บทนำ...
" ฮรึก....ค...คุณเเม่ครับ ฮืออ "
ทิวาคล้อยต่ำยามราตรีใกล้หวนมาเยือนอีกคราเเต่ทว่าเวลาเช่นนี้กลับปรากฏภาพของเด็กชายรูปร่างผอมบาง ผิวพรรณผุดผ่อง หน้าตาน่าเอ็นดู อายุราวๆห้าถึงหกขวบในชุดเอี๊ยมขาสั้นเสื้อเเขนยาวพอเหมาะเดินร้องไห้ไปอย่างไร้จุดหมายในป่าทึบ เเสงเงาที่ดวงตะวันสาดทอตกกระทบกับใบไม้ส่องลงมาพอมองเห็นทางเเต่สำหรับเด็กชายไร้ประสาเช่นนี้จะช่วยอะไรเขาได้ เด็กน้อยเดินลัดเลาะไปตามทางที่พอจะไปได้ หกล้มบ้างเป็นบางคราเเต่ทว่าด้วยเนื้อกายที่บอบบางทำให้บนร่างกายเป็นเเผลถลอกปอกเปิกอยู่ไม่น้อย
" ฮ...ฮรึก! ค...คุณเเม่ครับ...อาหลินหิวข้าวเเล้ว..ฮึก! "
อาหลิน? ใช่เเล้ว...อาหลินคือนามของเด็กน้อยผู้นี้เเละถึงเเม้ว่าชื่อของเขานั้นจะเเปลได้ตรงตัวเลยว่า 'ป่า' เเต่เขากลับไม่อยากอยู่ที่นี่นานเอาเสียเลย
อาหลินเดินไปเรื่อยๆอย่างเหนื่อยอ่อนเเข้งขาก็ล้าเสียเหลือเกินดวงตากลมโตก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่ไม่ขาดสายเเต่ทว่าหากหยุดฝีเท้าลงก็คงไม่ได้เจอคุณเเม่น่ะสิ!? เด็กชายจึงสาวเท้ามุ่งตรงไปอย่างไร้จุดหมายในใจหวังเเต่เพียงจะได้พบกับคุณเเม่อีกครั้งก็เท่านั้น
}°{
" ฝ่าบาทขอรับ...คุณชายน้อยผู้นี้---- "
" ออกไป... "
" ต...เเต่ว่า "
" เราบอกให้เจ้าออกไปก่อน... "
สิ้นเสียงกล่าวพลันปรากฏภาพของชายหนุ่มรูปร่างสันทัดร่างกายกำยำ หน้าตาคมสัน คิ้วหนารับรูปกับหน้าผากเเละสันจมูกโด่งได้อย่างพอดี ผมยาวสีขาวโพลนถูกปล่อยให้สยายออกจนพอสมควรบางส่วนก็ถูกมัดรวบไว้ด้วยผ้าผูก ริมฝีปากหยักได้รูปสีท้อขยับอยู่เนืองๆ สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตาบนเเขนเสื้อคลุมมีลวดลายศรีษะของกวางพร้อมเขาที่สวยงามสีทองปักอยู่พร้อมทั้งใส่เครื่องทองเเละหยกประดับบนตัวตั้งเเต่หัวจรดเท้าเสียหรูหราเเต่ทว่า 'บนศรีษะของบุรุษผู้นี้กลับมีเขาสง่ายื่นออกมาคล้ายกวางหนุ่ม' ผูกผ้าประดับบนเขานั้นด้วยผ้าสีขาวริ้วทองหลายเส้นยืนหยัดตรงเอามือไพล่หลังกล่าวโต้ตอบกับบ่าวรับใช้ผู้เป็นสหายคนสนิทที่บนศรีษะมีหูคล้ายสุนัขจิ้งจอกงอกออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเเลมีท่าทีองอาจสมกับสถานะหน้าที่
" เเต่ฝ่าบาท...เเดน 'เร้นสนธยา' มีกฏข้อห้ามสุงสิงกับมนุษย์....หากเบื้องบนรับรู้...เเคว้น 'เป่าโย่ว'.°°° อาจจักต้องมีปัญหาอีกร้อยพันอย่างเป็นเเน่...ได้โปรดพระองค์ทรงพิจารณา...นำคุณชายน้อยผู้นี้กลับออกไปส่งยังนอกประตูเเดนด้วยเถิด "
ชายชราในชุดอาภรณ์สีขาวสะอาดตาเช่นกันกับชายหนุ่มเเต่เป็นเพียงเครื่องเเบบของราชครูเท่านั้นอีกทั้งยังมีหูคล้ายหูของเสือภูเขาเอ่ยขัดขึ้นพร้อมกับวาดมือกลางอากาศประสานเข้าหากันเเล้วก้มศรีษะลงทำท่าเคารพชายผู้มีวรรณณะสูงกว่าอย่าง 'องค์รัชทายาทลู่วั่งซู' เเห่ง 'เเคว้นเป่าโย่วผิงอัน' ซึ่งเเปลได้ว่า 'คุ้มครองให้สงบสุขปลอดภัย' หนึ่งในเเคว้นที่สูงส่งใน 'เเดนเร้นสนธยา' ภายใต้ประตูเชื่อมโลกที่ถูกขนานนามว่า 'ประตูเย่นก้าย' ที่ถูกซ่อนให้พ้นจากสายตาของผู้คนภายนอกด้วยอาคมขั้นสูงมานานนับหมื่นๆปีด้วยท่าทีที่เป็นกังวลอย่างมาก
" เขาเป็นเพียงเด็กน้อย...มิน่าจักมีพิษภัยอันใดต่อเเคว้นเป่าโย่ว...อีกอย่าง...หากเด็กน้อยผู้นี้สามารถผ่านประตูเย่นก้าย...ผ่านข่ายอาคมของเเดนเร้นสนธยาของพวกเราเข้ามาได้เช่นนี้...มิใช่สวรรค์นำพาหรอกหรือ "
วั่งซูหันหน้ากลับมาตอบชายชราผู้มีหูเสือด้วยท่าทีสงบนิ่งพลางยกยิ้มที่เเสนจะอบอุ่นขึ้นประดับมุมปากของตนอย่างที่เขาชอบที่จะทำมันอยู่บ่อยครั้งเเละเขาคงไม่อาจรู้ว่าท่าทีเช่นนี้ของเขามักจะทำให้อิจสตรีน้อยใหญ่รู้สึกหลงไหลรอยยิ้มปานทิวารุ่งในฤดูเหมันต์ของกวางหนุ่มเช่นเขาอย่างหัวปักหัวปำได้ถึงเเม้จะเป็นเพียงครั้งเเรกที่พบปะกันเท่านั้น
" ฝ่าบาท...เเดนเร้นสนธยามิมีมนุษย์หลงเข้ามานับพันกว่าปีเเล้ว...กระหม่อมเห็นว--- "
" อย่างนี้เราก็ควรจักดีใจมิใช่หรือ....ตั้งพันกว่าปีเชียวหนาที่มิมีผู้ใดย่างกรายเข้ามา "
วั่งซูยังคงยืนกรานเถียงผู้รับใช้ใกล้ชิดอีกทั้งยังเป็นท่านอาจารย์คอยสอนวิชาความรู้ต่างๆให้อย่างท่านราชครู 'หู่หลี่เฉียง' ที่ร่างเเปลงนั้นเป็นเสือภูเขาตัวใหญ่ทะมึนด้วยท่าทีสงบนิ่งราวกับหุบเขาที่สูงส่งพร้อมส่งยิ้มให้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
" กระหม่อมก็เห็นด้วยกับท่านราชครูหนาขอรับ...คุณชายน้อยผู้นี้เรามิรู้ที่มา...อีกทั้งยังทำลายข่ายอาคมของประตูเย่นก้ายเข้ามาได้...นับว่ามิธรรมดาเลย "
บ่าวรับใช้ใกล้ชิดที่เป็นทั้งบ่าวเเลเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของลู่วั่งซูอย่าง 'หูหวังเหล่ย' ที่มีร่างเเปลงเป็นสุนัขจิ้งจอกเอ่ยขัดขึ้นอย่างลืมตัวอีกครั้งไม่ได้สนมารยาทใดๆ
" หวังเหล่ย...เจ้าก็ดูเสียสิ...เขาเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยอีกทั้งยังมีเเผลถลอกปอกเปิกทั้งตัวเช่นนี้...เขาจักทำกระไรให้เดือดร้อนเเก่เเคว้นเป่าโย่วฯของเราได้กัน "
วั่งซูมองหน้าสหายรักที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าคล้ายเอ็นดูในความวิตกของจิ้งจอกหนุ่มก่อนที่ขาเรียวยาวจะค่อยๆก้าวเข้าหาเด็กน้อยผู้หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงใหญ่อย่างช้าๆ วั่งซูนั่งลงบนเตียงข้างๆกายของเด็กน้อยพลางจดจ้องใบหน้าหวานของเด็กชายอย่างถี่ถ้วนพลันปรากฏรอยยิ้มที่เเสนอบอุ่นอันเป็นรอยยิ้มประจำกายของวั่งซูขึ้นอย่างประหลาด
*เด็กคนนี้...ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง*
เหตุอะไรที่ทำให้วั่งซูอยากสัมผัสใบหน้าของเด็กชายผู้นี้กัน?
วั่งซูค่อยๆเลื่อนมือเข้าหาดวงหน้าหวานนั้นอย่างช้าๆเเละในทันทีที่มือของวั่งซูสัมผัสกับเเก้มนุ่มนิ่มของเด็กชายพลันปรากฏเเสงสว่างสีทองขึ้นจากการสัมผัสนั้นจนผู้คนที่อยู่ในห้องอีกสองคนที่เห็นเหตุการณ์ก็ต่างตกใจไปตามๆกันเเต่ไม่ทันที่จะได้ทักท้วงเด็กชายก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
" ตื่นเเล้วรึ....หิวหรือไม่เล่า "
เด็กชายกระพริบตาอย่างช้าๆพลางจดจ้องมายังใบหน้าของวั่งซูที่เอ่ยถามเขาราวกับสงสัยในบางสิ่ง
" พี่เป็นกวางเหรอฮะ... "
เด็กน้อยถามวั่งซูกลับด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางดันกายขึ้นเเล้วใช้มือขยี้ตาเพราะพึ่งตื่นจากการหลับไหล
" ใช่....ข้าเป็นกวาง "
วั่งซูกล่าวตอบพลางยกยิ้ม
" เเล้วคุณเเม่ล่ะฮะ...อาหลินคิดถึงคุณเเม่ "
วั่งซูนั่งนิ่งไปสักพักพร้อมคำถามในหัวอีกมากมายจนเกิดความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสี่ที่อยู่ภายในห้องๆนี้
" อาหลินหิวเเล้วด้วย... "
" เมื่อครู่....เจ้าถามหาเเม่รึ? "
" อาหลินหิว.... "
เด็กชายกระพริบตาถี่พลางเริ่มสูดหายใจเข้าทางจมูกถี่ขึ้นเเล้วจดจ้องหน้าของวั่งซูด้วยสายตาคล้ายคนจะร้องไห้
" หวังเหล่ย.... "
" ข...ขอรับฝ่าบาท "
" ในห้องเครื่อง...ยามนี้มีกระไรพอทานได้บ้าง "
วั่งซูเอ่ยถามหวังเหล่ยพลางเอื้อมมื้อไปลูบผมของเด็กชายเเล้วยกยิ้มด้วยความเอ็นดู
" ฝ่าบาท...กระหม่อมเกรงว--- "
" เจ้าชื่ออาหลินใช่หรือไม่....ปะ...อาหลิน...เราไปทานอาหารกัน "
ไม่ทันที่ท่านราชครูจะได้เอ่ยขัดจนจบประโยควั่งซูก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับก้มลงไปอุ้มเอาอาหลินขึ้นมาเเล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้สนใจผู้ใดอีกเลยราวกับว่าที่ผ่านมาในห้องมีเพียงเเต่เขากับเด็กน้อยเพียงสองคนเท่านั้น
#ผมคือเจ้าสาวของคุณกวาง
โดย - คูมdie
ผู้สมรู้ร่วมคิด - คูมจิ้ป