ” 

“ทั้งๆที่ดูยังไงก็โกหกเนี่ยเหรอ?” 

นั่นสิเนอะ ผมให้เก้าสิบเก้าทั้งร้อยเลยว่าไม่มีใครเชื่อ แต่หักผมไปหนึ่งทำให้ไม่เป็นร้อยทั้งร้อย 

“ก็คุณแม่บาริบาริขอให้ฉันเชื่อนี่ กับผู้มีพระคุณต่อให้พูดอะไรมาก็มีแต่ต้องเชื่อนั่นแหละ” 

“ใสซื่อจังเลยนะ” 

“พวกเรายังเป็นเด็กอยู่นะ เลือกได้ก็ไม่อยากเสียความใสซื่อที่มีในจิตใจไปหรอก ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากทำงานด้วย! ..อยากจะซื่อตรงกับตัวเองและซื่อตรงกับผู้อื่น ..เพราะนั้นต่อให้ไม่มีเหตุผล แต่ถ้าคุณแม่บาริบาริอยากจะช่วยฉัน ฉันว่ามันก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอกนะ ไม่จำเป็นต้องฝืนมีเหตุผลก็ได้นี่” ผมยิ้มให้ “จะบอกว่าเพราะอยากเป็นเพื่อนกับฉันเลยช่วยก็ได้นะ ทางฉันก็ขอบอกว่าฉันเชื่อคุณแม่บาระเพราะฉันอยากจะเชื่อเท่านั้นแหละ” 

คุณแม่บาระได้ยินก็ถอนหายใจ เธอยิ้มให้ผมภายใต้พระอาทิตย์ที่ตกดินนั้นผมเห็นใบหน้าของเธอได้ไม่ชัด แต่ก็พอดูออกอยู่ 

“แค่คิดอยากตอบแทนนาย นับว่าเป็นเหตุผลที่ใสซื่อได้รึเปล่านะ” 

“ทุกสิ้นล้วนใสซื่อทั้งนั้นแหละครับ สิ่งที่ไม่ใสซื่อคือการโกหกต่างหาก ..ว่าแต่ ฉันไปทำอะไรให้น่าตอบแทนบุญคุณเหรอ เท่าที่นึกดูที่โรงเรียนก็เอาแต่ลอกงานเพื่อน ตอนเล่นกีฬาก็เอาแต่ฉายเดี่ยว อุปกรณ์การเรียนก็ขาดๆหายๆไม่มีให้ใครยืม จุดเด่นอื่นๆที่ช่วยคื่นได้ก็ไม่มี ไม่สิ ถ้าจะบอกว่าจุดเด่นคือไม่เรียนก็คงได้แหละ พอนึกดูฉันเนี่ยก็จืดแฮะ แค่หน้าตาดีนิดหน่อย” 

“อืม ถึงจะเพี้ยนแต่ก็หน้าตาดีอยู่” 

เอาอีกแล้ว โดนคุณแม่บาระชมอีกแล้ว แถมยังใช้วิธีตบหัวแล้วลูบหลังอีก ร้ายกาจจริงๆ 

“จุดเด่นคือหน้าตาดีสินะ ถ้านั้นหน้าตาดีของฉันไปช่วยคุณแม่บาริบาระได้ยังไงล่ะ” 

“จุดเด่นของนายไม่ได้ช่วยฉันไว้หรอก แล้วฉันก็ไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรจากนายด้วย ก็แค่ได้เห็นของดีเท่านั้น” 

คุณแม่บาระแหงนหน้ามองฟ้า ขยับขาไปมาเพราะเธอตัวค่อนข้างเตี้ย พอนั่งอยู่ตรงริมน้ำพุก็ทำให้ขาลอยอยู่เล็กน้อย 

“นายใสซื่อ ซื่อตรงกับตัวเอง ความซื่อตรงของนายคงจะช่วยคนได้มากมาย เราเลยคิดว่านายสมควรได้รับสิ่งตอบแทน ..ไม่สิ เราอยากให้นายสมหวังต่างหากถึงจะถูก” 

เคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง แสดงว่าคุณแม่บาระเคยเห็นผมทำอะไรสักอย่างอยู่บ่อยๆสินะ 

“นั่นคือมนต์วิเศษจากแม่มดสินะ เหมือนกับเรื่องสโนไวท์ ฉันจะได้สมหวังกับผู้สูงส่งอย่างพี่ฮานะ เพราะคุณแม่บาริบาริให้การช่วยเหลือ” 

“อืม ขึ้นอยู่กับนายแล้วก็พี่เขาน่ะนะ” คุณแม่บาระยิ้ม “แต่เท่าที่เห็น วันนี้ผลก็ออกมาดีเลยนะ” 

“ต้องขอบคุณเจ้าแม่บาริบาระต่างหากที่ช่วยสร้างสถานการณ์ให้” 

“ทำไมจู่ๆยศเราก็เลื่อนเป็นเจ้าแม่เฉยเลยนะ หยุดทีเถอะนะ เดี่ยวพี่ได้ยินแล้วเขาจะเรียกตามด้วยเหมือนกันอีก เดี่ยวแม่ได้ยินก็จะพากันเรียกตามไปอีก” 

คุณแม่บาระดูจะลำบากใจจริงๆแฮะ ว่าแต่บ้านของคุณแม่บาระเนี่ยวุ่นวายน่าดู 

“เครคร้าบ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว แลกเฟสกันเถอะ” 

“อืม ..” 

ผมแลกเฟสกับคุณแม่บาระเสร็จ เธอก็บอกเดี่ยวเนียนเอาไปให้พี่สาวแอดด้วย เธอเดินมาส่งผมถึงหน้าประตูรั้วคฤหาสน์และแยกกันตรงนั้นเลย 

ผมโบกมือส่งเธอจนลับสายตา พอแยกกับเธอโดยสมบูรณ์แล้วผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องเฟส ..แต่ไม่รู้ทำไม คนที่ผมส่องกลับไม่ใช่พี่ฮานะ แต่เป็นของคุณแม่บาระซะอย่างนั้น 

[ได้เล่นเกมอะไรรึเปล่า] 

ผมพิมพ์แชททักไปทันที กะจะชวนเล่นเกมออนไลน์สักหน่อย แต่ผมดันโดนเมินแชทซะอย่างนั้น เมื่อตะกี้พึ่งรับเพื่อนไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหล่อนก็ไม่ตอบหรืออ่านแชทผมเลย 

 

 

< < ขั้นตอนเตรียมจดหมายรัก > > 

วันต่อมา ผมตรงดิ่งไปหาคุณแม่บาระที่กำลังแกล้งหลับอยู่ก่อนคาบโฮมรูม 

“มะ ไม่อ่านแชทเลย ทำไมไม่อ่านแชทเลย” 

“อ๊ะ..เมื่อคืนทักมาด้วยเหรอ” 

“ตั้งตารอทั้งคืนเลยนะ!” 

ผมปล่อยโฮทันที 

“โทษทีนะ ..คือ” 

เพราะผมตะโกนด้วยทำให้คนในห้องหันมาดูทางนี้กัน คุณแม่บาระไม่ถูกกับที่ที่คนเยอะ เธอบอกผมตั้งแต่เมื่อวานแล้วแท้ๆ 

“ไว้ตอนเย็นนะ” 

“อะ โอ้” 

ผมพยักหน้ารับแล้วก็เดินกลับไปนั่งอย่างนิ่งสงบที่เดิม ทำเหมือนอารมณ์เมื่อสักครู่เป็นเพียงการแสดง 

จากนั้นตอนเย็นก็มาถึง ผมกับคุณแม่บาระยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้ทุกคนออกไปจนหมด จะมีแค่กับเจ้าเพื่อนสนิทที่ยังนั่งรออยู่ 

“ถ้ายังไงก็เล่าให้ฟังหน่อยนา~” 

เจ้าเพื่อนสนิทพูดไปพลางเหล่มองคุณแม่บาระไปด้วย 

“ได้เลย คืนนี้สี่ทุ่ม ดิล” 

“โอเคร ดิล แค่นี้แหละล่ะ” 

พูดจบหมอนั่นก็ชนหมัดกับผมหนึ่งทีและเดินออกจากห้องทันที ทำให้เหลือแค่ผมกับคุณแม่บาระสักที 

“วันนี้ไปที่ไหนดี” 

“..เราเป็นแม่สื่อนะ ทำไมพูดเหมือนจะไปเที่ยวกันอย่างนั้นล่ะ แต่ช่างเถอะ ถามไปเราก็ไม่เจอคำตอบหรอก เอาเป็นว่าที่ร้านคาเฟ่ เริ่มจากวางแผนจีบพี่ฮานะ” 

“โฮ มืออาชีพมาก รับทราบ” 

ผมทำท่าตะเบ๊ะ ทางคุณแม่บาระก็ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าและมุ่งหน้าไปที่คาเฟ่กัน 

ทันทีที่มาถึงเธอก็บอกเจ้าของร้านว่าเอาเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าอะไรที่เหมือนเดิม แต่นั่งได้สักพักก็มีข้าวกระเพราหมูสับกับน้ำเปล่ามาให้ ทำเอาอยากถามเลยว่านี่ใช่ร้านคาเฟ่จริงๆหรือ แต่ก็ช่างมันประไร เพราะเรื่องที่ต้องคุยกันตอนนี้คือเรื่องของพี่ฮานะต่างหาก 

คุณแม่บาระหยิบแผ่นรายงานปึกใหญ่ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ 

“เราเขียนสิ่งที่เธอชอบกับแบบสำรวจพฤติกรรมของเธอมาโดยละเอียดแล้ว” 

…ว่าไงดี แอบน่ากลัวเหมือนกันนะนั่นน่ะ 

“วันนี้มีแค่นี้แหละ จะกลับเอาไปอ่านเลยก็ได้นะ ส่วนเราขอตัวนั่งกินข้าวก่อน” 

“ยังไงก็กลับพร้อมกันก็ได้นี่ ..ว่าไงดี จู่ๆก็กลับไปเลยพอเสร็จธุระเนี่ยมันรู้สึกผิดอ่ะ แบบเพื่อนกันไม่ทำแบบนี้หรอก” 

คุณแม่บาระเงียบไปสามวิ เธอค่อยๆเบือนหน้าหนีผม 

“แล้วจะทำอะไรล่ะ ไม่มีเรื่องจะคุยอยู่แล้วนี่นอกจากเรื่องของพี่” 

“เดี่ยวคุณแม่บาริบาริกินข้าวไป แล้วฉันนั่งอ่านไปด้วยล่ะกัน ไม่เข้าใจอะไรจะได้ถือโอกาสถามด้วยไง” 

“..อืม” 

“เอาล่ะๆ ..อืม อ่า! ตรงนี้เขียนผิดล่ะ” 

คุณแม่บาระกุมขมับ ผมเห็นท่าทางแบบนั้นก็หัวเราะร่า 

“ล้อเล่นๆ ฉันไม่ถือเรื่องคำผิดหรอกนะ อุ้ย เขียน คะ ค่ะ ผิดด้วยนี่” 

“..ภาษาไทยเราเกรดหนึ่งน่ะ” 

“ลำบากแย่เลยเนอะ” 

ผมอ่านต่อและพูดติเรื่องหยุมหยิมไปเรื่อย ผมทำเช่นนั้นได้สามรอบก่อนจะโดนเธอด่าจนต้องหยุดแล้วนั่งอ่านเงียบๆ 

ในกระดาษรายงานบอกวิธีจีบพี่ฮานะมาละเอียดยิบ แอบคิดเลยว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวเองลึกขนาดนี้ 

แค่นั้นไม่พอมันยังมีข้อมูลเชิงวิจัยด้วย แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์เลย อาทิเช่นหลังกินข้าวเสร็จพี่สาวทำอะไรต่อ ผมงงเหมือนกันว่าเขียนมาทำไม แต่ก็อาจจะได้ใช้มั้ง มั้งนะ 

พออ่านไปเรื่อยๆก็ชักรู้สึกผิด เหมือนผมแอบดูความลับคนอื่นอยู่เลย ทำเอามือสั่นหน่อยๆเลยล่ะ 

“เป็นไงบ้าง?” 

คุณแม่บาระกล่าวถามด้วยรอยยิ้มที่มั่นอกมั่นใจ  

“น่ากลัวอ่ะ” 

“นี่แหละการวิจัย อย่าดูถูกการวิจัยเชียวนะ” 

“ฉันว่าการวิจัยมันก็ควรมีสิทธิ์มนุษย์ชนคุมหัวด้วยนะ ..อะ เอาเป็นว่า ฉันขอเอากลับบ้านแค่ของที่พี่ฮานะชอบกับไม่ชอบล่ะกัน แค่นี้พอ พวกวิจัยพฤติกรรมที่เหลือเอาไปเก็บ ไม่สิ เผาทิ้งเลยดีกว่า ป่ะ ไปเผามันกันเถอะเนอะ” 

“..ช่วยไม่ได้นะ เราอุตส่าห์อดนอนเขียนมาให้” 

อดนอนกับของแบบนี้ คุณแม่บาระนี่ว่างเหลือเกิน 

“ถ้ายังไงก็ไปนอนก่อนเถอะนะ” 

“อืม ..หวังว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” 

“ขอบคุณนะ” 

“..เราต่างหาก” 

ทางผมไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างต่างหาก 

พอคุณแม่บาระกินข้าวเสร็จ จากนั้นพวกเราก็แยกกัน ทางผมกลับไปอ่านรายงานแบบละเอียด แล้วหลังจากวันนั้นแผนการจีบพี่ฮานะก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ 

 

 

< < จดหมายรักที่ถูกวิธี > >  

ผ่านไป 1 เดือนเร็วเหมือนโกหก ตลอดเดือนที่ผ่านมาผมได้รับการสนับสนุนจากคุณแม่บาระมาโดยตลอด เธอสนับสนุนผมในทุกๆด้านเพื่อให้ผมได้สานสัมพันธ์กับพี่ฮานะผู้หญิงที่ผมแอบชอบ 

บ้างก็หาเรื่องให้ผมไปช่วยที่บ้านเธอทำอาหาร บ้างก็ให้ผมบังเอิญเจอพี่สาวที่สวนสาธารณะ บ้างก็เที่ยวห้างกับพี่ฮานะ ซึ่งก็ไปได้สวยจนผมคิดว่าตัวเองอยู่ในฝัน 

บันทึกทุกอย่างของเธอมันถูกต้องหมดเลย ผมเลือกร้านอาหารที่เธอชอบได้ตรงหมด มีโดนพี่ฮานะแซวด้วยว่าผมอ่านใจคนได้ ถึงจริงๆมันจะไม่ใช่และดูน่าขยะแขยงกว่านั้นก็เถอะนะ 

ว่าโดยรวมตลอด 1 เดือนมานี้พวกเราพัฒนาความสัมพันธ์กันไปได้มากพอตัว ในช่วงแรกอาจต้องให้คุณแม่บาระคอยเป็นคนกลาง แต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผมกับพี่ฮานะสามารถนั่งคุยกันสองคนหรือไปเที่ยวกันสองคนได้แบบเป็นธรรมชาติล่ะ 

พอได้รู้จักกับพี่ฮานะมากขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนอื่นคนไกลกันเลย ผมดีใจกับความสัมพันธ์นี้มาก และ..วันวาเลนไทน์ก็ได้มาถึงจริงๆแล้ว 

ผมตื่นเต้นมาก เล่นตื่นตั้งแต่ตี 3 เลยล่ะ เพื่อจัดเตรียมของ 

ดอกลิลลี่และดอกกุหลาบที่ผมปลูกไว้โตแล้ว โตขึ้นอย่างสวยงามเลยล่ะ ทำเอาน้ำตาล่วงเลย และยิ่งไปกว่านั้นก็จดหมายรัก จดหมายรักถึงรุ่นพี่ฮานะที่ผมใช้เวลาเขียนๆแก้ๆไปถึงสามวันเต็ม ตอนเช้าวันนี้เองก็มานั่งวิเคราะห์จดหมายรักของตัวเองดั่งสามวันก่อนหน้า 

ผมจดจ้องมันเป็นชั่วโมงแล้ว คิดว่าจะแก้ตรงไหนดี ถึงจะรู้ว่ามันสมบูรณ์แบบแล้วก็เถอะ แต่ก็อยากทำให้มันดีที่สุด เพราะนี่คือการสารภาพรักในวันวาเลนไทน์ แค่นั้นไม่พอพี่ฮานะก็เป็นรักแรกของผมด้วย 

“ต้องทำให้ดีที่สุด ..” 

สุดท้ายก็ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการหาข้อผิดพลาด และแก้มันซะ 

ตอนนี้น่าจะสักเกือบๆหกโมงเย็นได้ 

“ไปโรงเรียนเลยล่ะกัน” 

บ้านผมอยู่ใกล้มาก เดินแค่เกือบๆสิบนาทีก็ถึงแล้วล่ะ 

วันปกติผมมักจะตื่นเจ็ดโมงกว่าๆประจำ แต่วันนี้ดูจะเร็วเป็นพิเศษล่ะนะ ใช่ เพราะเป็นวันพิเศษเลยต้องตื่นเร็วเป็นพิเศษและไปเร็วเป็นพิเศษ 

“เอาล่ะๆ ไปเลยล่ะกัน” 

หลังส่องหน้าตัวเองจบ ผมก็สะพายกระเป๋านักเรียนและมุ่งสู้โรงเรียนของผม 

ผมเดินมาถึงห้อง ภายในห้อง..มีคุณแม่บาระอยู่ วันนี้เธอก็มาเร็วเป็นพิเศษเหมือนกับผม 

คุณแม่บาระสังเกตุเห็นผม เธอก็ลุกขึ้นวิ่งมาหาผมด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม 

“ไม่ได้ลืมอะไรใช่มั้ย?” 

และถามเหมือนคุณแม่ออกมา 

“เตรียมครบหมดเลย ดอกลิลลี่ 17 ดอกที่บ่งบอกถึงอายุฉัน แล้วก็ดอกกุหลาบ 30 ดอก บ่งบอกถึงความพยายามที่ฉันเริ่มมาตลอดตั้งแต่วันที่ 14 ของเดือนก่อน” 

“อืม ดีเลยๆ” คุรแม่บาระถอนหายใจ “โล่งอกไปที” 

โล่งอก ..สมกับเป็นคุณแม่เลย 

“ขอบคุณที่ช่วยกันมาตลอดเลยนะ” 

“ไว้ขอบคุณหลังสมหวังเถอะ แต่ก็นะ ยังไงนายก็สมหวังอยู่แล้วล่ะ ..พี่สาวน่าจะชอบนายเข้าให้แล้ว” 

ได้ยินแล้วผมก็ดีใจสุดขีด 

“จะ จริงเหรอ!?” 

“อืม ขอโทษนะที่สปอย นายสมหวังแน่ๆ โอกาสผิดหวังไม่มีหรอก” 

“..ในที่สุด ..ฉันชอบมาตลอดเลยล่ะ ตลอดสองปี” 

คุณแม่บาระพยักหน้ารับ 

“สองปีเลยสินะ” 

“อ่า” 

“เล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่า?” 

ผมพยักหน้ารัวๆแล้วก็ถือวิสาสะยืนเก้าอี้ของเพื่อนที่นั่งหน้าคุณแม่บาระมานั่งแทน ทางคุณแม่บาระก็กลับไปนั่งที่ตัวเอง 

พวกเรานั่งคุยอยู่บนโต๊ะเล็กๆอันเดียวกัน 

ผมเล่าความประทับใจแรกที่พบกับพี่ฮานะให้เธอฟัง ซึ่งทางเธอก็พยักหน้าฟังทุกอย่างและพูดอะไรไปด้วย ไปในเชิงเผาพี่ตัวเองน่ะนะ 

ตอนนี้ผมกับคุณแม่บาระสนิทกันมาก พวกเราคุยเล่นกันเป็นปกติและไม่ได้ขัดแย้งกันบ่อยๆเหมือนเมื่อเดือนก่อน–ผมยิดดีกับความสัมพันธ์เช่นนี้มาก 

“เพราะเห็นพี่สาวที่เข้มแข็งคนนั้นอ่อนแอสินะ .เลยตกหลุมรักและอยากปกป้องมุมที่อ่อนแอของเธอ” 

คุณแม่บาระสรุปเรื่องราวรักแรกของผมให้ฟัง 

“ใช่แล้ว โรแมนติกดีใช่มั้ยล่ะ” 

“อืม ฟังแล้วก็เหมือนในพลอตนิยายความรักเลย ..นั่นสินะ พี่สาวน่ะไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เห็นหรอก ตอนที่เรียนหนักๆจนเบียดเวลาเรียน เธอก็เรียนหนังสือไปและร่ำไห้ให้กับเกมที่เธอไม่สามารถเล่นได้ไป แต่เธอน่ะเข้มแข็ง เธอไม่เหมือนเราที่จะโยนการเรียนทิ้ง เธอเลือกจะเรียนไปด้วยเล่นไปด้วย ..พี่เขาเป็นคนที่เราไม่มีทางเทียบได้ เธอเข้มแข็งอาจจะมีด้านอ่อนแอบ้างแต่ก็เข้มแข็ง กลับกันนายน่ะอ่อนแอแต่ก็เข้มแข็งและใสซื่อบริสุทธิ์ นายน่ะตรงไปตรงมากับตัวเอง ถ้าเป็นนายที่ตรงไปตรงมา ต้องช่วยให้พี่สาวเปิดเผยด้านอ่อนแอได้ง่ายขึ้นแน่ เพราะอย่างนั้น..ทั้งสองคนคู่ควรกันมากๆเลยนะ” 

คุณแม่บาระพูดไปผสานนิ้วเข้าหากัน เธอดูจะมีความสุขยิ่งกว่าผมอีก 

ไม่รู้ทำไม แต่คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น 

“ทำเอาอยากร้องไห้เลย สมกับเป็นคุณแม่” 

“อืม ความรู้สึกของฉันเหมือนกับคุณแม่ในวันที่ลูกกำลังจะจบการศึกษาเลยล่ะ” 

ว่าแล้วพวกเราก็หัวเราะ 

“รักกันนานๆนะ” 

ไม่รู้ทำไม 

ผมดันรู้สึกแปลกๆขึ้นมาในใจ 

พอคิดว่าพรุ่งนี้ ผมคงไม่ได้คุยกับเธอมากเท่ากับเมื่อวานนี้แล้ว ผมก็รู้สึกกลัว ..ว่าไงดี ..แปลกดีเนอะ 

เวลาล่วงเลยผ่านไป รู้ตัวอีกทีก็พักเที่ยงแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะแก่การสารภาพรักที่สุด ทว่า—-ผมดันซวยโดนครูเรียกใช้ซะนั้น 

คุณแม่บาระที่นั่งอยู่ในห้องถึงกับตัวแข็ง เพราะอยู่ดีไม่ว่าดีผมก็โดนครูประจำชั้นขอให้ไปช่วยงานช่วงพักเที่ยง 

“ยังไงก็ว่างอยู่แล้วนี่ อย่างเธอไม่มีคู่หรอก” 

“พูดแบบนั้นอายุสั้นนะจารย์ ระวังปากหน่อยๆ” 

ผมพูดแซวกับอาจารย์ไปเรื่อย แต่ในใจกลับร้อนจี๋ 

ผมตามไปช่วยอาจารย์ตามที่เขาวาน และต้องลาคาบบ่ายทั้งหมด เพราะงานมันหนักมากๆ 

มีเพื่อนประมาณสองสามคนจากต่างห้องมาด้วย แต่เจ้าพวกนั้นคือพวกสายโดดเรียน พอทำได้สักพักล่ะอาจารย์คุมงานหาย ไอ้พวกนั้นก็พากันโดดจนหมด พอจะรั้งให้ช่วยกันก่อนมันก็ไม่ฟังกันเลย ไอ้พวกคณะอาจารย์ก็หนีหายไปไหนกันไม่รู้หมด 

สุดท้ายผมก็ต้องทำงานขนของอะไรอยู่คนเดียว จนหมดคาบบ่ายแล้วแต่ก็ยังไม่เสร็จ … 

ผมมองออกไปนอกหน้าต่างที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน คงจะเลิกเรียนได้สักพักหนึ่งแล้ว เห็นอย่างนั้นแล้วก็ไหล่ตก ทำเอาหมดอารมณ์เลยล่ะ 

“ดอกไม้ที่เตรียมมา ..จะเปื่อยๆก่อนมั้ยนะ” 

วันวาเลนไทน์ของผม ..ใกล้จะจบขึ้นไปทุกที ..วันวาเลนไทน์ของผม 

“..ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นล่ะมั้ง” 

ผมแอบคิดขึ้นมาน่ะนะ ว่า..ถ้าวาเลนไทน์ปีนี้ไม่ได้ ถ้าตั้งเป้าหมายเป็นวาเลนไทน์ปีหน้าแทนล่ะก็—ผมคงได้คุยกับคุณแม่บาระต่อเหมือนทุกที่แน่ๆ 

พอคิดอย่างนั้น ต่อให้วันวาเลนไทน์จะไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไรเลย 

..เหมือนได้ตรัสรู้อะไรบางอย่างเลยแฮะ ..ใช่แล้ว ..ผมไม่ได้ต้องการสมหวัง ผมแค่—ต้องการอยู่กับบาระแค่นั้นแหละ 

ผมยิ้มกับตัวเอง และขนของต่อ 

“ช่างมัน วันวาเลนไทน์” 

“ยะ อย่าพึ่งยอมแพ้สิ!” 

เสียงที่แสนคุ้นหูดังขึ้น พร้อมกับเสียงประตูที่เปิดขึ้น—คุณแม่บาระโผล่มาในสภาพที่ชุ่มด้วยเหงื่อ เธอในตอนนี้ไม่ได้สวมแว่นแล้วผมก็ยุ่งๆด้วย สภาพดูเยินสุดๆ 

แต่ตอนนี้เธอไม่ใส่แว่นที่หนาตึกนั่นช่วยทำให้เห็นตาได้แบบชัดเจน ซึ่งมันยืนยันความสวยของเธอได้เยอะเลย 

ตาของเธอสวยเหมือบกับของพี่ฮานะเลย ไม่สิ เหมือนกันแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าดวงตาของเธอมันสวยกว่านั้นอีก 

แปลกจริงเนอะ 

“หะ ห้องที่อาจารย์ให้ช่วยขนของ ถึงจะเหลือแค่นิดเดียวก็เถอะ แต่เราช่วยขนแล้ว ..อา..ตอนนี้เลยเหลือแค่ห้องนี้ ถ้าตอนนี้ยังทันนะ..พี่สาวยังไม่กลับบ้าน ไม่สิ ต่อให้กลับบ้านแล้ว แต่ค่อยไปสารภาพรักที่บ้านก็ได้” บาระพูดต่อแบบติดๆขัดๆ เธอคล้ายคนขาดอากาศหายใจ “ต่อให้ไม่ใช่วันวาเลนไทน์แต่ถ้าเป็นนายต้องสมหวังแน่” 

..นั่นสินะ 

คุณแม่ ..ไม่เอา พอล่ะ ..บาระเธอเชื่อใจผมมากเลยนะเนี่ย 

ทำไมถึงเชื่อผมขนาดนี้กันนะ ผมไม่เข้าใจเลย แม้แต่ตัวผมเอง ผมยังไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองขนาดนั้นเลย 

“รีบเคลียร์ให้เสร็จเถอะ แล้วก็รีบไปสารภาพรักกับพี่ต่–” 

“ไม่เอาแล้วล่ะ” 

“..เอ๊ะ? ..ทำไม” 

ทำไมต้องทำหน้าเหมือนกับอยู่ในวันสิ้นโลกอย่างนั้นล่ะ 

“ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะเลิกชอบพี่ฮานะไปแล้วล่ะ ..ว่าไงดีนะ มันรู้สึกว่าจะยังไงก็ช่าง” 

“เห็นพี่สาวเราเป็นอะไรน่ะ?” 

“ขอโทษนะ ..แต่เรื่องนี้เธอก็มีส่วนผิดนะ” 

เสียง “หา!?” ลากยาวดังขึ้น ทำเอาผมสะดุ้งเลย 

“อธิบายทีสิ” 

“คือ..พึ่งคิดได้น่ะ..ว่าตัวเองแอบกลัวว่าวันวาเลนไทน์จะมาถึง” ผมพูดเสียงสั่น “มัน-ว่าไงดีล่ะ คือ ..ฉันกลัวว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะห่างเหินกัน ถ้าเกิดฉันคบกับพี่ฮานะ..น่าจะกลัวมาได้สักพักแล้ว” 

ผมเก็บความอายไว้ไม่อยู่ ผมไม่กล้าจ้องหน้าเธอจนต้องมุดหัวเข้าเข่าหนีหน้าเธอ 

“ตอนนี้ฉันไม่ได้หลงใหลในพี่ฮานะอีกแล้วล่ะ ..ฉันคงจะชอบเธอเข้าให้แล้ว แบบโดนเข้ากลางใจเลย” 

“..อืม เลยจะไม่เอาพี่แล้วสินะ จะเขี่ยเลยเหรอ? เทง่ายๆเลยเหรอ?” 

“จุดเด่นของฉันคือหน้าตากับความซื่อตรงไม่ใช่รึไง ..ขอโทษนะ อุตส่าห์ร่วมพยายามมาตั้งหนึ่งเดือนแท้ๆ ให้ฉันบอกชอบพี่ฮานะด้วยความรู้สึกแบบนี้เนี่ย–เสียมารยาท” 

บาระพยักหน้ารับ 

“นั่นสินะ พี่คงจะน่าสงสารแย่เลย ..สุดท้ายก็กลายเป็นผู้ชายโลเล วันแรกที่เจอกันยังบอกว่าตัวเองไม่ใช่พระเอกห่วยๆพวกนี้อยู่เลยแท้ๆ” 

“เพราะห่วยแตกนี่แหละถึงเป็นมนุษย์” 

“ทำมาเป็นพูดนะ” 

เธอลงมานั่งตรงข้ามผม ผมไม่รู้ว่าเธอแสดงสีหน้ายังไง เพราะผมกำลังหลบหน้าหนีอยู่ 

“แล้วจะเอายังไงต่อ” 

“เป็นรุ่นพี่กับรุ่นน้องที่ดีต่อกันก็ไม่เลวนะ” 

“อืม ..แล้วกับเราล่ะ” 

ถึงตรงนี้ผมก็ตัวแข็งทื่อ .. 

“จะสารภาพรักเราแทนรึเปล่า?” 

“ถ้าสารภาพไปจะตอบตกลงมั้ยล่ะ?” 

“คำเฉลยมันจะได้หลังตอบคำถามนะ” 

ให้ตายสิ ..ผมเงยหน้ามองหน้าบาระที่ตอนนี้แดงก่ำ สภาพเธอตอนนี้ไม่ต่างกับผมเลยสักนิด 

ทั้งเยิน ทั้งเหงื่อชุ่มทั้งตัว ผมที่จัดมาก็เละไปหมด แล้วแก้มก็แดงจนผิดธรรมชาติด้วย 

สภาพดูไม่ได้เลย แต่ก็เหมือนกัน พวกเราดูไม่ได้เหมือนกัน นั่นเป็นความรู้สึกที่ดี 

“อะไรที่ทำให้ยอมช่วยฉันเหรอ?” 

“เพราะอยากตอบแทนนาย เคยบอกไปแล้วนี่ อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว” 

“ไปเจออะไรมาเหรอในวันนั้น” 

บาระแหงนหน้ามองเพดาน 

“ก็หลายๆเรื่อง ..แต่ตอนนั้น ต้องบอกว่านายเนี่ยเท่มาก..อืม เท่มาก แต่ว่าไม่บอก” บาระขยิบตาให้ “จะเล่าให้ฟังก็ต่อเมื่อทางนายยอมสารภาพมาก่อน” 

เหมือนว่าพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ภายในห้องมันเงียบมากได้ยินแค่เสียงของแมงเม่าฝูงหนึ่ง 

“ฉันจะไม่หยิบดอกกุหลาบมาให้ จะไม่คาบดอกลิลลี่ด้วย จะไม่ให้จดหมายรักด้วย” 

“อืม” 

“เพราะนั้นฉันจะพูดด้วยตัวเอง จากใจจริงโดยไม่ต้องพึ่งจดหมายรักหรืออุปกรณ์ใดๆ ..พรุ่งนี้จะมาสารภาพรักเองด้วยปากตรงๆเลย วันนี้ข้ามไปก่อน เจ๊ากันไปก่อนเนอะ” 

บรรยากาศเปลี่ยนทันที บาระส่งสายตาเย็นชาใส่ผม แต่ผมหาได้สนไม่ 

“ฉันจะพิสูจน์ว่าฉันยังคงชอบเธออยู่ดี ต่อให้ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ก็ตาม” 

เหมือนกับการพลิกเกม อารมณ์ของบาระกลับมาดีเสมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น และบ่องตง ก่อนหน้านี้เล่นเอาผมเสียวสันหลังเลย 

“ระ โรแมนติกดีนี่..อืม ยังไงก็เถอะ แปลว่าวันนี้ว่างแล้วสินะ พวกเราไม่มีกำหนดการอะไรอีกแล้วสินะ” 

“ใช่ ทำอะไรดีกันนะ” 

“นั่นสินะ ทำอะไรดีกันนะ” 

“นั่นสิเนอะ ..อ่า คือฉันขอกลับไปเรียกว่าบาระเฉยๆได้รึเปล่า” 

“อืม แต่เดิมก็ไม่เคยอยากให้เรียกว่าคุณแม่อยู่แล้วด้วย” 

“ลำบากแย่เลยเนอะ” 

“เป็นคนก่อเรื่องแท้ๆ ไม่ต้องมาเห็นใจเลย แล้วจบเรื่องนี้เมื่อไหร่ช่วยไปห้ามพี่สาวให้เรียกเราว่าคุณแม่ตามนายด้วยนะ ขอร้อง” 

“เอายังไงดีนะ” 

จดหมายรักอะไรนั่นก็โยนทิ้งไปเถอะ ผมจะใช้คำสารภาพรักของตัวผมเอง จากปากของผมเอง 

ว่าไงดี ..โรแมนติกดีเนอะ 

< < จบ > > 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว