จบ ก้าวที่พลาด
3
ตอน
1.16K
เข้าชม
16
ถูกใจ
3
ความคิดเห็น
3
เพิ่มลงคลัง

ในวันที่เรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของผู้เขียน เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา สุขสุด ทุกข์สุด ทั้งอัศจรรย์ ลี้ลับ สิ่งที่มองไม่เห็น และ เรื่องของผลกรรม ผู้เขียนเชื่อสนิทใจว่า "กรรม" มีจริง แต่จะมาในรูปแบบไหน เมื่อไหร่ ทางใดเท่านั้นเอง ต่อไปนี้จะเล่าเรื่องสั้น ๆ เกี่ยวกับความรักของเพศเดียวกัน หญิงรักหญิง และความเชื่อทางสังคมในยุคสมัยนั้นว่า ความรักเกิดได้เฉพาะ เพศที่ธรรมชาติเลือกมาแล้วเท่านั้น ความรักที่บิดเบี้ยวนี้ไม่มีทางจะจีรังยั่งยืน จึงเป็นเหตุแห่ง โศกนาฏกรรมความรัก ที่ส่งผลกระทบบ่วงกรรมไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรง และ ทางอ้อม

ประมาณปี พ.ศ 2535-2546 ต่อไปนี้จะเรียกแทนตัวว่า W และแทนอีกคนว่า S เราสองคนเป็นเด็กผู้หญิงที่เรารู้ว่ามันไม่ใช่รักแบบเพื่อน เราต่างดูแลกันในแบบที่รักธรรมชาติก็อาจจะทำไม่ได้ เรารู้จักกันตั้งแต่ประถม และ เลิกกันเมื่อเรียน ปวช. เพราะเราไม่ได้เรียนที่เดียวกัน ครอบครัวเค้ากีดกันเราทุกทาง หนักขึ้นและหนักขึ้น เราจึงยอมถอยออกมา ...

บ้านของเราไม่ไกลกันมากนัก W และ S อยู่สุขุมวิท ช่วง เอกมัย - ทองหล่อ เมื่อเลิกเรียนเรามักจะไปกินแมคโดนัลด์ใกล้โรงเรียนแล้วจะเดินไปส่ง S ถึงแถวบ้าน ส่วนตัวเราก็จะนั่งรถเมล์กลับบ้าน ( แค่ 5 ป้ายรถเมล์ ) ทุกๆเช้า S จะพกผ้าเช็ดหน้ามา 2 ผืน หนึ่งในนั้นคือสำหรับเรา เราไม่เคยถือกระเป๋าให้ S เราไม่เคยทำการบ้านให้ S แต่เราก็รัก S ในแบบของเรา ทุกคืนเราต้องโทรหากัน ขอย้ำว่า ทุกวัน ไม่เคยมีวันไหนที่เราไม่โทรหากัน เรานั่งเรียนข้างกันมาตั้งแต่เด็ก S กับเรา ลายมือเหมือนกันแบบไม่มีใครจับผิดได้ S ทำการบ้านให้เราเกือบทุกวิชา เราช่วยทำการบ้านภาษาอังกฤษให้ S เราเก่งอังกฤษ S เก่งคณิตศาตร์ เรามีความสุขทุกวันที่ได้ไปโรงเรียน บ้านของ S เป็นบ้านคนจีน แต่พ่อแม่แยกทางกัน พี่น้องของ S จึงอาศัยอยู่กับป้าและย่า พ่อย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นและมีครอบครัวใหม่ แม่ของ S อยู่ กทม. กับ สามีใหม่ S จึงเป็นเด็กเงียบ ๆ มีนัยต์ตาโตที่หมองเศร้า ไม่ค่อยพูดกับคนที่ไม่สนิท ไม่มีเรื่องไหนของ S ที่เราไม่รู้ และไม่มีเรื่องไหนของเราที่ S ไม่รู้ เราสองคนรู้นิสัย รู้ใจกันแบบไม่ต้องพูด เราชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไร เค้าชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไรเราไม่รู้ เพราะเค้าเป็นคนง่าย ๆ เราว่าไง เค้าว่างั้น

เมื่อเราโตขึ้นเราย้ายบ้านไปไกลจากทองหล่อมาก ไปอยู่แถวพัฒนาการเกือบจะถึงลาดกระบัง S จะมานอนกับเราทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ในสายตาพ่อแม่เรา ท่านรักและเอ็นดู S มาก เพราะพ่อแม่เลิกกัน พี่น้องหลายคน ขาดความรักความเอาใจใส่ที่เด็กคนนึงควรจะได้รับ ท่านจึงรักและเอ็นดู S เป็นพิเศษ พอเราโตขึ้น ครอบครัวของ S เริ่มไม่ชอบเรา เริ่มไม่ให้รับสายจากเรา เราเคยโทรไปเจอป้าเค้ารับสาย เค้าถามว่าเราจะโทรมาทำไม ทำไมไม่ใช้ชีวิตปกติ ทำไมจะต้องให้ S เป็นคนรักเพศเดียวกัน ต่อไปนี้ห้ามคบกัน ห้ามคุยกันอีก ไม่ต้องมาหาที่บ้าน และจะไม่ให้ S มานอนบ้านเราอีก เราได้ยินแบบนั้น ในวัย 15 ปี เราร้องไห้ ไม่นานนัก S ก็มาหาเราที่บ้าน ร้องไห้กับเราว่าขอโทษนะ ต่อไปนี้ให้บอกเวลามา เค้าจะมาคอยรับสาย ป้าไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้ เราก็รู้สึกว่า สงสารเค้า เราจึงไม่เลือกเรียนที่เดียวกัน เราเริ่มออกห่าง S ไป นัดกันที่ไหนเราก็ไม่เคยไป เค้ามาหาเราที่บ้าน นอนหลับรอที่ห้องเราจนกลับบ้านสี่ทุ่ม เราก็ยังไม่กลับบ้าน สุดท้ายเราถูกเพื่อนร่วมชั้นที่รู้จักทั้งเราและ S โทรมาต่อว่าทำไมใจร้าย จะเลิกกันก็เลิกดี ๆ ทำไมทำแบบนี้ S ไม่กินข้าวเลย ผอมมาก ตาบวมทุกวัน ( เพื่อนคนนี้มาจากโรงเรียนเดียวกัน ) เราตอบไปว่า จะเป็นอะไรก็เป็นเถอะ เราไม่คุยแล้ว

กาลเวลาผ่านไป เราย้ายมาอยู่ต่างจังหวัด S เขียน จดหมายมาหาเราทุกอาทิตย์ เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้เราอ่าน เราทำใจไปแล้วเพราะเราห่างกันไปมากแล้ว เรายังโทรหา S เสมอ เพราะบ้านที่ต่างจังหวัดไม่มีโทรศัพท์ ต้องเก็บเงินไว้โทรศัพท์ตู้หยอดเหรียญซึ่งเป็นการโทรข้ามจังหวัด ค่าโทรศัพท์จะหมดเร็วมาก เราจึงรีบคุย รีบวาง กาลเวลาผ่านไป เราใช้ชีวิตของเราไป เราไม่ได้ข่าวอะไรจาก S อีกเลย เพราะเราก็ไม่ได้ติดต่อไปเลยเหมือนกัน เรารับรู้กันด้วยใจว่า เรารักกันไม่ได้ เพราะครอบครัวของเค้าไม่ยอมรับ

ในวัย 24 ปี เราคิดถึง S ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ถึงอยากโทรไปหา ... ตอนนี้มีโทรศัพท์มือถือแล้ว ...

"สวัสดีค่ะ ขอสาย S หน่อยค่ะ .. " ปลายสายเงียบไปพักใหญ่

"S ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วนะคะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ"

"มีเบอร์ติดต่อเค้าไหมคะ" เราคิดในใจว่า คงจะแต่งงานแล้วมั้ง

"..... S ... ไม่สะดวกให้เบอร์ใครค่ะ พี่ชื่ออะไรคะ หนูจะฝากบอกเค้าให้ แต่ไม่รับปากนะคะว่าเค้าติดต่อกลับหรือไม่"

" พี่ชื่อ W เป็นเพื่อนของ S ตั้งแต่ประถมค่ะ ปลายสายคือน้อง O ใช่มั้ย " เราตอบไปเพราะรู้ว่ามีน้องคนเดียวของเค้าที่ไม่เกลียดเรา

" พี่ W เหรอ หนูขอเบอร์พี่นะคะ แล้วหนูจะบอกพี่ S ให้ ว่าพี่โทรมาหา สบายดีนะคะพี่ "

" สบายดีค่ะ คิดถึง S ไม่ได้คุยกันหลายปีแล้ว เลยลองโทรมาเบอร์บ้านดูเผื่อจะติดต่อได้ " เราตอบไปทั้ง ๆ ที่ในใจเรารู้สึกแปลกกับการสนทนาแบบนี้ ทำไมต้องฝากชื่อและเบอร์ติดต่อ? และทำไมต้องบอกไม่รับปากว่าอาจจะไม่ติดต่อกลับ?

" เบอร์พี่ XXXXXX นะคะ ถ้า S ไม่สะดวก ไม่เป็นไรค่ะ พี่เข้าใจค่ะ ขอบคุณมากนะคะ"

เราวางสายไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ทำไมถึงไม่อยู่บ้าน? คงแต่งงานแหละ แต่เราเกี่ยวก้อยสัญญากันตั้งแต่เด็กแล้วว่าต่อให้ใครคนใดคนหนึ่งแต่งงานหรือมีแฟนใหม่ เราจะไม่ทิ้งกัน เราจะยังเป็นเพื่อนกัน เราจะรักกันแบบนี้ไปตลอด ... เราทำตามสัญญาแล้ว เธอจะยังจำสัญญาแบบเด็ก ๆ ได้ไหม

วันต่อมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเราดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ที่เราไม่รู้จัก .... เป็น S ... โทรมา พร้อมกับคำพูดที่เสียงสั่น

" W ใช่ไหม หายไปไหนมา ทำไมทิ้งเราไปนานขนาดนี้ ... " เสียงร้องไห้จากปลายทาง ทำให้น้ำตาของเราเริ่มไหล มือที่จับโทรศัพท์สั่นมาก แต่ข่มใจเอาไว้ไม่ให้ทางนู้นรับรู้

" เราไม่ได้หายไปไหนหรอก เราแค่ไม่กล้าโทรไปอีก เราคิดว่าเธอน่าจะมีครอบครัวแล้ว เราไม่อยากรบกวน "

...........

ความเงียบของทั้งสองคน มีเพียงเสียงสะอื้น เสียงน้ำมูก

" เราไม่ได้ทิ้งไปไหนนะ เธออยู่ในใจกับเรามาตลอดเลย แค่เมื่อวานเราคิดถึงเธอมากก็เลยรวบรวมความกล้าโทรไปที่บ้านเธอ "

"..... " เสียงปลายสายยังร้องไห้ไม่หยุด มีคำพูดเป็นล้านคำที่อยากจะพูด แต่เราพูดอะไรไม่ออก ร้องไห้กันแบบนั้นเกือบชั่วโมง

" เราวางสายก่อนนะ เราไปเรียนสายแล้ว เราเรียนภาคค่ำ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เราคิดถึงเธอมากนะ เอาไว้เธอสะดวก ก็โทรมาหลังสามทุ่มก็ได้ เพราะเราไม่กล้าโทรไปหรอก เรากลัวเธอไม่สะดวก " คำพูดที่สั่นของเรา คอตีบ น้ำตาล้นไหลอกมาไม่หยุด เราไม่เคยเจอหน้ากันเกือบสิบปี แต่สายสัมพันธ์ในวัยเยาว์ของเราไม่มีอะไรตัดขาดได้ ถึงแม้ในเวลา 12 ปีนั้น เราคิดว่าเราตกนรกคนเดียว เราทุกข์คนเดียว แต่เรื่องราวมันน่าเศร้ามากกว่าที่เราคิดว่าเราเศร้าอยู่ฝ่ายเดียว

" อย่าทิ้งเราอีกนะ W เราจะโทรไปทุกวันได้ไหม " เสียงปลายสายสั่นมากและร้องไห้สะอึกสะอื้น

" โทรมานะ เราจะรับสายทุกวัน แค่นี้ก่อนนะ เราไม่อยากตาบวมไปเรียน " เราหัวเราะเบา ๆ พร้อมกัน แล้ววางสายไป

ด้วยหัวใจที่มีความสุขที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะมีเพื่อนใหม่มีสังคมใหม่ที่ต่างจังหวัดแล้ว แต่ความทรงจำดี ๆ สีจาง ๆ มันเริ่มกลับมา เรามีรอยยิ้มไปเรียนในวันนี้ แต่หลังจากวันนี้ .... เรามีแต่ความรู้สึกสับสน อยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ อยากย้อนเวลาไปบอกตัวเองในวันนั้นว่า อย่าปล่อยมือเค้าไปนะ ....

นี่คือจุดเริ่มต้นของ " ก้าวที่พลาด "

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว