Living the dream [วั่งเซี่ยน]
0
ตอน
4.84K
เข้าชม
52
ถูกใจ
9
ความคิดเห็น
45
เพิ่มลงคลัง

Short Fiction: Living the dream 

Pairing: Lan Zhan x Wei Ying 

Warning: ใดๆ ในนิยายล้วนแต่แต่งขึ้นจากจินตนาการทั้งสิ้นค่ะ 

 

 

             ราวกับเป็นโลกเสมือนจริง นี่เขากำลังฝันอยู่หรืออย่างไร 

 

             เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวระหว่างทอดสายตาไปยังดวงหน้าเรียวเล็กเบื้องหน้า ความมืดมิดจากราตรีแม้จะทำให้มองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน หากฝ่ามือใหญ่สามารถเอื้อมไปสัมผัสพวงแก้มก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปยังใบหูเล็กได้อย่างแม่นยำ  

             ต่อให้วันเวลาจะเลยล่วงผ่านไป นำพาอดีตให้จางหายแล้วแทนที่ด้วยวันคืนอันแสนสุขสงบ แต่ความหวาดหวั่นที่บ่มเพาะมาเนิ่นนานกลับทำให้ไม่มั่นใจสักครั้ง 

หลังจากเข้านอนและรอจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอ เขามักลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับจับจ้องโครงหน้าเรียวเล็กสักพัก ประหนึ่งเกรงว่าหากจมสู่ห้วงนิทราแล้วจะทำให้ตัวตนอีกฝ่ายหายไป ดังนั้นเรือนผมสีดำขลับ..ผิวขาวกระจ่าง รวมถึงความอบอุ่นจากเรือนกายจึงมักถูกตรวจสอบว่าแท้จริงมันใช่ความจริงหรือเป็นเพียงความฝัน 

ถ้าเว่ยอู๋เซี่ยนรู้คงหัวเราะขันและหาว่าเพ้อเจ้อ ทว่าหลานวั่งจีคนนี้กลับมองว่ามันคือเรื่องสำคัญสำหรับตนเอง สิบหกปีที่ผ่านมาชีพจรในกายถูกความโศกเศร้ากัดกินแล้วแทนที่ด้วยความว่างเปล่า ทุกย่างก้าว..ทุกการกระทำ มันช่างอ้างว้างและไร้จุดมุ่งหมาย เขาเหมือนใช้ชีวิตให้ผ่านไปกับหน้าที่อันพึงกระทำในฐานะหยกคู่แห่งสกุลหลาน มีเพียงวัตถุประสงค์เดียวที่คอยหล่อเลี้ยงดวงจิตและทำให้อยากลืมตาตื่นในทุกเช้า..นั่นก็คือการเฝ้าดีดฉินคอยพร่ำถามวิญญาณร่อนเร่ว่าได้พบเว่ยอิงบ้างหรือไม่ 

             ไม่พบ ไม่เคยเห็น..นี่คือคำตอบจากสัมภเวสี ไม่ว่าจะไปหนแห่งใด เครื่องดนตรีประเภทสายนี้มักบอกให้รู้ว่าหาได้มีใครได้พานพบปรมาจารย์อี้หลิงไม่ ประหนึ่งว่าดวงจิตของเจ้าตัวแหลกสลายไปพร้อมกับร่างกายที่เขาไม่อาจฉุดเยื้อเอาไว้ 

             ทรมาน..รวดร้าว ขมขื่น หลานวั่งจีไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมามักมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่เคยแยแสผู้ใดในใต้หล้า ดังนั้นหยาดน้ำตาที่หลั่งรินอยู่ในก้นบึ้งของความรู้สึกจึงถูกปิดบังด้วยหน้ากากอันแสนเย็นชา มีเพียงหลานซีเฉินเท่านั้นที่รับรู้ถึงความทุกข์นี้ พี่ชายร่วมสายเลือดคอยเฝ้ามองเขาตั้งแต่เล็กและรับรู้ถึงอุปนิสัยของน้องชายเป็นอย่างดี จึงไม่ได้อยากห้ามปรามหรือทำลายความหวังอันแสนริบหรี่ที่อยากพบใครอีกคนซึ่งอยู่แดนดินทางฝั่งปรโลก 

              

             ท้อแท้..อ่อนใจ..แต่ก็ไม่เคยหมดหวัง ดังนั้นวินาทีแรกที่ได้ยินเสียงขลุ่ยและท่วงทำนองเพลงแสนคุ้นเคย กระบอกตาจึงร้อนผ่าวและรับรู้ถึงเสียงจากอกด้านซ้ายที่ดังถี่รัว ความยินดีระคนหวาดหวั่นปรี่ล้นขึ้นมาจากหัวใจแล้วเร่งเร้าให้รีบตามหาต้นเสียงนี้ ในหัวมีคำถามมากมายกู่ร้องจนสับสนไปหมด ไม่ว่าจะ ‘เว่ยอิง นั่นเจ้าใช่หรือไม่’ ‘เว่ยอิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ’ ‘เว่ยอิง เจ้าหายไปไหนมา’ หรือ ‘เว่ยอิง ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วข้าจะทำอย่างไรดี’  

           ไม่ว่าเนี่ยหวายซังจะล่อลวงให้โม่เสวียนอวี่ใช้อาคมสละชีพ หรือจะเป็นโม่เสวียนอวี่เต็มใจพลีชีพด้วยหมายให้ปรมาจารย์อี้หลิงแก้แค้นคนสกุลโม่แทนตัวเอง เขาไม่ได้นึกสนใจสักนิด อีกทั้งไม่ได้นึกสนใจรูปร่างหน้าตาที่ผิดแปลกไปจากเว่ยอิงที่เคยรู้จัก ขอแค่จิตวิญญาณที่อยู่ในร่างของคุณชายสกุลโม่เป็นคนที่เขาเฝ้ารอมานานแสนนาน..ภาพในดวงตาที่เป็นสีเทาหม่นก็คล้ายกับแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสเหมือนช่วงที่ได้ร่ำเรียนด้วยกันในกูซู แม้ส่วนสูง รูปร่าง ใบหน้าจะแตกต่างจากภาพจำอยู่บ้าง แต่แววตาและรอยยิ้มยังคงเป็นดั่งแสงสว่างที่ส่องสว่างมายังกลางใจของเขา 

             อย่าเป็นเพียงแค่ฝัน..อย่าปล่อยให้เขาต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมนดังเช่นอดีตอีก หลานวั่งจีโน้มใบหน้าไปจุมพิตหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา ก่อนริมฝีปากอุ่นจัดนั้นจะค่อยๆ เลื่อนลงมายังเปลือกตา จมูก แล้วแนบประทับลงยังกลีบเนื้อสีชมพูเรื่อที่ทั้งอ่อนหวานและนุ่มนวลราวกับกลีบดอกไม้ เสียงคราง “อือ” ดังแผ่วจากลำคอระหงทันที จากที่นอนนิ่งในอ้อมแขน ก็เริ่มขยับตัวไปมาพลางปรือตาขึ้นมองสบกับคนที่รบกวนกันในยามดึก “หลานจ้าน เจ้านอนไม่หลับหรือ ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ปลุกข้าตื่นมานั่งคุยกับเจ้ากันเล่า” 

             “ไม่อยากรบกวน” เขาหมายความตามที่เอ่ยออกไป และนั่นก็ส่งผลให้คนฟังเลิกคิ้ว แล้วจึงอมยิ้มน้อยๆ 

             “ไม่ใช่ว่าเจ้ากวนข้าเช่นนี้ทุกคืนหรือไง ทุกครั้งที่ข้าเคลิ้มหลับ เจ้ามักลูบผมข้า ลูบแก้มข้า หรือไม่ก็จูบข้าเช่นนี้” 

             ไร้ซึ่งคำอธิบาย หลานวั่งจีผู้แสนจะปากหนักย่อมไม่มีทางแก้ต่างให้ตนเองอย่างแน่นอน เว่ยอูเซี่ยนจึงยิ่งอยากกลั่นแกล้งยิ่งนัก จากที่ง่วงงุนจึงกลายเป็นว่าตาสว่างในยามที่เป็นฝ่ายเบียดกายเข้าหาแผ่นอกกว้างพลางกระเซ้าแหย่ “เจ้าคิดจะลวนลามข้าในยามที่ข้าหลับ เจ้าเป็นถึงหานกวงจวินผู้สูงศักดิ์แต่เอาเปรียบผู้น้อยเช่นข้า ข้าว่ามันไม่ยุติธรรมนา” 

             “แล้วเช่นใดถึงเรียกว่ายุติธรรม” เมื่อถูกปรับปรำย่อมต้องทวงคืนความบริสุทธิ์ หากผู้ที่อยู่ในลำดับชั้นเซียนกลับคาดเดาความคิดของผู้เป็นปรมาจารย์ทางฝั่งลัทธิมารไม่ได้ เรียวปากที่ยังหยักโค้งเป็นรอยยิ้มจู่โจมเข้ามาแนบจุมพิตหนักๆ โดยไม่ทันให้ตั้งตัว ฟันหน้าขบลงยังผิวเนื้อที่ถูกบดเบียดจนรับรู้ถึงอาการเจ็บ ก่อนเจ้าตัวจะถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าทุกข์ในการข่มขู่ “เจ้าจูบมา ข้าจูบกลับ แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมบอกความจริง ข้าก็จะกัดเจ้าไปเช่นนี้ตลอดทั้งคืน เจ้าอยากให้ลูกศิษย์สกุลหลานสงสัยหรือไม่ว่าทำไมริมฝีปากของหานกวนจวินถึงได้มีแผล” 

             เหมือนได้รสคาวเลือดเล็กน้อยจากการล่วงเกินอย่างไม่เกรงกลัวการลงโทษ คุณชายรองหลานที่ตกเป็นเหยื่อมารยังคงไม่ยอมโต้เถียง เพียงแต่รวบเอาตัวของคนรูปร่างเล็กกว่าเข้ามากอดแน่นเสียจนอกซ้ายแนบชิดกับอกขวาอย่างที่สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของหัวใจของกันและกัน ใบหน้าที่อยู่ใกล้ทำให้มองเห็นใบหน้าของตนเองในนัยน์ตาฝ่ายตรงข้ามชัดเจน ขณะที่ลมหายใจกลืนเป็นเนื้อเดียวกันก่อนจะจางหายไปเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศรอบข้างซึ่งเจือด้วยกลิ่นของดอกเหมย 

             “เจ้าจะไม่จากไปไหนใช่หรือไม่...” แทนที่ด้วยการตอบคำถาม หลานวั่งจีกลับเป็นฝ่ายถามเว่ยอู๋เซี่ยนพร้อมกับสางเรือนผมให้อย่างนุ่มนวล “ไม่ว่าจะอวิ๋นเมิง..หลันหลิง หรือที่ใดก็ตาม เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะอยู่ที่นี่กับข้าตลอดไป” 

             “หลานจ้าน..ถามอะไรของเจ้า” ความสับสนฉาบฉายในดวงตากลมโตซึ่งไม่เข้าใจท่าทีของบุรุษผู้เป็นที่ต้องตาต้องใจของเหล่าสตรีในทั่วหล้า ใครต่อใครต่างยกย่องว่าหานกวงจวินรูปโฉมงดงาม มองแล้วรื่นหูรื่นตายิ่งนัก จะมีใครกล้าทอดทิ้งชายผู้นี้ไปอยู่กับชายอื่นได้เล่า เว่ยอู๋เซี่ยนเองก็คิดเหมือนบรรดาสาวงามเช่นกัน.. “เจ้าคิดว่าข้าชอบคนอื่นนอกจากเจ้าหรือ เจ้าคิดว่าข้าชอบเจียงเฉิงหรือไม่ก็คนในสกุลจินเนี่ยนะ ทั้งที่ตอนนี้พวกเราอยู่กันฉันสามีภรรยาแล้วแท้ๆ เจ้าสติฟั่นเฟือนหรืออย่างไร” 

             “เปล่า” กล่าวเพียงเท่านี้ ราวกับถ้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาอีกอาจทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนหรือไม่ก็แม่น้ำท่วมทะลัก ผู้มีหน้าที่คอยสังเกตความผิดปกติของหนึ่งในหยกคู่สกุลหลานจึงหรี่ตามองสีหน้านิ่งสงบ ปราศจากระลอกคลื่นความกังวลหรือความขุ่นมัวใดให้เห็น แต่ด้วยความที่ฝ่ามือใหญ่โอบกระชับเอวของเว่ยอู๋เซี่ยนมากขึ้นทุกขณะนั้นเอง จึงทำให้ศิษย์เอกแห่งตระกูลเจียงต้องถอนหายใจเบาๆ  

             “ข้าจากเจ้าไปนานหลายสิบปีก็จริง แต่ข้ากล้าสาบานได้เลยว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ ข้าไม่เคยชอบใครเลยนอกจากเจ้า เจ้าหายกลัวว่าข้าจะปันใจให้คนอื่นหรือยัง” 

             “ข้าไม่ได้กลัวเรื่องนี้” หลานวั่งจีปฏิเสธ อีกทั้งไม่ยอมบอกเล่าความในใจ มีเพียงประโยคสั้นๆ ที่เปล่งผ่านริมฝีปากว่า “ข้าแค่กลัวว่าเจ้าเป็นเพียงความฝัน” 

             “ตอนนี้ข้าคือความฝันของเจ้าหรือ” เว่ยอู๋เซี่ยนเอานิ้วชี้มายังใบหน้าที่มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอาการเหรอหรา แต่สักพักก็หัวเราะคิกพลางบอก “หลานจ้านเอ๊ย หลานจ้าน เจ้านี่มันน่ารักชะมัด เจ้าคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน ที่พอเจ้าตื่นมาทุกอย่างก็จะหายไปใช่ไหม” 

             “อย่าพูดว่าหายไป” น้ำเสียงเข้มขึ้นเป็นเชิงตำหนิเมื่อรู้สึกว่าประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวคือคำอัปมงคล ยิ่งนัยน์ตาสีเดียวกับผืนฟ้ายามราตรีพราวระยับประหนึ่งล้อเลียน ใบหน้าคมคายจึงบึ้งตึงขึ้นมา สร้างความพึงพอใจให้กับคนอยากแต่งแต้มอารมณ์ให้กับสีหน้าที่เรียบเฉยเป็นเนืองนิจ มือเรียวเล็กเกลี่ยไล้ไปตามโครงหน้า ถ้อยคำแสนหวานกระซิบผ่านรอยยิ้มบางเบาออกมาให้ได้ยิน “เจ้าอย่ากลัวหรือกังวลไปเลย โม่เสวียนอวี่อัญเชิญวิญญาณข้ามาประทับร่างนี้ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นวิญญาณข้าก็จะไม่มีทางหลุดลอยไปไหน ทีนี้ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะนึกเบื่อหรือรำคาญข้า เจ้าก็หนีข้าไม่พ้นแล้ว ข้าจะคอยสร้างความวุ่นวายให้เจ้า คอยมอบความสุขให้เจ้าจนแก่เฒ่า ดังนั้นเจ้าอย่าคอยเอาแต่เฝ้ามองข้านอน ทั้งที่เจ้าควรต้องนอนก่อนข้าด้วยซ้ำ เดี๋ยวท่านอาเจ้าก็ตำหนิหรอก” 

             “อืม” มีการตอบรับเบาๆ จากลำคอในยามที่ปลายนิ้วเลื่อนผ่านตามแนวเส้นของกล้ามเนื้อ แน่นอนว่ามันคือการตอบแบบขอไปทีในแบบฉบับของหานกวงจวินที่หนึ่งวันเปล่งคำพูดไม่เกินสิบประโยค ดวงตาคู่คมยังคงมองตรงไปยังใครอีกคนอย่างไม่คิดจะนอนตามที่เอ่ย เว่ยอู๋เซี่ยนอดพึมพำเบาๆ ด้วยความอ่อนใจไม่ได้ “เจ้านี่มันดื้อเงียบ” แล้วจึงขยับศีรษะทุยเล็กเข้าไปหาจนสามารถจูบบนหน้าผากที่ยังมีสายคาดลายเมฆาอยู่บนนั้น “ข้าทำแบบนี้เจ้าจะยอมหลับได้หรือยัง” 

             ไม่พูด ไม่แม้จะปริปากสักนิด เดือดร้อนคนเริ่มต้องย้ายริมฝีปากไปยังแก้มเนียนละเอียดแล้วถามย้ำ “ข้าเอาใจเจ้าถึงเพียงนี้ อยากนอนแล้วหรือไม่” 

             “ไม่”  

             “งั้นข้าเป่าขลุ่ยกล่อมเจ้าหลับล่ะ” 

             “ไม่” 

             “คุณชายรองหลาน เจ้าจะเอาอย่างไรกับข้า ข้าหมดหนทางจะทำให้เจ้าหลับแล้วนะ” 

             คราวนี้นอกจากจะไม่เอาแต่เก็บงำความรู้สึกนึกคิดไว้ในใจ ร่างสูงใหญ่พลิกกายเปลี่ยนมาคร่อมคนข้างกายโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวทัน หลานวั่งจีกลืนกินเรียวปากสีชมพูเรื่อสลับกับดูดเม้มจนเกิดเสียงน่าอายภายในอาศรมวิเวก กลิ่นกำยานที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายดูเหมือนจะไม่ทำให้เจ้าของห้องนอนอยากพักผ่อนแม้แต่น้อย ฝ่ามือใหญ่ปลดสายคาดเอวบนชุดสีดำออก เรียกอาการต่อต้านจากคนตกเป็นรองให้รีบหาข้ออ้างทันที “ไม่ได้นะ ตอนอาบน้ำเจ้าทำไปแล้วหนึ่งครั้ง เหตุใดเจ้าจะรังแกข้าอีกเล่า” 

             “ทุกวันคือทุกวัน ไม่ได้หมายความว่าครั้งเดียวในหนึ่งวัน” 

             “แต่ข้าเหนื่อย วันพรุ่งนี้ข้าต้องไปช่วยเจ้าสอนเด็กๆ แต่เช้าด้วยไม่ใช่หรืออย่างไร เจ้าบอกข้าเองนะว่าอยากให้ข้าไปด้วย ถ้าหากข้าตื่นไม่ไหวไม่ขายหน้าลูกหลานตระกูลหลานหรอกหรือ” 

             นัยน์ตาสีอ่อนจางเกิดประกายวูบไหวในเสี้ยววินาทีที่ถูกกล่าวใส่หน้าเช่นนี้ แต่ก็เพียงครู่เดียวเมื่อเสียงหนักแน่นดังขึ้นว่า “ใครหัวเราะเยาะเจ้า ข้าจะให้คัดกฎตระกูลห้าพันครั้ง” เว่ยอู๋เซี่ยนแทบจะเอาเท้ายันร่างหนักๆ ลงจากเตียงกับความสัปปลับ หากมันก็เป็นแค่เพียงความคิดชั่วครู่เท่านั้น เมื่อสิ่งที่ทำได้มีเพียงการพรูลมหายใจออกมาหนักๆ พร้อมกับเอื้อมแขนสองข้างขึ้นไปโอบรอบลำคอคนด้านบนแล้วยื่นข้อแลกเปลี่ยน “ข้าไม่ให้เจ้าเอาเปรียบข้าฝ่ายเดียวหรอกนะ เจ้าต้องให้ข้าดื่มเทียนจื่อเซี่ยวห้าไห แล้วก็ต้องพาข้ากลับไปที่อวิ๋นเมิ่งด้วย ข้าอยากเก็บดอกบัว” 

           “ได้” 

           “ล่าไก่ฟ้า พายเรือเล่น และถ้าเจียงเฉิงหาว่าข้าเป็นเด็กไม่รู้จักโต เจ้าต้องเถียงแทนข้าด้วย” 

             “ได้” 

             อะไรก็ตกลงไปเสียหมด เว่ยอู๋เซี่ยนอยากนึกหาอะไรที่ยากกว่านี้มากดดันหนึ่งในหยกคู่งามสกุลหลาน แต่ท้ายสุดแล้วคนอย่างปรมาจารย์อี้หลิงก็คิดได้เพียงแค่.. “กอดข้าให้แน่น จูบข้าให้นุ่มนวล หลอมรวมข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า แล้วข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขจนไม่คิดว่ามันคือความฝันอีกต่อไป” 

             คงเพราะนานๆ ทีจะได้ยินถ้อยคำออดอ้อนเช่นนี้ หลานวั่งจีถึงได้ร้อนรุ่มไปทั้งกาย โดยเฉพาะใบหน้ากับหูที่คาดว่าคงกลายเป็นสีชมพูเข้ม เขารู้สึกราวกับมีลูกไฟลุกโชนอยู่ในท้องน้อยที่ปั่นป่วนและหลั่งอารมณ์หวามไหวขึ้นมาอาบไล้ทั่วเรือนกาย เสียงหัวใจดังก้องอยู่ในโสตประสาทอย่างที่ไม่อาจได้ยินแมกไม้ด้านนอกที่พลิ้วไหวตามแรงลม เป็นเวลาเดียวกับที่บทสนทนาถูกการสัมผัสของริมฝีปากแย่งชิงถ้อยคำไปจนหมด 

             อาภรณ์สีดำเข้มค่อยๆ เลื่อนหลุดจากผิวเนียนใสที่เป็นของร่างโม่เสวียนอวี่ ถึงการกลับมาเกิดใหม่ในคราวนี้จะทำให้เว่ยอู๋เซี่ยนมีรูปพรรณสัณฐานอ่อนเยาว์กว่าที่ควรเป็น หากความคิดความอ่านก็ยังคงเป็นเว่ยอู๋เซี่ยนคนเดิม บุรุษผู้งามเลิศเป็นอันดับสี่รองจากเจ๋ออู๋จวิน หานกวงจวิน และจินจื่อเซวียน จัดได้ว่ามีลูกไม้และวิธีเกี้ยวพาราสีสาวงามมากที่สุด และในเวลาเช่นนี้ ระหว่างที่ริมฝีปากทั้งบนและล่างถูกหลานวั่งจีดูดเม้มราวกับเป็นผีเสื้อที่ดูดซับน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ น้ำเสียงอันแสนเย้ายวนยังคงเปล่งผ่านรอยจูบให้ได้ยิน “คุณชายรองหลาน..หลานจ้าน..พี่วั่งจี..” เพียงแค่เรียกชื่อก็ทำให้สติแทบปลิดปลิว หลานวั่งจีขบกลีบเนื้อที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำใส ก่อนโพรงปากของคนตรงหน้าจะถูกลิ้นของเขาแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดอย่างเอาแต่ใจ 

             อากาศในอาศรมวิเวกค่อนข้างเย็นสบาย หากร่างทั้งสองบนเตียงกลับผิวกายร้อนผ่าวตามแรงอารมณ์ที่ปะทุมากขึ้นทุกที เว่ยอู๋เซี่ยนเอื้อมมือขึ้นปลดสายรัดตรงเอวหนา เผยให้เห็นโครงร่างสมส่วนกำยำจากการฝึกฝนตนเองอย่างหนัก แผลเป็นจากตราประทับสกุลเวินบนอกซ้ายถูกลูบอย่างแผ่วเบา จวบจนริมฝีปากได้อิสระกลับคืน เจ้าตัวจึงขยับเข้าไปจุมพิตยังร่องรอยที่ไม่มีวันจางหายไปตลอดชีวิต  

             “หากชาติที่แล้วเจ้ารักข้ามากขนาดนี้..ชาตินี้ข้าก็จะรักเจ้าให้มากกว่าที่เจ้ารักข้า” 

             มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ทำให้มองเห็นรางๆ ว่าคนที่มักทำหน้าเฉยเมยเป็นเนืองนิจกำลังยิ้ม เว่ยอู๋เซี่ยนหลุบเปลือกตาลงในยามที่หลานวั่งจีโน้มลงจูบหน้าผาก ทิ้งความอ่อนหวานเอาไว้ก่อนใช้มือข้างหนึ่งช้อนสะโพกเพรียวบางขึ้น ยังผลให้ขาเปลือยเปล่าสองข้างต้องกระหวัดรัดตรงแนวสีข้างแน่น ขณะที่ความรู้สึกหวามไหวก่อตัวขึ้นทีละน้อยเมื่อนิ้วเรียวยาวค่อยๆ กดแทรกเข้าไปภายในกาย 

             “อื้อ” รอยจีบอันอ่อนนุ่มจากการเสพสมในตอนแช่น้ำ ส่งผลให้สิ่งแปลกปลอมสามารถเคลื่อนเข้าไปขยายช่องทางได้อย่างง่ายดาย ผนังนุ่มหยุ่นตอดรัดทุกข้อนิ้วประหนึ่งรับรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแท้จริงของเรือนกายนี้ ทุกการเคลื่อนไหวทำให้กล้ามเนื้อราวกับหลอมละลายแล้วเหลือเพียงร่างอันปวกเปียกภายใต้ร่างสูงใหญ่  

             ความคะนึงหาของหลานวั่งจีตลอดช่วงเวลาสิบหกปีมานี้ มีมากเสียจนลบเลือนภาพลักษณ์อันแสนเย็นชาไปจนหมด ในมุมหนึ่งของคำว่าคิดถึงเป็นดั่งเปลวเพลิงร้อนแรงที่แทบแผดเผาเว่ยอู๋เซี่ยนให้เป็นจุลในยามร่วมรักกัน แรงปรารถนาอันไร้ที่สิ้นสุดบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาโหยหาและอยากกักขังปรมาจารย์อี้หลิงเอาไว้กับตนเองมากเพียงใด ทุกการกระทำพร่ำบอกคำว่ารักแม้ริมฝีปากจะไม่เอื้อนเอ่ยสักคำเดียว และนั่นเองก็ทำให้ผู้ถูกหยอกเย้าต้องครางอื้ออึงในลำคอและผวากอดแผ่นหลังกว้างแน่นเมื่อปลายเล็บครูดกับผิวเนื้ออ่อน 

             “หลานจ้าน..เจ้าอย่ารังแกข้าสิ..” อารมณ์กระสันซ่านแทรกซึมผ่านเส้นเลือดไปยังทุกสัดส่วนจึงทำให้เว่ยอู๋เซี่ยนประท้วงระคนหอบกระเส่า จังหวะการเต้นของหัวใจรุนแรงขึ้นตามการเคลื่อนตัวลงต่ำของหลานวั่งจีที่ประทับจูบยังแอ่งชีพจร ขบเม้มจนเกิดรอยแดงเข้มแล้วจึงเลื่อนลงมายังกลางอก ท้องน้อย แล้วจึง.. 

             “ฮะ..อ๊า!” ต้นขาด้านในสะท้านไหวทันทีที่ส่วนอ่อนไหวถูกครอบครอง แผ่นหลังเล็กหยัดขึ้นตามเกลียวคลื่นราคะที่พัดพาสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้น ด้วยความที่เป็นบุรุษเพศ การถูกปรนเปรอเช่นนี้จากบุรุษอีกคนจึงสร้างความขวยเขินระคนอับอายแก่อดีตศิษย์เอกแห่งตระกูลเจียงผู้มีสตรีหมายปองจำนวนมากอยู่บ้าง อันที่จริงถ้าหากเว่ยอู๋เซี่ยนจะโวยวายหรือขัดขืนเขาก็ไม่ว่าอะไร หลานวั่งจียอมโอนอ่อนอยู่แล้ว ขอแค่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเท่านั้น เพียงแต่เว่ยอู๋เซี่ยนเองก็ตามใจเขาเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องเช่นนี้ เจ้าตัวเองก็ปรารถนาให้เขามีความสุขเช่นกัน “อีกเดี๋ยวให้ข้าทำให้เจ้าบ้างดีหรือไม่..ข้า..” 

             “ไม่ต้อง” แค่นี้ทั่วทั้งร่างก็อาบเอิบด้วยความสุขสมอย่างมิอาจหาสิ่งใดมาเทียบเทียม หลานวั่งจีปฏิเสธพลางใช้ปลายลิ้นปลุกปั่นแก่นกลางกายจนเกร็งแข็งในที่สุด กระทั่งลมหายใจจากร่างด้านใต้ถี่กระชั้นอีกทั้งยังสอดมือสั่นระริกเข้ามากุมศีรษะของเขาเป็นเชิงขอให้หยุด เสียงแหบเครือวอนขอเบาๆ อย่างน่าสงสาร “พี่วั่งจีพอก่อน..ขืนทำมากกว่านี้ข้าจะทนไม่ไหว” มันจึงเป็นสัญญาณให้หยุดหยอกเย้าแล้วรุกคืบมากยิ่งขึ้น 

             การกลั่นแกล้งจากทั้งทางด้านหน้าและด้านหลังชะงักลงชั่วคราวหลังจากนิ้วเรียวยาวถอนออกมา หลานวั่งจีขยับกายขึ้นไปจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน ริมฝีปากประกบแนบอีกครั้งพร้อมกับลิ้นที่แทรกเข้าไปเกาะเกี่ยวกับปลายลิ้นฉ่ำน้ำ ล่อลวงให้หลงเคลิ้มไปกับความหอมหวานที่ป้อนให้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ในขณะที่มือสองข้างก็จับหัวเข่าร่างด้านใต้แยกห่างมากกว่าเดิมก่อนจะฝังความเป็นชายเข้าไปจนสุดความยาว 

             “อื้อ!” สิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่สร้างความอึดอัดแก่เจ้าของร่างให้ผวากอดรอบคอเขาเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ดวงตาคู่งามปิดแน่นและมีหยาดน้ำเอ่อคลอ หัวไหล่เสียดสีกับผืนฟูกตามการเคลื่อนไหวของสะโพกหนาที่รุกรานด้วยจังหวะสม่ำเสมอ บริเวณท้องน้อยร้อนวูบวาบ ก่อนจะบ่มเพาะความรู้สึกเสียวซ่านให้แล่นริ้วไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย  

             บั้นท้ายราวกับไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่าง มันร้อนเสียจนเหมือนหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกับแกนเนื้อที่เสียดสีย้ำตรงจุดกระสันอย่างที่เว่ยอู๋เซี่ยนต้องส่งเสียงสะอื้นในลำคอ เจ้าตัวจิกเล็บลงยังลาดไหล่กว้างเมื่อรู้สึกดีจนทนไม่ไหว เสียงเนื้อกระทบกันทำให้สมองขาวโพลนเหมือนมีหิมะในเหมันตฤดูร่วงหล่นลงมา 

             กลิ่นคาวราคะคลุ้งในอาศรมวิเวกจนไม่เหมือนที่พักอาศัยของคุณชายรองหลานผู้แสนเคร่งขรึม บัดนี้กฏสามพันข้อถูกลบเลือนไปจนสิ้นแล้วแทนที่ด้วยสีหน้าเว้าวอนระคนเจ็บปวดกับการรองรับความรักอันบ้าคลั่งที่มีต่อผู้ที่หวนคืนจากความตายมาอยู่ในอ้อมแขนอีกครา 

             อยากอ่อนโยนด้วยสักนิด..ใจดีให้มากกว่านี้หน่อย..พูดคำหวานให้อีกฝ่ายชื่นใจ หากคนอย่างหลานวั่งจีมิอาจทำได้ดั่งใจหวัง สิบหกปีนานเกินไปจนเขาไม่อาจเรียบเรียงความคิดในหัวแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นประโยคได้ มีแค่การผูกสัมพันธ์ทางกายเท่านั้นที่หนทางเดียวสำหรับผู้ชายปากหนัก ผู้ที่ถูกคนทั้งแผ่นดินตราหน้าว่าเป็นมารร้ายจะได้รับรู้ว่า ‘รัก’ ของเขามันมากมายเพียงใด และมันก็จะไม่มีทางทำให้เขาปล่อยให้ปรมาจารย์อี้หลิงต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันเลวร้ายตามลำพังอีกเด็ดขาด 

             คนที่เขาได้แต่เฝ้ามองมานาน..คนที่เขาได้แต่ทำหน้าปั้นปึงใส่ทั้งที่ในใจราวกับมีดอกไม้ผลิบาน เวลานี้เมื่อได้ครอบครองจึงอดทำให้สุขสมจนต้องบิดเร่าอยู่ใต้ร่างไม่ได้ หลานวั่งจีต้องการให้เว่ยอู๋เซี่ยนโหยหาเพียงเขาคนเดียว จึงช้อนแผ่นหลังชื้นเหงื่อขึ้นมาโดยให้เปลี่ยนมานั่งบนตัก ส่งผลให้การสอดประสานยิ่งลึกกว่าเดิมในขณะที่อีกฝ่ายก็สามารถโอบกอดร่างเขาได้สะดวกยิ่งขึ้น 

             “อะ..อา..หลานจ้าน..หลาน..อื้อ” การกระแทกกระทั้นหนักหน่วงขึ้นจนเสียงที่ดังออกมาฟังแทบไม่ได้ศัพท์ กลีบปากที่คลายออกจากกันบวมเจ่อ และก็เป็นเว่ยอู๋เซี่ยนที่ใช้ริมฝีปากคู่นั้นขบเม้มตรงลำคอของเขาประหนึ่งต้องการระบายความเจ็บปวดระคนกระสันผ่านการสร้างรอยฟันบนผิวขาวกระจ่างของหลานวั่งจี  

             ความเหือดหิวเป็นดั่งแม่น้ำที่ทอดยาวไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด เพลิงพิศวาสยังคงสุมอยู่ในอก และมันจะไม่มีวันมอดมิดจนกว่าความตายจะพรากพวกเขาจากกัน ดังนั้นในช่วงเวลาที่ได้ครองคู่กันนั้น เขาต้องการตักตวงความสุขนี้ให้มากที่สุด รวมถึงเติมเต็มความอ้างว้างจากชาติที่แล้วของเว่ยอู๋เซี่ยนด้วย “เว่ยอิง..ข้ารักเจ้า” 

             เสียงไม่เบามากนักกระซิบบอกข้างใบหู และด้วยคำคำนี้เอง ไม่ต่างอะไรจากน้ำผึ้งที่ชะโลมจนทั่วทั้งหัวใจ เว่ยอู๋เซี่ยนใบหน้าแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นสบตาหมายจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าก็ไม่อาจทำได้นอกจากส่งเสียงครางเพราะร่างกายท่อนล่างถูกรุกรานอย่างหนักหน่วงจนคิดอะไรไม่ออก ร่างกายอ่อนล้าจนแทบทรงตัวไม่ไหว ผิดกับผนังอ่อนนุ่มที่ขมิบรัดของเขาราวกับไม่ต้องการแยกห่าง จนกระทั่งถึงขีดสุดที่ทานทนไหว มือเรียวยาวเอื้อมไปสัมผัสส่วนที่มีน้ำสีขาวขุ่นเอ่อซึมออกมาจากร่างบนตัก เขาบีบเฟ้นสลับขยับมือรูดรั้งไม่กี่ที สะโพกหนั่นแน่นก็กระตุกเกร็งปลดปล่อยทุกหยาดหยด ขณะที่ของเขาเองก็หลั่งของเหลวหนืดข้นออกมาอาบรดโพรงคับแคบจนเปียกชุ่ม แล้วค่อยๆ ไหลลงมาเปรอะเลอะยังปากทางขณะหลานวั่งจีถอนกายออก 

             “ข้าจะพาเจ้าไปชำระกาย” คราบใคร่ที่เปื้อนบนหน้าท้อง ซอกขา และบั้นท้าย ทำให้เจ้าของผลงานอย่างคุณชายรองหลานต้องเอ่ยปากขอเป็นฝ่ายปรนิบัติ แต่เว่ยอู๋เซี่ยนกลับส่ายหน้าแล้วซบหน้าลงยังแผ่นอกหนา 

             “เจ้านี่น้า..มันใช่เวลาชำระล้างเสียที่ไหน ไม่คิดจะเอ่ยคำใดกับข้าก่อนหรืออย่างไร” 

             “คำใด” 

             “คำที่เจ้าพูดกับข้าเมื่อสักครู่ไงเล่า” 

             ไม่ใช่แค่เว่ยอู๋เซี่ยนความจำดีอยู่ฝ่ายเดียว หากหลานวั่งจีเองก็จำได้ว่าในยามที่ตกอยู่ในวังวนอันแสนหอมหวาน เขาพูดอะไรกับอีกฝ่ายออกไป “เว่ยอิง ข้ารักเจ้า” 

             “ได้ยินไม่ชัด เจ้าพูดอีกทีสิ” 

             “ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่” 

             “ไม่ได้ยิน ร่างของโม่เสวียนอวี่สงสัยหูจะไม่ค่อยดี เจ้าพูดซ้ำๆ จนกว่าข้าจะได้ยินชัดๆ ได้หรือไม่” 

             ศิษย์คนโปรดของหลานฉี่เหรินมีหรือจะโง่เง่าจนไม่รู้ว่ากำลังโดนหลอกให้บอกรักซ้ำๆ หลานวั่งจีมองคนกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นด้วยคิดว่าจะต้องได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดหรือไม่ก็ประโยคที่บอกว่า “น่าเบื่อ” หากเขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ปลายจมูกเคลื่อนเข้าไปกดลงยังกลางกระหม่อม แล้วตามมาด้วยน้ำเสียงแสนไพเราะอย่างที่ทำให้หัวใจคนฟังสั่นคลอน “ชั่วชีวิตนี้ข้าจะมีเจ้า..รักแค่เจ้าคนเดียว..หากชาติหน้ามีจริง ข้าก็จะตามหาเจ้าแล้วครองรักเช่นนี้ต่อไป” 

             “เจ้า..เจ้าแกล้งข้า” 

             “ข้าไม่ได้แกล้ง ข้าแค่พูดความจริง” 

             ตั้งแต่เด็กจนโต ถ้อยคำของหลานวั่งจีมีความสัตย์จริง ถ้าเรื่องไหนไม่ต้องการพูดก็แค่เงียบ ไม่เคยคิดจะโป้ปดผู้ใด ดังนั้นข้อความที่ถ่ายทอดผ่านเสียงทุ้มต่ำรวมถึงฝ่ามือที่ลูบเรือนผมให้อย่างนุ่มนวลล้วนกลั่นออกมาจากใจ “เจ้าขอให้ข้าพูด ข้าก็พูดแล้ว มีอะไรไม่พอใจอีก” 

             “พอใจสิ..พอใจมากเลยล่ะ” ด้วยความเป็นคนพูดน้อย บุคลิกดูเย็นชาน่าเกรงขาม จึงทำให้ผู้คนทั้งชายหญิงไม่กล้าเข้าใกล้ มีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รังเกียจหรือกลัวเกรงกันสักนิด แม้เขาจะไม่ใช่คนช่างเอาอกเอาใจหรือมีรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นเหมือนหลานซีเฉินผู้เป็นพี่ชาย แต่เว่ยอู๋เซี่ยนก็ยังคงยินดีที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ณ กูซูแห่งนี้ “ถึงเจ้าจะนานๆ ทีพูด ข้าก็ไม่ว่าอะไร แค่นี้ข้าก็มีความสุขมากแล้ว” 

             เว่ยอู๋เซี่ยนยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตา มีใบหูที่กลายเป็นสีแดงจัดบ่งบอกให้หลานวั่งจีรับรู้ว่าอีกฝ่ายเขินอายมากเพียงใด เสียงอู้อี้พูดผ่านแผ่นอกของเขาเพื่อทวงสัญญาว่าแท้จริงแล้วการยอมให้ถูกเอาเปรียบมีสาเหตุมาจากอะไร “อย่าลืมพาข้าไปอวิ๋นเมิ่งนะ..เจ้าเป็นคนพายเรือ ข้าจะเก็บดอกบัว แล้วเราก็ล่าไก่ฟ้า ค้างคืนที่นั่น ร่วมร่ำสุรากับเจียงเฉิงสักคืนแล้วค่อยกลับกูซู” 

             “อืม” 

             “เจ้าหายกังวลใจแล้วหรือยัง ว่าข้าไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน” 

             “อืม” 

             “แต่ถึงข้าจะเป็นความฝัน ก็นับว่าคือฝันที่เป็นจริง และเจ้าจะไม่มีวันตื่นจากฝันที่มีข้าอย่างแน่นอน ข้าจะเป็นฝันดีของเจ้าในทุกๆ วันเลย” 

             ได้ยินถึงตรงนี้ก็ไม่อาจทานทนแล้ว มือเรียวยาวเชยคางของอีกคนให้เงยหน้าขึ้น หลานวั่งจีมิได้เอ่ยคำใด มีเพียงนัยน์ตาสีอ่อนจางที่สะท้อนความรู้สึกลึกซึ้งขณะโน้มใบหน้าลงมา เว่ยอู๋เซี่ยนอมยิ้มน้อยๆ พลางหลุบเปลือกตาแล้วพึมพำถาม “เจ้าจะไม่พาข้าไปชำระล้างกายแล้วใช่หรือไม่” 

             “อืม” 

             “โทษฐานที่รังแกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนั้นก็ต้องเพิ่มเทียนจื่อเซี่ยวให้ข้าอีกสิบไห” 

             “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องเมามายเพราะสุราของกูซู” 

             “กับอีแค่เทียนจื่อเซี่ยวจะทำอะไรข้าได้” แว่วเสียงหัวเราะให้ได้ยินในช่วงเวลาที่ปลายจมูกชนแตะชนกัน หากก็ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อเสียงแว่วหวานบอกว่า “สุราเทียนจื่อเซี่ยวไม่อาจมอมเมาข้าให้เมามายได้เหมือนเจ้าหรอก” พลันรอยยิ้มอ่อนโยนก็แต่งแต้มบนใบหน้าอันหล่อเหลาของหลานวั่งจีในยามที่จุมพิตลงยังริมฝีปากอ่อนนุ่มเพื่อเริ่มต้นค่ำคืนแสนหวานอีกครั้ง  

 

             ดังเช่นที่เจ้าเอ่ย..หากเจ้าคือความฝันของข้า 

             ข้าก็ขอตกอยู่ในห้วงนิทรารมย์นี้ไปตลอดกาล..เพียงเพื่อได้เคียงคู่กับเจ้าตลอดไป..เว่ยอิง 

End. 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ถ้าแต่งไม่ดีหรือผิดพลาดตรงไหน ขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะคะ 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว