เหมือนดั่งพรหมชะตาขีดไว้ กำหนดใจสองเราให้คู่กันมา ใจสองใจผูกพันแน่นหนา อยู่ไกลลับฟ้า ยังมาพบกัน

ดวงใจนพเก้า 

ตอนที่ ๑ 

แก้ว หญิงสาวที่มีรูปร่างผอมสูง ผมดำยาวสลวยที่ไม่เคยผ่านการย้อมสีผมมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมของเธอกระทบกับแสงแดดอ่อนๆ หญิงสาวเดินไปตามถนนท่าพระจันทร์ ซึ่งวันนี้อากาศเป็นใจ แสงแดดรำไร เธอเดินเลาะไปตามถนนที่ข้างทางเต็มไปด้วยร้านแผงลอยซึ่งวางขายของหลากหลายชนิด ส่วนมากจะเป็นของเก่า พระเครื่อง ให้คนที่ชอบสะสมของเก่าและพระเครื่องได้มาเลือกซื้อกัน หญิงสาวสนใจในเรื่องสิ่งลี้ลับและชอบสะสมของเก่า วัตถุโบราณเอามาก ๆ จนบางครั้งครอบครัวของเธอ คิดว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ

แก้วเรียนจบทางด้านประวัติศาสตร์ เวลาว่างเธอมักจะไปร้านขายของเก่าและมีของเก่าโบราณติดไม้ติดมือกลับบ้านมาทุกครั้ง เช่นเดียวกับวันนี้ที่เธอตั้งใจว่าจะหาของที่อยากได้ติดไม้ติดมือกลับไป แก้วบอกกับตัวเองแบบนั้น ซึ่งเธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มันเหมือนกับว่าเธอนั้นรอคอยสิ่งนี้มานานแสนนาน

หญิงสาวยังคงเดินลัดเลาะไปตามริมถนนที่เริ่มมีผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาเลือกซื้อของ พ่อค้า แม่ค้าต่างพากันตะโกนชักชวนเพื่อให้คนหยุดดูและเลือกซื้อกันอย่างคึกคัก แก้วหยุดดูตามร้านที่คิดว่าน่าจะมีของที่เธอต้องการ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของที่อยากได้

"เฮ้อ วันนี้เราคงหมดหวังแล้วสินะ ไปหาอะไรกินดีกว่า ชักหิวซะแล้วสิ”

แก้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และทำท่าจะเดินกลับมือเปล่า ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกของชายชราที่แลดูมีสำเนียงออกไปทางคนจีนดังขึ้น

“หนูๆ”

เธอหันกลับไปตามเสียงเรียกก็เห็นว่าเป็นชายชราแก่ ๆ ยืนหลบอยู่ตรงหัวมุมตึกกำลังกวักมือเรียกเธออยู่ ลักษณะชายชราที่มีเชื้อสายจีน เพราะลักษณะการแต่งตัวที่มีผมเผ้ามัดรวบตึง หนวดเคราที่มีสีขาวยาวถึงอกและถักเปียเอาไว้

"ตาเรียกหนูเหรอจ๊ะ?" เธอถามพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

"ใช่ๆ หนูนั่นแหละ"

"ตามีอะไรเหรอจ๊ะ" แก้วถามด้วยเนื้อเสียงที่สงสัยก่อนเดินไปหาชายชรา

"หนูช่วยตาซื้อของหน่อยนะ เลือกดูก่อน เผื่อว่ามีอันไหนถูกใจ วันนี้ยังขายไม่ได้เลย” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนเพิ่งร้องไห้ ดูน่าสงสารจับใจ

“ตามีอะไรน่าสนใจบ้างไหมละจ๊ะ ?"

แก้วจ้องมองชายชราด้วยความสนอกสนใจ ชายชราก้มตัวหยิบของที่อยู่ในถุงย่ามที่ดูแลเก่าอย่างช้าๆ ไม่นานนักหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงติดมือออกมาด้วย เขายื่นมันให้กับแก้ว

"นี่ไงแม่หนู ช่วยตาหน่อยนะ ราคาไม่แพง ตาจะได้กลับบ้านสักที"

ชายชราว่า แก้วยื่นมือไปหยิบกล่องสีแดงกำหยี่จากมือเขาที่ยืนกล่องกำหยี่ให้ด้วยอาการมือสั่น เพราะอายุมากและดูมีท่าทีที่อ่อนแรง เพราะอากาศในตอนนั้นค่อนข้างอบอ้าว แม้สาววัยสะพรั่งอย่างเธอก็ยังแทบทนไม่ไหว

แก้วค่อยๆ เปิดกล่องกำหยี่สีแดงขึ้นมา สิ่งที่เธอเห็นอยู่ข้างในนั้นทำให้เธอถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"ใช่ ใช่จริง ๆ ด้วย"

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นก็คือแหวนที่มีทับทิมโอบล้อมอยู่ ส่องแสงประกายเมื่อกระทบกับแสงแดด แก้วดูตื่นเต้นกับของชิ้นนี้มากกว่าทุกครั้ง จนลืมสังเกตคนรอบข้างที่หันมามองเธอเป็นสายตาเดียวกันจากเสียงอุทานของเธอ

"เท่าไหร่จ๊ะตา"

แก้วถามชายชราด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น หัวใจของเธอเหมือนกับจะวูบไป แต่เมื่อแก้วเงยหน้าขึ้น เธอก็ไม่พบกับชายชราอีกแล้ว แม้จะมองซ้ายมองขวาก็ไร้วี่แววของชายชราคนก่อนหน้านี้

"อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ" แก้วพยายามมองไปรอบ ๆ อีกครั้งเผื่อว่าแกจะเดินไปปะปนกับฝูงชน แต่ก็ยังไร้วี่แววเหมือนอย่างเคย

"เมื่อกี้แกยังยืนอยู่ตรงนี้เลย"

แก้วบ่นพึมพำกับตัวเอง เธอจึงเดินไปถามคนที่ขายของร้านข้าง ๆ ที่กำลังยุ่งอยู่กับการขายของ ให้กับลูกค้าที่มายืนมุงเต็มหน้าร้าน

"น้าจ๊ะ น้าเห็นชายแก่ ๆ ที่อยู่ร้านตรงหัวมุมตึกนี้ไหมจ๊ะ ?"

"คนแก่ที่ไหนกันล่ะหนู น้าไม่เห็น”

“ก็ร้านที่อยู่ข้างๆ น้าไง”

“โอ้ยหนู ! มีที่ไหนกัน ร้านน้าขายอยู่นี่ตั้งแต่เช้า ยังไม่เห็นมีใครมาวางแผงขายเลย"

คำตอบของพ่อค้าทำเอาแก้วอึ้งไปชั่วขณะ พร้อมสีหน้าที่เริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ซึมออกมาเพราะความตกใจบวกกับความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเอง

หลังจากที่แก้วได้แหวนวงนี้มา เธอก็ได้แต่เดินบ่นพึมพำกับตัวเอง ระหว่างทางที่เธอกำลังเดินไปยังที่จอดรถ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมันช่างแปลกประหลาดนัก ชายสูงอายุขนาดนั้นจะหายตัวไปรวดเร็วได้อย่างไรกัน ?

แก้วเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยและคิดในใจว่าอาจจะเจอชายชราอีกครั้งก็ได้ แต่ก็ไร้วี่แวว แก้วจึงเดินตรงไปที่ลานจอดรถและขับรถตรงดิ่งกลับบ้านทันที โดยที่กล่องกำมะหยี่สีแดงวางอยู่ตรงเบาะนั่ง เธอมองมันอย่างใจจดใจจ่อและอดใจรอไม่ไหวที่จะเปิดกล่องใบนี้ขึ้นมาดูอีกครั้ง

ครั้นเมื่อถึงบ้านของเธอซึ่งตั้งอยู่แถวถนนเจริญกรุง เป็นบ้านทรงไทยประยุกต์ในช่วงสมัยรัชกาลที่ห้าซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่ที่สืบทอดจากตระกูลนฤบดินทร์ นั่นคือนามสกุลของแก้วนั่นเอง สีของตัวบ้านนั้นเป็นสีขาวครีม ด้านนอกยังคงเก็บความเก่าแก่ของตัวบ้านไว้ผสมผสานกับสไตล์ฝรั่ง บริเวณบ้านมีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมร่มรื่น บางครั้งยามว่าง แก้วมักจะไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สวนเพราะคุณย่าของเธอชอบปลูกดอกไม้ไทย หลายชนิดที่หายาก เช่น ดอกพิกุล ดอกมะลิซ้อน ดอกปีบ (ดอกแก้ว) ดอกไม้เหล่านี้ส่งกลิ่นหอมไปทั่วตัวบ้าน ทำให้แก้วได้ผ่อนคลาย ยามที่เธอคิดอะไรไม่ออก

พอแก้วขับรถเข้าบริเวณบ้าน อยู่ ๆ ก็มีลมพัดแรงเหมือนฝนจะตก ท้องฟ้ามืดครึ้ม เธอนำรถไปจอดที่โรงจอดรถ แล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงขึ้นมาในมือ จู่ ๆ ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ก็กลายเป็นท้องฟ้าที่ปรอดโปร่ง ไม่มีท่าทีว่าฝนจะตกเลยสักเม็ด

"วันนี้เจอแต่อะไรแปลก ๆ แฮะ"

เธอบ่น ก่อนรีบเอาของลงจากรถแล้วรีบตรงดิ่งเข้าบ้าน ใจของเธอตอนนี้ใจจดใจจ่อกับของที่ได้มา ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าขึ้นบันได ก็ได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นย่าดังขึ้นมา

"ไปไหนมาอีกละแม่แก้ว"

เสียงของผู้เป็นย่าน้ำเสียงอ่อนโยนแต่มีความน่าเกรงขามอยู่ แก้วถึงกับตัวสะดุ้งและเดินถอยลงจากขั้นบันใด พร้อมยิ้มแห้งๆ บวกกับสีหน้าที่ตื่นเต้น และตอบกลับ

"หนูไปแถวท่าพระจันทร์มาค่ะ คุณย่า"

"ไปอีกแล้วเหรอ คราวนี้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ ?" ย่าถามด้วยความที่ไม่เข้าใจในตัวของหลานตัวเอง

"แหม คุณย่า หนูก็ไปแบบนี้เป็นประจำถ้าหนูว่าง" แก้วเบะปากเล็กน้อย สีหน้าดูอ้อนไม่เบา

“คราวนี้ได้อะไรมาอีกล่ะ ?"

ผู้เป็นย่าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพราะบ่อยครั้งเธอชอบได้ของเก่าแปลกๆ มาประดับบ้านอยู่เรื่อย เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมก็คงไม่ผิดนัก ย่าได้มองไปรอบ ๆ ตัวแก้ว สายตาเหลือบไปเห็นกล่องสีแดงที่อยู่ในมือของแก้ว

"ที่มือนั่นมันกล่องอะไรกันเหรอ แม่แก้ว" ย่าถาม แก้วจึงเอากล่องสีแดงกำมะหยี่ขึ้นมา แล้วคุกเข่านั่งลงพร้อมกับเปิดฝากล่องกำมะหยี่สีแดงขึ้น

"นี่คะคุณย่า ของที่หลานได้มาวันนี้" ย่าหยิบแหวนออกจากกล่องกำมะหยี่สีแดงที่สภาพของกล่องไม่น่าจะมีของมีค่าอยู่ในนั้น

"นี่มันแหวนนพเก้านี่นา อืม น้ำงามดีนะ แต่ว่านะ...แม่แก้ว ทำไมทับทิมมันไม่ครบละ ? แหวนนพเก้าต้องมีทับทิม 9 สีนะ" ย่ายื่นกล่องแหวนคืนให้กับแก้ว หญิงสาวถึงกับตาโตเพราะตอนที่เธอได้ของมา ด้วยความดีใจและตื่นเต้น จนลืมสังเกตไปว่าทับทิมได้หายไปจากตัวแหวน

"หนูก็ไม่รู้ค่ะ คุณย่า ตอนที่หนูได้มาก็ไม่ได้เช็คเสียด้วย"

แก้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เสียดายเพราะความที่เธอตื่นเต้น จนลืมดูไปว่าแหวนวงนี้มีหัวทับทิมหลุดออกไปจากตัวเรือน เธอไม่ได้เล่าเรื่องที่ชายชราหายตัวไปต่อหน้าตาให้คุณย่าฟังเพราะกลัวว่าคุณย่าจะหาว่าเธอเสียสติ

แก้วอยู่กับคุณย่าที่บ้านหลังนี้ ตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อ แม่ ของเธออยู่ต่างประเทศ พ่อของแก้วเป็นเอกอัคราชทูตต้องประจำการอยู่ที่ต่างประเทศ ในช่วงที่มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียน เธอก็จะบินไปเยี่ยมท่านทั้งสอง แก้วเป็นผู้หญิงที่คล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน ไม่ได้เป็นผู้หญิงเรียบร้อย ถ้าจะให้เธอเข้าครัวหรือเย็บปักถักร้อยนั้นไม่ต้องพูดถึง เรื่องการบ้านการเรือนไม่เหมือนคุณย่าที่อยู่แต่ในรั้วในวังมาตั้งแต่เด็ก ๆ คุณย่าของเธอถนัดตั้งแต่งานเครื่องคาว ของหวาน จนไปถึงงานเย็บปักถักร้อย ซึ่งได้สืบทอดมาจากคุณทวดของแก้ว

คุณทวดเป็นหญิงงามในสมัยก่อน ท่านชอบศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเก่งทางด้านภาษา เพราะคุณทวด เธอต้องคอยช่วยแปลเอกสารให้กับสามีของท่านอยู่บ่อย ๆ แต่ท่านก็อายุสั้น สาเหตุการเสียชีวิตของท่านทวดนั้นไม่มีใครเล่าให้เธอฟัง อย่างไรก็ตามคุณย่าของแก้วก็ได้ทำพินัยกรรมยกบ้านหลังนี้พร้อมสมบัติทั้งหมดให้กับเธอ

แก้วได้ลองสวมแหวนวงนี้ที่นิ้วนางข้างซ้ายที่เรียวยาว ยกมือขึ้นมาพลิกซ้ายทีขวาที แต่เนื่องจากแหวนวงนี้ทับทิมได้หลุดหายไปและมีตัวเรือนที่เก่าราวกับว่าแหวนวงนี้ผ่านมาหลายร้อยปี เธออยากจะทำความสะอาดให้กับแหวนวงนี้เสียเหลือเกิน แต่เมื่อคิดว่าหากทำความสะอาดตัวแหวนอาจจะชำรุดมากกว่าเดิม เธอจึงถอดแหวนออกและนำมันใส่ไว้ในกล่องกำมะหยี่สีแดงเหมือนเดิม

"คงต้องไปตามร้านอัญมณีซะแล้วสิ เผื่อเค้าจะมีทับทิมที่เข้ากันกับแหวนวงนี้"

แก้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอากล่องแหวนเก็บในลิ้นชักบนหัวเตียง พร้อมกับล้มตัวลงนอน มือก่ายหน้าผาก ก่อนที่จะเผลอหลับไปเพราะความที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน

จู่ ๆ แก้วก็โผล่ไปอยู่ในสถานที่หนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ทว่าที่เธออยู่นั้นไม่ใช่ยุคสมัยปัจจุบัน แต่เป็นสมัยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าคือช่วงปีไหน ผู้คนแต่งตัวกันแปลกตา รวมทั้งตัวของเธอด้วย

แก้วหมุนตัวเองไปมาเพื่อสำรวจร่างกายของตัวเองเพราะชุดที่ใส่อยู่นั้นคือเธอสวมโจงกระเบนและเสื้อแพรไหมลูกไม้ ตัดแบบตะวันตก แขนยาวพองฟู เอวเสื้อเข้ารูป มีการคาดเข็มขัดหรือสายห้อยนาฬิกา มีสายสะพายผ้าแพร สวมถุงเท้ามีลวดลายและรองเท้าส้นสูงให้ไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม และมักนิยมเครื่องประดับมุกสายสร้อยหลายชั้น ส่วนผู้ชาย จะนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน เมื่อแก้วมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในงานเลี้ยงสักงานหนึ่งที่เธอเองก็ไม่คุ้นตา

"นี่มันอะไรกันนี่ ทำไมฉันมาใส่ชุดแบบนี้ แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน"

เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอได้ยินเสียงคนคุยกัน มีทั้งคนไทยและฝรั่งเสียงเพลงที่กำลังเล่นอยู่ก็เริ่มดังขึ้น จนกลบเสียงคุยกัน ทำให้แก้วที่ยังอยู่ในอาการมึนงงๆ หญิงสาวเดินไปตามเสียงเพลงที่กำลังเล่นอยู่แล้วเธอถึงกับหยุกชะงัก เพราะสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้านั้นก็คือหนุ่มรูปงามกำลังยืนร้องเพลงอยู่ในงาน

"สิ่งใดใดไม่มีอะไรเทียบรัก

ให้อุปสรรค มันมากมายเพียงไหน

ต่อให้ฟ้า กลั่นแกล้ง ปางใด

ถ้าใจสองเราผูกใจ

อย่างไร ก็คงถึงกัน

ให้เวลาหรือฟ้ามากั้นเราสอง

ต่อให้พรมแดน เขตแคว้นกว้างใหญ่เพียงไหน

จะกี่ภพ หรือจะกี่ชาติไป

ถ้าใจสองเราผูกใจ

อย่างไรก็คงถึงกัน"

ความรู้สึกของแก้วเหมือนผูกพันกับผู้ชายคนนี้มานานและในความรู้สึกนั้นก็ทำให้เธอน้ำตาคลอเบ้าโดยที่ไม่รู้ตัว

"นี่ฉันเป็นอะไรไป อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ออกมา”

แก้วเอามือปาดน้ำตา

“สงสัยจะบ้าแล้ว ยัยแก้วเอ๊ย"

แก้วกำลังยืนครึ้มไปกับเสียงเพลง โดยที่ไม่ได้สังเกตว่ามีสายตาที่จ้องมองเธออยู่ สายตาคู่นั้นดูอบอุ่นและเหมือนกับว่ากำลังร้องเพลงนี้ให้กับเธอ

หนุ่มรูปงามที่ยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีนั้นคือ หลวงบดินทร์ มีตำแหน่งรับราชการอยู่ขุนนางกรมท่า (กระทรวงต่างประเทศ) ลูกขุนนางกระทรวงกลาโหม มีรูปร่างหน้าตาดี หน้าที่การงาน เป็นที่หมายปองของบรรดาสาว ๆ ในพระนครที่อยากจะเป็นคุณผู้หญิงกันยกใหญ่ ผมที่ดูเรียบถ้าสมัยนี้ก็คงได้ควักเจล แล้วใช้หวีปาดขึ้นเป็นแน่ แต่งตัวก็ดูแปลกแต่โดดเด่นในหมู่ผู้ชายด้วยกันเพราะสวมใส่เสื้อแพรสีกรมท่า

“ตานี่เป็นใครกัน ทำไมสาว ๆ ถึงได้กรี๊ดกร๊าดนัก ไม่เห็นจะหล่อตรงไหน ดูแต่งตัวก็แปลกพิลึก”

เธอบ่นพึมพำคนเดียว หลังจากหลวงบดินทร์ร้องเพลงจบ เขาก็ก้าวเท้าลงมาจากเวทีพร้อมกับไม้เท้าคู่ใจ แก้วไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาหาเธอ

"แม่แก้ว" แก้วสะดุ้งตัวขึ้น หันมองไปรอบ ๆ ตัว เห็นหลวงรูปงามยืนอยู่ตรงหน้า

"เรียกฉันเหรอคะ ?" เธอถามพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แต่แล้วก็มีเสียงหญิงสาวแทรกเข้ามา

"เจ้าคะ คุณหลวง" หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของแก้วแต่งตัวเหมือนเธอไม่มีผิด แต่แก้วไม่เห็นหน้าของหญิงสาวคนนี้

"เป็นอย่างไรบ้าง เบื่อไหม ฉันต้องขอโทษแม่แก้วที่ชวนมางานเลี้ยงนี่"

"ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ งานน่าสนุกดีออก"

หญิงสาวตรงหน้าตอบ ก่อนจะเดินเคียงคู่กับหลวงบดินทร์ไปทางอื่น ก่อนที่เธอจะหันกลับมาหาแก้ว ทำให้แก้วได้เห็นหน้าเธออย่างชัดเจน ทว่า...

“คุณหนูแก้วคะ” แก้วสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงเรียกของแม่นมที่มาเคาะประตูเพราะได้เวลาอาหารเย็น

“คะ แม่นม” เธอตะโกนตอบกลับไป

"คุณผู้หญิงท่านเรียกให้ไปรับประทานอาหารเย็นคะ"

เสียงดูใจดีของแม่นมตอบกลับมา แก้วก้มลงมองเพื่อสำรวจตัวเอง ตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาใหม่ๆ

หลังจากที่แก้วกลับขึ้นมาบนห้อง เธอก็ออกไปยืนอยู่นอกระเบียงที่มีโคมไฟสีเหลืองนวล พุ่มไม้ที่เป็นระย้าห้อยแกว่งไปมาดังเอียดอาด ในใจอดครุ่นคิดเกี่ยวกับความฝันที่ประหลาดเมื่อตอนเย็นนี้ไม่ได้

"คืนนี้ท้องฟ้าสวยจัง"

เธอคิดในใจ ดวงจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงกระทบตรงใบหน้าของแก้ว ที่ขาวผ่องเหมือนสำลี จากนั้นแก้วก็กลับเข้าไปในบ้านเพื่อทำธุระของตัวเองก่อนเข้านอน นั่นก็คือการสวดมนต์ เธอชอบเข้าวัดทำบุญ นั่งสมาธิ ก่อนนอนทุกคืน หลังจากสวดมนต์เสร็จ เธอก็ตั้งจิตอธิษฐาน

"สาธุ...ขอให้คืนนี้ลูกฝันอีกครั้งนึงเถอะ กลับไปที่เก่านะเจ้าคะ"

เมื่ออธิษฐานเสร็จ แก้วก็จัดหมอนให้เข้าที่แล้วล้มตัวลงนอน แต่เธอนึกขึ้นได้เลยเปิดลิ้นชักบนหัวเตียงออก เพื่อจะดูแหวนที่เธอได้มาวันนี้อีกครั้ง แก้วมองไปที่ตัวเรือนของแหวน

"พอได้แหวนวงมา ทำไมมีแต่เรื่องแปลก ๆ ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนะ" แก้วตั้งคำถามกับตัวเองอย่างอดสงสัยไม่ได้ แสงของพระจันทร์สาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามากระทบที่หัวของทับทิม มือที่จับแหวนอยู่รู้สึกเย็บวาบ แสงของทับทิมเป็นประกาย

"สวยจัง ตัวเรือนก็เก่านะ แต่พอโดนแสงก็สวยงามจนน่าค้นหาจริง ๆ เอาไว้จะหาเม็ดทับทิมที่ขาดหายไปมาใส่ให้นะจ๊ะ”

พูดจบแก้วก็เอาแหวนใส่กล่องไว้เหมือนเดิม แล้วก็เอื้อมมือไปปิดไฟ ไม่นานนักแก้วก็เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ดูเหมือนคำอธิษฐานของแก้วนั้นเป็นจริง เธอพบว่าตอนนี้ตัวเองกลับมาอยู่ในยุคที่เคยฝันถึงเมื่อไม่นานมานี้อีกครั้ง

“โอ้มายก้อด คราวนี้มันที่ไหนอีกล่ะ โห…เรือนไทยสวยจัง"

แก้วอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น เธอเดินไปบริเวณรอบๆ เรือนไทย มีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมและร่มเย็น ใต้ถุนเรือนไทย มีคนเดินกันเต็มไปหมด เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระยะ บ้างก็ถือของแบกของขึ้นไปบนเรือนไทย

ผู้ชายไม่ใส่เสื้อสวมแต่โจงกระเบน ส่วนผู้หญิงก็มีผ้ามาพันตรงหน้าอกเอาไว้และสวมโจงกระเบนเหมือนกัน ทุกคนพากันเดินผ่านตัวแก้ว ไม่มีใครมองเห็นเธอ แม้ว่าเธอจะเรียกคนโน่นทีคนนี้ทีก็ตาม

“เอ้า เร็วๆ กันหน่อย เดี๋ยวท่านผู้หญิงขึ้นเรือนมาพวกเอ็งยังไม่เสร็จ ท่านจะเอ็ดเอา”

แก้วชะเง้อมองตามเสียงก็เห็นว่ามีผู้หญิงยืนหลบอยู่ใต้เรือนไทย ปากที่กำลังเคี้ยวอะไรสักอย่าง มีผ้าผืนเล็ก ๆ ที่เอาไว้เช็ดปาก ให้แก้วเดาก็คงเป็นหมาก เพราะสมัยเด็ก เธอเห็นคุณย่าเคี้ยวหมากอยู่บ่อย ๆ

หญิงสาวคนนั้นมีลักษณะผมสั้นเสยขึ้น การแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น ๆ ในเรือน เพราะมีใส่เครื่องประดับอยู่บ้าง แก้วเรียนจบทางด้านเอกประวัติศาสตร์ เธอจึงเดาจากการแต่งตัว เมื่อครั้งแรกที่เธอฝันว่าน่าจะเป็นช่วงสมัยรัชกาลที่ห้า

บ้านเรือนไทยในสมัยก่อนนั้นเป็นที่เข้าใจกันว่า ชาวบ้านสามัญชนทั่วไปนั้นอยู่อาศัยกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว บ้านเรือนไทยเป็นของเจ้าขุนมูลนาย ไม่ได้เป็นของไพร่สามัญชนหรือชาวบ้านทั่วๆ ไป ทั้งนี้ หากชาวบ้านทั่วไปสร้างเรือนไทยอยู่อาศัยเอง อาจต้องโทษหัวขาดได้เลยทีเดียว

“เอ๋ ? ทำไมยังมีคนที่แต่งตัวเหมือนทาสเดินไปมาอยู่ที่เรือนหลังนี้อีกล่ะ หรือว่าอาจจะเป็นช่วงก่อนเลิกทาสนะ”

แก้วถามกับตัวเองอีกครั้งพลางเดินเลาะไปตามทางของระเบียงเรือนไทย เธอเห็นคลองที่มีน้ำสีเขียว มีดอกบัวมากมายที่ลอยเหนือผิวน้ำดูสวยงามและสบายตาไม่น้อย

"เอ๊ะ มีศาลาท่าน้ำด้วย บรรยากาศดีจัง ไปนั่งเล่นสักหน่อยดีกว่า" แก้วเดินตรงดิ่งไปนั่งรับลม เธอหย่อนตัวลงก้นยังไม่ทันได้สัมผัสกับม้านั่ง

"แม่แก้ว เจ้ามาทำอะไรตรงนี้หรือ ?" น้ำเสียงคุ้นๆ แก้วเด้งตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติก่อนหันไปตามเสียงเรียก

"เอ้า ตาขี้เก๊กนี่นา มาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง ?" เธออุทานออกมา

"เจ้าคะคุณหลวง"

เสียงขานรับทำให้แก้วหันไปเจอกับผู้หญิงที่มีใบหน้าคล้ายเธอมาก รวมทั้งน้ำเสียงอีกด้วย เพียงแต่ว่าแก้วไม่ได้เรียบร้อยขนาดนี้ ถ้าเป็นเจ้าตัวคงกระโตกกระตากไปแล้ว คุณย่าของแก้วยังเคยว่าเธอเป็นม้าดีดกะโหลกด้วยซ้ำ

"มาทำอะไรออยู่ตรงนี้รึแม่แก้ว" หลวงบดินทร์ถาม แก้วในยุคปัจจุบันยืนคั่นกลางทั้งสองคนอยู่ แต่ไม่มีใครเห็นเธอเลย

"น้องกำลังจะให้บ่าวไปเก็บดอกบัวไว้ถวายพระนะเจ้าค่ะ"

"อากาศเริ่มเย็นแล้วแม่แก้ว ขึ้นเรือนเถิด เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"

"เจ้าค่ะคุณพี่"

หลวงบดินทร์นำผ้าทอมาคลุมไหล่ให้กับคุณหญิง แล้วโอบตัวเธอเอาไว้ แก้วได้แต่มองตามและสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมเหมือนเธอราวกับเป็นฝาแฝด แล้วเป็นอะไรกับชายท่าทางวางมาดคนนี้กันแน่

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น แก้วสะดุงตื่นโหยงเพราะวันนี้เธอตั้งใจว่าจะใส่บาตรกับคุณย่า ตามที่เธอสัญญาไว้ หญิงสาวรีบลุกออกจากเตียงและรีบทำกิจวัตรประจำวันให้เสร็จก่อนที่จะลงไป

"ป่านนี้คุณย่ารอแล้วแน่ๆ เลย" เธอบ่นขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงวิ่งหน้าตั้งไปยังหน้าบ้านทันที

"มาแล้วเหรอแม่แก้ว นึกว่าจะตื่นไม่ทันพระท่านมาเสียแล้ว" คุณย่าเอ่ยปากแซวหลานสาว

"คุณย่าขา หนูสัญญาแล้วนะคะ" แก้วโอบตัวย่าของเธอด้านหลังพร้อมทำเสียงอ่อนเสียงหวาน

“เป็นอะไรแม่แก้ว จะประจบเอาอะไรอีก หือ ?"

“ไว้ใส่บาตรเสร็จก่อนนะคะ แก้วจะเล่าให้ฟัง” เธอตอบ

“พระมาแล้วค่ะ คุณย่า” แก้วว่าก่อนจัดแจงเตรียมของให้กับคุณย่าเพื่อใส่บาตร เมื่อนำข้าวสารอาหารแห้งใส่จนครบแล้ว คุณย่าก็หยิบที่กรวดน้ำทองเหลืองมาวางไว้ตรงหน้า

“เอ้า แม่แก้ว มากรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรเร็ว” แก้วเขยิบเข้ามาใกล้คุณย่าก่อนพนมมือตั้งจิตอธิษฐาน

“ลูกขออนุทิศส่วนกุศลในวันนี้ให้กับคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครอยู่ที่ไหน ถ้าเราเคยทำบุญด้วยกันมา ขอให้เราได้เจอกันในฝันอีกนะคะ สาธุ"

เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วแก้วก็นำถ้วยที่มีน้ำอยู่เต็มเปี่ยม ไปเทที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ลมที่พัดโชยมาทำให้เธอรู้สึกสงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วเจอกันคืนนี้นะคะ อิตาขี้เก๊ก"

ช่วงสาย แม่นมจัดแจงตั้งโต๊ะอาหาร แก้วประคองคุณย่าของเธอ มาที่ห้องทานข้าวเมื่อนั่งลง หญิงชราวัยไม้ใกล้ฝั่งก็ถามหลานสาวขึ้นมาทันที

“แม่แก้ว จะเอาอะไร ไหนว่ามาสิ”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณย่า แก้วแค่อยากถามคุณย่าเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายในสมัยก่อน พอดีที่มหาลัยของแก้วจะจัดงานเลี้ยงรุ่นแบบย้อนยุค” หลังจากนั้นแก้วก็บอกลักษณะที่เธอได้สวมใส่ในความฝันให้คุณย่าฟัง โดยอ้างเรื่องงานเลี้ยงรุ่นที่มหาวิทยาลัยแทน

“อืม ย่าว่าน่าจะเป็นการแต่งตัวในสมัยรัชกาลที่ห้านะแม่แก้ว” คุณย่าตอบเมื่อพยายามนึกขึ้นจนได้

“ว่าแต่แม่แก้วไปเห็นมาจากที่ไหนละ การแต่งกายแบบนี้”

“เอ่อ หลานเห็นผ่าน ๆ ในนิตยสารน่ะค่ะ คุณย่า”

“มานี่สิ ย่าจะให้ดูอะไร” คุณย่าว่า ก่อนที่แก้วจะพยุงเธอขึ้นหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ

“คุณย่าจะไปไหนเหรอคะ ?”

“พาย่าไปที่ห้องสมุดหน่อย ย่ามีอะไรให้ดู”

ห้องสมุดที่อยู่ในตัวบ้านเรือนไทยเป็นห้องโถงใหญ่ เหนือโต๊ะทำงานมีรูปกรอบสีทองขนาดใหญ่แขวนอยู่บนฝาผนัง หน้าต่างบานใหญ่รอบห้อง คุณย่าบอกว่าคุณปู่ชอบให้ห้องสมุดดูโล่ง เลยให้ทำหน้าต่างบานใหญ่ๆ ไว้ เพื่อให้เวลาอ่านหนังสือแล้วสามารถมองเห็นต้นไม้เขียวชอุ่ม ช่วยให้ผ่อนคลายและพักสายตาได้ ตู้หนังสือเรียงรายเป็นระเบียบ โซฟาที่ดูเก่าแก่ของทุกอย่างตกทอดมาจากต้นตระกูล ทุกอย่างภายในบ้านถูกรักษาไว้อย่างดี คุณย่าเล่าให้แก้วฟังว่า

“สมัยก่อนคุณปู่ท่านชอบมานั่งอ่านหนังสือและทำงานในห้องนี้ เพราะเป็นห้องที่สงบที่สุด"

แก้วมองไปรอบๆ แล้วสายตาเธอก็ไปหยุดอยู่ที่รูปภาพที่แขวนอยู่บนผนัง

“คุณย่าคะ นี่รูปใครคะ” แก้วไม่เคยเห็นรูปคุณทวดของเธอ นอกจากรูปคุณปู่

“รูปไหนหรือแม่แก้ว ?” คุณย่าถามขึ้นมา แก้วชี้ไปที่รูปภาพที่แขวนเด่นอยู่กลางห้อง

“อ๋อ นั่นนะหรือ คุณทวดบดินทร์ไงละแม่แก้ว”

แก้วเอามือกอดอก เอียงคอซ้ายทีขวาทีเงยหน้ามองรูปภาพ แต่ทำอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

“แล้วทวดหญิงชื่ออะไรเหรอคะ”

แก้วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะที่บ้านไม่เคยเล่าเรื่องของคุณทวดทั้งสองให้ฟังเลยหรืออาจจะเคยแต่เธอก็คงลืมไปนานแล้ว

“คุณทวดหญิงท่านชื่อแก้วกัลยา พ่อหลานถึงได้ตั้งชื่อให้คล้องกับคุณทวดหญิงท่านไงล่ะ"

“แล้วคุณย่ามีรูปคุณทวดหญิงไหมคะ ?"

"แต่ก่อนก็มีนะ ย่าไม่แน่ใจไม่รู้ว่าคุณปู่เก็บไว้ที่ไหนแล้ว”

"อ้าว แบบนี้ก็อดเห็นเลยสิคะ” แก้วทำเสียงเอื่อยและมีสีหน้าผิดหวัง

“เอาไว้ย่าจะหาให้แล้วกันนะ ตอนนี้พาย่าไปนอนกลางวันก่อน”

พูดจบแก้วก็ประคองย่าเดินออกจากห้องสมุดที่ไม่เคยมีใครเข้ามาใช้บ่อยนัก แก้วเองก็ไม่ชอบอ่านหนังสือเท่าไหร่ อ่านทีไหร่เธอหลับคาหนังสือทุกที แม้จะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่เธอชอบนักชอบหนาก็ตาม

>><<

คุณหญิงแก้ว เธอมีทรวงทรงองเอวที่แลดูบอบบาง กริยามารยาทอ่อนน้อม เธอมาจากตระกูลขุนนางเก่าและได้เข้าถวายตัวรับใช้ในวังมาตั้งแต่ยังเด็ก เธอได้รู้เรื่องตำหรับตำราอาหารคาว อาหารหวาน เย็บปักถักร้อยและเธอยังได้ศึกษาเกี่ยวกับภาษายุโรปเพราะคิดว่าในภายภาคหน้าจะได้ใช้ ผมของเธอยาวถึงแผ่นหลังถูกเกล้าขึ้นมีเครื่องประดับปิ่นปักอยู่ตรงมวยผม ผิวของเธอดูขาวเหมือนสำลี คุณหญิงแก้วเธอมีสุขภาพที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก ฝีเท้ากำลังก้าวขึ้นไปบนเรือนอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคุณหลวงบดินทร์ ที่ประคองเธออยู่ข้างๆ

“แม่น้อมไปหาน้ำหาท่า และชงยาหอมมาให้คุณหญิงเร็วเข้า อากาศวันนี้ช่างร้อนอบอ้าวเสียจริง” หลวงบดินทร์หันไปสั่งแม่น้อม บ่าวที่จงรักภักดีมานานหลายปี

“เจ้าค่ะ คุณหลวง” แม่น้อมรับคำสั่ง และหันไปสั่งบ่าวที่กำลังทำงานอยู่ข้างๆ อีกทอดหนึ่ง

“คุณหลวงเจ้าคะ ดิฉันไม่ได้เป็นอะไร หรอกเจ้าคะ” คุณหญิงแก้วว่า เธอหย่อนก้นลงบนโต๊ะนั่ง ท่าทางดูไม่ค่อยดีนัก

“แม่แก้ว เจ้าจะไม่ได้เป็นอะไรได้อย่างไร ดูหน้าเจ้าสิซีดเชียว”

“คงเป็นลมแดดกระมังคะคุณพี่ น้องนั่งพักประเดี๋ยวคงจะดีขึ้น”

คุณหญิงแก้วเอื้อมมือไปจับแขนผู้เป็นสามี เธอสังเกตเห็นว่าคิ้วคุณหลวงเริ่มขมวดขึ้น คุณหลวงบดินทร์เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเธอเอามาก ๆ

ตรงที่ทั้งสองคนนั่งเป็นลานกว้าง ทมีบ่าวไพร่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานของแต่ละคนไป บ้างก็ร้อยมาลัย บ้างก็ถูเรือนขัดพื้นจนเป็นเงา การขัดพื้นกระดานให้เงาแบบโบราณคือหามะพร้าวมาผ่าครึ่ง ทุบกะลาตรงปากออกสักเล็กน้อย แล้วนำ าคว่ำลงกับพื้นกระดานขัดถูพื้นบ่อยๆ พื้นกระดานจะมองดูเงางามไม่น้อย

“นี่ท่านพ่อ ท่านแม่ไปไหนซะละ แม่น้อม”

หลวงบดินทร์ถามแม่น้อมเพราะวันนี้ที่เรือนเงียบผิดหูผิดตา ปกติถ้าคุณหญิงแม่อยู่ก็จะได้ยินเสียงท่านเอ็ดบ่าวไพร่ ท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ จนบางครั้งเจ้าคุณพ่อถึงกับจ้องตากันกับคุณหลวง พร้อมกับส่ายหัว พลางอดอมยิ้มกันไม่ได้กับความเจ้าระเบียบของคุณหญิงแม่

“คุณท่านไปตลาดนางเลิ้งเจ้าค่ะ เห็นท่านว่าวันนี้เสด็จท่านมา"

"จริงสิ ข้าเกือบลืมเสียสนิท เออนี่ แม่แก้ว เดี๋ยวสักบ่ายโมง เจ้าไปเดินตลาดนางเลิ้งกับพี่นะ พี่อยากจะไปดูลู่ที่ลู่ทาง เผื่อว่ามีอะไรที่พอจะเอามาเป็นประโยชน์เกี่ยวกับงานของพี่ได้บ้าง อีกอย่างลูกชายของเฮียเส็ง เชิญให้พี่ไปเปิดร้านเอาฤกษ์เอาชัยให้แน่ะ”

หลวงบดินทร์ตั้งใจว่าจะติดต่อกับพวกฝรั่ง เกี่ยวกับการค้าขาย เพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์ไมตรีชาวต่างชาติอีกด้วย

“ได้สิเจ้าคะ คุณพี่” คุณหญิงแก้วที่กำลังตระเตรียมพับดอกบัวที่ให้บ่าวเก็บมาจากสระหน้าบ้าน เพื่อถวายพระในวันพรุ่งนี้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้

>><< 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว