เสียงประตูเปิดอ้าออกมาพร้อมกับการปรากฎร่างเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่สวมชุดนักเรียนและกระเป๋านักเรียนประถม เลือนผมสีน้ำตาลที่เปราะเปื้อนโคลนเดินเข้ามาในบ้านที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ให้อยู่และได้เห็นหน้าตาเลยแม้แต่น้อย
ร่างเล็กของเด็กหนุ่มวัยสิบสองปีย่างเก้าเข้ามาภายในบ้านที่เงียบหงั่นไร้ผู้คนอยู่อย่างเช่นเคย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหม่นหมองกวาดสายตาไปรอบบ้าน ก็รู้ว่าป้าของเขาไม่อยู่บ้านเช่นเคย
เม้มปากแน่นไปด้วยบาดแผลตามร่างกาย แล้วพยายามทรงตัวเองไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมาแล้วนั่งทำแผลให้ตัวเองอย่างทุลังทุเล
มืออันเล็กๆสั่นครือและแสบแผลที่หัวเขา ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดนี้ลั่นไปทั่วเข่าถลอกจนเลือกออก นิ้วหน้าเจ็บแผลเสียจนไม่อาจจะทนได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหม่นหมองไร้สีสันส่อแววแห่งความสนุกสนานเหมือนเด็กทั่วไปเหม่อมองแผลของตัวเองอย่างหมองลอย
เขาจำได้ว่า ที่ได้แผลมานั้นได้มาจากตอนที่โดนเพื่อนชายที่ร่างกายใหญ่กว่าตนนั้นกลั่นแกล้งและรังแก หลังจากนั้น เหมือนกับว่าความทรงจำของเขานั้นขาดห้วงรู้ตัวอีกทีร่างกายเพื่อนทั้งสองก็นอนล้มลงไปกับพื้นอย่างเจ็บระบมไปตามตัวร้องโหยหวนปวดร้าว และชี้หน้าด่าเขา ว่าเขาเป็นคนทำร้ายทำให้ทั้งสองนั้นต้องบาดเจ็บ
อะไรกัน ทั้งๆที่เขายังไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ชกหรือแม้กระทั้งสวนกลับแม้แต่อย่างใดทั้งนั้น ทำไมเขาถึงโดนตราหน้าว่าเป็นคนทำ แต่ทำไมนะความทรงจำนี้มันขาดๆหายๆไป ทำไมกันละ
อ๊อด
ประตูหน้าบ้านก็เกิดเสียงขึ้นเมื่อมีผู้ที่มาเปิดมัน มัมมี่ที่กำลังนั่งทำแผลให้กับตัวเองก็ได้ชะโงกหน้ามองป้าของตนกลับมาแล้วสินะ และก็ใช่จริงๆด้วยปรากฎร่างสาววัยกลางคนรูปร่างอวบถือกระเป๋าผ้าในมือพร้อมกับผักและสมุนไพรต่างๆ สายตาที่ดุดันมองมาที่ตนมักมีรอยบาดแผลกลับมาเป็นประจำ
“มัมมี่ เธออีกแล้วใช่ไหมที่ไปมีเรื่องกับเขา ฉันละปวดหัวแทนเธอ นี่เธอเป็นแค่เด็กประถมแท้ๆนะ” ป้าตรงหน้าออกปากดุด่าผลงานที่เด็กชายคนนี้มักทำมาตลอดตั้งแต่พ่อแม่ของมัมมี่จากไป มัมมี่มองตามอย่างไม่เข้าใจกับความผิดที่ได้รับมา
“ไม่ใช่นะครับคุณป้า ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
“ยังมีหน้าจะมาเถียงอีกหรอ แกทำให้เด็กสองคนนั้นเกือบตายเลยนะ”
“ผม... ผมไม่มีแรงมากขนาดนั้นหรอกนะครับ... คุณป้า”
“เลิกเถียงฉันได้แล้วนะ มีคนบอกว่าเห็นเธอหยิบไม้บรรทัดไปไล่ตีเด็กสองคนนั้น ดีแค่ไหนแล้วพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่เอาเรื่องเพราะเด็กพวกนั้นหาเรื่องเธอก่อน ไม่งั้นเธอคงไม่รอด”
“ผมไม่ได้ทำจริงๆนะ”
“บอกว่าให้หยุดเถียงฉันได้แล้วเจ้าเด็กไม่รักดี!” หญิงสาวตรงหน้าง้างมือขึ้นมาตีหลานชายคนนี่ มัมมี่ก็ได้ถอยหลังชนกับกำแพงก่อนจะโดนตี น้ำตาเอ่อคลอมองมาที่ป้ากลายวัยที่คิดว่าจะตีตน
“ฮึก... ฮื่อ”
“เธอเป็นโรคตาแดงหรือไง มีคนบอกอีกฝ่ายบอกตอนแกตีเด็กสองคนนั้น แกมีตาเป็นสีแดง”
“ผมไม่รู้.. ผมจำอะไรไม่ได้”
“อย่ามาโกหกฉันหน่อยเลย เธอไม่ได้จะบอกฉันว่ามีคนมาควบคุมตัวเธออยู่หรอกนะ”
“เฮ๋...”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหมองมองหน้าป้าที่กำลังเตรียมตัวทำอาหารเย็นสำหรับสองคน มัมมี่มองหน้าป้าของตนที่พูดอะไรแปลกๆออกมาอย่างไม่เข้าใจเธอจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทั้งสองข้างที่ไม่คิดว่าจะเป็นดวงตาสีแดงได้
พลั่น!!ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทั้งคู่กลายเป็นดวงตาสีแดงขึ้นมาหนึ่ง
สาวอวบตรงหน้าชะงักจนเผลอทำทัพพีหล่นตกพื้น ใบหน้าแสดงความรู้สึกตื่นกลัวออกมา เมื่อมัมมี่สะดุ้งสงสัยว่าทำไมป้าตรงหน้ามองเขาอยู่ดีๆทำไมถึงได้สะดุ้งเผลอทำทัพพีหล่นลงพื้นได้
“คุณชายมัมมี่ เธอเป็นโรคตาแดงหรือไง!”
“ผมไม่ได้เป็นนะครับ!”
“เมื่อกี้ตอนที่เธอกระพริบตามันสีแดงด้วย! เธอเป็นอะไรเนี้ย”
มัมมี่สะดุ้งเฮือกก่อนที่จะวิ่งไปหยิบกระจกมาดูดวงตาของตนแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร เด็กชายจึงวางกระจกไว้เป็นโต๊ะที่ตนค่อยหยิบมาอย่างช้าๆพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก
“ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลยนี่ครับ คุณป้าตาฝาดไปหรือป่าวครับ” สาววัยกลางคนถอนหายใจตามเด็กชาย แล้วค่อยก้มลงไปหยิบทัพพีที่หล่นไปขึ้นมาแล้วแกว่งไปมาและออกคำสั่งกับเด็กชายผู้เป็นหลานเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แม้เมื่อสักครู่เธอเห็นมันอย่างมั่นใจก็ตาม
“รีบไปอาบน้ำซะ ข้าวเย็นจะเสร็จก็ต่อเมื่อฉันเรียกให้มากิน”
“ค..ครับ” มัมมี่ก็รีบเก็บกล่องปฐมพยาบาลที่ทำยังไม่เสร็จ ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปชั้นสองแล้วเปิดประตูห้องของตนพร้อมกับวิ่งกระโดดขึ้นเตียงอันแสนนิ่ม
นอนแผ่กลางเตียงเงียบๆดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปิดเหม่อมองขึ้นไปบนเพดานที่มีแสงสีส้มสะท้อนอยู่ด้านบน ความเจ็บปวดที่หัวเข่าและส่วนอื่นของร่างกายยังคงหลงไว้อยู่
ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นหยิบผ้าห่มผืนโปรดขึ้นมาคลุมตัวเอง ผ้าห่มสีแดงที่เขาทีไรก็อดนึกถึงไม่ได้ว่าเหมือนมีใครบางคนคอยโอบกอดเขาอยู่ตลอดเวลา
มัมมี่ค่อยๆเอนตัวลงนอนพร้อมกับผ้าห่มสีแดงผืนโปรดประจำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยหม่นหมองกลับกลายเป็นว่าสดใสขึ้นมาเล็กน้อยยามที่ได้ห่มสิ่งที่รัก
เพราะเหตุผลใดไม่ทราบ พอได้ห่มมันทีไรมันให้ความรู้สึกว่าคล้ายกับได้โอบกอดจากใครบางคน อ่า..จะว่าไปพ่อแม่ของเขาก็เสียไปแล้ว เขาก็เหมือนโดนอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนี้โอบกอดเขาเหมือนกันมันเหมือนเป็นอ้อมกอดจากใครสักคนที่เขาไม่รู้จักมาก่อน แต่เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นและอ่อนโยนเสียมากมาย
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ปิดตัวลงอย่างช้าและเข้าสู่ห่วงนิทราไป เวลาผ่านไปไม่นานนัก เตียงนอนอ่อนตัวยุบลงไปเมื่อมีแรงกดทับมาจากแรงแรงหนึ่ง ภายในห้องสว่างจากแสงอาทิตย์ในยามเย็น ค่อยๆปรากฎตัวร่างโปร่งใสของเด็กชายผมแดงอายุเท่าเทียบกับเด็กชายผมสีน้ำตาลที่หลับใหลอยู่บนเตียง
ดวงตาสีแดงทอดมองไปร่างบางที่นอนหลับไหลกับผ้าห่มสีแดงเหมือนดวงตาของเขา เด็กชายโปร่งแสงค่อยๆโน้มตัวลงไปกอดร่างที่หลับอยู่ให้แนบแน่นพยายามแบ่งบันความอบอุ่นนี้ให้อย่างเงียบๆ
มัมมี่ ไม่ต้องกลัวเจ้าพวกเพื่อนเลวสองคนนั้น ผมจะปกป้องนายเอง นายยังมีผมค่อยเคียงข้างเสมอนะมัมมี่ นายไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป อ้อมกอดนี้ผมจะได้นายไปตลอดกาลเลย ถ้านายถูกรังแกผมจะค่อยปกป้องนาย หากนายโดนทอดทิ้งผมอยู่เคียงข้างนาย ผมจะโอบกอดนาย และหากนายไม่เหลือใคร ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่จะค่อยอยู่เคียงข้างนาย แม้นายจะมองไม่เห็นก็ตาม