ความฝันของคนดี
0
ตอน
835
เข้าชม
151
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

“เป็นไงบ้างครับ”

รุ่นน้องถามขึ้นมา พลางกวาดสายตามองผมขึ้นลงด้วยสายตาแปลกๆ ขณะที่เรากำลังเดินดูหนังสืออยู่ในร้าน ผมหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ขึ้นมาเปิดผ่านๆ ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

“ก็ปกติดีนี่”

“ปกติดี?”เขาทวนคำเสียงสูง สีหน้าขึงขังประหนึ่งตำรวจที่เจอประชาชนทำผิดกฎจราจร“ผมว่าพี่ควรจะเอานิสัยพ่อพระนั่นมาใช้กับตัวเองบ้างก็ดีนะครับ!”

ผมยิ้มเล็กๆ ให้กับความคิดนั้น พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่ผมกำลังขี่จักรยานกลับบ้านหลังจากเลิกเรียน ผมเพิ่งขี่จักรยานพ้นประตูรั้วได้ไม่ไกลนัก

ไม่ทันได้หันมองอะไร รถยนต์คนหนึ่งพุ่งชนเข้ามา ร่างของผมลอยกระแทกหลังคารถก่อนจะตกลงมา ภายในชั่วเสี้ยววินาทีแทนที่ความตายจะบั่นคอจนสิ้น ผมกลับนอนหงายอยู่ที่พื้นโดยมีบาดแผลเพียงรอยเศษกระจกบาดที่ลำคอเล็กน้อย หัวโล่งว่าง ไร้ความคิดใดๆ ทั้งสิ้น

เพียงแต่ว่าชั่วขณะนั้นผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่าง แสงสว่างอันเจิดจ้า และท่อนคำที่ไร้เสียง

‘XXX’

พริบตาทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ปกติ ความว่างเปล่าถูกแทนที่เข้าด้วยความวุ่นวาย ผมถูกส่งเข้าโรงพยาบาลทั้งที่ปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร และก็เป็นจริงดังคาด ไม่นานนักผมก็ถูกส่งตัวออกมาพร้อมคำพูดที่ถูกพ่อกรอกใส่หัวมาตลอดทางว่า‘พักผ่อนเยอะๆ นะ’

หากแต่ผมก็รั้นมาโรงเรียนจนได้

“ฉันกลับบ้านก่อนละกัน นายก็ระวังตัวเองดีๆ ล่ะ”ผมบอกเขา ก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากร้าน หันกลับไปมองอยู่แวบหนึ่ง ก็เห็นว่ารุ่นน้องกำลังมองมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

 

‘พ่อพระ’ นั้นคือสิ่งที่ทุกคนใช้เรียกผม ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ดีอะไรมากแท้ๆ ที่ทำไปก็แค่เป็นสิ่งที่ควรทำกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง หรือเรื่องแค่นี้ก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดด้วย

เพราะนิสัยของผมที่ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นพ่อพระ เลยทำให้ไม่ค่อยมีคนมายุ่งกับผมสักเท่าไหร่ กลับกันทุกคนกลับมองผมราวกับเป็นตัวอันตรายน่ารำคาญที่อาจจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้เสมอ โดยเฉพาะตั้งแต่ตอนที่ผมโดนรถชน หลังจากนั้นมาทุกคนยิ่งมองผมด้วยสายตาที่ไม่ต่างกับมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง

ใช่ เรื่องเมื่อตอนนั้นมันแปลก แม้แต่ตัวผมก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อ

ยิ่งไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะมองผมแบบนั้น ตอนที่พ่อรู้เรื่องท่านแทบลมจับ ท่านทิ้งงานแล้วรีบมาหาผม กอดผมแน่นประหนึ่งเหนี่ยวรั้งเหมือนจะไม่อยากให้ผมหายจากไปไหน

ตอนนั้นสีหน้าของท่านไม่ต่างจากตอนที่แม่จากไป ตอนนั้นท่านก็เอาแต่ทำหน้าแบบนั้น

หน้าของคนที่โลกทั้งของเขาใบได้แตกสลายไปแล้ว

จำได้ว่าตอนนั้นผมได้แต่กอดปลอบพ่อ พร้อมกระซิบอยู่ข้างหูท่านตลอดเวลาว่า‘ยังมีผมอยู่ข้างๆ นะ’ แล้วทุกคนในงานก็มองมาที่เราด้วยสีหน้ากึ่งสงสารกึ่งเวทนา

ผมไม่เคยเข้าใจว่ามันน่าสงสารอย่างไร ก็ในเมื่อทุกสิ่งที่ผมทำไป มันเป็นสิ่งที่ควรทำมาแต่แรกแล้ว ก็เหมือนกับพวกเขาที่แสดงสีหน้าสงสารเศร้าโศกก็เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือไง

ที่ทุกคนมาศพของแม่ผม ก็เพราะแค่มันเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่เหรอ?

ทุกคนน่ะ ต่างก็กำลังโกหกกันอยู่ไม่ใช่หรือไง?

มนุษย์เรามีตัวเลือกอยู่สามหนทาง หนึ่งคือทำในสิ่งที่เราต้องการทำแล้วมีความสุข สองคือทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองดูดี สามคือทำในสิ่งที่สังคมต้องการ ผมก็แค่ทำสิ่งที่สังคมต้องการ สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น

เอาจริงๆ นะ ทุกคนน่ะเคยทำสิ่งที่ใจตัวเองต้องการสักครั้งมั้ยล่ะ

“ตรงนี้นายทำผิดอีกแล้วนะ”

ผมจิ้มนิ้วลงไปในสมุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรุ่นน้องที่นั่งตัวตรง เขาเงยหน้าขึ้นมองผมเหวอๆ ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ร้านกาแฟที่ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่ ทันทีที่ผมนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาก็รีบเอ่ยทันที

“นี่พี่รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่!?”

          ผมสั่งกาแฟดำกับพนักงานเสิร์ฟหญิงที่เดินมารับออเดอร์ เธอยิ้มรับพลางลูบลำคอที่มีรอยบีบแดงๆ อยู่

“พูดอะไรของนายน่ะ บ้านฉันอยู่ตรงหัวมุมถนนนี่เองนะ”ผมว่า พลางพยักเพยิดหน้าไปทางบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกล“อีกอย่างฉันก็มาร้านนี้ประจำน่ะ เพราะฉะนั้นคำถามเมื่อกี้ฉันก็ควรจะเป็นคนถามมากกว่าด้วย”

“ทำไมพี่ไม่เคยบอกผมเลยล่ะว่าบ้านพี่อยู่นี่”เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“บอกทำไม นายไม่ได้ถาม”ผมบอก ก่อนจะหันไปเอ่ยขอบคุณพนักงานเสิร์ฟพร้อมกับรับกาแฟดำมาจิบ รสชาติขมๆ ของมันแผ่ซ่านไปทั่วลำคอ“ว่าแต่นายเถอะ มาทำอะไรที่นี่ล่ะ”

“เอ่อ ก็เรื่องเดิมๆ น่ะครับ”รุ่นน้องเอ่ย มุมปากของเขาเม้มเข้าหากันน้อยๆ ผมมองเขาเงียบๆ ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลงอย่างแผ่วเบาไร้เสียง ...คงเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้สินะ

“เรื่องของที่บ้านน่ะเหรอ”ผมลองเอ่ยออกไป

“อ่า ครับ”เขาพยักหน้ารับเก้ๆ กังๆ มือที่เคยจับปากกาเปลี่ยนมากุมกันเบาๆ

ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“มีอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะ ยังไงก็คนสนิทกันนี่”

ใช่ ก็เพื่อนควรช่วยเพื่อนนี่ ถึงแม้ผมจะไม่รู้ก็เถอะว่าอีกฝ่ายเขานับผมเป็นเพื่อนหรือเปล่า แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมควรทำในตอนนี้

“เรื่องเดิมนั่นล่ะครับ...”

ผมมองสีหน้าหม่นหมองของเขา พลางพยักหน้ารับ ที่แท้ก็เรื่องความคาดหวังอะไรนั่นของครอบครัว ในตอนนี้เขาเองก็เป็นเหมือนคนประเภทที่สองงั้นเหรอ คนที่ทำในสิ่งที่ดี...

“ผมไม่ได้อยากเป็นหมอ”เขาว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าและดวงตาที่สบมาดูวุ่นวายสับสนประหนึ่งคลื่นสาดซัด“ผมเคยบอกไปแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยฟัง พวกเขาเอาแต่บอกว่าผมคือความหวังเดียวของพวกเขา ผม ผมควรทำไงดีครับ...พี่”

“แล้วแต่นายสิ”ผมว่า พลางลูบไล้ตัวถ้วยกาแฟบนโต๊ะเบาๆ“ถ้าหากฉันบอกไป นั่นก็จะเป็นความต้องการของฉันที่จะควบคุมนาย มันก็จะกลายเป็นว่าฉันไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ เลยนะ เพราะฉะนั้นนะ ตามแต่ใจของนายเถอะ”

เขาเงียบไป หากแต่ก็ยังมองสบตากับผม ริมฝีปากนิ่งสนิทราวกับก้อนหินหนักพันตัน ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มสดใสเปี่ยมไปด้วยความสุข ยิ้มทั้งปากและตา

“พี่รู้มั้ยครับ ว่าผมนับถือพี่มากขนาดไหน”เด็กหนุ่มเอ่ย“ผมชื่นชมพี่มาก พี่เป็นเหมือนไอดอลของผมเลยนะครับ ผมอยากให้พี่เป็นพี่แบบนี้ไปตลอดจัง”

“พูดแบบนี้ฉันก็เขินนะ”ผมว่ายิ้มๆ หากแต่ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงความขวยเขินใดๆ ทั้งสิ้น

“ตั้งแต่ที่โรงเรียน เวลาเห็นเรื่องไม่ได้พี่ก็มักจะเป็นคนแก้ไขเสมอ ปกติแล้วเวลาคนที่เห็นเพื่อนลอกข้อสอบ พี่เลือกที่จะไม่แจ้งครูก็ได้เพื่อที่จะได้ไม่ผิดใจเพื่อน แต่ในขณะเดียวกันพี่ก็สามารถแจ้งครูได้เหมือนกัน แต่พี่กลับไม่แจ้ง พี่เลือกที่จะพูดคุยกับเขาแถมยังช่วยสอนการบ้านเขาซะงั้น”

ผมหัวเราะฝืดๆ“นี่แอบมองมาตลอดเลยหรือไงน่ะ”

“พอดีว่าตอนนั้นผมเดินผ่านพอดีก็เลยเห็นน่ะครับ”

ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจความพอดีที่ผิดแปลกของเขา ก่อนจะชี้ไปที่สมุดของเขาที่กางทิ้งไว้บนโต๊ะ พลางเหลือบไปมองเจ้าของร้านที่มองมาทางผมอย่างยิ้มๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ

“ถึงนายไม่อยากเป็นหมอก็เถอะ นายก็ไม่ควรทำผิดนะ”

“ไม่เอาน่า...”

 

“ทำไมถึงสว่างขนาดนี้ล่ะ”ผมหยีตาทันทีที่ลืมตาตื่น ปกติแล้วผมเป็นคนตื่นเช้ามืด และไม่มีทางว่าเช้ามืดของผมจะสว่างขนาดนี้เด็ดขาด มันเป็นแสงสว่างแบบเดียวกับที่เห็นเมื่อตอนที่ถูกรถชนนั่น

รอสักครู่จนเริ่มชินกับแสงสว่างผมก็เอื้อมมือไปที่หัวเตียงหยิบแว่นมาใส่ ภาพที่พร่ามัวตรงหน้าจึงดูชัดเจนขึ้นมาบ้าง และผมก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นสภาพห้องที่ตัวเองอยู่

ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องน้ำหากแต่ว่ากลับมีแต่สีขาว ทั้งตู้โต๊ะเพดานพื้นและหน้าต่าง ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวรวมถึงชุดนอนที่ผมสวมอยู่ เครื่องเรือนที่รูปทรงทันสมัยและผิดแปลกทำให้ผมลุกขั้นไปมองใกล้ๆ จนไปพบกับกระจกเก่าๆ บานหนึ่ง มันสะท้อนภาพของผมออกมา เป็นรูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมแว่นไร้กรอบ หากแต่ว่าทั้งเส้นผมและผิวกายกับขาวสะอาดตา

ราวกับว่าผมเป็นเพียงกระดาษขาวที่จะเขียนอะไรลงไปก็ได้

หากแต่ก่อนที่ผมจะได้สำรวจตัวเองไปมากกว่านั้นเสียงตะโกนของคุ้นหูก็ดังลอยเข้ามาในห้อง ผมรีบวิ่งไปที่ประตู ตั้งใจจะเอื้อมมือเปิดมัน แต่มันกลับเลื่อนเปิดเองจนผมหน้าเหวอ

“ทำอะไรของลูกน่ะ สายขนาดนี้ทำไมไม่ไปอาบน้ำ นี่เพื่อนเขามารอลูกแล้วนะ”พ่อของผมมีรูปร่างไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่มเต็มวัย หากเส้นผมกลับขาวขุ่นเช่นเดียวกับผิวกายที่คล้ำกว่าผมเล็กน้อย ทั้งๆ ที่พ่ออายุย่างเข้าหกสิบแล้วแท้ๆ

ทุกอย่างมันดูผิดแปลกไปหมดตั้งแต่ที่ผมตื่นมา บางทีนี่อาจจะเป็นแค่ฝันก็ได้ ผมเฝ้าภาวนาให้เป็นอย่างนั้น ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงนี่คงเป็นฝันที่สมจริงเกินไปแล้ว ผมคิดตามที่พ่อพูดก่อนจะพยักหน้าแล้วกลับเข้าไปในห้องเผื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่พ่อพูด

คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งหากผมจะเล่นตามความฝันของเรา ผมบอกกับตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในที่ที่เหมือนห้องน้ำแล้วเสื้อผ้าที่ผมใส่ก็เลือนหายไป สักครู่ผมก็เดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้ายุ่งยากอย่างไม่ปิดบัง ถึงจะบอกว่าอาบน้ำก็เถอะแต่ดูยังไงมันก็แค่ยืนนิ่งให้ลมอุ่นๆ พัดผ่านร่างเท่านั้นแม้แต่เสื้อผ้าที่แค่กดเลือกรายการทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตามใจชอบ สุดท้ายผมก็ยืนง่อยอยู่ชั้นล่างในชุดเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงขาว ขาวล้วนไปทั้งตัว

“ทำไมช้าขนาดนี้ล่ะคะลูก”เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น“ไม่สบายหรือเปล่า?”

ผมหันไปมองตามก็จะเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นแม่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่ต้องเป็นฝันแน่ๆ ต้องเป็นฝันสิ...

“คุณคะ คุณทำอะไรลูกหรือเปล่า ทำไมลงมาถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ”แม่หันไปใครสักคนในห้องห้องหนึ่ง พ่อเดินออกมา มองหน้าแม่สลับกับผมก่อนจะส่ายหน้า

“อะ เอ่อ ผมแค่มึนหัวนิดๆ น่ะครับ”ผมว่าพลางหัวเราะแห้งๆ แต่แม่กลับมีท่าทีตกใจ

“ไม่สบายเหรอลูก ไปศูนย์พยาบาลมั้ย”แม่ว่าด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนจะหันไปพูดใส่พ่อเสียงสั่น“เห็นมั้ยคะคุณ ฉันบอกแล้วว่าให้ย้ายไปอยู่เขตหนึ่ง เขาอ่อนแอ...อ่อนแอเกินไป”

ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่จู่ๆ คนคนหนึ่งก็เดินเข้าในบ้านของเราท่าทีรีบร้อนเป็นห่วง

“น้องเป็นอะไรหรือครับแม่!?”ชายหนุ่มคนนั้นรูปร่างหน้าตาคุ้นเคย สวมชุดไปรเวตเรียบร้อยแต่ก็ไม่ได้ขาวล้วนแบบผม สายตาของผมจดจ้องเขาอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะเรียกเขาขึ้นมา

“นาย...?”

“น้องชายนายเป็นอะไร?”เขารีบสาวเท้ามาหาผม พลางยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ ผมส่ายหน้าก่อนจะหันไปบอกคุณแม่

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับแม่หายแล้วล่ะ”ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ“เมื่อกี้พ่อบอกใช่มั้ยครับว่าพี่เขามารอผม งั้นผมไปก่อนนะครับ”

ทำไมเจ้ารุ่นน้องนี่ถึงกลายมาเป็นรุ่นพี่ผมไปได้ล่ะ ผมบ่นอยู่ในใจเพราะไม่สามารถควบคุมอะไรได้ เลยได้แต่นั่งอยู่บนยานอวกาศแปลกๆ ที่ลอยข้ามผ่านบ้านเมืองข้างล่าง

“พี่ครับ ปีนี้ปีอะไรเหรอครับ?”ผมถามขึ้นมา

“ปี 2658 น่ะสิ มีอะไรหรือไง”

“2658? แล้วที่นี่เขตไหนเหรอครับ”ผมว่าพลางนึกถึงเขตหนึ่งที่แม่พูด

“เขตสอง พลเมืองชั้นกลางน่ะ ทำไม นายอยากย้ายไปอยู่เขตหนึ่งงั้นเหรอ”เขาว่าพลางบังคับยานผ่านยอดตึกที่สูงจนเสียดฟ้า

“ทำไมผมต้องอยากย้ายด้วยล่ะครับ?”ผมขมวดคิ้วน้อยๆ

“เขตหนึ่งน่ะเป็นเขตที่มีศูนย์พยาบาลเยอะเป็นพิเศษน่ะ อันที่จริงทุกที่ก็มีศูนย์พยาบาลเหมือนกันหมดนั่นล่ะ แต่ไม่ค่อยมีคนใช้บริการ ทำไงได้ พอมีการปรับแต่งพันธุกรรมพวกโรคอะไรเลยไม่ค่อยมีกัน จะมีก็แต่นายนี่ล่ะ...”

“มีแต่ผม?”

“ใช่ ลืมไปแล้วหรือไง ว่าตัวเองอ่อนแอแค่ไหน เพราะการตัดต่อที่ผิดพลาดล่ะนะ จะโทษว่าโชคชะตานายโหดร้ายเองก็ได้”

ผมพยักหน้าพลางลูบแว่นเบาๆ อย่างว่า ทำไมผมถึงยังใส่แว่น ก่อนสายตาของผมจะไปเจอกับบางอย่างที่ใสระเรื่ออยู่ขอบฟ้า

“แล้วนั่นอะไรเหรอครับ?”ผมชี้ไปที่แสงนั้น เขาหันไปมองแวบหนึ่งก่อนจะตอบ

“บาเรียกั้นโลกไง”เขาเหล่มองผม“นายไม่รู้สินะ ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกแต่คนเขาเล่ากันมาน่ะ ว่าแต่ก่อนเคยมีสงครามกัน ถ้าชนะก็จะฆ่าทิ้งก็ได้ใช่มั้ยล่ะ แต่ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะจับคนมาล้างความจำแล้วยัดคนใส่เมืองที่ตัวเองได้มา แต่ฉันก็ไม่ว่าหรอก เมืองแบบนี้ก็ดีไม่ใช่แล้วหรือไง ไม่มีสงคราม ไม่มีการกดขี่ ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีการผิดกฎใดๆ มีแต่ความเสมอภาค ถึงมันจะอึดอัดเรื่องกฎก็เถอะนะ...”

“ยูโทเปียชัดๆ”ผมเอ่ยเบาๆ พลางทอดถอนหายใจให้กับเมืองที่ดีงามจนน่ากลัวแห่งนี้ พร้อมกับจ้องมองพ่อแม่ลูกคูหนึ่งที่กุมมือกันเดินอยู่บนฟุตบาท ไม่ว่ามองไปที่ไหนก็เห็นแต่รอยยิ้มทั้งนั้น

แล้วผมก็ลืมตาขึ้นมา

มันฝันจริงๆ ด้วยสินะ...ผมหอบหายใจ พลางยกมือลูบใบหน้าหากแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อตัวเองยังสวมแว่นอยู่ ก็เมื่อก่อนนอนผมก็ถอดแว่นออกไปแล้วนี่? ช่างเถอะ... เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสายซะก่อน

 

“อะไรนะครับพี่ฝันเห็นยูโทเปีย?”

รุ่นน้องพูดอย่างตกตะลึง เสียงของเขาดังจนพวกเพื่อนๆ ในห้องหันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ

“ก็ใช่”ผมว่าเสียงอ้อมแอ้ม“เห็นนายด้วยล่ะ”

          “สุดยอด ผมอยากให้พี่ฝันเห็นดิสโทเปียบ้างจัง”

ใครจะรู้ว่าในคืนนั้นคำพูดของรุ่นน้องจะเป็นจริง เพราะว่าเมื่อทิ้งตัวลงนอนผมก็ฝัน ฝันเห็นเมืองเมืองหนึ่ง

ฝุ่นดินเข้าไปในปาก กลิ่นเลือดแทรกซึมเข้าในลิ้น ช่างเป็นความฝันที่จริง ผมถูกใช้งานในเหมืองแห่งหนึ่ง ได้ยินพวกคนคุมโง่ๆ พวกนั้นพูดถึงสงครามที่เกิดขึ้นที่แดนเหนือ พวกเขาด่าทอพวกผมว่าคนโง่ก็สมควรถูกใช้งานเท่านั้นก็พอแล้ว

ทันทีที่ผมหยุด แส้ไฟฟ้าของผู้คุมก็จะฟาดใส่หลังของผม มันทั้งเจ็บปวดและชาด้านหลังของผมเต็มไปด้วยบาดแผลสีแดงของเลือดแทบจะกลืนกินไปกับผิวคล้ำๆ ของผม

มันทั้งเจ็บปวดและน่าเคียดแค้น ทุกครั้งที่ผมเงยหน้าผมก็จะเห็นแผ่นกระจกใสที่กั้นระหว่างโลกเบื้องบนกับโลกข้างล่าง โลกข้างบนที่เต็มไปด้วยกลไกเงินตรา ผู้คนที่จมปลักอยู่ในโลกีย์ คนโง่ๆ บางคนไม่จำเป็นต้องลงมาอยู่ข้างล่างอย่างผมกลับยังมีชีวิตอยู่อย่างสบายใจเฉิบ เพราะเป็นเพียงแผ่นกระจก ผู้คนข้างบนเลยมองลงมาเห็นข้างล่างได้ ขณะที่พวกผมมองเห็นได้หรือไม่ได้แล้วแต่พวกเขาจะต้องการ

ที่โลกด้านล่างนี้มีทั้งหญิงและชาย ผู้หญิงถูกจัดหน้าที่ให้แต่หุงหาอาหาร แหล่งเพาะพันธุ์และเครื่องระบายอารมณ์ทางเพศของคนงานเท่านั้น ขณะเดียวกันพวกเธอก็ถูกคนงานมองอย่างดูถูก

คนจากโลกเบื้องบนมองคนข้างล่างอย่างรังเกียจ คนข้างล่างก็มองกลับไปอย่างเคียดแค้น

สายตาที่มองมาจากโลกเบื้องบนล้วนเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูหมิ่น มันเป็นสายตาของศัตรูที่เต็มไปด้วยความต้องการอยากให้อีกฝ่ายหายไป

พวกเราได้ทานแค่แคปซูลอาหาร ได้ดื่มแค่น้ำคลองสกปรกเต็มไปด้วยสารพิษ พวกเรานอนไม่ได้ทุกครั้งที่เราง่วงพวกเขาจะกรอกน้ำอะไรบางอย่างให้เรากิน บางทีนั่นอาจเป็นยาเสพติด

พวกเราทำงานเพื่อแลกกับการได้ยานั่น

ทุกครั้งที่กลืนกินยานั่นเข้าไป ร่างกายของผมมักจะมีชีวิตชีวา ทั้งเจ็บปวดทั้งมีความสุข ทั้งความรัก ความฝัน แล้วความหวังมันจะพลุ่งพล่านอยู่ในร่าง แม้แต่กระแสของความรังเกียจก็เช่นกัน หากเมื่อไม่ได้ยา ความเจ็บปวดเจียนตายจะเข้ามาแทนที่ความสุขราวกับขึ้นสวรรค์นั้น

เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ

มันเจ็บ เจ็บจนบรรยายไม่ถูก ผมลองที่จะไม่กินยานั่นเข้าไป และลองที่จะไม่ทำงาน พวกผู้คุมไม่ได้ฆ่าผมทันที พวกเขานำผมมาทิ้งไว้ที่ข้างแหล่งน้ำที่ผมเคยดื่มกิน ข้างๆ ร่างของคนตายอืดๆ ร่างหนึ่งที่ร่างกายซีกหนึ่งหายไปเพราะแรงระเบิดในเหมือง ผมสูดเอาอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นเข้ามาในปอด อาการแน่นหน้าอกก็ค่อยๆ ดำเนินไป พร้อมๆ กับความเจ็บปวดของการไม่ได้รับยา

ผมได้แต่เหม่อมองหนอนตาขาวๆ อวบอ้วนที่ชอนไชอยู่ในศพข้างๆ พลางคิดว่าสักพักมันคงย้ายบ้านมาอยู่กับผมแทนในไม่ช้า

มันเจ็บปวดจนแทบไม่รู้สึกอะไรแล้ว ผมพลิกร่างขึ้นนอนหงายมองขึ้นไปยังโลกเบื้องบน มองชายคนหนึ่งที่หน้าตาไม่ต่างอะไรกับรุ่นน้องของผม เขาสวมชุดสูทดูหรูหรา สีหน้าท่าทางเย่อหยิ่งประหนึ่งเหยียบโลกไว้ทั้งใบ

เขาเดินอยู่ฟุตบาทท่ามกลางผู้คน แต่ผมกลับมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาชนเขา เขาชักสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะชักปืนออกมาแล้วยิงไปที่ผู้หญิงคนนั้น

ไร้การห้ามปราม ไร้การตักเตือน ไร้การสนใจ รุ่นน้องหายไปในฝูงชน ขณะที่ร่างของผู้หญิงคนนั้นล้มลง ชายผ้าเนื้อดีนั้นแผ่ไปทั่วพื้นรวมถึงเส้นผมสีบลอนด์ ผู้คนต่างเดินเหยียบย่ำเธอไป ผ่านไปสักพักทันทีที่พวกเขารู้สึกพวกเขาก็ทำท่ารังเกียจราวกับเพิ่งเหยียบอึสุนัข เลือดของเธอแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ผู้คนพร้อมใจกันทิ้งห่างร่างนั้น แต่ก็ไร้ความสนใจ จนผ่านไปสักครู่ก็มีคนในชุดพนักงานมาเก็บศพนั้นไปแล้วค่อยทำความสะอาด

เป็นเมืองที่ไร้กฎระเบียบซะจริง ผู้คนล้วนทำตามใจ ไม่มีความสนใจ

ถ้าถามว่านรกเป็นยังไง นี่ก็อาจจะเป็นนรกที่ผมจะเล่าให้พวกเขาฟัง คู่รักที่มีเซกส์อยู่ข้างถนน ข้างๆ คนที่กำลังมีเซกส์กับสุนัข ชายที่เพิ่งแทงเด็กสักคนที่เดินชน คนชราที่ถูกรถชนจนขาหายกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ศพที่ถูกวิ่งข้างทาง เด็กหนุ่มที่เดินถือไส้สดๆ กินหน้าตาเฉยพลางเล่นโทรศัพท์มือถือ วัยรุ่นที่กำลังยกพวกตีกัน เด็กสาวที่ยุแหย่ผู้คน นักธุรกิจชุดขาวที่กำลังยิ้มปริอย่างมีเลศนัย คนจนที่ไร้การเหลียวแล

ฮะๆ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอิสระ อยากทำอะไรก็ทำซะจริง!

ผมหัวเราะให้กับโลกเบื้องบน เหยียดหยามพวกเขา ประณามโลกใบนี้ทั้งใบ พลางคิดถึงยูโทเปียที่ผมไปเยือน ระหว่างที่ผู้คนมีอิสระอย่างบ้าคลั่งกับเมืองที่ผีเสื้อกระพือปีกผิดที่ผิดทางทีก็กลัวว่าโลกจะล่มสลายแบบนั้น โลกแบบไหนมันดีกว่ากันนะ

ไม่ว่าแบบไหน มันก็แย่ทั้งนั้นแหละ

ผมพึมพำเบาๆ อย่างไร้เสียง แล้วจู่ๆ คนงานคนหนึ่งที่มากินน้ำก็เหลือบมองมาทางผม ด้วยสายตาหดหู่ เขาพูดขอโทษแล้วเอื้อมมือไปหยิบก้อนหินขึ้น เงื้อมือ...

แล้วทุบหัวของผม

พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่กๆ!!!

ขอบคุณนะ ...นั่นคือคำพูดของผมที่อยากบอกชายร่างผอมกะหร่องคนนั้นก่อนที่ผมจะตื่นขึ้นมา

 

ผมนอนนิ่งอยู่บนเตียง เฝ้าคิดถึงฝันของตนเองอย่างเงียบเชียบ เสียงของเข็มนาฬิกาดังต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นเวลาที่ดึกดื่นเพียงไหน

‘XXX’เสียงเมื่อตอนนั้นดังขึ้นมาอีกครั้งราวกับกำลังจะย้ำเตือนถึงอะไรบางอย่าง

ฝันทั้งสองนั่นคืออะไรกันนะ มันหมายความว่ายังไง? แล้วการที่ผมรอดมาอย่างปาฏิหาริย์นั่นล่ะ บางทีพระเจ้าอาจจะเห็นใจที่ผมทำสิ่งดีๆ มาตลอดก็ได้

ท่านก็เลย...ช่วยผมเอาไว้ แล้วก็บอกสารนั้นแก่ผม

เพื่อให้ผมตัดสินใจ

ผมคิดอย่างเหม่อลอย ก่อนจะต้องด่าตัวเองเมื่อเห็นว่าความคิดนี้แปลกประหลาดแค่ไหน ผมเฝ้าคิดทบทวนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเผลอหลับไปอีกครั้ง

ในวันรุ่งเช้าต่อมา ผมก็มาโรงเรียนปกติ แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้ใครฟังถึงความฝันในครั้งนั้นนอกจากเจ้านั่น ผมยังถูกทุกคนเรียกว่าพ่อพระเหมือนเดิม ถูกเจ้ารุ่นน้องนั่นวิ่งตามต้อยๆ แล้วก็เรียกพี่ๆ เหมือนเดิม เจ้านั่นนี่มันเด็กจริงๆ

ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขของผม ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ผมได้แต่หวังและภาวนาขอให้อนาคตของพวกเราและโลกใบนี้แต่ความสุข ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะเป็นคนดีของสังคม ในขณะเดียวกันผมก็จะทำสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข ผมจะทำเพื่อสังคม และจะทำสิ่งที่ผมต้องการ

ขอให้ร้อยปีจากนี้เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความสุขทีเถอะ

แล้วในวันพรุ่งนี้ ผมก็ลุกขึ้นก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป

 

“ไม่เป็นอะไรแน่นะลูก”พ่อของผมถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของผม

“ทำไมพ่อต้องมองว่าผมกำลังแย่ล่ะครับ นี่ผมกำลังมีความสุขนะ”ผมหัวเราะก่อนจะเดินเขาไปในห้องนอน แล้วทิ้งตัวลงหน้าคอม พลางเอื้อมมือไปกดเปิดเครื่อง

ขณะที่กำลังรอจนสักครู่ ผมก็ขยับมือบิดเปิดฝาขวดโคล่า พอดื่มไปได้อึกหนึ่งคอมพิวเตอร์ก็พร้อมแล้ว ผมถือโคล่ามือหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็คว้าเมาส์คลิกเปิดโปรแกรมอะไรบางอย่าง

แล้วภาพหลายมุมในห้องของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

ผมยิ้มบางๆ พลางจ้องมองเขาอย่างเป็นห่วง พลางนึกถึงสิ่งที่เขาเคยเล่าให้ผมฟัง และสีหน้าหม่นหมองในครั้งนั้น

นี่เป็นสิ่งที่ผมควรรู้สึกต่อเขาในฐานะพี่น้องกัน ...ตามที่ได้บอกเอาไว้นั่นน่ะ

เขาเป็นคนที่ผมเป็นห่วงมาตลอด ทั้งยังเป็นคนที่คิดมากอีกต่างหาก ผมคิดไปถึงพ่อของเขา ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ

น่าเป็นห่วงจริงๆ ผมถอนหายใจแล้วไล่ความฝันที่โผล่มาแวบหนึ่งนั่นออกไป ความฝันเมืองยูโทเปียในครั้งนั้น...

แต่ก่อนที่ผมจะได้เหม่อลอยอีกครั้ง เด็กหนุ่มในจอก็ลุกขึ้นจากเตียง เขาสืบเท้าเดินไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากใต้เตียง

มันคือมีดเล่มหนึ่ง...

ผมขมวดคิ้วจดจ้องอย่างพินิจพิจารณา นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำเลยนะ นั่นเจ้านั่นเป็นอะไรไปน่ะ แล้วจะไปไหนกันล่ะนั่น ผมนึกถึงบทสนทนาเมื่อตอนที่เจอกันในร้านกาแฟ รวมถึงสีหน้าหม่นหมองของเขาเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น

ผมรีบลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งออกไปนอกบ้านไม่สนใจเสียงของพ่อที่ทักท้วงมาแล้วโบกแท็กซี่

ผมจะไปหาเขา ผมจะไปช่วยเขา

เพราะนี่คือสิ่งที่ผมควรทำ!

จนในที่สุดผมก็มาถึงเป้าหมาย เข้าไปในบ้านถามหาเขากับพ่อแต่ก็ไม่รู้ เจ้านั่นหายไปไหนกันนะ ผมมองซ้ายมองขวาก่อนจะเลือกรีบไปที่ร้านกาแฟที่เราเคยพบกัน

บางทีหมอนั่นอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้ ผมไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าร้านนั่นจะอยู่ไกลขนาดนี้น่ะ ทั้งๆ ที่ไปบ่อยๆ แท้ แต่ทำไมในช่วงเวลาแบบนี้ถึงไกลนักนะ!

ร้านกาแฟนั่นปิดแล้ว หากแต่ไฟในร้านกลับเปิดสว่าง หรือว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมนึกโมโหอยู่ในใจที่เขาไม่ได้พกโทรศัพท์ไว้กับตัวแล้วดันประตูเข้าไปในร้านเล่นๆ

แต่มันกลับเปิดเข้าไปได้เลย...ผมแอบเหวออยู่ใจ แต่ก็เลือกที่จะก้าวเข้าไป ภายในร้านยังคงดูอบอุ่นไม่ต่างจากตอนกลางวัน หากแต่ไร้ผู้คน

“สวัสดีครับ”ผมเอ่ยขึ้นมา“มีใครอยู่มั้ยครับ?”

ร้านก็เปิดเจ้าของร้านอยู่ไหนน่ะ ผมขมวดคิ้วกวาดตามองรอบๆ ร้าน แล้วลองเดินเข้าไปข้างใน ตอนนี้ผมอยากได้กาแฟขมๆ มาดับความเครียดมาก บางทีผมอาจจะได้ใช้อภิสิทธิ์คนสนิทเขาและกับกาแฟสักถ้วยหน่อย

“มีใครอยู่มั้ยครับ?”

!!!

ผมเบิกตากว้างมองร่างของเจ้าของร้านที่นอนทอดกายอยู่กับพื้น ร่างกายเต็มไปด้วยสีแดงจนมองแทบไม่ออก ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ แล้วเสียงของคนคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา

“นายนี่เอง...”มันเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบ เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหาผมเขาอยู่ในชุดนอนแบบที่ผมเห็นผ่านกล้อง ผมเปียกๆ ท่าทีเหมือนเพิ่งอาบน้ำมา...อาบน้ำมาหลังจากฆ่าคนเนี่ยนะ?

“...ไม่ควรทำแบบนี้”ผมเอ่ยเรียกเขาแทบไม่ออก มือไม้สั่นไปหมด ผมคิดไว้แล้วตั้งแต่วันที่เรามานั่งคุยกันที่นี่

สายตาของเขาที่มองเจ้าของร้านมันไม่ต่างอะไรกับสายตาของคนที่มองสิ่งไร้ค่า

“ในความฝันนั่น ดิสโทเปียเป็นเมืองที่ไม่ควรมีคนไม่ดี”เขาว่าพลางขยี้เรือนผมของตัวเอง“ในขณะเดียวกันดิสโทเปียก็ไม่ต้องการคนแบบนี้”

“แต่ก็ไม่ควรฆ่าเขา...”

“ทำไมล่ะ”เขาเหลือบมองผมด้วยแววตาคมกริบ“หมอนี่ข่มขืนพนักงานในร้านตัวเอง เพราะฉะนั้นหมอนี่ก็เป็นคนไม่ดี รู้มั้ย คนดีเขาไม่ทำกันหรอก”

“แต่ก็ไม่ควร...”สีหน้าของผมเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ“ไม่ควรทำแบบนี้สิ”

“ไม่ ไม่ใช่ไม่ควร แต่มันสมควรแล้วต่างหาก”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเสียดแทงเข้ามาในอกผมราวกับดาบน้ำแข็ง ผมนึกถึงประโยคนั้น...

“พี่รู้มั้ยครับ ว่าผมนับถือพี่มากขนาดไหน”เด็กหนุ่มเอ่ย“ผมชื่นชมพี่มาก พี่เป็นเหมือนไอดอลของผมเลยนะครับ ผมอยากให้พี่เป็นพี่แบบนี้ไปตลอดจัง”

ใช่ ผมอยากกลับไปตอนนั้น หากกลับไปได้ผมจะบอกเขา คนที่มีไอดอลก็ควรจะทำตามไอดอลสินะ แต่เขา แต่เขา... ทั้งๆ ที่จ้องมองมาตลอดทั้งตอนที่อยู่ที่บ้านทั้งตอนที่อยู่ร้านกาแฟแท้ๆ แต่ดันไม่รู้ความคิดเขา

ผมน่ะชอบเขาในตอนนั้นมากที่สุดเลยนะ เขาที่เป็นเขาแบบนี้ไม่ใช่คนที่ผมต้องการ เขาไม่ใช่คนที่ผมรู้จักอีกต่อไป เพราะงั้นผมเลยกลัวกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนไป

“ถ้าอย่างนั้นก็ตายซะเถอะ”ผมว่า แล้วหยิบเหยือกน้ำแถวๆ นั้นขึ้นมา เดินไปหาเขาที่กำลังจะเดินหนี เงื้อมือขึ้น แล้วทุบสุดแรงเกิด ร่างของเขาร่วงลงไป แต่ผมก็ยังทุบ ทุบอยู่อย่างนั้น

จะให้เป็นแบบนี้ไปไม่ได้ เขาไม่ควรเป็นแบบนี้สิ เขาควรจะเป็นพ่อพระสิ เขาคือเพื่อนของผมนะ เพื่อนต้องช่วยเพื่อนนะ ทำไมล่ะ ทุกสิ่งมันไม่ควรเป็นแบบนี้น่ะ ถ้าปล่อยเขาออกไป เขาที่ผมต้องการก็จะหายไป ผมจะให้เขาที่ผมหลงใหลหายไปไม่ได้ ฉะนั้นนะ ฉะนั้น...ช่วยเป็นคนแบบที่ผมต้องการไปตลอดนะครับ สังคมน่ะต้องการคนดีนะ นะครับ นะ

“รุ่นพี่ครับ...”ผมเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาแน่นิ่งไปแล้ว หัวกระโหลกยุบบุบลงไปจนมองไม่เห็นเค้าโครง ผมลูบเขา ปลอบเขา แล้วบอกกับเขา

“รุ่นพี่เป็นไอดอลของผมนะครับ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ล่ะก็ รุ่นพี่ที่ผมรักก็จะหายไป ...แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะเป็นคนดีของสังคมอย่างที่คาดหวัง แล้วผมก็จะเป็นคนดีที่มีความสุขมากที่สุดแทนพี่เองครับ ผมจะช่วยพี่เองครับ เพื่อนควรช่วยเพื่อนใช่มั้ยครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะกำจัดคนไม่ดีแทนพี่เองนะครับ...”

แล้วผมก็ยิ้มออกมา

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว