" บางคนอาจพอใจในการใฝ่หา ทรัพย์สมบัติ ลาภยศ ศรัทธา แต่กับบางคนอาจพึงพอใจที่มีเพื่อนที่ดี เพื่อกล่าวทักทายอย่างอ่อนโยนในทุกๆ เช้า...ก็เพียงพอ "
ในช่วงสายของวันอันแสนวุ่นวาย ผมอาศัยสภาวะอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่น ดีดตัวเองออกมาจากห้วงเวลาที่กำลังเผชิญอยู่ โดยนำพาร่างของตัวเองออกจากบ้านไปในทิศที่ไร้จุดหมาย
ระหว่างที่สายตากำลังสอดส่ายหาทิศทางการเดินอยู่นั้น จะด้วยความบังเอิญหรือความจงใจก็มิอาจรู้ได้ สายตาของผมไปสะดุดที่ร่างชายชราคนหนึ่ง ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราขาวยาวถึงลิ้นปี่ สภาพของแกก่ำกึ่งระหว่างศิลปินกับคนวิกลจริต
ผมนึกสนุกจึงเข้าไปทักทายแก ด้วยความสนใจใคร่รู้
" สวัสดีครับ...ลุง " ผมเปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม
" ว่าไง...หลานชาย " แกหันมาตอบอย่างเอ็นดู
" ลุงมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวครับ " ผมเริ่มคำถาม
" นั่งรอเพื่อน " แกตอบสั้นๆ เผยให้เห็นฟันที่อยู่ไม่ครบของแก
" ลุงนัดเพื่อนไว้กี่โมงละ " ผมถาม
" ไม่ได้นัดกันหรอก แต่เดี๋ยวก็คงมา " แกตอบ
" ลุงชื่ออะไร ผมชื่อหน่องครับ "
ผมถามพร้อมแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ
" ลุงชื่อ...ซู " แกแนะนำตัวเองกลับ
" ลุงเป็นคนจีน หรือครับ " ผมถาม
" เปล่า...ลุงเป็นคนไทยแท้ๆ แต่เกิด " แกตอบพลางยิ้ม
" เห็นชื่อซู ผมนึกว่ามีเชื้อจีน " ผมถามอย่างสงสัย
" ชื่อนี้ลุงตั้งเอง มาจากยาจกซูในหนังจีนกำลังภายในที่ลุงชอบ " แกเฉลยที่มาของชื่อเสียงเรียงนาม
" ยาจกซู ชื่อจากหนังจีนนี่น่ะ " ผมฉงนกับชื่อนี้พอสมควร
" ลุงว่ายาจกซู มีชีวิตคล้ายกับลุงนะ พเนจรไปเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลอะไรในชีวิต มีความสุขในทุกวันเป็นพอ " แกเล่าพลางยิ้ม
" แล้วลูกหลานของลุงไปไหนกันหมด ปล่อยให้ลุงมานั่งคนเดียวอยู่ตรงนี้ " ผมถามอย่างไร้มารยาท
" แต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว คนโตได้เมียรวย คนรองเป็นทหาร คนสุดท้องเป็นหมออยู่เมืองนอก " แกเล่าถึงลูกๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
" แล้วตอนนี้ลุงอยู่กับใครครับ " ผมถามอย่างสงสัย
" อยู่คนเดียว เมียเพิ่งตายด้วยมะเร็งเมื่อสองปีที่แล้ว " สายตาของแกดูเศร้าลงเล็กน้อย
บทสนทนาของเราเงียบลงครู่หนึ่ง ต่างคนต่างทอดสายตาไปยังจุดหมายที่ต่างกัน เหมือนต้องการเว้นระยะให้ความรู้สึกได้ทำงานของมัน
" ลุงเคยเป็นทหารเรืออยู่ที่สัตหีบ พอเกษียนก็ไม่ได้ทำอะไร ใช้เงินหลวงช่วงบั้นปลาย " บทสนทนาเริ่มต้นอีกครั้ง หบังจากเงียบงันไปพักใหญ่
" ว้าว...ลุงเคยเป็นทหารเรือ แล้เคยออกรบไหมครับ " ผมถามอย่างสนใจ
" ไม่เคยรบกับใครหรอก แค่ออกลาดตระเวน ดูแลความสงบตามน่านน้ำ และดูแลความปลอดภัยตามชายฝั่ง " แกเล่าถึงอดีตด้วยดวงตาที่มีประกาย
" ชีวิตช่วงนั้น คงมีความสุขมากเลยนะครับ " ผมถาม
" ไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็สนุกกับชีวิตดีนะ " แกตอบ
" แล้วลูกๆ ของลุงมาเยี่ยมบ้างไหมครับ " ผมถามไปอย่างไร้มารยาทอีกครั้ง
" ส่งเงินมาอย่างเดียว ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เขาก็มีชีวิตของเขานะ " ดวงตาของแกกลับมาไร้ประกายหลังตอบเสร็จ
" ว่าแต่หลานชายมาทพอะไรแถวนี้ น้อยคนนะจะกล้าเข้ามาคุยกับลุง " แกเริ่มถามผมบ้าง
" เบื่อๆ เซ็งๆ เลยหาเรื่องออกมาเดินเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลานะครับ " ผมตอบ
" เบื่ออะไรให้ปล่อย เซ็งอะไรให้วาง แค่นี้ชีวิตก็น่าจะมีความสุขแล้วนะ...ลุงว่า " ไม่น่าเชื่อว่าคำปรัชญาจะออกมาจากปากชายชราที่ดูบ้าใบ้อย่างแก
" ชีวิตคนเรา มันจะสุขก็ไม่นาน ทุกข์ใดก็ไม่ยั่งนืนหรอก หากเรารู้จักปล่อยวาง " แกสอนอย่างเอ็นดู
" ว่าจะไม่คิดแล้วนะ อยู่ดีๆ เรื่องมันก็วิ่งเข้ามาหาเอง แถมจุดความอดทนของผมมันต่ำซะด้วย เลนไปกันใหญ่ " ผมระบาย
" หยุดคิด ก็หยุดทุกข์ คิดแต่เรื่องสุข ใจก็เป็นสุข " แกสอนด้วยคำธรรมดาแต่ล้ำลึก
" คุยกับลุงแล้วรู้สึกสบายใจดีนะ ว่างๆ ผมจะแวะมาคุยใหม่ ว่าแต่ลุงอยู่ตรงนี้ทุกวันหรือเปล่า " ผมกล่าวเชิงร่ำลา
" เอาแน่ไม่ได้หรอก ลุงอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง " แกพูดอย่างทิ้งปริศนาไว้ให้คิด
" อ้าว...แล้วผมจะเจอลุงได้ที่ไหน เผื่อจะหาคนคุยคลายทุกข์อีกครับ " ผมถามอย่างฉงน
" ถ้าไม่เจอลุง ก็คุยกับเพื่อนลุงได้นะ นั่นไงมากันแล้ว " แกทิ้งท้ายพลางชี้มือไปอีกทาง
" ไหนครับ...เพื่อนลุง ไม่เห็นมีใครเลย " ผมมองตามอย่างสงสัย
" ฝูงผีเสื้อที่เห็นนั่นละ...เพื่อนลุงเอง " แกเฉลย
ผมนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
" ใช่ผีเสื้อฝูงนั้นเป็นเพื่อนลุงเอง ลุงคุยกับพวกเขาทุกวัน คุยกันทุกเรื่อง คุยแล้วสบายใจดี ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล และพวกเขาก็เป็นผู้รับฟังที่ดีด้วยนะ " แกตอบพลางลุกไปโดยไม่มีคำร่ำลาใดๆ ปล่อยให้ผมนั่งทบทวนบทสนทนาระหว่างเราอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุดผมก็พบว่า " บางคำถามก็ไม่ต้องการคำตอบเสมอไป "
ผมลุกออกมาจากที่นั้น ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก และแสงที่เปล่งประกายแห่งสุขในดวงตา
สาวเท้าไฟใจบุญ (14/07/63)