ลำเนารักเทพสวรรค์
0
ตอน
588
เข้าชม
30
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
14
เพิ่มลงคลัง

ดินแดนสวรรค์ในขณะนี้เริ่มเต็มไปด้วยความสนุกสนานสีสันเจิดจ้า เนื่องจากเป็นเทศกาลดอกท้อสีทองช่วงที่ดอกท้อกลายเป็นสีทองเป็นเหตุดีต่อดินแดน เหล่าเทพชายหญิงต่างพากันออกมาเที่ยวเล่นที่อาณาจักรมิงซือ อาณาจักรที่เป็นที่สำคัณในดินแดน

 

เเละถือเป็นเวลาดีของอาณาจักรยี่ฟาง เพระว่าองค์หญิงพระองค์เดียวของเทพไท่ซู่เทพแห่งการลิขิตชีวิตได้เข้าเรียนในตำหนักเทพเซยเปี่ยน เทพหญิงที่อายุเจ็ดหมื่นปี นางมีความชำนาญเช่นเดียวกันกับพี่ชายของนางเทพสงครามแห่งตำหนักเทพอู๋เปี่ยว ทั้งสองเปิดรับศิษชายและหญิงเพื่อฝึกสอนการใช้เวทย์

 

รถม้าหินฟ้าจอดรอองค์หญิงน้อยที่เดินหอบเสื้อผ้าตรงมาอย่างวุ่นวายและน่ารำคาญ ทันใดนั้นก็มีนกตัวน้อยนามว่าหลีปิงสัตว์เลี้ยงของนางปินมาหา ในปากคาบจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้  หลี่เปิ่นหยิบเอาจดหมายจากปากนกน้อยตัวนั้นอย่างระวังทั้งๆที่ในมือถือเสื้อผ้าอยู่

 

“ ถึงองค์หญิงแห่งเมืองยี่ฟาง ณ บัดนี้ตำหนักของเทพเซยเปี่ยนเต็มแล้วไม่สามารถรับหญิงสาวได้อีก จึงได้ส่งท่านไปที่ตำหนักของเทพอู๋เปี่ยวแทน โดยท่านจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเซียนตำหนักนั้น ขอให้ท่านโชคดี” จดหมายเขียนด้วยลายมืองดงามคล้ายกับลายมือของหญิงสาวที่ถูกฝึกมาอย่างดี หลี่เปิ่นทำหน้างงอยู่สักพักก่อนจะร้องบอกคนขับรถม้าว่าให้ส่งนางที่หุบเขาอู๋เปี๋ยว จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยความดีใจ ระหว่างทางนางเห็นว่าการนั่งรถม้าไม่ท้าทายสำหรับนาง ดังนั้นจึงระทิ้งเสื้อผ้าและลงจากรถม้า เเล่นบนเมฆสีขาวอันนุ่มนวลราวกับปุยฝ้ายสีขาว ด้านหน้ามีหุบเขาขนาดใหญ่รอนางอยู่

 

หลี่เปิ่นเร่งความเร็วกล่าวเดิม ชายกระโปรงสีขาวสลับกับฟ้าอ่อนพริ้วไสวตามสายลม ผมยาวสีดำขยับรวบแน่นตึงและสลวยลงมาอย่างงดงาม เมื่อถึงหุบเขาอู๋เปี่ยวนางหยุดและเดินเข้าไปในตำหนักขนาดใหญ่สวยงามตกแต่งอย่างประนีด เสาสีเงินขนาดใหญ่เต็มไปด้วยมังกรสีทองตัวใหญ่เกาะาศัยอยู่สายตาพลางจ้องดูนาง เอะ! ไหนในจดหมายบอกว่าจะมีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่แต่นี้มันช่างเงียบผิดปกติ

 

ทันใดนั้นศิษย์ของอู๋เปี่ยวคนนหนึ่งก็เดินผ่านนางไป เขาหยุดชะงักในมือหอบตำราหลายเล่ม มองหน้าหลี่เปิ่นอย่างสงสัย ก่อนจะยกมือขึ้นทำท่าทางเหมือนจะชี้นาง

 

“เจ้า! ไม่ใช่สิเอาใหม่ๆ...ท่าน! เป็นผู้ใดกันถึงได้เข้ามาในตำหนักเเห่งนี้ได้ มีเพียงชายเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้ หรือว่าเจ้าจะเป็นปีศาจ...ออกไปนะ ออกไป ชิ้วๆ” ศิษย์ผู้นั้นเดินถอยห่างจากนางแล้วเอ่ยว่านางสาระพัด หลี่เปิ่นกอดอกแน่น นี่หรือการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่บอกเอาไว้

 

“ เเล้วนั้นอะไรน่ะ” ชายหนุ่มชี้ไปตรงเล็บของหญิงสาว นิ้วของนางสวมปลอกทองอย่างงดงาม หลี่เปิ่นมองดูเล็บของตนเองพลางหัวเราะลั้น

 

“ นี่เหรอ อาวุธของเผ่าหงส์ เจ้าอยากลองใส่รึเปล่า” องค์หญิงน้อยถอดปลอกนิ้วออก ศิษย์ผู้นั้นยืนมองดูปลอกเล็บของนางอยู่นาน เขาหยิบขึ้นมาวางบนมือตนอย่างช้าๆ

 

“ข้าอยู่เผ่าหงส์ยังไม่เคยพบเจอ หรือว่าเจ้าจะเป็นบุตรสาวของเทพไท่ซู อภัยข้าให้ข้าด้วย” ชายหนุ่มขุกเข่าลงทำความเคารพหลี่เปิ่นนางตกใจ จึงรีบบอกให้ศิษหนุ่มลุกขึ้นทันที “ข้าขออภัยจริงๆ ข้าสมควรเเล้ว” ศิษย์ผู้นั้นก้มลงแทบจะถึงพื้น

 

“อืม! อาจารย์ท่านอยู่หรือเปล่า” หลี่เปิ่นเอ่ยถามชายหนุ่มสวมชุดขาวมัดผมตึงที่อยู่ข้างหน้าอย่างรีบร้อน เขามองซ้ายขวา “ถ้าข้าจำไม่ผิด ศิษทั้งสิบเก้าออกไป ณ วังมิงซือกันหมดเเล้ว ข้าพึ่งคัดคาถาเวทย์ไปหมื่นจบก็เลยมาช้าไม่ทันพวกเขา ท่านเข้ามาข้างในก่อนเถอะ” ศิษย์หนุ่มพาหลี่เปิ่นเข้าไปรอในตำหนักกลาง ในตำหนักเต็มไปด้วยตำรามากมายและดาบหลายเล่ม

 

“ ทำไมท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” ศิษย์เอ่ยถามพลางจัดเก็บตำราเข้าชั้นวางขนาดใหญ่ หลี่เปิ่นล้วงหาจดหมายฉบับนั้นแล้วส่งให้ศิษหนุ่มอ่าน อ่านไปสักพักก็เข้าใจว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้

 

“ แหม! ท่านนี่ก็ช่างโชคร้ายเสียจริงที่ได้มาอยู่กับชายอย่างพวกเราจะมีใครทำอันใดท่านก็ไม่รู้ แต่ก็น่าอิจฉาอยู่ตรงที่ว่าได้ฝึกเวทย์ของชายมันแข็งแกร่งกว่าตำหนักเทพเซยเปี๋ยนอีกล่ะ” ศิษย์ผู้นั้นลงมาจากบันไดชั้นวางตำรา จากนั้นก็ทำตัวยุ่งไปหมด

 

“เจ้าหมายถึงอะไร ใครจะทำอะไรกับข้าได้ ข้าเป็นหญิงก็จริงแต่ข้าก็ไม่ได้ชอบชายสักหน่อย” หลี่เปิ่นกล่าวเสียงดังไปทั่วตำหนัก ศิษย์หนุ่มหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนจะส่งยิ้มอันหวาดกลัวให้หลี่เปิ่น “ ท่านชอบหญิงด้วยกันอย่างนั้นเหรอ อึ้ย! ข้าคิดว่าท่านคงคิดไปเองมั้ง” ศิษย์กลืนน้ำลายเสียงดัง หลี่เปิ่นหัวเราะลั้นเป็นครั้งที่สอง

 

“ เจ้าเชื่อข้าด้วยเหรอ” เสียงหัวเราะฟังไม่รู้ความดังทั่วตำหนัก ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหนังนาง ชายหนุ่มสิบเก้าคนและเทพอู๋เปี่ยวยืนอยู่ข้างหลังนาง หญิงสาวลุกขึ้นทำความเคารพท่านเทพ ศิษย์ผู้นั้นรีบเข้ามาหาศิษพี่ทั้งสิบเก้าคนอย่างช้าๆ

 

“ ท่านเป็นใครกันถึงได้ก้าวกร่ายมาถึงหุบเขาของเราได้ ช่างกล้ายิ่งนัก” ศิษย์คนหนึ่งที่ปล่อยผมยาวสลวยเอ่ยอย่างชอบกล การแต่งกายเขาดูเด่นกว่าศิษย์คนอื่น จนหลี่เปิ่นอิจฉา

 

“ ข้าถูกท่านเทพเซยเปี่ยนส่งมาให้เป็นเพื่อนพวกเจ้าไงล่ะ รอมาตั้งนานพึ่งมากันเหรอไม่เห็นชวนข้าเลย” หลี่เปิ่นส่งจดหมายให้ศิษย์ที่ถามเธอ เขาดึงจดหมายอย่างแรงก่อนจะเปิดอ่าน อาจารย์อู๋เปี่ยนพยักศรีษะครึ่งครั้ง ตากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ลายมังกรสีทอง

 

“ ให้หญิงสาวเนี่ยนะมาอยู่กับข้า ช่างเป็นรางดีจริงๆ” เทพอู๋เปี่ยวปรบมือรั่วๆ ศิษย์คนที่ยี่สิบปรบมือตามด้วยความดีใจ ทำเอาศิษย์เผ่ามังกรและเผ่าบุพฟามองเอาจนได้

 

“ดีอย่างไรท่านอาจารย์ นี่มันรางร้ายชัดๆ” ศิษย์แต่งกายแปลกพูดขึ้นอย่างโมโห อาจารย์ลุกขึ้นเเล้วก็เดินวนรอบๆ บริเวณนั้น “ ปีนี้เป็นปีที่สามที่มีหญิงสาวที่เป็นองค์หญิงมาเป็นศิษย์ข้า หญิงสาวที่จบออกไปก็ต่างเป็นเซียนเทพผู้เก่งกาญกว่าชายทั้งนั้นแหละ ฉิงหว่า” อู๋เปี่ยนเอ่ยบอกชายหนุ่มแต่งกายเด่นชัด หลี่เปิ่นกลั้นหัวเราะแต่ก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของนาง

 

“ ได้ ข้าจะรอดูเเล้วกันว่านางจะเก่งแค่ไหนกัน” ฉิงหว่าศิษย์พี่ใหญ่พูดจบก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไปจากตำหนัก ศิษย์อีกสิบเก้าคนต่างพากันมองตามบ้างก็ตามไปบ้างก็อยู่ต่อ “ เจ้าตามเออร์หลัวไปนะหลี่เปิ่น เขาจะพาเจ้าไปที่พัก” อู๋เปี่ยนวชี้มือไปท่านชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนพิงประตูอยู่ จากนั้นก็หายตัวไปไหนสักแห่ง ศิษย์ทั้งหลายมองกันวุ่นวายราวกับมีเรื่องร้ายแรง

 

“ เดี๋ยวข้าไปส่งท่านด้วย ว่าแต่ปลอกนิ้วหงส์หยกชิ้นนี้ให้ข้าหรือไม่” ศิษย์นามว่าโย่วซานเดินตามหลี่เปิ่นออกไปกับเออร์หลัว หลี่เปิ่นตีมือของโย่วซานเบาๆ “ เจ้าจะใช้มันได้อย่างไรปลอกนิ้วนี้ต้องใส่ครบสิบนิ้วก่อนจึงจะใช้เวทย์ได้” หลี่เปิ่นหยิบเอาปลอกนิ้วของนางมาสวมใส่ จากนั้นก็สะบัดมือรัวๆ ขณะนั้นก็มีแสงสีขาวคล้ายร่างหงส์รอยออกมาทั้งเออร์หลัวและโย่วซานหยุดมองดูหงส์ขาวตัวเล็กลอยล่องอยู่บนอากาศ

 

“ ข้าอยากทำได้เช่นกับท่านแต่บิดาข้าบอกว่ามีเพียงตระกูลใหญ่เท่านั้นที่ได้รับปลอกนิ้วนี้ ข้าก็อิจฉาท่านจริงๆเลยลูกสาวราชาหงส์” โย่วซานกอดอกก้มหน้ามองพื้น เออร์หว่าอมยิ้มใส่โย่วซาน หลี่เปิ่นทำหน้าสงสารชายหนุ่ม

 

“ถ้างั้นข้าจะให้เจ้าใส่มันพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะโย่วซาน แต่อย่าเอาไปใช้มั่วซั่วหล่ะ มันร้ายกาจมากเลยนะ” หลี่เปิ่นสะกิดไหลโย่วซานอย่างรุนแรงทำเอาเขาเงยหน้าขึ้น “จริงๆนะ” โย่วซานทำหน้าขอบใจ หลี่เปิ่นพยักหน้าครึ่งครั้ง

 

เมื่อถึงที่พักของหลี่เปิ่น เออร์หว่าก็ส่งเสื้อผ้าให้นาง หญิงสาวรับเอาเสื้อผ้าสีขาวสะอาดหน้าตาดูเบื่อหน่าย มันช่างไร้สีสันเสียจริงสีอื่นก็ไม่มี มีเพียงสีขาวกับเส้นสีน้ำเงินตรงชายเสื้อเส้นเดียว

 

“เปลี่ยนแล้วไปหาอาจารย์ที่ตำหนักเรียนนะ ข้ากับโย่วซานจะรออยู่หน้าที่พักของเจ้า” เออร์หว่าบอกหลี่เปิ่นจากนั้นก็ลากศิษย์น้องไปยืนรอตรงน้ำพุร้อนข้างหน้าที่พักของหลี่เปิ่น ไม่นานนักหลี่เปิ่นก็ออกมาพร้อมสวมชุดสีขาวดูสะอาดตา โย่วซานชื่นชมปลอกเล็กหงส์หยกอยู่นานจนเออร์หว่าด่าเอา

 

ทั้งสามพากันเดินไปตำหนักเรียนมีตำรามากมายวางกองอยู่ที่โต๊ะไม้เตี้ยๆตัวหนึ่งและก็มีโต๊ะไม้อีกหลายตัวที่มีตำราวางอยู่เช่นกัน อาจารย์อู๋เปี่ยวนั่งลงหน้าห้องใหญ่พลางเชิญศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนนั่งลงตามโต๊ะของตนเอง

 

“ วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าคัดบทความของคำภีร์มหาเทพสองพันจบ เเล้วเอามาส่งให้ฉิงหว่าตอนเย็นนี้ด้วย” คำสั่งอันอ่อนโยนดังขึ้นศิษย์ทุกคนรับทราบ ทั้งหมดต่างพากันคัดไปอย่างตั้งใจ

 

ฉิงหว่ายิ้มมุมปากเมื่อเห็นหลี่เปิ่นนั่งคัดคำภีร์ เขาถือกระบี่ก่อกวนศิษย์ผู้อื่นในตำหนัก จนมาถึงหลี่เปิ่นเขาเอากระบี่เล่นผมของนาง จนนางรำคาญ “นี่! ให้เกียรติข้าบ้างสิ ข้ามาหลังเจ้าก็ไม่ได้แปรว่าเจ้าจะมากระทำก่อกวนข้าได้เช่นนี้นะ” หญิงสาวปัดกระบี่ของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างโกรธๆ นางลุกขึ้นแย่งกระบี่มาจากฉิงหว่าแล้วโยนมันทิ้งไปหน้าตำหนัก

 

“ เจ้าบังอาจกล้าทำเช่นนี้กับข้า คิดว่าเป็นเผ่าหงส์จะมาสั่งสอนข้าได้รึไง” ฉิงหว่ายืนกอดอกกระบี่เล่มนั้นลอยมาในมือของเขาอย่างฉับพลัน หลี่เปิ่นก็กอดอกใส่เช่นกัน “ใช่แล้วจะทำไม ข้าอาจจะเป็นองค์หญิงแต่ข้าก็ไม่ทำตัวไร้มารยาทเช่นเจ้าหรอกนะ” หญิงสาวชี้หน้าของฉิงหว่าโย่วซานที่นั่งอยู่ข้างๆนางลุกขึ้นเเล้วเดินไปกระซิยข้างหูของหลี่เปิ่น นางเริ่มมีรอยยิ้มอันน่าหวาดกลัว

 

“ลูกเผ่าจิ้งจอกอย่างงั้นเหรอ คิดว่าข้ากลัวรึไงกันฮะ” หลี่เปิ่นเชิดหน้าใส่ฉิงหว่า นางมองเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้นจากนั้นก็นั่งลงแล้วคัดคำภีร์ต่อไปโดยไม่สนใจชายหนุ่มข้างหลัง “ดีมากๆ” โย่วซานยืนมือไปข้างๆหลี่เปิ่น หญิงสาวหัวเราะเบาๆก่อนจะตีมือกับโย่วซานแรงๆหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นก็มีกระบี่สีเงินลอยเข้าใส่หลี่เปิ่นอย่างน่าตกใจ นางใช้เวทย์ลมปัดกระบี่ทีวิ่งเข้าใส่อย่างแรงออกไปข้างๆ โย่วซานและศิษย์คนอื่นๆ ต่างหลบกระบี่ของฉิงหว่าอย่างเอาเป็นเอาตาย หลี่เปิ่นก็หลบด้วยเช่นกัน

 

“ วิชากระบี่จิ้งจอกงั้นหรอ โดนพัดหงส์ไปแล้วจะกลัว” หลี่เปินหยิบพัดหงส์สีขาวที่ประด้วยลวดลายหงส์ทองขึ้นมาพักกระบี่เอาเป็นว่าสนุก นางไม่ได้ทำหน้าตกใจแต่กลับยิ้มแย้มด้วยความสนุกสนาน ฉิงหว่าบังคับกระบี่ของตนอย่างวุ่นวายจนมือทั้งสองอ่อนแรงไปหมด หลี่เปิ่นยิ้มเยาะเย้ยชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสมประมาทก่อนจะล้มลงสะดุดกับอะไรสักอย่างหนึ่งมันคือกระบี่นั่นเอง ฉิงหว่าบังคับกระบี่ไว้ตรงบริเวณเท้าที่ก้าวไปข้างหลังของนางเพราะจะทำให้หลี่เปิ่นไม่ระวังและสะดุดล้มได้

 

ฉิงหว่าหัวเราะด้วยความสะใจจากนั้นจึงเดินกละยไปหน้าตำหนักเช่นเดิม หลี่เปิ่นล้มลงบนพื้นปูนอันแข็งกระด้าน นางเจ็บไปทั่วร่างกายโย่วซานมาช่วยพย่งร่างของนางขึ้นนั่ง พลางเอ่ยถามว่า “ ท่านไม่เป็นไรนะ” หลี่เปิ่นส่ายหน้า “เจ้าพาข้าไปหาอาจารย์ได้หรือไม่โย่วซาน” หลี่เปิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสูงก่อนลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก โย่วซานยิ้มแห้งจากนั้นก็พาหลี่เปิ่นโดยมีเออร์หลัวไปด้วยไปด้วยคน

 

“ทำไม่ศิษย์พี่ถึงต้องทำรุนแรงกับหญิงอย่างท่านด้วยนะ” โย่วซานทำท่าโมโหและล้อเลียนหน้าตาของฉิงหว่า เออร์หลัวเดินตามพลางพูดว่า “ ก็เจ้านั้นไม่ชายเผ่าหงส์เช่นเราไมล่ะ เจ้าไม่รู้จริงๆเหรอว่าฉิงหว่าเป็นลูกขุนนางเผ่าจิ้งจอก ที่ทำนิสัยหยิ่งยโสโอหัง ข้ารู้เเล้วช่างน่าอายยิ่งนัก” หลี่เปิ่นหยุดเดิน นางคิดอะไรสักอย่างในสมองอยู่แปปนึง

 

“อ๋อ….ศิษย์ผู้นี้เองเหรอที่บิดาของเขาเป็นขุนนางของเผ่าจิ้งจอก ชื่อว่าอะไรน่า...ใช่ๆ จำได้แล้ว เหลาเป้ยๆ เขาชื่อเหลาเป้ย” หลี่เปิ่นร้องออกมาอย่างดังจนทำเอาเพื่อนทั้งสองของนางเอานิ้วปิดหู “ ข้าจะจำเอาไว้...ถ้ากลับยี่ฟางเมื่อไหรข้าจะบอกท่านพ่อให้ยับเลยคอยดู” หลี่เปิ่นเดินต่อไปอย่างร่าเริง โย่วซานและเออร์หลัวมองหน้ากันจากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกันและจึงเดินตามหลี่เปิ่นไป

 

หน้าตำหนังมังกรทองของเทพอู๋เปี่ยวช่างเต็มไปด้วยดอกไม้นาๆชนิดและสวยงามอน่างยิ่ง หลี่เปิ่นเคาะประตูไม้ตำหนักเทพอู๋เปี่ยวอย่างแรง ไม่นานท่านเทพก็ออกมาเปิดประตู ศิษย์ทั้งสามยืนรออยู่หน้าตำหนัก สายตาเดือดร้อน เทพอู๋เปี่ยวรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเชิญทั้งสามเข้ามาข้างในตำหนักของตน

 

“ พวกเจ้านั่งลงก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำชามาให้” เทพอู๋เปี่ยวบอกให้ศิษย์ทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีไว้รับแขก “อาจารย์ต้อนรับเหนือเกินศิษย์แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำชาให้ท่านเอง” เออร์หลัวกับโย่วซานเดินไปหลังตำหนักเพื่อจะไปต้มชาดอกท้อ ชาประจำเผ่าหงส์  ในตอนนี้เหลือเพียงอาจารย์กับหลี่เปิ่นที่นั่งอยู่ด้วยกัน

 

“ ฉิงหว่าสินะ” อู๋เปี่ยวเอ่ยถามหลี่เปิ่นน้อยที่นั่งบีบเนื้อตัวของตนเองอยู่ “เพคะท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใช้กระบี่เผ้าจิ้งจอกมาสู้กับข้า ข้าก็เลยใช้พัดหงส์หยกตอบกลับ…” หลี่เปิ่นกล่าวเสียงง่อย อู๋เปี่ยวยิ้มอย่างชอบกล “ฮึๆ แล้วก็เป็นเเบบนี้สินะ เดี๋ยวก็หายรักษาตัวให้ดีแล้วกัน” อาจารย์บอกหลี่เปิ่นน้อยอย่างอ่อนโยน

 

“เรื่องปลอกนิ้วหงส์หยกเจ้าเก็บไว้ให้ดีก็เเล้วกันระวังโดนโย่วซานขโมยไปนะ เจ้านั้นยิ่งขอบจิกของคนอื่นบ่อยๆอยู่” อู๋เปี่ยวมองไปท้ายตำหนักที่ศิษย์ทั้งสองกำลังแย้งกันทำชาอยู่ หลี่เปิ่นมองตามอาจารย์ไป นางเห็นว่าทางนั้นคงทำชาได้ไม่ดีเเน่จึงอาสาไปทำช่วยทั้งสอง

 

หลายหมื่นปีแล้วที่เทพอู๋เปี่ยวจะได้มีศิษย์ที่เป็นสตรีเป็นหญิงมาอยู่ด้วย เป็นเพราะสำนักชายจึงไม่ค่อยมีหญิงสาวมาเรียนวิชาด้วยมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นจึงจะได้เข้ามาและถือเป็นเรื่องดีที่บุตรสาวของราชาเผ่าหงส์ได้มาเรียนวิชาอยู่ที่นี่

 

“ชามาแล้วขอรับท่านอาจารย์” โย่วซานและศิษย์อีกสองคนเดินถือชุดน้ำชามาวางไว้บนโต๊ะที่อาจารย์จัดไว้ จากนั้นก็เทชาใส่แก้วแล้วยื่นให้อาจารย์อู๋เปี่ยว “ ชานี้เป็นชาเผ่าหงส์ท่านอาจารย์ลองชิมดูนะขอรับ” โย่วซานใจจดจ่อกับชาที่กำลังถูกอู๋เปี่ยวจิบอย่างช้า หลังจากชาเข้าปากเขาก็พยักหน้าก่อนจะวางแก้วชาลง

 

“รสชาติดี...มีเวลาว่างก็มาทำให้ข้าดื่มอีกนะ” อาจารย์กล่าวศิษย์ทั้งสามคำนับเป็นการขอบคุณ “ ถ้าไม่มีเหตุใดแล้วศิษย์ขอกลับก่อน” เออร์หลัวบอกลาจากนั้นก็พาหลี่เปิ่นและโย่วซานออกไปจากตำหนักอู๋เปี่ยว

 

“เห็นมั้ยข้าบอกแล้วว่าฝีมือข้าไม่ธรรมดา” หลี่เปิ่นกอดอกอย่างปลื้มปริติ โย่วซานปรบมือรัวๆให้แก่หลี่เปิ่น ทันใดนั้นศิษย์ผู้หนึ่งก็วิ่งตรงมาทางพวกเขาร่างกายบอบช้ำไปมือถือกระบี่เเน่น “ ศิษย์พี่ใหญ่พี่รองก่อเรื่องกับศิษย์เผ่าบุพฟา ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว” ชายหนุ่มล้มลงด้านหน้าของเออร์หลัว โย่วซานรีบดึงร่างของเขาขึ้นมาพยุงเอาไว้

 

“ เจินเจินเจ้าไปกับพักก่อน เดี๋ยวข้าจะไปดูข้างใน” เออร์หลัวกับโย่วซานเดินเข้าไปในตำหนักคำภีร์ โดยให้หลี่เปิ่นกับเจินเจินรออยู่ด้านนอก นางพาเจินเจินไปนั่งลงข้างๆข่อน้ำพุร้อน ดูเหมือนว่าเจินเจินจะดูเจ็บมากเขาคงทนผิดบาดแผลไม่ได้จึงล้มลง “ เจ้าไหวใช่มั้ย ให้ข้าช่วยอะไรก็บอกได้นะ” หญิงสาวกล่าวก้มลงมองหน้าเจินเจินที่มีรอยผกช้ำอย่างรุนแรง

 

“ท่านไปช่วยด้านในเถอะ ข้ายังไหวอยู่...ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์คนอื่นนั่นแหละจะไม่ไหว องค์หญิงไปเถอะ” เจินเจินจับไหลหลี่เปิ่นอย่างเบาๆ สายตาบอกถึงความเป็นห่วงศิษย์ในตำหนัก หลี่เปิ่นจะไปทำอะไรได้นางพึ่งมาใหม่ทำอะไรก็ไม่ได้ด้วยซ้ำดังนั้นจึงถือพักหงส์ทองติดตัวเข้าไปข้างในตำหนักคำภีร์ด้วย เผื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้น

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว