SF. สามชาติสามภพ - ร้างรัก/รักร้าง?

เรื่องสั้น

SF. สามชาติสามภพ - ร้างรัก/รักร้าง?

SF. สามชาติสามภพ - ร้างรัก/รักร้าง?

Mody

เรื่องสั้น

0
ตอน
7.76K
เข้าชม
77
ถูกใจ
9
ความคิดเห็น
65
เพิ่มลงคลัง

วันหนึ่งต้นคิมหันตร์ฤดู

มิงกุแห่งชิงชิว เป็นเทพเซียนอายุ 100,000 ปี ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลเขาจิ้งจอก ซึ่งมีถ้ำจิ้งจอกตระหง่านอยู่ตรงตีนเขา เขาถือว่าที่นี้เป็นสวรรค์และบ้านอันเป็นที่รักยิ่ง แม้ช่วงหลังจะเงียบงันลง เพราะป๋ายเฉี่ยนซ่างเสินได้อภิเษกกับไท่จือเยี่ยหัว และ ฟ่งจิ่ว ขึ้นเป็นมหาเทวีของตงหัวตี้จวิน กระนั้นนายหญิงแห่งชิงชิวทั้งสอง ก็ยังหมั่นมาเยี่ยมเยือนพสกนิกรสม่ำเสมอ จึงทำให้ที่นี้ไม่เงียบเหงามากนัก แต่วันนี้ มิงกุเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจแล้วว่าที่นี่จะกลายเป็นสมรภูมิหรือไม่? . . .

ก่อนหน้านี้ 2 ชั่วยาม กลางคืนดึกสกัด มิงกุกำลังนอนชมดาวลานฟ้าอยู่ตรงบึงน้ำ ริมเขาจิ้งจอก ไม่ไกลจากปากถ้ำเขาจิ้งจอก ดาวสุกสกาวช่างงดงาม ถ้าหากมีเซียนสาวสักคนร่วมพิจความงามนี้ด้วยกันจะดีเพียงใด ชื่นชมความงามอยู่เพียงชั่วครู่ แสงสว่างปานดาวตกสีขาวก็วิ่งตรงดิ่งลงมาหา ทันเห็นขนหางขาวยาว 9 สายพริบตาก่อนจะกลายเป็นเทพธิดาป๋ายเฉี่ยน กูกูของสามภพ และมเหสีของไท่จือเยี่ยหัว ตามหลังมาไกลๆ อย่างรวดเร็ว แสงดาวสีดำ คือ คนที่เมื่อครู่เขาเอ่ยถึง ว่าที่เทียนจวินแห่งสวรรค์ แต่ไม่ทันจะก้าวข้ามเขตเขาจิ้งจอก ป๋ายเฉี่ยนก็กางเขตแดนกั้นเขาทั้งเขาไว้ไม่ให้ผู้ใดเข้าออก เท่าที่มิงกุรู้จักป๋ายเฉี่ยนมาตลอดชีวิต นางไม่เก่งเรื่องการใช้ฤกษ์และเวทย์ แต่เขตแดนนี้นับว่าแข็งแรงมากอยู่ เหมือนกูกูพยายามรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อกางกั้นเลยทีเดียว เขตแดนที่กางกั้นบุคคลภายในชิงชิว และบุคคลภายนอกชิงชิวออกจากกัน หญิงสาวหันไปมองสวามีตนเองอย่างตัดพ้อชั่วครู่ ไม่พูดอะไรก็วิ่งหายเข้าไปในถ้ำ ปล่อยให้ไท่จื่อยืนอยู่ปากถ้ำเพียงเดียวดาย

.

.

.

มิ่งกุยืนงงอยู่หน้าถ้ำจิ้งจอกไม่ถึงช่วงต้มน้ำเดือด ปัญหาใหม่ที่อาจจะใหญ่กว่าเดิมก็ตามมาสู่ชิงชิว แสงดาวสีแดงล่องนภาลงมาจากสวรรค์ด้วยความรวดเร็วไม่แพ้กูกู ก่อนที่ตัวจะกระแทกกับเขตแดนที่กางกั้น แสงสีแดงก็เปลี่ยนกลายเป็นดรุษฏีแสนงามอีกหนึ่งนาง ป๋ายฟ่งจิ่ว ราชินีแห่งชิงชิว นางยังคงลอยอยู่บนฟ้า ไม่ทันเหลือบมองอาเขยที่ยืนอยู่

“กูกู นี้ข้าเอง ฟ่งจิ่วของท่าน ให้ข้าเข้าเขตแดนด้วย” สิ้นเสียงชั่วพริบตานางก็ก้าวเข้ามาไปในถ้ำจิ้งจอก และไม่ลืมหันหลังกลับไปร่ายเขตแดนซ้ำกับกูกูของนางอย่างสุดพลัง พลังเวทย์จิ้งจอก 9 หางทั้ง 2 นาง ผสมกันจนสร้างให้เขตแดนที่แข็งแรงอยู่แล้ว ทนทานขึ้นจนดูเหมือนจะต้านทานทัพสวรรค์ได้ทั้งกอง

.

.

.

เซียนกวนแห่งชิงชิวมองตามหลังราชินีแห่งชิงชิวไม่ทันได้อ้าปากอะไร เสียงก้าวช้าๆ ทรงอำนาจของใครคนหนึ่งจากทางเดินนอกเขา ร่างสง่า ผมสีเงินยาว เสื้อผ่าวสีม่วง เอกลักษณ์ชัดเจนขนาดนี้ คงไม่มีใครอื่นนอกจาก “ตงหัวตี้จวิน”

.

.

.

มหาเทพผู้มาใหม่ เดินอย่างไม่เร่งรีบ สำรวจเขตแดนที่สองนางแห่งชิงชิวกั้นไว้ มองผ่านๆ ก็รู้ว่าใครเป็นผู้กางกั้นไว้ แล้วจึงหันไปถามไท่จือเยี่ยหัวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และกำลังก้มมือให้ความเคารพ

“เขตแดนนี้ เจ้าไม่สามารถทำลายได้หรือ“

“หาใช่ไหม ข้าอัดพลัง 2 – 3 ครั้ง ก็น่าจะสลายสิ้นแล้ว แต่ติดว่าหลังสลายจะเจอมรสุมพิโรธมากกว่า” เยี่ยหัวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงแม้เขาจะอายุไม่มากนักแต่ก็ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มากมาย แค่เขตแดนไม่สามารถหยุดหยั่งเขาได้

มหาเทพรับฟัง แล้วเห็นด้วยเงียบๆ จริงอยู่ว่า เขตแดนที่ป๋ายเฉี่ยน และ ฟ่งจิ่ว เค้นพลังออกมาสร้างนี้ นับว่าพอใช้ได้ ถึงอย่างนั้นด้วยความสามารถเช่นเขา สะบัด “ชางเหอ” ศาสตราเทพครั้งเดียว ก็น่าจะแตกแล้ว กระนั้นหนทางภายหลังนี้สิจะรับมือกับนางผู้เป็นดวงใจอย่างไง เป็นเรื่องที่ลำบากกว่าการรบทัพ จับศึก ช่วงอุทกภัยยุค เสียอีก!!

ระหว่างที่มหาเทพกำลังครุ่นคิด ไท่จือเยี่ยหัวก็ตัดสินใจขอความช่วยเหลือมิงกุ “มิงกุ โปรดไปแจ้งแก่เจ้านายของท่านว่า ข้ารออยู่ที่นี้ ขอให้รีบออกมาโดยเร็ว”

เทพดินผู้น้อยพยักหน้ารับเดินหายเข้าไปภายในถ้ำชั่วครู และออกมาด้วยท่าทีไม่ดีนัก

“เรียนท่านไท่จื่อ มหาเทพ กูกู และฝ่าบาทป๋าย ไม่ประสงค์พบพวกท่าน ขอได้โปรดกลับไปเสียเถิด” พูดพลางคำนับ เยี่ยหัวจึงขอร้องอีกครั้ง

“ขอให้ท่านโปรดเข้าไปถามนางว่า ไม่พอใจข้าด้วยสิ่งใดกัน วานแจ้ง ขออย่าให้ข้าไม่รู้ถึงสาเหตุเลย” มิ่งกุพยักหน้ารับกลับเข้าไปในถ้ำเพื่อสอบถามป๋ายเฉี่ยนอีกครั้ง

ป๋ายเฉี๋ยนซ่านเสินนั่งจิบน้ำชาด้วยท่าทีโมโห ข้างกายนางคือ ฟ่งจิ่ว จิ้งจอกแดง ที่กำลังเหม่อลอย จนน้ำชาในมื้อเย็นฉืด

“กูกู ไท่จือสอบถามว่า ท่านโมโหเขาเพราะเรื่องอะไร” ทันทีที่สิ้นคำถามของมิงกุ ก็มีเสียงร้าวของแก้วในมือและเสียงของป๋ายเฉี่ยนดังก้องขึ้น

“เรื่องอะไรหรือ!!!”

.

.

.

ย้อนหลังกลับไปเช้าตรู่ของวัน ณ วังของไท่จือ วันนี้เป็นวันครบรอบที่ป๋ายเฉี่ยนเจอเยี่ยหัวในป่าบูรพาตอนนางเป็นซูซู่ นางตื่นตั้งแต่เช้าเผื่อต้มน้ำแกงลูกบัวสวรรค์ของโปรดของเยี่ยหัว ซึ่งนางแอบส่งจดหมายไปถามเคล็ดลับกับฟ่งจิ่วมาเมื่อวานก่อน ป๋ายเฉี่ยนยืนเคี่ยวลูกบัวสวรรค์เพื่อทำน้ำแกงด้วยความยากลำบากกว่า ½ วัน จนทุกอย่างเข้าที ตามที่ ฟ่งจิ่วบอกน้ำแกงนี้ต้องพักไว้อย่างน้อย 2 ชั่วยาม เพื่อให้ลูกบัวสวรรค์ประสานกับเนื้อแกงพอดีกับเวลาอาหารเย็นของนางกับเยี่ยหัว

ประจบเหมาะกับคิดได้ว่านางยังไม่ได้ตอบจดหมายของก้อนแป้งข้าวเหนียว ที่ถูกส่งไป คุนหลุนซี่พร้อม ป๋ายกุงกุน จึงได้ตั้งหม้อไว้ และเดินออกมาจากห้องครัว ดุจดังลิขิตสวรรค์ เยี่ยหัวที่อ่านฏีกามาตลอดวันเกิดหิว จึงสั่งให้นางในที่อยู่ใกล้ไปจัดเตรียมอาหารว่าง โชคดีนางในผู้นั้นเดินมายังห้องครัว เห็น แกงลูกบัวสวรรค์ ของโปรดของเยี่ยหัว วางทิ้งไว้บนเตา จึงตักถวายไปโดยไม่ได้ไต่ถามให้ดี

ทันทีที่ช้อนกระเบื้องที่มีแกงลูกบัวสวรรค์ถึงปาก ลิ้นของเยี่ยหัวพลันรับรสชาติเค็มและหวานจัดพร้อมๆ กัน แต่ด้วยความเป็นคนกลืนเลือดลงท้อง จึงเพียงวางช้อนแล้ว บอกนางกำนันว่า “ข้าว่าวันนี้ข้าไม่อยากทานแกงลูกบัวสวรรค์ เจ้าจงเอาไปเก็บ ถ้ายังเหลือก็ทิ้งมันไปเถิด”

นางในรับคำก่อนจะจัดการให้ตามคำสั่งของไท่จือ แน่นอนว่าหลังจากนั้น 2 ชั่วยาม เมื่อกูกูกลับมายังห้องครัว ทราบเพียงเยี่ยหัวเป็นผู้สั่งให้ทิ้งแกงทั้งหมด โดยไม่ทราบสาเหตุแต่อย่างใด หลังจากนั้นจึงได้เกิดเหตุการณ์ดาวตกที่ชิงชิวขึ้น

.

.

.

กลับมาที่ถ้ำจิ้งจอก กูกูบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฟ่งจิ่วอย่างใส่อารมณ์

… มันช่างน่าน้อยใจนัก …

“เจ้าคิดดูนะ ข้าอุตสาห์ทุ่มแรงใจแรงกายเท่าไรเพื่อแกงนั้น แต่เยี่ยหัวกลับสั่งให้ทิ้งมันไปง่าย” เซียนสาวอายุน้อยพยักหน้ารับแบบไร้อารมณ์รวม ก่อนเอ่ยตอบ

“กูกูยังดี อย่างน้อยไท่จื่อก็รักกูกูแค่องค์เดียว ของข้าสิ ตงหัวเขาไม่เคยจริงใจกับข้าเลยสักนิด”

.

.

.

ย้อนกลับไปช่วงบ่ายของวันนี้ ที่วังอรุณรุ่ง ป๋ายฟ่งจิ่ว จิ้งจอกน้อย ผู้รั้งตำแหน่ง มหาเทวีแห่งวังอรุณรุ่ง เดินสบายอารมณ์ไปตามทางเดินยาว หลังได้พักผ่อนยาวตลอดคืนจนบ่าย นับเป็นเวลาพิเศษหลังจากที่นางได้แต่งงานกับมหาเทพตงหัว เพราะก่อนหน้านี้นางมักถูกรบกวนและไม่ค่อยมีเวลานอนมากนัก มหาเทวี เดินมาจนตลอดทางเดินถึงหน้าห้องทำงานของมหาเทพ ถึงจะเรียกว่าห้องทำงานก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะปีๆ หนึ่ง มหาเทพมีภารกิจไม่กี่อย่าง

ห้องนี้จึงเหมือนห้องสำหรับงานอดิเรกและพบปะแขกพิเศษเท่านั้นมากกว่า พลันนางก็ได้ยืนเสียงสวามีของตนหารืออะไรบ้างสิ่งกับแขก

“เรียวงาม ทรงพลัง”เสียงของสวามีที่ดังขึ้น ทำให้มือนางหยุดชะงัก พยายามตั้งใจฟังต่อ แต่แขกของมหาเทพดูจะขี้อาย แม้จะพยายามเงี่ยหูฟังเท่าไรก็ไร้ผล

จิ้งจอกน้อยพยายามแนบหูกับประตูให้ใกล้ขึ้น จึงได้ยินเสียงของสวามีตนเองอีกครั้ง

“จีเหิงนับว่างดงาม หากท่านประสงค์จะยกให้ข้าก็จะรับไว้” คำว่า จีเหิง เสมือนตัวจุดประทัดใหญ่ในใจ อนงค์นางน้อยไม่ฟังอีร่าคาอีรมใด

เดินประตูพรวดเข้าห้องทำงานตะโกนว่า “คนหลายใจ ข้าไม่อยากมีสามี “แก่” อีกแล้ว ข้าจะหย่ากับท่าน”

.

.

.

ด้านนอกกำแพงเขตแดน ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองยังคงยืนรออยู่ ไม่พลีพล่ามทำสิ่งใดมากนัก จวบจนมิ่งกุเดินกลับออกมา

เซียนกวนหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ ก้มหัวทำความเคารพ พร้อมภาวนาในใจให้ตนสามารถเอาชีวิตรอดได้หลังจากจบประโยค

“เรียนไท่จือ กูกูฝากคำมาเรียนท่านว่า “ถ้าท่านไม่ทราบว่าข้าโกรธเรื่องอะไร ก็เชิญไปโดดหลุมสวรรค์เถิด”

ก่อนหันไปทางเทพเคารพเสื้อม่วง “เรียนมหาเทพ ฝ่าบาทฟ่งจิ่วฝากคำเรียนท่านว่า “ข้าไม่มีสิ่งใดจะคุยกับท่านแล้ว ข้าจะไปเรียนเทพลิขิตให้ยกเลิกการแต่งงานของเราเอง”

สองเทพฟังแล้วยืนนิ่ง มิ่งกุเห็นทั้งสองไม่มีสิ่งใดสั่งเพิ่มเติมจึงขอตัวออกมา กลับเข้าไปรายงานแก่เจ้านายสาวแห่งชิงชิวทั้งสอง

.

.

.

ชิงชิว เป็นแดนธรรมชาติที่แสนสงบ ฝนและหิมะตกต้องตามฤดูกาล อย่างไงก็ตามช่วงต้นคิมหันตร์ฤดูเช่นนี้ น้อยครั้งนักที่หิมะจะตก

มิงกุที่ถูกไล่มาคุมเชิงบริเวณขอบเขตแดน มองท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ บนนภามีลมพายุพัดแรง ท้องฟ้าอืมครึ้ม เดาได้ว่าอีกไม่นานฝนหรือหิมะจะต้องตกปกคลุมต้นไม้ ใบหญ้า

จริงอย่างที่ มิงกุคิด ฝนและหิมะเริ่มสลับกันโปรยปรายลงมาไม่หยุด มิงกุรีบกางเกราะเซียนของตนกั้นลมหนาวและหิมะ หันไปมอง 2 เขยชิงชิวก็คงยืนนิ่งที่เดิม แต่ที่น่าแปลกคือ เวลามีฝน หรือ หิมะเทพเซียนที่มีอิทธิฤทธิ์เพียงเล็กน้อยเพียงใด ก็สามารถสร้างเกราะเซียนคุ้มกายจริงไว้ แต่เทพเคารพเบื้องหน้าของมิงกุ คือ มหาเทพตงหัว ผู้ผ่านสงครามเลือดรวบรวม 4 สมุทร 8 ดินแดง กับ ไท่จือเยี่ยหัว ว่าที่เทียนจวิน อัจฉริยะแห่งสวรรค์ กลับเปียกปอน เสื้อผ่าวสีม่วงของตงหัวและสีดำของเยี่ยหัวเปียกชื้นตลอดร่าง กระทั้งผมเงินยาวและผมดำขำก็เปียกลู่ กระนั้นทั้ง 2 ก็ไม่ขยับกายจากท่าทางเดิม

“ พวกท่านไม่กางเกราะเซียนกั้นลมหนาวหรือขอรับ” มิงกุตะโดนถามจากอีกฝั่งของเขตแดน แต่ไม่ได้รับคำตอบ เห็นท่าไม่ดีเซียนกวนจึงกลับไปรายงานนายหญิงภายในถ้ำ

“เรียน กูกู ฝ่าบาทจิ่ว ท่านไท่จือ กับ ท่านมหาเทพ ยืนตากหิมะโดยไม่กางเกราะเซียนอยู่ด้านนอก พวกท่านจะไม่ไปดูพวกเขาหน่อยหรือ” !!!!

สองสาวมองกันอย่างตกใจ ทิฐิที่มากกว่าทำให้สองสาวยังคงเชิดใส่สวามีอย่างแง่งอน

“ระดับท่านเทพทั้งสอง แค่ตากฝน ตากหิมะชั่วครู่ คงไม่สามารถทำอะไรได้หรอก มิงกุเจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก” ป๋านเฉี่ยนซ่างเสินเป็นผู้เอ่ยปากก่อน

“ข้าเห็นด้วยกับท่านกูกู นี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเราไปพักผ่อนกันดีกว่า วันนี้ฟ่งจิ่วขอนอนเป็นเพื่อนท่านด้วยนะกูกู” ฟ่งจิ่วกล่าวจบ สองบุปผางามก็เดินเลี่ยงไปจากห้องโถงกลาง

.

.

.

ฝน หิมะ และพายุ พลัดกันพัดถล่มบริเวณเขาจิ้งจอกไม่หยุดพัก จวบจนรุ่งเช้า จนสายเกือบเที่ยงวัน ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายจะยิ่งรุนแรง

ป๋ายเฉี่ยนกับฟ่งจิ่วนั่งหน้าเครียดอยู่บริเวณโถงกลาง มีมิ่งกุคอยรับใช้และเวียนมาแจ้งข่าวต่อเนื่อง

รายงานล่าสุดของมิ่งกุ ทำให้ทั้งสองทราบว่า สวามีทั้งสองยังคงยืนอยู่ที่เดิมตลอดคืนจนบัดนี้ ไม่มีท่าทีจะขยับกาย ถึงอย่างนั้นมิ่งกุเริ่มจะสังเกตุแล้วว่า ทั้งสองเริ่มจะอ่อนเพลียลง ไม่แน่ว่าการตากลมฝน สลับหิมะตลอดคืนอาจจะกระทบถึงแก่นเซียนแล้ว

พลันได้ยินเสียงไอจากไกลๆ ของตงหัวตี้จวินแว่วเข้ามา สลับกับเสียงพายุ ทำให้ฟ่งจิ่วถึงกับนั่งไม่ติด ครั้นจะแล่นออกไป ป๋ายเฉี่ยนกูกูก็จับมือเตือนสติไว้ ดึงสาวน้อยให้กลับมานั่งอย่างสงบอีกครั้ง

.

.

.

เวลาผ่านไปบ่าย ค่ำ เกือบสิ้นยามห้าย (เที่ยงคืน) ทั้งสองสาวก็ยังคงนั่งอยู่ในโถงกลาง ต่างมองหน้ากันเคร่งเครียด

มิ่งกุเพิ่งเข้ามารายงานว่า เทพที่รออยู่ด้านนอกไม่ขยับกายแม้แต่มิลเดียว แต่เท่าที่เห็นเหมือนทั้งสองจะเริ่มมีอาการไข้แล้ว

.

.

.

เงียบงันอยู่นาน ป๋านฟ่งจิ่วก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า

“กูกูท่านหิวไหม นี้ก็เลยยามห้ายมาแล้ว ข้าว่าข้าจะทำข้าวต้มปลาใส่ขิงสักถ้วยรองท้อง ท่านรอข้าสักครู่นะ” กล่าวจบนางก็หายเข้าไปในห้องครัว

ปล่อยกูกูเพียงลำพัง ป๋านเฉี่ยนเลี้ยวหน้าเลี้ยวหลังสักครู่ ไม่เห็นมิ่งกุอยู่ นางจึงแอบเดินไปยังหน้าถ้ำ เลยยามห้ายแล้ว แต่ฝนและหิมะยังตกไม่หยุดดุจดังฟ้ารั่ว

ป๋ายเฉี่ยนแอบมองจากปากถ้ำไปไกลๆ เห็นเงาของสองร่างยังคงยืนนิ่ง แม้จะเป็นเพียงจุดไกลๆ แต่นางก็พอแยกออกว่าจุดใดคือเยี่ยหัว จุดใดคือตงหัวตี้จวิน

พริบตานั้น นางก็พลันเห็นเงาของเยี่ยหัวทรุดลง ด้วยความตกใจ ป๋ายเฉี่ยนรีบร้อนวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน ปลดเขตแดนทั้งหมด

ทันทีที่มือนางจะถึงร่างของเยี่ยหัว หวังจะประคองให้ลุกขึ้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนพลัน ร่างทั้งร่างของนางถูกอุ้มโดยมือแกร่งของเขาแทน “ท่านหลอกข้า!”

ไท่จือหนุ่มยิ้มตอบข้อกล่าวหา พลางก้มลงกระซิบข้างหู “ข้าแค่เรียนรู้วิธีการง้อภรรยาจากมหาเทพเท่านั้นเรากลับบ้านไปจัดการความเข้าใจผิดของเรากันดีกว่านะ”

ป๋ายเฉี่ยนไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็ถูกพาตัวขึ้นสวรรค์ 9 ชั้นฟ้าไปพร้อมกับเยี่ยหัวทันที

.

.

.

ภายในถ้ำจิ้งจอก ฟ่งจิ่วยืนหันหลังอยู่หน้าเตาเคี้ยวข้าวต้มปลาด้วยสีหน้าวิตกกังวล จนเปื่อยได้ที่ นางได้ยินเสียงเดินจากด้านหลัง ใจคิดว่าคงเป็นมิ่งกุ จึงหันไปสั่งการโดยไม่ได้กลับไปมอง

“มิงกุ เจ้าเอาข้าวต้มปลานี้ไปให้มหาเทพ กับไท่จือ ข้าใส่สมุนไพรไล่ความหนาวให้แล้ว ชามของมหาเทพให้ใส่พริกไทเยอะหน่อย โรยเกลืออีกนิด แต่อย่าบอกเด็ดขาดว่าข้าเป็นผู้ทำให้ บอกว่าเจ้าเป็นคนทำเองเข้าใจไหม”

“ปรุงรสได้ถูกใจข้าขนาดนี้ สมกับเป็นมหาเทวีจริง” เสียงทุ่มนุ่มเอ้ยตอบทรงพลัง เสียงที่เพียงได้ยินจากไกลๆ ฟ่งจิ่วก็จำได้ว่าเป็นสวามีของนาง

ดรุษฎีรีบหันหลังกลับมา จริงแท้ ชายที่เดินเข้ามาหาใช่มิ่งกุ กลับเป็นตงหัวตี้จวิน ผู้ควรจะอ่อนแรงเพราะลมฝนอยู่ภายนอกเขตแดน

“ท่านทำลายเขตแดนเข้ามาหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น แต่หากเขาทำลายเขตแดนจริงนางก็ต้องทราบก่อนเพราะเขตแดนนั้นมีพลังของนางปนอยู่ด้วย

“ข้าไม่ได้ทำลาย กูกูของเจ้าเป็นคนปลดเขตแดนของนางเองต่างหาก” มหาเทพตอบเรียบๆ

“ข้ากับกูกูเชื่อได้อย่างไงว่า ระดับท่านกับเยี่ยหัวจะล้มป่วยเพราะแค่ลมฝน” หญิงสาวกล่าวอย่างโกรธตัวเอง ทำไมถึงคิดไม่ออกนะว่า ระดับผู้ผ่านสงครามเลือด เจ้าแห่งสงครามที่ได้รับการย้ำเกรงไปสามภพอย่างตงหัวตี้จวิน แค่ตากลมหิมะวัน สองวันจะทำให้จับไข้ได้

“ข้าเคยบอกแล้วไง ว่าข้าค่อนข้างเปราะปาง”

.

.

.

ย้อนกลับไป หลังจากมิ่งกุกลับมาแจ้งข่าวครั้งแรก ปล่อยให้เทพเคารพทั้งสองอยู่ลำพัง

“ เจ้าจะทำอย่างไรต่อ เจ้าหนูเยี่ยหัว” ตงหัวตี้จวินเอ่ยปากถามเสียงเรียบ แม้ไม่ทราบแน่ชัดแต่คาดว่าตอนนี้เขาทั้งสองน่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

“ข้าจะยืนรอที่นี้จนกว่านางจะเห็นใจข้า” เยี่ยหัวตอบอย่างมุ่งมั่น สายตามองตรงไปที่ปากถ้ำอย่างสงบ หวังใช้ความจริงใจในการพิสูจน์

ตงหัวฟังคำตอบด้วยสีหน้างุนงง ก่อนเอ่ยถาม “นั้นมิต้องเป็นเดือน เป็นชาติหรือ”

“…….” ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย

“เทียนจวินเคยฝากเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า แต่ข้าไม่รับ นั้นเพราะเจ้าซื่อจนเกินไป ไม่เหมาะกับการกราบข้าเป็นซือฟู่”

“วันนี้ข้าจะสอนวิธีการดีๆ ให้เจ้า ทำตามข้าให้ดี” สิ้นเสียงลมพายุบนฟ้าก็เริ่มแปรปรวน เยี่ยหัวไม่ทราบแน่ชัดว่าตงหัวตี้จวินจะทำสิ่งใด แต่รอยยิ้มอย่างผู้ชนะที่ปรากฏก็ทำให้เขาตัดสินใจทำตามอย่างไม่รีรอ

.

.

.

กลับมาปัจจุบัน ภายในห้องครัว

“เจ้าว่าจะหย่ากับข้าหรือ?” มหาเทพตอบเรียบๆ แต่ฟ่งจิ่วรู้ดีว่าน้ำเสียงแบบนี้คือเจือด้วยโทสะไม่น้อย กระนั่นนางหากลัวไม่ อย่างน้อยนางก็เป็นราชินีแห่งชิงชิว ใครดีมานางดีตอบ ใครร้ายมานางก็ไม่ยั่งเหมือนกัน

“ใช่แล้ว ข้าจะหย่ากับท่านให้เร็วที่สุดที่ทำได้ เพราะท่านคิดจะนอกใจข้า ผู้หญิงชิงชิวเรามีคำกล่าวว่า ไม่ยอมให้มีเม็ดทรายในตา ข้าจะไม่ยอมเป็นภรรยาหลวงโดยเด็ดขาด ถ้าท่านจะรับ จีเหิงมาเป็นมเหสี ข้าก็พร้อมหย่าให้ท่าน”

ตงหัวตี้จวินขมวดคิ้วชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเหมือนนึกอะไรออก

“เจ้าโกรธข้าเพราะกะบี่นี้ใช่หรือไม่” วางพลางเสกกระบี่ด้ามหนึ่งขึ้นมา ฟ่งจิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน นางมั่นใจว่าจดจำกระบี่ทุกเล่มที่มีในวังอรุณรุ่ง เพราะเคยช่วยสวามีจัดทำทำเนียบกระบี่ที่มีอยู่กว่าพันด้าม

“เทพศาสตร์กำลังสร้างศาสตราเทพชุดใหม่ โดยใช้ชื่อเทพธิดาของ 3 ภพ ตอนที่เจ้าได้ยิน เขากำลังขอให้ข้าวิจารณ์กระบี่จีเหิง ที่สร้างขึ้นมา ตอนแรกเขาก็มีความประสงค์จะมอบกระบี่นี้ให้ข้า ข้าไม่สนใจนัก แต่เมื่อกระบี่เล่มนี้ทำให้เจ้าไม่สบายใจ ข้าก็ไม่ต้องการมันเช่นกัน” มหาเทพกล่าวอธิบายอย่างสบายใจ และพลันกระบี่จีเหิงก็ถูกตงหัวตี้จวินใช้พลังตัดออกเป็นสองท่อน ก่อนสลายหายไปในอากาศ ท่ามกลางสายตาตกใจของฟ่งจิ่ว

“เอาละ ข้าแก้คำกล่าวหาของข้าแล้ว ที่นี้ถึงเวลาลงโทษเจ้าแล้วเช่นกัน” ไม่ทันได้กล่าวตอบสิ่งใด จิ้งจอกแดงสาวก็ถูกเวทย์พันธนาการตลอดร่าง

ไม่ทันที่จะล้มลงร่างทั้งร่างก็ถูกมหาเทพอุ้มไว้ในท่าอุ้มเจ้าสาว ก่อนจะหันไปมองมิ่งกุตามมาสมทบ

“มิงกุ เจ้าไปติดประกาศรับสมัครแม่ครัวที่ตลาดแล้วปิดถ้ำเสีย ระยะ 7 วัน อย่าให้ใครเข้ามาใกล้ อาหารให้วางไว้ที่หน้าถ้ำ” เซียนหนุ่มก้มรับคำสั่ง แต่ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“ท่านมีฝ่าบาทไป๋อยู่แล้ว ทำไมท่านจึงให้รับสมัครแม่ครัวอีกขอรับ”

“ข้าคิดว่า 7 วันนี้ นางคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาจากเตียงมาทำอาหารหรอก” กล่าวจบ

ตงหัวจี้จวินก็อุ้มฝ่าบาทฟ่งจิ่วเข้าห้องไป โดยไม่ลืมกั้นเขตแดนครอบถ้ำจิ้งจอกไว้ทันทีที่มิ่งกุเดินออกไป

. . End 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว