ม่านฟ้ายามราตรี ที่ถูกบดบังด้วยเมฆาดำทะมึน เส้นสายฟ้าวูบงวาบ ไล่ไปตามริ้วคลื่นราวกับมีชีวิตส่องแสงสะท้อนกระทบผืนดินเป็นระยะ สายลมพัดกระหน่ำ เบื้องล่างกรรโชกมวลสาขาแมกไม้ส่อเสียดหวิวหวีด กรีดโสตประสาท ดุจน้ำเสียงของปีศาจจากก้นบึ้งแห่งนรกอันมืดมน ประหนึ่งกำลังจะบ่งบอกลางร้ายที่กำลังคืบคลานสู่ผืนพิภพแห่งนี้
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงแห่งลมพายุ เส้นแสงหักงอ พลันแหวกหมู่เมฆหนาลงสู่พื้นพสุธากัมปนาท ทว่า ร่างชายชราภาพ ซึ่งซุกซ่อนใต้อาภรณ์ผ้าดิบสีทึม มิได้มีท่าทีหวาดหวั่นสักเพียงน้อย มือหยาบกร้านสั่นเทายกขึ้น ไล้ไรเคราขาวยาวปิ่มเสมอ ออกเชื่องช้า ริมฝีปากแห้งผากตามกาลบิดโค้งหงายเยือกเย็น ส่งให้เห็นริ้วรอยที่สั่งสมกรีดร่องลึกระบายทั่วใบหน้า
ผู้เฒ่า... ยังคงนิ่งงันราวกับคอยท่าบางอย่าง ด้วยจิตจดจ่อแม้นจักคงอิริยาบถนี้มานานเจียนชั่วยาม นัยน์ตาสีหม่นทอประกายวาดหวังในบางสิ่งรับกับกลุ่มคิ้วหนาสีดอกเลาที่ปาดปลายขึ้นสูงยาวจรดไรผมเทาหม่นขาดการจัดแต่ง
เปลวไฟจากเหล่าตะเกียงไต้น้ำมันยางไม้วูบไหวไปตามแรงพายุ โบกส่องสว่างป่ายไล้ตู้ตั่งรอบห้อง ให้บังเกิดเงาทาบทาฝาผนังห้องหับดั่งร่ายรำไปตามบทเพลงแห่งธรรมชาติ ไล่เรียงให้สบกับม้วนหนังแกะเก่าคร่ำคร่านับร้อยหมัด หากยังไม่รวมม้วนกระดาษอันขาดวิ่น และสมุดหนังแพะกองพะเนิน ซึ่งเพลานี้กระจัดกระจายตามมุมห้อง พื้นไม้ ไปถึงโต๊ะตั่งเขียนหนังสือ หนึ่งในนั้นเป็นเพียงหน้าว่างเปล่าถูกวางทับด้วยหินอ่อนแท่งสี่เหลี่ยมจตุรัส ราวกับกำลังรอให้ปลายขนอีกาปักจุ่มขวดน้ำหมึกจรดลงบันทึกตัวอักษร บอกเล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
เมื่อครั้นสายฟ้าฟาดลงกระทบผืนดินอีกครั้ง ทั่วห้องพลันบังเกิดแสงสว่างวาบ ดึงให้ใบหน้าเหี่ยวย่นหันมองกลับมา บางสิ่งทอรัศมีแสงสีม่วงจากเจือจางสู่เข้มคลี่เป็นทรงกลมใหญ่เท่าคนโอบ ระยับด้วยสายกระแสดำพาดแปลบปลาบ บิดเบี้ยว หักงอ ปรากฏกลางโถงว่างพร้อมลมหมุนแผ่วเบา ฉุดรอยยิ้มปีติให้ผุดบนใบหน้าผู้เฒ่า
สิ่งที่รอคอยแสนนานบังเกิดขึ้นอีกครั้ง และนั่นหมายถึงนัยอันมากมาย เกินกว่ามนุษย์ทั้งหลายจะเข้าใจได้หมด ไรผมยาวพาดใบหน้าด้วยแรงลมหอบ ขณะเดินเข้าไปใกล้วัตถุทรงกลม มือเหี่ยวย่นสั่นระริกขณะเอื้อมไปสัมผัสอย่างเชื่องช้า ก่อนสอดลึกเข้าสู่แก่นกลางราวกับไร้ความหวาดหวั่นต่อสายฟ้าที่รายล้อมกรอบ
โดยพลัน...ทรงกลมปริศนาพลันขยับหมุนจากช้าสู่เร็ว ก่อกระแสลมแรง จนแผ่นกระดาษที่วางเรียงราย ไร้ระเบียบปลิดปลิวรอบห้อง เส้นผมสีดอกเลายาวกระเซิงไร้ทิศทาง ทว่า รอยยิ้มเย็นเยือกกลับยิ่งกว้างราวกับพึงพอใจเป็นหนักหนา
ห้วงเวลาเพียงอึดใจผ่านพ้น สภาพภายในห้องกลับไปเป็นเฉกเช่นเดิม ดั่งเหตุการณ์ปาฏิหาริย์มิได้บังเกิด ทรงกลมปริศนาอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย เว้นแต่...บางสิ่งบางอย่างได้แปรเปลี่ยน
ร่างชราภาพใต้อาภรณ์ผ้าดิบสีทึมมิได้เป็นดั่งเดิมอีกต่อไป เวลานี้คงเหลือเพียงชายหนุ่มวัยกลางคนผู้สง่างาม นัยน์ตาสีเทาฉายแววแห่งผู้รอบรู้ กลางฝ่ามือแข็งแรงปรากฏวัตถุทรงกลมเจือสีนิลขนาดเท่าอุ้มมือ
สายตากล้าแกร่งจรดมองสิ่งที่อยู่ในมือ รอยยิ้มแสยะกว้างผุดเผยอีกครั้ง ก่อนเสียงหัวเราะจะดังสนั่น
“ในที่สุด เวลานี้มาถึง”
เสียงตะโกนแผดดังราวสามสมใจ ใบหน้าคมเข้มหันขวับ สายตาทอดมองตั่งด้านข้างพร้อมรอยยิ้มเย็นเยือก ได้เวลาแห่งการบันทึกเสียที ครานี้ลูกแก้วสีนิลจะบอกสิ่งใดเป็นอันดับแรก และนั่นก็เย้ายวนเกินกว่าจะอดห้ามใจ
ไม่รอช้า ผู้ครอบครองวัตถุปริศนาย้ายร่างไปประจำตำแหน่ง ลูกแก้วกลมถูกวางลงอย่างทะนุถนอม มืออีกข้างหยิบขนอีกาปาดปลายขึ้นจากขวดน้ำหมึก จรดมันลงบนแผ่นหนังแพะ ซึ่งเย็บรวมเป็นปึกหนาด้วยถูกใช้บันทึกเหตุการณ์นานัปการ
ชายผู้ทระนงจรดสายตานิ่งสู่แก่นกลางลูกแก้ว ความลึกล้ำราวกับห้วงนทีอันแสงตะวันไม่อาจส่องถึงราวหญิงสาวผู้เร้นลับ จากความดำมืดดั่งคืนไร้แสงแห่งจันทราและดวงดารา เริ่มคลี่เผยให้เห็นความเคลื่อนไหวภายใน
ภาพเหตุการณ์นานาฉายผ่านดุจเรื่องเล่าในจินตนาการ ดวงดาวร่วงหล่นซ้อนทับ แสงสว่างภายในคืนเจิดจ้าดับวูบลงด้วยอาถรรพณ์บังเกิด
ผู้มีท่วงท่าดั่งมหาปราชญ์เผยรอยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ มือข้างถือขนนกสีดำนิลตวัดเขียนสิ่งที่เปิดเผย บันทึกลงเป็นถ้อยโคลงอย่างทรงความรอบรู้
อวตารมืดมิดตื่นฟื้น อีกครา
สองคมเขี้ยวอสุรา กู่ก้อง
เผ่าพันธุ์แห่งปาปตรา ขืนต่อ ม้วยนา
คงอยู่เพียงเสียงร่ำร้อง ถิ่นไร้ ฝังกาย
สิ้นประโยคจากปลายขนวิหคสีนิล เสียงหัวร่อราวกับผู้คลุ้มคลั่งเสียสติแผดก้องลิ่วลอยไปกับสายลม คล้ายจะบอกนัยความหมายให้ไกลจนสุดเท่าที่เหล่าผู้ถูกขีดกำหนดชะตาจะสามารถรับรู้และตระเตรียมตนระแวดระวังภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามาเยือนในเวลาอีกไม่ช้า
ดั่งบทโคลง...ทุกอย่างกำลังถูกดึงให้เข้าสู่วังวนแห่งพายุหายนะแล้ว