ฟางข้าว อายุ 17 ปี เรียนโรงเรียนนานาชาติ
รัน อายุ 20 ปี หนุมมหาลัย
ขอขอบคุณ เครดิตภาพ:Google
คำโปรย
เด็กหนุ่มฐานะยากจน คนหนึ่งกลับต้องมาสลับร่างกับเด็กสาวที่มีพร้อม และเอาแต่ใจตัวเอง เขาและเธอจะทำอย่างไร จะสามารถกลับคืนสู่ร่างเดิมได้หรือไม่ เรื่องราววุ่นๆที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงฝันร้ายของคนทั้งคู่หรือจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก .....
“เฮ้ย รัน ทำไมมึงถึงไม่มีแฟนกับเขาสักทีวะ” เสียงเด็กหนุ่มเอ่ยแซวเพื่อนในวงโต๊ะกลมดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสมทบแบบเย้ยหยันเฮฮาของเพื่อนอีกคน ที่นั่งล้อมวง ภายในร้านอาหารKFC .ช่วงเย็นวันศุกร์ที่มีลูกค้าแน่นขนัดร้าน หัวข้อเรื่องมันคงสร้างความสุขให้เพื่อนๆของเขาได้ไม่น้อย เมื่อมีผู้จุดประเด็นนี้ขึ้นมากลางวงสนทนาหลังเลิกเรียน
“มึงไม่มีเรื่องอะไรจะคุยอะไรกันแล้วหรอว่ะ ถึงต้องวกมาคุยเรื่องของกูเนี้ย” เด็กหนุ่มหน้าตาดี ในชุดนักศึกษามหาลัย กล่าวสวนทันควันแบบน้ำเสียงและท่าทางหงุดหงิด เด็กหนุ่มที่ดูผิวพรรณ์ที่ดูขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าที่จัดว่าหล่อเหลาที่สุดในกลุ่ม เริ่มขมวด คิ้วดำเข้มจนหัวคิ้วแทบจะชนเข้าหากัน พูดอย่างมีอารมณ์ พรางยกแก้วน้ำขึ้นมาดูดแรงๆจนเสียงน้ำในหลอดดูดดังโครกครากคงเพราะน้ำหมดแก้ว
“อ่าว ไอ้นี่ ! ไอ้บอยมันก็ถามแหย่มึงไปอย่างนั้นแหละ ทำขึ้นเสียง เดี๋ยวปั๊ด!!...ฮ่าๆๆ”เพื่อนอีกคนเอ่ยสนับสนุนหัวข้อที่ไอ้บอยเป็นผู้จุดประกาย
“เออๆ กูมีกูก็บอกพวกเอ็งเองแหละ ถามอยู่นั้นแหละ รำคาญโว๊ย”รันเด็กหนุ่มยังทำท่าดูดน้ำในแก้วทั้งๆที่น้ำหมดแก้วไปแล้ว ก้มหน้างุดๆไม่สบสายตาใครเพราะไม่อยากเจอสายตาคาดคั้นจากเหล่าบรรดาเพื่อนๆที่ต่างรุมจ้องมองเหมือนรอคาดคั้นคำตอบอยู่ เป็นสายตาเดียว จนเพื่อนๆเห็นอาการเขินอายของรันแล้วยังอดขำไม่ได้ พากันหัวเราะร่วนจนเสียงดังอึกทึกไปทั่วบริเวณร้านอาหารอย่างครื้นเครงแบบลืมตัวว่าอยู่ในที่สาธารณะ
“ พี่ค่ะๆ.. ช่วยลดเสียงลงหน่อยค่ะ มันรบกวนคนอื่นเขา”เสียงใสๆดังขึ้นมาจากโต๊ะข้างเคียงใกล้ทางออก ที่ถัดไปไม่ไกล มากนัก ทำให้ลูกค้าคนอื่นในร้าน ต่างหันมาทางกลุ่มของรันกันแบบไม่ได้นัดหมาย แต่มันก็ได้ผล กลุ่มของเด็กหนุ่มถึงกับหยุดหัวเราะกันในทันทีเพราะความอับอาย ตามมาด้วยเกิดความเงียบเข้าปกคลุมแบบไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก ก้มหน้าหลบต่ำกันทั้งวงสนทนา
“เชี้ยยย!! เอาเข้าแล้ว ไอ้กอร์ฟอ่ะ มึงเลย หัวเราะเสียงดัง สาดดดด อายชิบเลยทีนี้”เสียงเจ้าบอยกระซิบเบาๆพร้อมโยนขี้ไปหาเพื่อนอีกคน
“มึงก็ด้วยไอ้บอย ว่าแต่กู …กูว่าไปเหอะ อยู่ไม่ได้แล้ว อายว่ะ” กอร์ฟเสนอความคิดเห็น ด้วยเสียงแทบจะเป็นกระซิบเบาๆในลำคอ ทั้งกลุ่มเหมือนจะเห็นพ้องต้องกันต่างพยักหน้าแล้วค่อยๆลุกออกจากเก้าอี้โดยเลื่อนออกเบาๆอย่างเรียบร้อยและเงียบกริบ ลุกเดินตัวลีบ ต่างก้มหน้า เรียงแถวเดินไปที่ประตูทางออกของร้าน
“ อ่าว ไปแล้วหรอค่ะพี่ …ไม่หัวเราะกันต่อหรอ อิๆ” เสียงใสๆของเด็กสาวมัธยมปลาย เอ่ยแซวขึ้นขณะที่พวกของรันกำลังเดินชักแถวออกจากร้านแต่ดันต้องเดินผ่านกับโต๊ะกำเนิดเสียงที่เป็นเหตุทำให้ทั้งกลุ่มต้องอาย
“บ้า!!.. ยัยปิ่น อย่าไปแซวพี่เขา…ดูสิ อายจะแย่แล้ว อิๆ .” เด็กผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยตีเบาๆไปที่หัวไหล่เพื่อนเป็นการปรามในความแก่นของเพื่อนตัวเอง ซึ่งดูเธอก็คงแก่นแก้วไม่แพ้เพื่อนเท่าไรเลย หนุ่มทั้งสามอดไม่ได้ที่จะต้องชำเลืองไปที่เด็กสาวทั้งสองผู้สร้างความอับอายให้พวกตนเอง ก่อนเดินออกจากร้านไป
“เชี้ยยย!! ยัยสองคนนั้น แม่งง ทำแสบ …นี่ถ้าไม่ติดว่าน่ารักนะ มึงงง .. มีเรื่อง แน่ๆ “ บอยเด็กหนุ่ม เอ่ยขึ้นขณะพากันเดินลงบันไดเลื่อนแบบหัวเสีย
“ เออ ใช่ว่ะ …มึงเห็นยัยคนที่นั่งข้างๆยัยผมสั้นนั้นไหมอ่ะ คนที่เอามือมาตีไหล่เพื่อนอ่ะ เชี้ยยย! สุดยอด!!เป็น ดาราได้เลยนะนั้น สุดๆ เลยคนนี้ แต่เสียทีมีเพื่อนปากเสียไปหน่อย” กอร์ฟกล่าวสนับสนุน แบบหัวเสียไม่แพ้กัน
“พวกมึงก็ทำเสียงดัง จริงๆนั้นแหละ มันรบกวนคนอื่นเขา ยังจะไปว่าเขาอีก” รัน กล่าวไปถอนหายใจไป แบบเอื่อมระอากับนิสัยโวยวายของเพื่อนตนเอง
“ เฮ้ย รัน เดี๋ยวกูไปส่งเอง ป่ะ ไปกับกู”บอยเอ่ยปากบอกเพื่อนตัวเองขณะกำลังจะแยกทางลงไปที่ลานจอดรถ
“ไม่อ่ะ ..พวกมึงกลับเหอะ พอดีกูมีธุระน่ะ โชคดีนะโว๊ยย” รันเอ่ยบอกเพื่อนตัวเองพลางยกมือโบกส่ง ซึ่งจริงแล้วเขาก็ไม่ได้มีธุระอะไร เพียงแต่แค่ไม่อยากรบกวนเพื่อนตัวเองแค่นั้น ก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่ปฎิบิติมา และเหมือนเพื่อนของเขาจะได้ยินคำปฎิเสธแบบนี้จนชินและรู้ใจเพื่อนตัวเอง จึงไม่อยากซักไซ้ต่อให้รำคาญกัน
“เออ เอางั้นก็ได้ พรุ่งนี้เจอกัน เดี๋ยวคืนนี้กูไปฝันถึงน้องตาโตคนนั้นดีกว่า ฮ่าๆๆๆ “ กอร์ฟเอ่ยหัวเราะร่า พร้อมเดินกอดคอเจ้าบอยแยกไปลานจอดรถชั้นใต้ดิน ของห้าง มีเพียงรันคนเดียวที่เดินแยกออกมายังหน้าห้าง ยืนรอรถที่ป้ายรถเมล์ บริเวณริมถนน ตอนนี้ความมืดมิดยามค่ำคืนปกคลุมเข้ามา รถราบนท้องถนนเริ่มเปิดไฟหน้ารถ เสาดวงไฟข้างทางเริ่มส่องแสงสาดลงบนถนนให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ถนน สายตาคมเข้มของรันยืนเหม่อมองผู้คนเดินเบียดกันสวนทางไปมาตามริมฟุตบาท ดูวุ่นวายดีแท้ เขายืนนิ่งเหม่อคิดเรื่องราวในชีวิตของตัวเองระหว่างรอรถเมล์กลับบ้าน ทางบ้านของรัน จัดว่าอยู่ในฐานะยากจนเลยทีเดียว แต่เนื่องด้วยตัวเขาสามารถสอบชิงทุน และทำเรื่องกู้ยืมเรียน ได้จึงได้เรียนต่อที่มหาลัยของรัฐชื่อดัง ทุกวันนี้มีเพียงผู้เป็นแม่เท่านั้นที่เป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่มีค่าที่สุดที่เขามี แม่ของรันทำงานเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาดนัด เรียกได้ว่าหาเช้ากินค่ำเลยก็ว่าได้ โดยมีรันผู้เป็นลูก คอยช่วยยกช่วยจับและซื้อของจ่ายตลาดเตรียมของขายให้ทุกวันในตอนเช้ามืด จนถือเป็นกิจวัตรประจำวันของตนเองไปแล้ว ส่วนเพื่อนเขาสองคนนั้นเจ้าบอย กับเจ้ากอร์ฟ ทั้งคู่เป็นลูกคนมีอันจะกิน จับจ่ายอะไรไม่เคยถามราคาก่อนซื้อ แต่ทุกครั้งที่ออกมาหาอะไรกินกันแบบในวันนี้ รันจะช่วยควักเงินที่มีน้อยนิดหารกันออกเสมอๆ โดยที่เพื่อนทั้งสองก็ขัดไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้กันในกลุ่มเพื่อน อาจเพราะรันไม่ต้องการให้ใครมองว่าเขาคบเพื่อนต่างฐานะเพียงเพื่อหวังยกระดับตัวเอง และผลประโยชน์ อื่นๆ แต่รันเองก็เป็นคนโชคดีที่เพื่อนของเขาต่างเข้าใจในฐานะของเขา ไม่เคยทำให้รู้สึกแตกต่างหรือลำบากใจ จนทั้งสามกลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันในที่สุด ดวงตาของเขาเหม่อมองไปที่รถเมล์สายแล้วสายเล่าที่ขับปาดเข้ามายังป้ายรถเมล์แล้วขับออกไป ทีละคันๆ เขายังคงยืนนิ่งคอยชะเง้อมองเฝ้ารอหวังกลับรถเมล์ฟรี เพื่อหวังประหยัดเงินได้บ้างจะได้เอาไปทดแทนกับเงินค่าอาหารเมื่อเย็นนี้ที่เสียไปกับเพื่อนๆ ที่นานๆทีจะออกมาหาอะไรกินกันแบบนี้